ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 32 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 621 - 640 จากข้อมูลทั้งหมด 1093 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
621 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 | กษ | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) (สวพส.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จำนวนผู้เข้าชมงานฯ ตั้งแต่วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (ก่อนเปิดงานจริง) จนถึงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๕ (วันปิดงาน) รวมทั้งสิ้น ๒,๒๓๗,๕๕๕ คน ๒. เงินรายได้และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดงานฯ ตั้งแต่ก่อนเปิดงานจริงจนถึงปิดงานฯ รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๒๓๐,๒๑๑,๑๑๖.๒๕ บาท โดยมีรายจ่ายเป็นเงินรวม ๑๗๖,๐๖๒,๕๗๗.๙๖ บาท ทำให้มีเงินเหลือจ่ายที่สามารถส่งคืนกระทรวงการคลังได้ จำนวน ๕๔,๑๔๘,๕๓๒.๒๙ บาท ๓. การเข้าร่วมงานของต่างประเทศ มีต่างประเทศเข้าร่วมกิจกรรมจัดสวนนานาชาติและแสดงวัฒนธรรม ๓๓ ประเทศ/องค์กร ๔. การประเมินผลการจัดงานฯ ๔.๑ การประเมินผลโดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) สรุปได้ว่า จุดเด่นของงาน กิจกรรมที่ผู้เข้าชมงานชื่นชอบมากที่สุด คือ หอคำหลวง นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สวนนานาชาติ และนิทรรศการกล้วยไม้ ตามลำดับ ๔.๒ การประเมินผลโดยภาควิชาสถิติ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สรุปได้ว่า ผลการสำรวจความพึงพอใจของผู้เข้าชมงานฯ ต่อสถานที่จัดงานและการบริการของการจัดงานฯ ผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่มีความพึงพอใจอยู่ในระดับดีถึงปานกลาง ด้านความพึงพอใจในจุดต่าง ๆ ของการจัดงานฯ รวมทั้งความพึงพอใจด้านประโยชน์และการสร้างความประทับใจที่เกิดจากการเข้าชมงานฯ ผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในระดับมาก ส่วนผลการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดต่าง ๆ ในภาคเหนือมีการเจริญเติบโตขึ้น โดยการเข้าพักในโรงแรมของนักท่องเที่ยวมีอัตราเพิ่มขึ้น และมีอัตราการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย และจากการสำรวจผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมและที่พักอาศัย ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร ผู้ประกอบการธุรกิจรถเช่า รถตู้และรถเมล์ และผู้ให้บริการรถแท็กซี่ รกตู้ และรถเมล์ และผู้ประกอบการขายของที่ระลึกและของฝาก พบว่ามีรายได้เพิ่มขึ้น สำหรับแนวทางในการจัดงานฯ ในโอกาสต่อไป ผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่เห็นว่า ควรจัดในสถานที่เดิม ช่วงเวลาที่เหมาะสมควรเป็นช่วงต้นเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ และควรใช้สถานที่ของพืชสวนโลกฯ ให้คุ้มค่ากับการลงทุนของรัฐบาล โดยสิ่งที่ควรจัดในโอกาสต่อไป คือ การออกแบบรูปแบบใหม่ ไม่ซ้ำรูปแบบเดิม และให้มีความหลากหลายมากขึ้น ๔.๓. การประเมินผลโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า จะมีเงินสะพัดในเชียงใหม่ ๓ เดือน ที่มีการจัดงานฯ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ ๑๖,๐๐๐ ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างถิ่นทั้งคนไทยต่างชาติ ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และอีก ๑,๐๐๐ ล้านบาท เป็นเม็ดเงินจากคนเชียงใหม่ที่เข้าชมงานฯ ๔.๔ การส่งมอบพื้นที่คืน กรมวิชาการเกษตร สวพส. และผู้บริหารการจัดงานฯ ได้มีการหารือและสำรวจทรัพย์สินร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และได้ส่งมอบสวนให้ สวพส. ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่ง สวพส. ได้เปิดสวนอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ จนถึงปัจจุบัน |
|||||||||||||||||||||||||||
622 | บันทึกความเข้าใจโครงการสาธิตการผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลังในประเทศไทยระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับองค์การพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น | วท | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของความร่วมมือทางวิชาการในโครงการสาธิตการผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลังในประเทศไทย ระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับผู้แทนองค์การพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (New Energy and Industrial Technology Development Organization ; NEDO) ประเทศญี่ปุ่น และการให้ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้ลงนามกับผู้แทนองค์การ NEDO ประเทศญี่ปุ่น และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับกรณีการขอยกเว้นการขึ้นทะเบียนครุภัณฑ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งข้อ ๑๒ (๑) และ (๒) แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุฯ กำหนดให้คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุมีอำนาจหน้าที่ตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบ และพิจารณาอนุมัติยกเว้นหรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ จึงเป็นการกำหนดให้มีองค์การเฉพาะเพื่อทำหน้าที่พิจารณาและวินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาหรือระงับข้อพิพาทที่ส่วนราชการทั้งหลายดำเนินการตามระเบียบไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และสามารถยกเว้นหรือผ่อนผันการดำเนินการบางเรื่องที่ส่วนราชการติดขัดหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องได้ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงไม่มีอำนาจยกเว้นหรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุฯ รวมทั้งให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับคำว่า “คู่สัญญา” ที่กำหนดไว้ในบันทึกความเข้าใจฯ ควรจะเป็นคู่สัญญาระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับ NEDO เท่านั้น ไม่ควรมีชื่อสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เข้ามาร่วมเกี่ยวข้องและปรากฏอยู่ในแต่ละข้อสัญญา และในการดำเนินโครงการฯ ควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของตัวแทนจากโรงงานอุตสาหกรรมในกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) ซึ่งมีศักยภาพ ไปพิจารณาดำเนินการ แล้วให้นำร่างบันทึกความเข้าใจฯ เสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป ๒. เรื่องการขอยกเว้นภาษีอากรทุกชนิดในการนำเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุต่าง ๆ ที่ NEDO นำเข้ามาใช้ในโครงการและการขอรับยกเว้นภาษีอากรเมื่อโอนกรรมสิทธิ์ ให้บริษัท เอี่ยมบูรพา เอทานอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการฯ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานกับกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๓. เรื่องการขอให้ได้รับยกเว้นการขึ้นทะเบียนครุภัณฑ์นั้น เป็นอำนาจของคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุที่จะพิจารณาอนุญาต จึงให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับไปขอยกเว้นการขึ้นทะเบียนครุภัณฑ์ดังกล่าวต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุตามนัยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๔. ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการบริหารจัดการโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรไว้ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
