ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 37 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 721 - 740 จากข้อมูลทั้งหมด 1093 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
721 | ขอรับการสนับสนุนเพื่อดำเนินงานตามโครงการการแก้ไขปัญหาคนไร้บ้าน | พม | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการสนับสนุนงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้แก่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เพื่อแก้ไขปัญหาคนไร้บ้านตามเป้าหมาย จำนวน ๒๐๐ หน่วย ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยให้ใช้มาตรการอุดหนุนค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกับโครงการบ้านมั่นคง ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
722 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ (กระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี) | วท | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดการน้ำชุมชน ได้ดำเนินโครงการ ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการสร้างแม่ข่ายการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในพื้นที่ ๑๕ ชุมชน และโครงการจัดการน้ำชุมชนเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ในพื้นที่นอกเขตชลประทานโดยชุมชนอย่างยั่งยืน ๘๔ แห่ง ๒. การศึกษาวิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ประสานกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพื่อขยายขอบเขตการวิจัยและจัดทำฐานข้อมูลให้ครอบคลุมเรื่องแสง โดยได้รับทุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติให้ดำเนินการศึกษาผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ภายใต้โครงการประเมินสมดุลรังสีดวงอาทิตย์อันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพสิ่งปกคลุมดินในจังหวัดเพชรบุรีและพื้นที่ที่สัมพันธ์กัน และมีความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ โครงการจัดทำฐานข้อมูลลมของประเทศไทย งานวิจัยด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรน้ำ และงานศึกษาและวิเคราะห์ความเสี่ยงน้ำท่วมน้ำแล้งเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการเกษตรในพื้นที่ศึกษาลุ่มแม่น้ำโขง ๓. การบริหารจัดการน้ำ การปิด เปิด ระบายหรือรับน้ำ มีการดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ โครงการแก้มลิงอเนกประสงค์ คลองสนามชัย - มหาชัย กรุงเทพมหานคร - สมุทรสาคร มีความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการร้อยละ ๙๐ และได้จัดทำแปลงเพาะพันธุ์กล้าไม้ป่าชายเลนเพื่อใช้ในการดำเนินงานฟื้นฟูคลองหลวง และคลองสหกรณ์สาย ๓ ปรับปรุงประตูระบายน้ำที่มีอยู่เดิม และก่อสร้างประตูระบายน้ำขนาดเล็กเพิ่มเติม รวมถึงติดตั้งระบบโทรมาตรเพื่อติดตามระดับน้ำในแก้มลิงเอกชน ๓.๒ โครงการศึกษาและจัดทำระบบบริหารจัดการน้ำจังหวัดนครนายก ได้ดำเนินงานร่วมกับกรมชลประทานศึกษาข้อมูลด้านน้ำสำหรับติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง และมีแผนดำเนินงานในระยะที่ ๒ เพื่อต่อยอดการศึกษาผลักดันให้เกิดภาพบริหารจัดการในพื้นที่ระดับชุมชน รวมทั้งศึกษาระบบผังน้ำเพื่อเชื่อมต่อกับลุ่มน้ำบางปะกงต่อไป ๓.๓ การดำเนินงานเกี่ยวกับแหล่งน้ำใต้ดิน ได้ดำเนินการร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กรมทรัพยากรน้ำบาดาล มหาวิทยาลัยขอนแก่น และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้โครงการประยุกต์ใช้ไอโซโทปและเคมีเทคนิคเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบาดาล พื้นที่ลุ่มน้ำซีตอนบน ส่วนที่ ๑ และ ๒ จังหวัดชัยภูมิ โดยการประยุกต์ใช้แบบจำลองน้ำผิวดินและแบบจำลองน้ำบาดาล เพื่อใช้อธิบายวงจรน้ำใต้ดินต้นน้ำชี และประยุกต์ใช้ไอโซโทปศึกษาแหล่งที่มาและการกระจายตัวของน้ำฝน และกระบวนการเติมน้ำใต้ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำยม - น่าน ๔. การบริหารจัดการพื้นที่ที่มีการกัดเซาะชายฝั่ง ได้ดำเนินการติดตามระดับน้ำทะเลบริเวณอ่าวไทยและติดตามอุณหภูมิพื้นผิวทะเล รวมทั้งจัดทำแบบจำลองลม และนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ประกอบกับภาพถ่ายจากดาวเทียมการกัดเซาะชายฝั่งของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เพื่อนำไปสู่มาตรการเพิ่มแนวป้องกันการปะทะและกัดเซาะชายฝั่งทะเล (Soft Break)
|
||||||||||||||||||||||||
723 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ( ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ดังนี้
๑. เพิ่มเติมให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นรองประธานกรรมการคนที่ ๒ เนื่องจากมีภารกิจรับผิดชอบด้านกิจการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศในภาพรวม ๒. เพิ่มเติมกรรมการโดยตำแหน่งอีกห้าตำแหน่ง คือ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และปลัดกรุงเทพมหานคร เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามภารกิจที่เกี่ยวข้องของแต่ละหน่วยงาน ๓. เพิ่มเติมให้ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคนที่ ๒