623 | ร่างพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 26/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับร่างมาตรา ๕/๑ วรรคท้ายที่กำหนดว่า “การดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนต้องสอดคล้องกับโครงการบริหารงานภาครัฐที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการกำหนด” ทำให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนไม่มีความเป็นอิสระ ทั้ง ๆ ที่องค์การมหาชนไม่ได้อยู่ภายในระบบราชการ ส่วนร่างมาตรา ๕/๒ (๓) เกี่ยวกับการกำหนดให้มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ควรกำหนดคุณสมบัติของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนไม่น้อยกว่า ๒ คน ให้คัดเลือกจากผู้ที่ดำรงตำแหน่งหรือผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ประธานกรรมการ หรือกรรมการขององค์การมหาชนหรือรัฐวิสาหกิจ ผู้อำนวยการองค์การมหาชน เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย และร่างมาตรา ๕/๑๐ การกำหนดหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ควรให้มีหน้าที่หรืออำนาจที่เกี่ยวกับ “การพัฒนาหรือส่งเสริมองค์การมหาชน” เพื่อให้การดำเนินงานขององค์การมหาชนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย ทั้งนี้ ให้เพิ่มเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นกรรมการโดยตำแหน่งในคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน แล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ มีดังนี้ ๑.๑ แก้ไขคำนิยามคณะกรรมการองค์การมหาชน โดยตัดคำว่าคณะกรรมการบริหารออกเพื่อให้เป็นไปตามหลักสากลของการบริหารองค์การที่คณะกรรมการทำหน้าที่ควบคุมดูแลองค์การมหาชนให้ดำเนินกิจการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ส่วนการบริหารเป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการ ๑.๒ กำหนดให้มีคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนรับผิดชอบในการเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อวางนโยบาย มาตรการ และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดตั้ง คุณลักษณะของกรรมการและผู้อำนวยการ การบริหารงาน การพัฒนา รวมทั้งการจัดตั้งและยุบเลิกองค์การมหาชนต่อคณะรัฐมนตรี ๑.๓ กำหนดให้องค์ประกอบของคณะกรรมการของแต่ละองค์การมหาชนมีจำนวนตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง แต่ต้องไม่เกินสิบเอ็ดคน และจะต้องมีกรรมการซึ่งไม่เป็นข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของคณะกรรมการ ๑.๔ กำหนดห้ามมิให้กรรมการขององค์การมหาชนเป็นกรรมการในองค์การมหาชนในเวลาเดียวกันเกินกว่าสามแห่ง และห้ามมิให้กรรมการขององค์การมหาชนเป็นกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนในเวลาเดียวกัน ยกเว้นในกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็น ๑.๕ เพิ่มเติมประเด็นเกี่ยวกับการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการขององค์การมหาชนซึ่งมิใช่กรรมการโดยตำแหน่ง ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์การสรรหาที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณากำหนด ๑.๖ กำหนดแนวทางการปฏิบัติงานขององค์การมหาชนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ๑.๗ กำหนดให้ดำเนินการสรรหาและแต่งตั้งผู้อำนวยการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ๑.๘ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามที่จำเป็นของผู้อำนวยการขององค์การมหาชน และเพิ่มเติมการพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ ๑.๙ กำหนดให้เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมีเสรีภาพในการรวมกลุ่มตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดกรอบการประเมินองค์การมหาชนโดยรวมที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกแห่งและการประเมินตามประเภทขององค์การมหาชนที่มีเจตนารมณ์ในการจัดตั้งแตกต่างกัน และควรพัฒนาระบบการติดตามประเมินผลองค์การมหาชนให้เชื่อมโยงกับระบบการประเมินผลภาคราชการแบบบูรณาการมาใช้ให้เกิดประสิทธิผลมากขึ้น ตลอดจนประสานกับสำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางในการจัดสรรงบประมาณเพื่อให้การปฏิบัติภารกิจขององค์การมหาชนได้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
624 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ | กค | 26/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สำหรับโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ ในวงเงิน ๙๕.๔๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีขอบเขตการดำเนินโครงการ แหล่งเงินทุน และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ดังนี้ ๑.๑ ขอบเขตการดำเนินโครงการ ประกอบด้วย งานปรับปรุงบึงหนองด้วงน้อยให้เป็นแก้มลิงย่อย งานปรับปรุงร่องระบายน้ำหนองด้วงน้อย (Drainage Channel) และงานก่อสร้างทางบริการ (Service Road) และระบบระบายน้ำชั่วคราว ๑.๒ แหล่งเงินทุน ใช้เงินทุนจากเงินสะสมของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ๑.๓ รายละเอียดเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ๑.๓.๑ วงเงินให้ความช่วยเหลือ ๙๕.๔๐ ล้านบาท (เงินกู้ทั้งจำนวน) ๑.๓.๒ อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ ๑.๕ ต่อปี ๑.๓.๓ อายุสัญญา ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๕ ปี) ๑.๓.๔ ค่าบริหารจัดการของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ร้อยละ ๐.๑๕ ของวงเงินกู้ ๑.๓.๕ กำหนดชำระดอกเบี้ย ปีละ ๒ ครั้ง ๒. ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลตัวเลขหรือสถิติที่เกี่ยวกับปริมาณน้ำฝน และศึกษาความสามารถในการระบายน้ำเพื่อวิเคราะห์ว่าโครงการสามารถช่วยลดปัญหาอุทกภัยบริเวณนครหลวงเวียงจันทน์และพื้นที่ใกล้เคียงได้มากน้อยเพียงใด โดยการเปรียบเทียบสภาพก่อนและหลังดำเนินโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