|
||||||||||||||||||||||||
724 | รายงานผลการลงนามในสัญญาให้ความช่วยเหลือทางการเงินโครงการพัฒนา ถนนหมายเลข 11 (บ้านตาดทอง - บ้านน้ำสัง และเมืองสังข์ทอง) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กค | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการลงนามในสัญญาให้ความช่วยเหลือทางการเงินระหว่างสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงถนนหมายเลข ๑๑ (บ้านตาดทอง - บ้านน้ำสัง และเมืองสังข์ทอง) โดย สพพ. ได้ลงนามในสัญญาให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว วงเงิน ๑,๓๙๒ ล้านบาท เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๓ ณ กรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว
|
||||||||||||||||||||||||
725 | ระบบการประเมินผลภาคราชการแบบบูรณาการ | นร | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) ในการประชุม ค.ต.ป. ครั้งที่ ๔/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ เกี่ยวกับการจัดทำตัวชี้วัดการประเมินความคุ้มค่าการปฏิบัติภารกิจของภาครัฐ ตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๑ กันยายน ๒๕๕๓) รวมทั้งข้อเสนอของสำนักงบประมาณและสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เสนอต่อที่ประชุมปลัดกระทรวงเกี่ยวกับระบบการประเมินผลภาคราชการแบบบูรณาการ [Government Evaluation System (GES)] ทั้งนี้ เมื่อดำเนินงานตามระบบประเมินผลดังกล่าวในส่วนราชการแล้ว ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาปรับใช้ในการประเมินผลของจังหวัดและองค์การมหาชนต่อไป ตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการ ค.ต.ป. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการระบบสารสนเทศฐานข้อมูลกลางทั้งข้อมูลพื้นฐานและข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวชี้วัดตามระบบการประเมินผลแบบบูรณาการ ควรให้หน่วยงานกลางที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมดำเนินการทั้งในการทดสอบและนำร่องดำเนินงานเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริงในทางปฏิบัติ ส่วนแนวทางการใช้ประโยชน์จากระบบการประเมินผลภาคราชการแบบบูรณาการเพื่อนำไปใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี การเลื่อนเงินเดือน และการจัดสรรเงินรางวัล เห็นควรหารือรายละเอียดในประเด็นของหลักการ แนวทางการดำเนินการ ตลอดจนความเป็นไปได้ในการนำไปปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะนำระบบฯ ไปให้ส่วนราชการดำเนินการ สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ควรให้มีการดำเนินการทดสอบและนำร่องการดำเนินงานตามระบบการประเมินผลภาคราชการแบบบูรณาการไปก่อน จากนั้นจึงดำเนินงานเต็มรูปแบบ และขยายการดำเนินงานตามระบบประเมินผลภาคราชการแบบบูรณาการนำไปปรับใช้ในการประเมินผลของจังหวัดและองค์การมหาชนต่อไป นอกจากนี้ ควรมีกลไกการบริหารจัดการฐานข้อมูลกลางของหน่วยงานภาครัฐและการเชื่อมโยงระบบเครือข่าย เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลที่มีอยู่ในแต่ละหน่วยงานและฐานข้อมูลกลางอย่างเต็่มประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
726 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7/2553 | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของคณะกรรมการ กรอ. ตามที่เลขาธิการคณะการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการก่อสร้างในเขตพื้นที่จังหวัดที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งออกตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ช่วงระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม ๒๕๕๓ ตามที่สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เสนอ และให้กรมบัญชีกลางพิจารณารายละเอียดข้อเสนอของสมาคมฯ ให้ชัดเจนอีกครั้ง โดยเฉพาะเงื่อนไขระยะเวลาสัญญาจ้างก่อสร้างที่จะมีผลบังคับใช้ พร้อมทั้งเร่งรัดการจัดประชุมคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สมาคมฯ เสนอ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ตามที่สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเสนอ โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อเสนอแนะดังกล่าวไปพิจารณาปรับปรุงใน (ร่าง) แผนการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และเห็นชอบให้ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเขาร่วมเป็นกรรมการโดยตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ภายใต้ (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาในขั้นของการตรวจ (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาฯ นอกจากนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหารือร่วมกับกระทรวงการคลังและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณาทบทวนความเหมาะสมและจำเป็นของมาตรการจูงใจด้านภาษีที่ใช้เพื่อการกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองว่า สมควรดำเนินการต่อไปหรือไม่ ๓. ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับองค์กรภาคเอกชน ๓ สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย และสมาคมวิชาชีพ/กลุ่มอาชีพที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบคุณวุฒิวิชาชีพเชิงบูรณาการ เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มภาระและลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน และเป็นที่ยอมรับของแรงงานและผู้ประกอบการ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งพิจารณา (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับองค์กรภาคเอกชน ๓ สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย สำรวจจำนวนคนพิการที่สามารถเข้าสู่ภาคแรงงานเพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการร่วมกัน รวมทั้งให้สำนักงาน ก.พ. เร่งประสานหน่วยงานภาครัฐในการรับคนพิการเข้าทำงานตามสัดส่วนที่กำหนดสำหรับหน่วยงานภาครัฐด้วย ๕. รับทราบข้อเสนอภาคเอกชนเกี่ยวกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุด กรณีให้มีการนำมาตรการปรับลดตามหลักการ ๘๐ : ๒๐ มาใช้กับสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) การนำแนวคิด Emission Trading ระหว่างโครงหารหรือระหว่างบริษัทในพื้นที่มาบตาพุดมาใช้ และการกำหนดให้มีมาตรการจูงใจและลดขั้นตอนของระเบียบปฏิบัติสำหรับโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดมลพิษให้มีความรวดเร็วมากขึ้น โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการศึกษาเรื่องศักยภาพของพื้นที่มาบตาพุดในการรองรับอุตสาหกรรมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๖. รับทราบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้า วัตถุอันตราย ตามที่ประธานผู้แทนการค้าไทยรายงาน และให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณารายละเอียดของปัญหาเพื่อหาแนวทางแก้ไขให้ได้ข้อยุติต่อไป ๗. รับทราบรายงานผลการจัดอันดับ Doing Business 2011 ของธนาคารโลก ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ ๑๙ จาก ๑๘๓ ประเทศ ลดลงจากปีที่แล้วที่อยู่ในอันดับที่ ๑๖ (เดิมประกาศให้ไทยอยู่อันดับที่ ๑๒ เมื่อมีการปรับฐานการคำนวณใหม่โดยยกเลิกตัวชี้วัดด้านการจ้างงานออกไป ทำให้เทียบเท่ากับอันดับที่ ๑๖) จาก ๑๘๓ ประเทศ คิดเป็นการปรับลดอันดับลง ๓ อันดับ โดยสาขาที่มีอันดับปรับตัวดีขึ้น ได้แก่ การขอใบอนุญาตก่อสร้าง และการปิดกิจการ และสาขาที่อันดับปรับลดลง ได้แก่ การเริ่มต้นธุรกิจ การจดทะเบียนทรัพย์สิน การได้รับสินเชื่อ และการชำระภาษี โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการจัดทำการวิเคราะห์ในระดับดัชนีของการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ของธนาคารโลก รวมทั้งความสามารถในการแข่งขันที่จัดทำโดย International Institute of Management Development (IMD) และ World Economic Forum (WEF) พร้อมทั้งเสนอแนวทางในการปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการให้การสนับสนุนข้อมูลด้านการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับองค์กรภาคเอกชน ๓ สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ในการให้ความรู้ความเข้าใจกับภาคเอกชนเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญในการให้ข้อมูลแก่หน่วยงานจัดอันดับต่าง ๆ ที่ถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||
727 | รายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 | นร | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นผู้ติดตามกำกับดูแลการดำเนินงานขององค์การมหาชน ๓ แห่ง ซึ่งจะต้องดำเนินการปรับปรุงองค์กรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง สรุปผลการประเมินองค์การมหาชนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒) คือ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับร้อยละของระดับความพึงพอใจในการให้บริการขององค์การมหาชนที่มีคะแนนต่ำกว่า ๓ ให้องค์การมหาชนดังกล่าวปรับปรุงบริการโดยกำหนดเป็นตัวชี้วัดให้มีน้ำหนักสูงขึ้น เพื่อมุ่งให้องค์การมหาชนดังกล่าวพัฒนาคุณภาพบริการให้ดียิ่ง รวมถึงองค์การมหาชนที่ได้คะแนนต่ำกว่า ๓ ในส่วนของตัวแปรชี้วัดความสำเร็จของการจัดทำต้นทุนต่อหน่วยผลผลิต ควรปรับปรุงให้มีระบบต้นทุนที่ดีขึ้น และโดยที่ในอนาคตกระแสโลกจะมุ่งไปสู่ “การเติบโตที่สมดุลระหว่างเศรษฐกิจและการรักษาสิ่งแวดล้อม” การปรับตัวของประชาชนและภาคธุรกิจเพื่อนำไปสู่อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญ การซื้อขายคาร์บอนจะเป็นรายได้และรายจ่ายของธุรกิจระหว่างประเทศในอนาคต ดังนั้น องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกจะต้องส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดความเข้าใจเข้าถึงของประชาชนและธุรกิจมากขึ้นกว่าปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นผู้ติดตาม กำกับดูแลการดำเนินงานขององค์การมหาชนทั้งหมดทั้งในเรื่องของงบประมาณและการแก้ไขปัญหาความซ้ำซ้อนกันในการปฏิบัติภารกิจของส่วนราชการ องค์การมหาชน รัฐวิสาหกิจ ที่มีการดำเนินการอยู่แล้ว โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการปฏิบัติงาน ว่าหน่วยงานใดควรเป็นผู้รับผิดชอบภารกิจนั้นต่อไป หรือควบรวมตลอดจนยุบเลิก เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจขององค์การมหาชนสามารถเสริมสร้างและสนับสนุนการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