625 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ศาสนาประจำชาติไทย" | สสป | 26/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “การทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ศาสนาประจำชาติไทย” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรรมการศาสนา ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และสภาที่ปรึกษาฯ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองพุทธชยันดี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๑.๑ ขอให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพจัดงานเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยจัดให้ยิ่งใหญ่ทั้งปีทั่วประเทศให้สมกับพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นพระบรมศาสดาเอกของโลก ๑.๒ ขอให้รัฐบาลแต่งตั้งคณะกรรมการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นรองประธาน มีผู้แทนของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง องค์การและสถาบันที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาร่วมเป็นกรรมการและที่ปรึกษา ๑.๓ ขอให้รัฐบาลประกาศให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก ๑.๔ ขอให้รัฐบาลน้อมนำอุดมการณ์แผ่นดินธรรมแผ่นดินทองเป็นอุดมการณ์ เพื่อสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินทอง และน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาของชาติ ๑.๕ ขอให้รัฐบาลจัดทำแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระบรมศาสดาของโลกในมหามงคลสมัยการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๑.๖ ของรัฐบาลส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของสมัชชาชาวพุทธแห่งชาติและประจำจังหวัดต่าง ๆ โดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกา กำหนดให้สมัชชาชาวพุทธแห่งชาติและประจำจังหวัดเป็นองค์การมหาชน เพื่อเป็นกลไกและพลังที่สำคัญของชาวพุทธในการทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ๒. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๒.๑ ขอให้รัฐบาลน้อมนำอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ซึ่งมาจากพระบรมราชปณิธานในพระบรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” กำหนดเป็นอุดมการณ์ของชาติ เพื่อสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง เป็นการถวายราชสักการะบูชาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นธัมมิกมหาราชา-พระมหาราชาผู้ทรงอยู่ในธรรม ๒.๒ ขอให้รัฐบาลน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นปรัชญาของชาติ ชี้นำการบริหารประเทศ การพัฒนาประเทศ การดำรงชีวิตประชาชนทุกระดับ เพื่อพัฒนาแผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๓. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ๓.๑ จัดให้มีแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อเป็นพุทธบูชาในมหามงคลสมัยการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๓.๒ แผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรระบุให้ชัดเจนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมพระพุทธศาสนา นโยบายของรัฐบาลในการทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ยุทธศาสตร์ในการทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา การส่งเสริมบทบาทของวัดซึ่งเป็นศาสนสถน การส่งเสริมบทบาทของพระผู้เป็นศาสนทายาท ตามร่างแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ๔. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมการจัดตั้ง และการดำเนินงานของสมัชชาชาวพุทธทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด ๔.๑ ขอให้รัฐบาลสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของสมัชชาชาวพุทธทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด เพื่อเป็นกลไกที่สร้างสรรค์ในการส่งเสริมพระพุทธศาสนา ๔.๒ รัฐบาลควรให้การสนับสนุนด้านงบประมาณแก่การดำเนินงานของสมัชชาชาวพุทธทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด เพื่อสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล ๕. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการตราและปรับปรุงกฎหมาย ๕.๑ รัฐบาลควรตราพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นกฎหมายรองรับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๗๙ ๕.๒ รัฐบาลควรปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ให้มีความเหมาะสม เพื่อให้การบริหารของคณะสงฆ์ การศึกษาของพระสงฆ์ การปฏิบัติหน้าที่ของวัดและพระสงฆ์ มีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผลยิ่งขึ้น ให้สมกับที่ประเทศไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา และเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก ๕.๓ รัฐบาลควรตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สมัชชาชาวพุทธแห่งชาติเป็นองค์การมหาชน เพื่อให้มีสถานภาพเป็นนิติบุคคล เป็นที่รวมพลังของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งคณะสงฆ์ ภาครัฐ และภาคประชาชน ในการทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ในการส่งเสริมบทบาทของพระพุทธศาสนาในการพัฒนาคน สังคม และประเทศชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
626 | รายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการจัดตั้งและพัฒนากิจการสภาองค์กรชุมชนตำบล | พม | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการจัดตั้งและพัฒนากิจการสภาองค์กรชุมชนตำบล ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสนับสนุนการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลนับตั้งแต่พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ จนถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๔ มีการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลรวมทั้งสิ้น ๒,๘๒๒ แห่ง จำนวนชุมชน/กลุ่ม/องค์กรชุมชน/เครือข่ายองค์กรชุมชนที่จดแจ้งรวม ๕๓,๔๑๘ องค์กร จำนวนสมาชิกสภาองค์กรชุมชนตำบลรวม ๗๕,๔๑๖ คน ๒. การดำเนินงานของสภาองค์กรชุมชนตำบล ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้มีการจัดประชุมอย่างน้อยปีละ ๔ ครั้ง ตามที่พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๙๑ ได้บัญญัติไว้ โดยร้อยละ ๙๕.๓ ของจำนวนสภาองค์กรชุมชนตำบลที่จัดส่งรายงาน สามารถดำเนินการตามภารกิจข้อ ๑๒ คือ การเสนอรายชื่อผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบลเพื่อไปร่วมประชุมในระดับจังหวัดมากที่สุด รองลงมาร้อยละ ๗๙ คือ การส่งเสริมและสนับสนุนการอนุรักษ์ฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ ๓. การดำเนินงานของที่ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ร้อยละ ๖๘.๔ ของจำนวนที่ประชุมในระดับจังหวัดฯ ที่จัดส่งรายงานสามารถจัดให้มีการประชุมอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง ตามที่พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้บัญญัติไว้ ด้านการดำเนินงานตามมาตรา ๒๗ ซึ่งพระราชบัญญัติฯ ได้กำหนดบทบาทภารกิจของที่ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล จำนวน ๕ ด้าน ส่วนใหญ่สามารถดำเนินงานด้านการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างสภาองค์กรชุมชนตำบลมากที่สุดถึงร้อยละ ๗๐.๑ ของที่ประชุมในระดับจังหวัดฯ ที่จัดส่งรายงาน รองลงมาร้อยละ ๖๕ คือ การให้ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาจังหวัดต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และองค์การบริหารส่วนจังหวัด และร้อยละ ๔๙.๑ คือ การเสนอรายชื่อผู้แทนระดับจังหวัดเพื่อไปร่วมประชุมในระดับชาติ ตามลำดับ ๔. การดำเนินงานของที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้สนับสนุนให้มีการจัดการประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นประจำทุกปี เพื่อรายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการจัดตั้ง และพัฒนากิจการของสภาองค์กรชุมชนตำบลในทุกระดับต่อที่ประชุมในระดับชาติฯ รวมถึงสนับสนุนให้ที่ประชุมในระดับชาติ ฯ ดำเนินการตามภารกิจตามมาตรา ๓๒ โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้สนับสนุนให้มีการจัดการประชุมในระดับชาติฯ จำนวน ๑ ครั้ง เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๔ ซึ่งได้มีการพิจารณารับรองข้อเสนอเชิงนโยบายที่ได้มาจากการประมวลความเห็นและข้อเสนอแนะจากเครือข่ายองค์กรชุมชน สภาองค์กรชุมชนตำบลผ่านที่ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล ประกอบด้วยข้อเสนอ ๕ ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านกฎหมาย โครงสร้างและวิธีปฏิบัติราชการ ด้านคุณภาพชีวิต และด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๕. สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้ดำเนินการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์กิจการเกี่ยวกับสภาองค์กรชุมชนตำบล การรวบรวมข้อมูล ศึกษาวิจัย และพัฒนางานของสภาองค์กรชุมชนตำบล การประสานและร่วมมือกับส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำทะเบียนกลาง ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติจัดตั้งและดำเนินการของสภาองค์กรชุมชนตำบล
|
|||||||||||||||||||||||||||
627 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | นร | 05/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้จัดตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) โดยให้มีวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๒. กำหนดให้ทุนและทรัพย์สินในการดำเนินกิจการของสถาบัน ประกอบด้วย เงินและทรัพย์สินที่ได้รับโอนมาตามมาตรา ๓๙ เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ตามความเหมาะสม เป็นต้น และรายได้ของสถาบันไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ๓. กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ประกอบด้วย ประธานกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง กรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๔. กำหนดให้มีผู้อำนวยการสถาบัน ซึ่งคณะกรรมการเป็นผู้มีอำนาจสรรหา แต่งตั้ง และถอดถอน กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของผู้อำนวยการ และให้ผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๕. กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดทำบัญชี การตรวจสอบภายใน การส่งงบดุล งบการเงิน และบัญชีทำการให้แก่ผู้สอบบัญชี การจัดทำรายงานประจำปี และการประเมินผลงานของสถาบัน ๖. กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการโอนอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ไปเป็นของสถาบันการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารสถาบันวัคซีนแห่งชาติ และการปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ข้าราชการ พนักงานราชการ หรือลูกจ้างของกรมควบคุมโรค ตลอดจนระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือข้อกำหนดของสถาบันที่มีอยู่ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ
|
|||||||||||||||||||||||||||
628 | ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 05/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ของส่วนราชการที่ขอเปลี่ยนแปลงรายการที่ได้รับจัดสรร ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญที่ต่างไปจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรุงเทพมหานคร เป็นการขอเปลี่ยนแปลงรายการในโครงการเร่งด่วนตามข้อเสนอการตรวจราชการของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ที่ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายละเอียด โครงการจัดหาคันคอนกรีต (Barrier) จากความยาวไม่น้อยกว่า ๔๘,๐๐๐ เมตร จำนวน ๗๑.๘๓๘๘ ล้านบาท เป็นความยาว ๔๐,๖๗๐ เมตร จำนวน ๗๑.๘๓๘๘ ล้านบาท ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ที่ดำเนินการจริง และเป็นรายการที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนการประกวดราคาแล้ว แต่ยังไม่ลงนามในสัญญา เห็นว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นสาระสำคัญและแตกต่างจากที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติไว้ อีกทั้งทำให้ราคาต่อหน่วยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่พิจารณาแล้วไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานที่เคยอนุมัติ ๑.๒ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เห็นชอบให้จังหวัด ๑๔ จังหวัด ใช้เงินเหลือจ่ายจากการนำส่งคืนเงินงบประมาณ เป็นค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัด โดยจังหวัดลพบุรีขอเปลี่ยนแปลงวงเงิน รวม ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการขุดลอกแม่น้ำบางขาม ขอเปลี่ยนวงเงิน จากวงเงิน ๖๔.๒๖๐๐ ล้านบาท เป็น วงเงิน ๙๔.๘๗๕๐ ล้านบาท และโครงการขุดลอกแม่น้ำป่าสัก ขอเปลี่ยนวงเงิน จากวงเงิน ๙๔.๘๗๕๐ ล้านบาท เป็น วงเงิน ๖๔.๒๖๐๐ ล้านบาท เนื่องจากมีการพิมพ์คลาดเคลื่อนสลับวงเงินกันระหว่าง ๒ โครงการ ซึ่งตรวจสอบในรายละเอียดพบว่า เกิดจากระบบการพิมพ์ที่สลับกัน ไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริงของประมาณการค่าใช้จ่ายโครงการ ๒. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งจะขอใช้เงินเหลือจ่ายจากโครงการร่วมดำเนินการและสนับสนุน JICA เพื่อจัดทำข้อมูลความสูงภูมิประเทศของพื้นที่รองรับน้ำ จำนวน ๗๕.๐๐ ล้านบาท ไปดำเนินโครงการของสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และของสำนักพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) นั้น เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ของสำนักงานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ส.กยน.) ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔] เห็นชอบการจัดสรรกรอบวงเงินไว้แล้ว จำนวน ๑๕๓.๗๖ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