728 | งบประมาณเพื่อดำเนินงานตามแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 - 2556 | นร | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ภายใต้ผลผลิต : กลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้รับการป้องกันไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด งบเงินอุดหนุน จากรายการเงินอุดหนุนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ในวงเงินไม่เกินจำนวน ๒๐,๑๐๐,๐๐๐ บาท เป็นรายการโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน เพื่อใช้สนับสนุนสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานตามโครงการฯ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเสนอ ทั้งนี้ ในกรณีหน่วยงานดังกล่าวได้รับการสนับสนุนงบประมาณตามจำนวนดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่าไม่เพียงพอต่อการดำเนินงานตามโครงการขยายผลโครงการหลวงฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้สำนักงาน ป.ป.ส. สนับสนุนงบประมาณให้สถาบันฯ และหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. อนุมัติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๖ หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมปศุสัตว์ กรมป่าไม้ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมทรัพยากรน้ำ กรมการพัฒนาชุมชน และกรมการแพทย์ ซึ่งไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของหน่วยงาน เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการฯ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม หากไม่สามารถดำเนินการปรับแผนฯ ได้ ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของแต่ละหน่วยงานต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. อนุมัติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมดำเนินงานตามแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงฯ จำนวน ๒๐ หน่วยงาน เสนอคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๖ ไว้ในคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีของแต่ละหน่วยงาน ภายใต้ชื่อรายการ “โครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน” เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นภายใต้กรอบงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเสนอ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ให้แต่ละหน่วยงานพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่จะดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ รวมทั้งการประสานการบูรณาการงบประมาณร่วมกันเพื่อดำเนินการใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
729 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) | ทก | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ จัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ขึ้นเป็นองค์การมหาชนตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ จัดตั้งสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ขึ้นเป็นองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน เพื่อเป็นหน่วยงานกลางเฉพาะที่ทำหน้าที่วิจัย พัฒนา จัดทำมาตรฐาน ดำเนินการปฏิบัติการ และบริหารจัดการเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์และการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ
|
||||||||||||||||||||||||
730 | รายงานประจำปี 2552 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | ศธ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
731 | แผนกลยุทธ์แห่งชาติว่าด้วยการพัฒนางานสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2555 - 2559 | วช | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้มีการพัฒนางานเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ตามแผนกลยุทธ์แห่งชาติว่าด้วยการ พัฒนางานสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ซึ่งมีกรอบทิศทางการดำเนินงานที่ต่อเนื่องจากแผน กลยุทธ์แห่งชาติฯ พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔ โดยมีสาระสำคัญครอบคลุมการพัฒนาการเลี้ยงและใช้สัตว์ เพื่องานทาง วิทยาศาสตร์ที่เป็นระบบสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนางานวิจัย การทดสอบการผลิต ชีววัตถุทั้งด้านการแพทย์ การเกษตร และการพัฒนาอุตสาหกรรมยา สมุนไพร อาหารและวัคซีน ๑.๒ แต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อพัฒนางานเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ โดยมีนาย สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ เป็นประธานกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อ พัฒนางานเลี้ยงสัตว์และใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ เป็นกรรมการและเลขานุการ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการฯ รับ ผิดชอบกำกับดูแลการพัฒนางานตามแผนกลยุทธศาสตร์แห่งชาติฯ และพิจารณาแผนพัฒนางานเลี้ยงและใช้สัตว์ฯ ของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้ข้อเสนอแนะแก่สำนักงบประมาณในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีแก่หน่วย งานต่าง ๆ ที่เสนอแผนพัฒนางานฯ และเสนอขอตั้งงบประมาณ และติดตามประเมินผลการพัฒนางานฯ ของหน่วย งานต่าง ๆ โดยมีสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อพัฒนางานเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยา ศาสตร์เป็นหน่วยงานดำเนินการ ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำกรอบกลยุทธ์แห่งชาตินี้ ผนวกเข้ากับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อพัฒนางานเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่อ งานทางวิทยาศาสตร์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเชื่อม โยงข้อมูลเข้ากับโครงข่ายเชื่อมโยงระบบสารสนเทศภาครัฐ Government Information Network : GIN และจัดทำ มาตรฐานข้อมูลภายใต้กรอบมาตรฐาน TH e-GIF (Government Interoperability Framework) ของกระทรวงเทค โนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้าด้วยกัน การใช้ประโยชน์จากความร่วมมือในกลุ่มประเทศสมาชิกสมาคมประชา ชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ในการพัฒนางานเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ ประเทศไทยมีศักยภาพในระดับภูมิภาค และเพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องกับความต้องการทั้งในระดับประเทศ และระดับภูมิภาคด้วย การมีส่วนร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนปฏิบัติการที่สามารถเชื่อมโยงกัน อย่างเป็นระบบ โดยคำนึงถึงศักยภาพและความพร้อมด้านงบประมาณและทรัพยากรที่มีอยู่ของหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง การยกระดับขีดความสามารถของสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อพัฒนางานเลี้ยงและใช้สัตว์ เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ให้เป็นหน่วยงานบริการพิเศษหรือองค์การมหาชน เพื่อรองรับภารกิจที่หลากหลายใน อนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
732 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | นร | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอขอแก้ไขถ้อยคำตามหนังสือสำนัก นายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร ๐๑๐๖/๑๙๙๔ ลงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ หน้า ๑ จาก “... รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๑ ...” เป็น “... รัฐบาลได้แถลง นโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๑ ...” ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ จัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินในรูปแบบขององค์การมหาชน เพื่อให้การ ดำเนินตามวัตถุประสงค์ของสถาบันฯ เป็นไปอย่างอิสระ คล่องตัว และมีประสิทธิภาพ ตามที่สำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับ ความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการปรับปรุงองค์กรและกฎหมายที่ เกี่ยวข้องไปพร้อมกับการจัดตั้งธนาคารที่ดิน เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ การกำหนดวัตถุประสงค์ในการช่วย เหลือผู้จะสูญเสียสิทธิในที่ดินด้วยเหตุที่ดินจะหลุดจำนองหรือเหตุจากการค้ำประกัน การกำหนดมาตรการสนับ สนุน เพื่อให้ผู้ครอบครองที่ดินรายใหญ่ หรือผู้ที่ไม่ใช้ประโยชน์ในที่ดินเท่าที่ควรจำหน่ายที่ดินออกไป รวมทั้ง ประเด็นความเห็นเกี่ยวกับข้อจำกัดในการสนับสนุนทางการเงินของสถาบันฯ ที่จะจัดสรรให้แก่ส่วนราชการ รัฐ วิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐตามกฎหมายวิธีการงบประมาณและขอบเขตการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ ของสถาบัน ฯ ซึ่งมีความคาบเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่น ๆ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้ว ดำเนินการต่อไปได้ ๓. สำหรับการดำเนินการจัดตั้งสถาบันฯ ให้ดำเนินการตามขั้นตอนการจัดตั้งองค์การมหาชน ตาม หนังสือสำนักงาน ก.พ.ร. ที่ นร ๑๒๐๐/ว ๑๕ ลงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๙ |
||||||||||||||||||||||||