629 | การจัดตั้งกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ | กต | 05/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นประธาน ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้จัดตั้ง “กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ” และให้กระทรวงการต่างประเทศเกลี่ยอัตรากำลังและงบประมาณเท่าที่มีอยู่ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยไม่มีการเพิ่มอัตรากำลังและงบประมาณ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปยกร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยให้ประสานงานกับสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการกำหนดโครงสร้าง อำนาจหน้าที่ เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่แล้ว เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปยกร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อยุบเลิกสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศมาเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกัน โดยให้มีผลบังคับใช้สอดคล้องกับการจัดตั้งกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ ๓. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) เกี่ยวกับหน่วยงานที่เป็นภารกิจของราชการไม่ควรนำไปรวมกับหน่วยงานที่เป็นองค์การมหาชน รวมทั้งพิจารณาทบทวนบทบาทภารกิจขององค์การมหาชนให้มีเฉพาะกรณีที่จำเป็น เนื่องจากเป็นภารกิจเฉพาะด้านเท่านั้น ไม่ควรตั้งองค์การมหาชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินงานแทนหน่วยงานราชการ |
|||||||||||||||||||||||||||
630 | มาตรการภาษีเพื่อการสนับสนุนการประกอบกิจการของศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) | กค | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อการสนับสนุนการประกอบกิจการของศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) โดยยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการของศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการของศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) ซึ่งได้กระทำตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ เป็นต้นไป และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
631 | ขออนุมัติโครงการอุทยานดาราศาสตร์ (Astro Park) | วท | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการอุทยานดาราศาสตร์ (Astro Park) และเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณดำเนินการก่อสร้างอุทยานดาราศาสตร์ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ อุทยานดาราศาสตร์ (Astro Park) เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในแผนที่นำทาง (Road Map) ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ซึ่งจะเป็นศูนย์เชื่อมโยงการดำเนินงานตามพันธกิจของสถาบันฯ ให้บรรลุเป้าหมายในการพัฒนาสถาบันฯ ไปสู่ความเป็นศูนย์กลางด้านดาราศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และศูนย์กลางความร่วมมือทางดาราศาสตร์ในประชาคมอาเซียน และจะเป็นศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการ และการให้บริการข้อมูลทางดาราศาสตร์ที่เชื่อมระหว่างหอดูดาวแห่งชาติ กับหอดูดาวภูมิภาคสำหรับประชาชนทั้ง ๖ แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งเชื่อมโยงกับหอดูดาวของสถาบันที่ตั้งอยู่ที่ Cerro Tololo International Observatory (CTIO) ประเทศสาธารณรัฐชิลี ภายใต้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย North Carolina โดยผ่านเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งเป็นศูนย์ความร่วมมือกับหอดูดาวเครือข่ายในต่างประเทศ เช่น ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี เป็นต้น ซึ่งจะสนับสนุนการดำเนินภารกิจของสถาบันฯ ทั้งในด้านการวิจัย การสนับสนุนการจัดการศึกษาในระดับต่าง ๆ การสร้างความตระหนักและความตื่นตัวทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยใช้ดาราศาสตร์ รวมทั้งการสร้างและสนับสนุนเครือข่ายดาราศาสตร์ทั้งในและต่างประเทศ และการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีทางดาราศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ๑.๒ กรอบวงเงินงบประมาณดำเนินการก่อสร้างอุทยานดาราศาสตร์ ที่ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๔๐๖,๑๗๕,๐๐๐ บาท แบ่งการดำเนินงานออกเป็น ๒ ระยะ คือ ๑.๒.๑ ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘) วงเงินงบประมาณ ๒๐๓,๕๒๕,๐๐๐ บาท ประกอบด้วยค่าควบคุมงาน ค่าปรับพื้นที่ สร้างรั้ว ถนน ที่จอดรถ สาธารณูปโภคและปรับภูมิทัศน์ และค่าก่อสร้างอาคาร [อาคารศูนย์วิจัยและบริการทางดาราศาสตร์ อาคารฉายดาว อาคารหอดูดาว และลานกิจกรรมอเนกประสงค์กลางแจ้ง (amphitheater)] ๑.๒.๒ และระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๕๙) วงเงินงบประมาณ ๒๐๒,๖๕๐,๐๐๐ บาท ประกอบด้วยค่าควบคุมงาน ค่าก่อสร้างอาคาร (อาคารพิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์ไทยและส่วนนิทรรศการ อาคารหอประชุมและสัมมนา และงานตกแต่งภายในส่วนนิทรรศการทางดาราศาสตร์) และอุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ ๒. ส่วนเรื่องงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าก่อสร้างอุทยานดาราศาสตร์ ระยะที่ ๑ จำนวน ๒๐๓,๕๒๕,๐๐๐ บาท สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รองรับไว้แล้ว จำนวน ๔๐,๗๐๕,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๕๘ จำนวน ๑๖๒,๘๒๐,๐๐๐ ส่วนการดำเนินการระยะที่ ๒ ให้สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของโครงการฯ ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ความสนใจของผู้ใช้บริการในพื้นที่ ความพร้อมด้านบุคลากร แนวทางการทำงานร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายในพื้นที่ แผนการหารายได้และแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน รวมทั้งควรมีการประเมินความคุ้มค่า รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคของหอดูดาวภูมิภาค ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ฉะเชิงเทรา และนครราชสีมา ภายหลังการให้บริการไปแล้วในระยะหนึ่ง เพื่อใช้เป็นแนวทางดำเนินงานโครงการฯ ให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
632 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2555 ครั้งที่ 3 | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓ ซึ่งบรรจุการก่อหนี้ใหม่ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ในแผนการก่อหนี้ของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากประมาณการฐานะของกองทุนฯ ณ วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๕ กองทุนฯ มีฐานะติดลบสุทธิ ๒๒,๐๖๓ ล้านบาท ซึ่งติดลบเพิ่มขึ้น จาก ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ จำนวน ๓,๓๖๔ ล้านบาท โดยมีประมาณการหนี้สินที่ครบกำหนดชำระภายใน ๑ เดือน จำนวน ๗,๑๑๘ ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอัตราชดเชย LPG ที่นำเข้าจากต่างประเทศสูงขึ้นตามราคาตลาดโลก และปริมาณการนำเข้า LPG ที่สูงขึ้นกว่าเดือนก่อน ประกอบกับกองทุนฯ ยังมีภาระชดเชยราคาสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมอื่น ๆ ได้แก่ น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และ E85 และก๊าซ NGV เป็นรายวัน ซึ่งสูงกว่าการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ๒. อนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ที่องค์การสวนยางกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท |
|||||||||||||||||||||||||||
633 | รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. เห็นชอบข้อเสนอเกี่ยวกับการพัฒนาและปรับปรุงองค์การมหาชน จำนวน ๕ แห่ง ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ และศูนย์คุณธรรม ตามมติ ก.พ.ร. เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ส่วนองค์การมหาชนอีก ๒ แห่ง ให้ดำเนินการก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ ๒.๑ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (สคพ.) มอบให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปเร่งรัดจัดทำแผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. ให้มีความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แล้วเสนอ ก.พ.ร. พิจารณาโดยด่วนต่อไป ๒.๒ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) มอบให้ ก.พ.ร. รับไปพิจารณาทบทวนข้อเสนอเกี่ยวกับการพัฒนาและปรับปรุง อพท. อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะการมอบภารกิจของ อพท. ไปให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการมอบการบริหารจัดการโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีและพื้นที่เชื่อมโยง ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) เพื่อประเมินความคุ้มค่าในการจัดตั้งเมื่อดำเนินการครบ ๓ ปี การกำหนดกรอบการประเมินองค์การมหาชนโดยรวมที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกแห่ง การแบ่งกลุ่มองค์การมหาชนโดยพิจารณาบทบาทและภารกิจหลักขององค์กรที่มีลักษณะใกล้เคียงกันให้อยู่ในกลุ่มเดียวกันเพื่อให้สามารถเปรียบเทียบผลการประเมินในแต่ละกลุ่มได้ชัดเจน และการให้ความสำคัญต่อการคัดสรรผู้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการและผู้บริหารขององค์การมหาชน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
634 | รายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 170 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 - 2552 | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๒ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๗๐ โดยภาพรวมของเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินทั้ง ๕ กลุ่ม ประกอบด้วย ทุนหมุนเวียน เงินฝากกระทรวงการคลัง รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐอื่นที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ เปรียบเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ ปรากฏว่า สินทรัพย์รวม หนี้สินรวม และสินทรัพย์สุทธิ มีสัดส่วนปรับเพิ่มสูงขึ้นอันเป็นผลมาจากรัฐวิสาหกิจและทุนหมุนเวียน โดยสินทรัพย์รวมมีจำนวนประมาณ ๑๐.๔๙ ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ ร้อยละ ๑๔.๐๕ โดยสินทรัพย์รวมเป็นส่วนของรัฐวิสาหกิจและทุนหมุนเวียน ร้อยละ ๗๓.๘๘ และ ๒๒.๐๙ ตามลำดับ ยกเว้นสินทรัพย์รวมขององค์การมหาชน ซึ่งมีขนาดลดลง ร้อยละ ๒๖.๒๕ ทั้งนี้ สถานะเงินคงเหลือปลายปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ และ พ.ศ. ๒๕๕๒ เท่ากับประมาณ ๑.๓๙ และ ๑.๖๖ ล้านล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อสินทรัพย์สุทธิ เท่ากับ ๑.๙๔ และ ๑.๙๓ เท่า ตามลำดับ และนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป ๒. รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการจัดทำรายงานฯ ได้แก่ ๒.๑ ความชัดเจนของคำนิยาม “หน่วยงานของรัฐ” และความหลากหลายของประเภทหน่วยงาน ตามนัยมาตรา ๑๗๐ แห่งรัฐธรรมนูญ ทำให้มีข้อจำกัดในการพิจารณาว่าครอบคลุมถึงหน่วยงานใดบ้างที่จะต้องดำเนินการจัดทำรายงานฯ โดยเฉพาะหน่วยงานที่ได้รับอุดหนุนเงินงบประมาณแผ่นดินประจำปี หรือกฎหมายจัดตั้งหน่วยงานนั้น ๆ กำหนดให้รัฐจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุน ขณะที่กฎหมายจัดตั้งหน่วยงานกำหนดให้มีสถานะเป็นนิติบุคคลแต่ไม่มีสถานะเป็น “ส่วนราชการ” หรือ “รัฐวิสาหกิจ” หรือ “องค์การมหาชน” ทำให้ขาดความชัดเจนในการกำหนดการจัดทำรายงานฯ ๒.๒ ความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล เนื่องจากมีข้อจำกัดในการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะส่วนของเงินรายได้กลุ่มเงินฝากในส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ที่อาจมีส่วนที่อยู่นอกเหนือจากการฝากไว้ที่กระทรวงการคลัง และอาจไม่ได้รับรายงานข้อมูล ประกอบกับรายงานทางการเงินบางส่วนยังไม่ได้รับการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จึงอาจจะทำให้ไม่ได้รับข้อมูลการรายงานที่ถูกต้องครบถ้วนทุกประเภทเงินอย่างชัดเจน ๓. เห็นชอบให้หน่วยงานของรัฐที่ไม่ได้จัดทำรายงานฯ ตามสรุปรายการข้อมูลที่ไม่จัดส่งรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๗๐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ และ ๒๕๕๒ ดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๗๐ ดังกล่าว โดยเคร่งครัดเป็นกรณีพิเศษ
|
|||||||||||||||||||||||||||
635 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงสนามบินปากเซ ระยะที่ 2 | กค | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงสนามบินปากเซ ระยะที่ ๒ ในวงเงิน ๑๘๔ ล้านบาท โดยให้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินที่ สพพ. ได้รับการจัดสรรแล้วในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ สำหรับโครงการพัฒนาถนนหมายเลข ๖๘ (โอเสม็ด - สำโรง - กลอรันห์) ที่ได้ยกเลิกไปแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาจัดทำแผนการให้ความช่วยเหลือทางการเงินกับประเทศเพื่อนบ้านในมิติที่หลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจากการสร้างสาธารณูปโภคด้านการขนส่ง โดยอาจพิจารณาเพิ่มโครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านอื่น ๆ เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำ รวมถึงการพัฒนาด้านสังคม เช่น การพัฒนาระบบสาธารณสุข การพัฒนาระบบการศึกษา และการพัฒนาชุมชน เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
636 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการจัดซื้อสารต้นกำเนิดรังสีโคบอลต์ 60 จำนวน 400,000 คูรี | วท | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันในการจัดซื้อสารต้นกำเนิดรังสีโคบอลต์ ๖๐ จำนวน ๔๐๐,๐๐๐ คูรี ข้ามปีงบประมาณ จากเดิม เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๖๐,๘๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๐,๙๙๑,๖๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๔๓,๙๖๖,๐๐๐ บาท และใช้จ่ายจากเงินรายได้ของสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) สมทบ จำนวน ๕,๘๔๒,๔๐๐ บาท ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