733 | การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทยเป็นองค์การมหาชน | สบร | 30/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ดังนี้ ๑.๑ ให้จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทยเป็นองค์การมหาชนในกำกับของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๑.๒ กำหนดเงื่อนไขในการจัดตั้งให้มีการประเมินความคุ้มค่าของศูนย์ความเป็นเลิศฯ เมื่อดำเนินการ ครบ ๓ ปี หากพบว่าไม่คุ้มค่าก็ให้ยุบเลิก โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง และ ก.พ.ร. กำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายสำหรับใช้ในการประเมินความคุ้มค่าอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม ๑.๓ ให้ศูนย์ความเป็นเลิศฯ เป็นองค์การมหาชนในกลุ่มที่ ๒ ประเภทบริการที่ใช้เทคนิควิชาการเฉพาะ ด้านหรือสหวิทยาการ โดยมีอัตราเงินเดือนผู้อำนวยการอยู่ระหว่างขั้น ๑๐๐,๐๐๐-๒๕๐,๐๐๐ บาท และอัตราเบี้ย ประชุมกรรมการอยู่ระหว่างขั้น ๖,๐๐๐-๑๖,๐๐๐ บาท ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ เกี่ยวกับการขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย และให้ศูนย์ความเป็นเลิศฯ ดำเนินการจัดทำแผนการ ปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับบทบาทภารกิจที่ปรับใหม่ และเสนอขอตั้งงบประมาณ รายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
734 | การจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) | ทก | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้จัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนกิส์ (องค์การมหาชน) และสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ในกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุม ครั้งที่ ๘/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
735 | ร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาเฮมพ์บนพื้นที่สูง ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2553 - 2557) | นร | 16/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาเฮมพ์บนพื้นที่สูง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗) ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการปลูกเฮมพ์เป็นพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แนวทางการวิจัยและพัฒนาเฮมพ์บนพื้นที่สูงภายใต้แผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการปลูกเฮมพ์เป็นพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูง ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๖) นำไปสู่การพัฒนาเฮมพ์ที่เป็นรูปธรรม และเพื่อสร้างความเชื่อมโยงของการดำเนินงานพัฒนาเฮมพ์บนพื้นที่สูง โดยบูรณาการแผนงาน โครงการ กิจกรรม และงบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับสภาพภูมิสังคมของชุมชนบนพื้นที่สูง รวมทั้งเพื่อให้มีกลไกการขับเคลื่อนการพัฒนาเฮมพ์ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ และร่างแผนปฏิบัติการพื้นที่นำร่องส่งเสริมการปลูกเฮมพ์ใน ๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ น่าน เชียงราย ตาก และเพชรบูรณ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเฮมพ์บนพื้นที่สูงอย่างเป็นรูปธรรมตามแผนปฏิบัติการพัฒนาเฮมพ์ฯ โดยกำหนดแผนปฏิบัติการพื้นที่นำร่องการพัฒนาเฮมพ์ใน ๕ พื้นที่ ระยะ ๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕) ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและผลิตเมล็ดพันธุ์ การวิจัยและศึกษาวิธีการเขตกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิตเฮมพ์ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการประสานหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อพิจารณาบรรจุแผนงาน/โครงการตามแผนปฏิบัติการนี้ไว้ในแผนบริหารราชการแผ่นดินและแผนปฏิบัติราชการ ๔ ปี ของหน่วยงานต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณในประเด็นความคุ้มค่าของการใช้งบประมาณเพื่อพัฒนาเฮมพ์ตามยุทธศาสตร์ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนงบประมาณในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการพัฒนาเฮมพ์บนพื้นที่สูงฯ วงเงิน ๗๒.๓๕๐ ล้านบาท และแผนปฏิบัติการโครงการนำร่องพัฒนาเฮมพ์บนพื้นที่สูงภาคเหนือ ระยะ ๒ ปีฯ วงเงิน ๑๗.๕๔๙ ล้านบาท รวมวงเงินทั้งสิ้น ๘๙.๘๙๙ ล้านบาท ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ภายในกรอบงบประมาณที่ได้รับไว้แล้ว และสำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเสนอคำขอตั้งงบประมาณให้สอดคล้องกับแผนตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งต้องตรวจสอบและกำหนดแผนงาน/โครงการไว้ในแผนบริหารราชการแผ่นดิน/แผนปฏิบัติราชการ ๔ ปี ของหน่วยงานตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