637 | การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองเก่าน่าน และการประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทอง | นร | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองเก่าน่าน ตามร่างประกาศคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ วิสัยทัศน์ “น่าน เมืองเก่ามีชีวิต” ๑.๑.๒ เป้าหมายการดำเนินงานในระยะที่ ๑ ภายในช่วงเวลา ๓ ปี ได้แก่ ประกาศเมืองเก่าน่านให้เป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ฟื้นฟู อนุรักษ์ และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และปรับปรุงการจัดบริการให้มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล (ระยะที่ ๑) เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนภายใน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) รวมทั้งเพิ่มรายได้การท่องเที่ยวและจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติในพื้นที่เมืองเก่าน่าน ภายใน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) ทำให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก ๙๙๓ ล้านบาท และจำนวนนักท่องเที่ยว ๑.๓๕ แสนคน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้นเป็น ๑,๒๐๐ ล้านบาท และ ๑.๕๓ แสนคน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามลำดับ ๑.๑.๓ ขอบเขตพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองเก่าน่าน ครอบคลุมพื้นที่ ๕ ตำบล ประกอบด้วย ตำบลในเวียง (เขตเทศบาลเมืองน่านทั้งตำบล) ตำบลดู่ใต้ (เขตเทศบาลตำบลดู่ใต้ทั้งตำบล) ตำบลนาซาว ตำบลบ่อสวก อำเภอเมืองน่าน และตำบลม่วงตึ๊ด อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน เนื้อที่ ๑๓๙.๓๗ ตารางกิโลเมตร หรือ ๘๗,๑๐๖.๒๕ ไร่ ๑.๒ การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทอง ตามร่างประกาศคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๒.๑ วิสัยทัศน์ “อู่ทองเมืองโบราณ ต้นกำเนิดประวัติศาสตร์ อารยธรรมสุวรรณภูมิ” ๑.๒.๒ เป้าหมายการดำเนินงานในระยะที่ ๑ ภายในช่วงเวลา ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) ได้แก่ ประกาศเมืองโบราณอู่ทองให้เป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ฟื้นฟู อนุรักษ์ และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และปรับปรุงการบริการให้มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล (ระยะที่ ๑) เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนภายใน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) รวมทั้งเพิ่มรายได้การท่องเที่ยวและจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ร้อยละ ๕๐ ของปัจจุบันภายใน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) ๑.๒.๓ ขอบเขตพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทอง ครอบคลุมพื้นที่ทั้งตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ ๓๘.๑๖ ตารางกิโลเมตร หรือ ๒๓,๘๕๐ ไร่ ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ในการจัดทำแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองเก่านาน และพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทอง เพื่อให้การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษฯ บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ เป้าหมาย อย่างมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรม ๒. ให้ อพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับชุมชน ท้องถิ่นในการเข้ามามีส่วนร่วมบริหารจัดการเพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และเห็นควรมีการสืบค้นและศึกษาประวัติศาสตร์ของเมืองเก่าน่านและเมืองโบราณอู่ทองอย่างถูกต้อง โดยให้มีหลักฐานอ้างอิงที่ชัดเจนเพื่อประกอบการถ่ายทอดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า (Story to tell) ให้กับประชาชน นักท่องเที่ยว และอนุชนรุ่นหลังสืบไป รวมทั้งเร่งดำเนินการจัดทำแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการในพื้นที่ที่ได้ประกาศเป็นเขตพื้นที่พิเศษแล้วกำหนดกลไกการบริหารจัดการให้ชัดเจน และดำเนินการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้สามารถใช้เป็นต้นแบบการบริหารจัดการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้งประเภทแหล่งท่องเที่ยงทางธรรมชาติ โบราณสถาน ศิลปวัฒนธรรม และที่มนุษย์สร้างขึ้น พร้อมทั้งใช้เป็นแนวทางการปรับบทบาทของ อพท. ในระยะยาวต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้บูรณาการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการของหน่วยงานอื่นที่จะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
638 | สรุปรายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบสรุปผลการประเมินการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ในภาพรวม และแนวทางการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ตามมติ ก.พ.ร. ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการประเมินในภาพรวมหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๑๑ แห่ง ตามกรอบการประเมิน ๔ มิติ โดยมีหน่วยงานของรัฐฯ ๓ แห่ง ยังมิได้รายงาน ได้แก่ สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ๑.๑.๑ ด้านผลสัมฤทธิ์ตามพันธกิจ หน่วยงานของรัฐฯ มีผลงานบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้ง และพันธกิจที่ได้รับมอบหมาย คะแนนรวมผลการประเมินอยู่ในระดับค่อนข้างสูงกว่าเป้าหมายขึ้นไป (คะแนน ๓.๖๑๐๑ -๔.๗๓๕๐) ๑.๑.๒ ด้านผู้มีส่วนได้เสีย การตอบสนองต่อความคาดหวังและความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียหลัก หน่วยงานของรัฐฯ มีการสำรวจความพึงพอใจของผู้รับบริการ การตอบสนองต่อนโยบาย/มติ/ข้อแนะนำ/ข้อสังเกต และการนำผลงานไปใช้ประโยชน์ คะแนนที่ได้รับค่อนข้างสูงกว่าเป้าหมายขึ้นไป (คะแนน ๓.๕๒๒๘ - ๕.๐๐๐๐) ๑.๑.๓ ด้านประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าของการใช้งบประมาณและทรัพยากรทางการเงินให้เกิดผลผลิตและผลลัพธ์สูงสุด คะแนนที่ได้รับค่อนข้างสูงกว่าเป้าหมายขึ้นไป (คะแนน ๓.๕๔๖๐ - ๕.๐๐๐๐) ๑.๑.๔ ด้านการกำกับดูแลและพัฒนาองค์กร ผลการประเมินด้านการกำกับดูแลและพัฒนาองค์กร และการมีระบบบริหารจัดการที่ได้มาตรฐานสากล คะแนนที่ได้ค่อนข้างสูงกว่าเป้าหมายขึ้นไป (คะแนน ๓.๑๐๙๖ - ๔.๘๘๘๙) ๑.๒ รูปแบบการประเมินผล ๑.๒.๑ กลุ่มที่ ๑ หน่วยงานของรัฐฯ ที่อยู่ในระบบการประเมินผลทุนหมุนเวียนโดยกรมบัญชีกลาง ให้ใช้ระบบการประเมินผลทุนหมุนเวียนเป็นระบบประเมินผลตามนัยของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ ๑.๒.๒ กลุ่มที่ ๒ หน่วยงานของรัฐฯ ซึ่งมีระบบการประเมินผลของตนเอง ให้นำกรอบการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ ไปปฏิบัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง ๔ มิติ ๑.๓ การเชื่อมโยงผลการประเมินกับการจัดสรรงบประมาณ ให้สำนักงบประมาณพิจารณานำผลการประเมินการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐฯ ประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปี ๑.๔ การรายงานผลในภาพรวมต่อคณะรัฐมนตรี ให้หน่วยงานของรัฐฯ รายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ไปยังสำนักงาน ก.พ.ร. ภายในเดือนมีนาคมของปีงบประมาณถัดไป และให้ ก.พ.ร. ประมวลรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐฯ ในภาพรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานกรมบัญชีกลาง และสำนักงบประมาณ เพื่อร่วมกันกำหนดกรอบแนวทางการเชื่อมโยงผลการประเมินการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐฯ กับการจัดสรรงบประมาณเพื่อให้การปฏิบัติภารกิจของภาครัฐมีการใช้ทรัพยากรของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าต่อการลงทุน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
639 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว สำหรับโครงการก่อสร้างถนนจากภูดู่ (อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์) ถึงเมืองปากลาย แขวงไซยะบุรี สปป.ลาว | กค | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการก่อสร้างถนนจากภูดู่ (อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์) ถึงเมืองปากลาย แขวงไซยะบุรี สปป.ลาว วงเงินรวม ๗๑๘ ล้านบาท โดยมีวิธีดำเนินโครงการและเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงินที่มีสัดส่วนของเงินกู้และเงินให้เปล่าร่วมกัน แบ่งเป็นเงินให้เปล่าร้อยละ ๒๐ (คิดเป็นเงินไม่เกิน ๑๔๓.๖๐ ล้านบาท) และเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนร้อยละ ๘๐ (คิดเป็นเงินไม่เกิน ๕๗๔.๔๐ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรหารืออย่างใกล้ชิดกับกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อป้องกันมิให้การก่อสร้างถนนดังกล่าวก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสันปันน้ำเพิ่มเติม หรือกระทบเส้นเขตแดนที่เสนอ (proposed boundary line) บริเวณช่องทางภูดู่ ระหว่างหลักเขตที่ ๕ - ๑๖/๑ และ ๕ - ๑๖/๒ ซึ่งทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายลาวมีความเห็นพ้องกันเป็นเอกภาพและที่ประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย - ลาว ครั้งที่ ๘ ได้รับรองแล้ว แต่ยังไม่มีผลใช้บังคับทางกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
640 | การบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต | นร | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบแนวทางการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต และงบประมาณในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของส่วนราชการ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบแนวทางการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต ประกอบด้วย ๒ ระยะ ๔ ขั้นตอน สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ระยะเร่งด่วน ดำเนินการในช่วงเดือนมีนาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ๑.๑.๑.๑ ขั้นตอนที่ ๑ สร้างความรู้ ความเข้าใจ (เดือนมีนาคม ๒๕๕๕) ได้แก่ การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง “การบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต” ให้แก่ส่วนราชการ การกำหนดแบบประเมินความพร้อมของการบริหารจัดการในสภาวะวิกฤต (Checklist) และการพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ด้วยตนเองให้แก่ส่วนราชการ และพัฒนาช่องทางการเรียนรู้ผ่าน e-learning หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ สำนักงาน ก.พ.ร. ๑.๑.๑.๒ ขั้นตอนที่ ๒ การเตรียมความพร้อมให้ส่วนราชการ (เดือนมีนาคม - เมษายน ๒๕๕๕) ได้แก่ การทบทวนแผนสำรองฉุกเฉินของส่วนราชการเพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต ซึ่งการจัดทำแผนดังกล่าวต้องพิจารณาให้ครอบคลุมในประเด็นสำคัญ เช่น การระบุงานสำคัญที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการส่งมอบงานบริการ การประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่งานสำคัญจะหยุดชะงัก การวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเพื่อประเมินความเสียหายของงานสำคัญที่จะหยุดชะงัก กำหนดลำดับความสำคัญ และจัดสรรทรัพยากร เป็นต้น การกำหนดมาตรการการเตรียมความพร้อมของส่วนราชการ ได้แก่ มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านกระบวนการ มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูล และมาตรการการเตรียมความพร้อมด้านสถานที่และงบประมาณ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๑.๑.๓ ขั้นตอนที่ ๓ ซักซ้อมแผนและนำไปปฏิบัติจริง (เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕) ได้แก่ ส่วนราชการจัดให้มีการอบรมและประชาสัมพันธ์แผนรองรับการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอก การจัดให้มีการสื่อสารเพื่อป้องกันและลดความตระหนกของผู้ที่เกี่ยวข้อง และสาธารณชน รวมทั้งสามารถแจ้งเหตุแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างทันท่วงที การกำหนดสถานที่สำรองเพื่อทำการทดสอบ การทดสอบกับสถานการณ์จริงอย่างน้อยปีละครั้ง โดยบุคลากรของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกระดับต้องมีส่วนร่วมในการทดสอบ การทดสอบและประเมิน รวมทั้งการปรับปรุงแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๑.๒ ระยะยาว ขั้นตอนที่ ๔ ส่งเสริมให้มีการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตอย่างยั่งยืน ดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ได้แก่ การส่งเสริมส่วนราชการให้มีระบบรองรับภาวะวิกฤตที่ยั่งยืน โดยส่วนราชการต้องติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามระบบที่วางแผนไว้ การปรับปรุง สื่อสารสร้างความเข้าใจ และซักซ้อมแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตให้ครอบคลุมทั้งกระบวนการตามพันธกิจ และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเตรียมความพร้อมด้านระบบงานต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๒ งบประมาณในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของส่วนราชการ ได้แก่ งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการในส่วนของการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ส่วนราชการผนวกรวมเข้าไปกับแผนการฝึกอบรมที่ส่วนราชการต้องดำเนินการอยู่แล้ว และงบประมาณในส่วนของการนำไปสู่การปฏิบัติ เช่น การจัดหาสถานที่สำรอง การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อให้การบริการไม่หยุดชะงัก เป็นต้น ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตควรคำนึงถึงการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจภายใต้ทรัพยากรและงบประมาณที่มีอย่างจำกัดได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของแต่ละส่วนราชการควรมีการเชื่อมโยงให้เกิดการบริหารจัดการในภาวะวิกฤตในระดับประเทศ รวมทั้งกรอบระยะเวลาดำเนินการควรพิจารณาปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมและสามารถปฏิบัติงานตามกรอบเวลาได้จริง และควรมีแนวทางการจัดทำแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตเพื่อให้ทุกส่วนราชการนำไปจัดทำแผนการดำเนินงานตามแต่ภารกิจของแต่ละหน่วยงาน พร้อมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจให้ทุกส่วนราชการที่ต้องจัดทำแผน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการทำงานในภาพรวมกรณีเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ภาคราชการ และภาคเอกชนสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ และจัดทำแผนบูรณาการในเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
.....