736 | ขออนุมัติแผนยุทธศาสตร์หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) 4 ปี และขอเงินประเดิม | วธ | 16/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการของแผนยุทธศาสตร์หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๗) เพื่อจัดสร้างอาคารและจัดหาอุปกรณ์ครุภัณฑ์สำหรับการอนุรักษ์และเผยแพร่ภาพยนตร์ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม เสนอ โดยให้กระทรวงวัฒนธรรม [หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)] รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการต่อยอดการใช้ประโยชน์จากมรดกภาพยนตร์ ของชาติให้เกิดมูลค่าเพิ่มทั้งในเชิงการสร้างสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรมและเชิงเศรษฐกิจ รวมทั้งการส่งเสริมกิจกรรมที่ สามารถสร้างรายได้ให้กับองค์กรในระยะยาว อาทิ การระดมความร่วมมือจากภาคเอกชนมาสนับสนุนทางด้านการ เงิน การเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นในกิจกรรมที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) และการ จัดกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เช่น การสร้างพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตชีวาสามารถบอกเล่าเรื่องราว ที่น่าสนใจ และสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเยี่ยมชม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินการ ให้กระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาตามความพร้อม ความ จำเป็นและเหมาะสมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสำหรับเงินประเดิมเพื่อการจัดหาอุปกรณ์การอนุรักษ์ภาพยนตร์ และขยายห้องเย็นเก็บรักษาภาพยนตร์นั้น อนุมัติในหลักการให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๑๒๐ ล้านบาท เพื่อ เป็นค่าจัดซื้ออุปกรณ์การอนุรักษ์ฟิล์มภาพยนตร์ด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนในการอนุรักษ์ฟิล์ม ภาพยนตร์ที่เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติโดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ส่วน ที่เหลือให้กระทรวงวัฒนธรรมเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตาม ความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
737 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือด้านการวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรไทย - นครกวางโจว และหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือด้านการตลาดสำหรับผลไม้ไทย - นครกวางโจว | กษ | 09/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้จัดทำหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือด้านการวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรไทย-นครกวางโจว ระหว่างสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) แห่งราชอาณาจักรไทย และศูนย์ส่งเสริมเทคนิคด้านการเกษตร นครกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามร่างที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) เป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ฝ่ายไทย ๒. อนุมัติให้จัดทำหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือด้านการตลาดสำหรับผลไม้ไทย-นครกวางโจว ระหว่างองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (รัฐวิสาหกิจ) แห่งราชอาณาจักรไทย และบริษัทค้าส่งผลไม้ตลาดเจียงหนาน นครกวางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามร่างที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (รัฐวิสาหกิจ) เป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ฝ่ายไทย ๓. อนุมัติในหลักการว่า ก่อนที่จะมีการลงนาม หากมีการแก้ไขร่างหนังสือแสดงเจตจำนงทั้งสองฉบับดังกล่าว ในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญ ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
|
||||||||||||||||||||||||
738 | แนวทาง นโยบาย และมาตรการการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ | ทก | 02/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติแนวทาง นโยบาย และมาตรการการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนและประสานงานในบริบทของการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยกำหนดให้เป็นการบริหารแบบบูรณาการภายใต้การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติและบริหารอย่างประหยัดโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเต็มประสิทธิภาพ ตลอดจนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแจ้งเตือนภัย เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในอันที่จะรักษาความปลอดภัยและปกป้องชีวิตทรัพย์สินของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ตามมติคณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (กภช.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๓ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้ กภช. ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการดำเนินการในกรอบแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังและการแจ้งเตือนภัยก่อนเกิดเหตุ อย่างเป็นระบบ ตลอดจนมีการประสานและแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างใกล้ชิดกับคลังข้อมูลสาธารณภัยแห่งชาติ ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เพื่อนำระบบข้อมูลสารสนเทศสนับสนุนการวางแผนในการกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยและพื้นที่อพยพของประชาชน นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการวางระบบเชื่อมโยงเครือข่าย การสร้างความร่วมมือกับองค์กรบริหารจัดการภัยพิบัติทั้งในประเทศและต่างประเทศ และให้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติจัดทำกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการภายใต้กรอบแนวทางนโยบายฯ ให้เชื่อมโยงกับแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับชาติที่มีอยู่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
739 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 26/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยว อย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มี สาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่าง ยั่งยืน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖ ดังนี้ ๑.๑ แก้ไของค์ประกอบของกรรมการโดยตำแหน่งให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ๑.๒ แก้ไขคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยตัดคำว่า “อนุกรรมการ” ออก เพื่อให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสามารถปฏิบัติภารกิจตามที่คณะกรรมการมอบหมายได้ ๑.๓ แก้ไขการกำหนดอายุของผู้อำนวยการเป็น “ไม่เกินหกสิบเอ็ดปีบริบูรณ์ในวันที่ได้รับการแต่ง ตั้ง” และให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการกำหนด อายุของกรรมการองค์การมหาชน ตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน ๒. ให้องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เร่งรัดการดำเนินการตาม มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๒ ในการกำหนดแนวทางการบริหารและพัฒนาองค์การบริหาร การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) ให้สามารถดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
740 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. รับทราบวงเงินเหลือจ่ายภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริม สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ) และให้หน่วย งานเจ้าของโครงการที่ยังไม่ได้รวบรวมหรือรายงานวงเงินเหลือจ่ายไม่ครบถ้วนเร่งดำเนินการแจ้งวงเงินเหลือจ่าย มาที่กรมบัญชีกลางโดยด่วน 2. อนุมัติให้ดำเนินโครงการใหม่ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จำนวน 17 โครงการ วงเงิน รวม 5,621.24 ล้านบาท รวมทั้งการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้ เงินฯ ให้แก่โครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ สาขาเศรษฐกิจและกรอบวงเงินตามกรอบการใช้จ่ายเงินกู้เสนอต่อรัฐสภาตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวง การคลังกู้เงินฯ วงเงิน 5,743.24 ล้านบาท ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของ ระเบียบและกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยว ข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย 3. อนุมัติการขยายระยะเวลาลงนามในสัญญา การจัดสรรเงิน และการดำเนินโครงการลงทุนภายใต้ แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน เห็นควรให้ ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป 4. อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วยโครงการ Creative Green Park ขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) สำนักนายกรัฐมนตรี วงเงิน 76.8085 ล้านบาท โครงการของกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม วงเงิน 710.35 ล้านบาท และโครงการเสริมสร้างประสิทธิภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน วงเงิน 85.76 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการที่ไม่สามารถดำเนินการ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2553 ตามหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับ โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 เห็นสมควรผ่อนผันให้แล้ว เสร็จในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 5. อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ซึ่งมีหน่วยงานที่ขอ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ ได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร กองทัพเรือ กระทรวงกลาโหม และสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โดยให้หน่วยงานดังกล่าวส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงินซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงราย ละเอียดของโครงการ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน 15 วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติ แล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ
|
.....