ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 49 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 961 - 980 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
961 | การจัดตั้งมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และงบประมาณจัดตั้งมูลนิธิฯ และสถาบันฯ | นร | 24/11/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ 1.1 ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดตั้งมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ เพื่อเป็นหน่วยงานที่เป็นกลไก ของรัฐรับผิดชอบการจัดการความรู้และการส่งเสริมการพัฒนาตามแนวทางโครงการพระราชดำริ 1.2 ให้โอนภารกิจ ทรัพย์สิน และงบประมาณโครงการปิดทองหลังพระ สืบสานแนวทางพระราช ดำริจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) องค์การมหาชน ให้แก่มูลนิธิปิดทองหลังพระ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนาปิดทองหลังพระ ฯ ให้โอนในจำนวนเงินที่คงเหลืออยู่ที่ สสปน. ณ วันที่จดทะเบียน จัดตั้งมูลนิธิปิดทองหลังพระ ฯ ตามกฎหมาย ตามความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี 2. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการโอนภารกิจ ทรัพย์สิน และงบประมาณให้เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และให้มีการพิจารณาปรับ เป้าหมายการดำเนินงาน และงบประมาณที่จะขอรับการอุดหนุนจากรัฐบาล ให้เหมาะสมสอดคล้องกับการปรับ เปลี่ยนรูปแบบองค์กรและการบริหารจัดการ โดยให้ภาคเอกชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามี ส่วนร่วม รวมทั้งความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินงานจัดตั้งมูลนิธิ ไปพิจารณาดำเนิน การต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
962 | การขออนุมัติเปลี่ยนแปลงการดำเนินการและหลักเกณฑ์ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 24/11/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ 1.1 อนุมัติการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานดำเนินโครงการและแนวทางการปรับปรุงเพิ่มเติมโครงการใหม่ ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติ การไทยเข้มแข็ง 2555 (คณะกรรมการ ฯ) 1.2 อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ โครงการศูนย์ 3 วัยสาน สายใยรักแห่งครอบครัว ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 1.3 รับทราบแนวทางการดำเนินงานกรณีหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับจัดสรรเงินกู้ภายใต้แผน ปฏิบัติการ ฯ ไม่สามารถดำเนินการเองได้ต้องมอบหมายให้หน่วยงานอื่นดำเนินการและเบิกเงินกู้แทน 1.4 รับทราบหลักเกณฑ์ข้อกำหนดการใช้จ่ายเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ และหลักเกณฑ์ และวิธีปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับโครงการที่ได้รับอนุมัติภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ 2. กรณีของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว) และกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ (กรมชลประทาน) ซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับจัดสรรเงินกู้ภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ แต่ไม่ สามารถดำเนินการเองได้ และมีความประสงค์จะมอบหมายให้หน่วยงานอื่นเข้ามาดำเนินการและเบิกเงินกู้แทน นั้น โดยที่คณะรัฐมนตรีมีนโยบายให้โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยรวด เร็ว ประกอบกับโครงการดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะหน่วยงานที่จะเข้ามาดำเนินโครงการเท่านั้น จึงให้ดำเนิน การต่อไปได้ 3. ให้คณะกรรมการ ฯ ถือเป็นหลักการว่าหากมีโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ ในลักษณะดังกล่าว ตามข้อ 2. ก็ให้ดำเนินการต่อไปได้เช่นเดียวกัน แล้วให้นำผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ เสนอคณะ รัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
963 | การรายงานความคืบหน้าการเบิกจ่ายเงิน | นร | 17/11/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1.รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงานผลการเบิกจ่ายเงินตอบแทนตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเงินค่าใช่จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่ บ้าน (อสม.) โดยในส่วนของเงินตอบแทนตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเบิกจ่ายครบถ้วนทุกจังหวัดแล้ว สำหรับเงิน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเบิกจ่ายแล้ว เหลือเพียงจังหวัดกาฬสินธุ์ มุกดาหาร อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ ระนอง นราธิวาส และ กรุงเทพมหานคร ที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย ส่วนเงินค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของ อสม. ได้จัดสรรเงินในระบบ GFMIS แล้ว รอองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ส่งข้อมูลรายละเอียดผู้ได้รับสิทธิไปที่จังหวัด 2. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์) รายงานว่า การ จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เริ่มจ่ายเมื่อเดือนพฤศจิกายนโดยจ่ายรวมกับเดือนตุลาคมเป็น 2 เดือน ขณะนี้กระทรวงมหาดไทยได้ออกระเบียบกำหนดให้ อปท. ทุกแห่งจ่ายเป็นรายเดือนทุกเดือน ภายในวัน ที่ 10 ของเดือน และให้จ่ายเท่ากันทุกแห่งคือ เดือนละ 500 บาท ขณะนี้ อปท. ทุกแห่งได้จ่ายเงินตามระเบียบแล้ว นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงสาธารณสุข จะ ร่วมกันดำเนินการขึ้นทะเบียนคนพิการรอบใหม่เพื่อให้ความช่วยเหลือตามกฎหมายต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
964 | แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553 - 2557 | มท | 17/11/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติเสนอ ดังนี้ 1.1 แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553-2557 ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ว่าด้วยหลักการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ส่วนที่ 2 ว่าด้วยกระบวนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ส่วนที่ 3 ว่าด้วยกระบวนการป้องกันและบรรเทาภัยด้านความมั่นคง 1.2 มอบหมายให้กระทรวง กรม องค์กร และหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อำเภอ องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่น ๆ ถือปฏิบัติตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และให้จัดทำแผนปฏิบัติการและงบประมาณรองรับแผนดังกล่าว 1.3 มอบหมายให้สำนักงบประมาณ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณา ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกในการจัดสรรงบประมาณเพื่อการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตั้งแต่ระยะก่อนเกิด ภัย ขณะเกิดภัย และการฟื้นฟูบูรณะภายหลังภัยสิ้นสุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และเพื่อผู้ประสบ ภัยสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติสุขได้โดยเร็ว 1.4 มอบหมายให้หน่วยงานระดับกระทรวงจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับยุทธศาสตร์และให้บรรจุโครง การที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี รวมทั้งกำหนดให้เรื่องดัง กล่าวเป็นตัวชี้วัดร่วม (Joint KPI) ระหว่างหน่วยงาน 2. ให้รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่เห็นควรให้มีคลังข้อมูลด้านสาธารณภัยเป็น แผนงานเร่งด่วนเพื่อเป็นฐานข้อมูลกลางด้านสาธารณภัยของประเทศ และจัดทำคู่มือมาตรฐานปฏิบัติงานหรือแนว ทางการปฏิบัติ (Standard Operating Procedure) ในแต่ละประเภทภัยและระดับความรุนแรง รวมทั้งจัดทำแผน เผชิญเหตุรองรับ (Contingency Plan) เพื่อให้หน่วยงานที่ร่วมรับผิดชอบได้ยึดถือปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่า การจัดทำแผนปฏิบัติการและงบประมาณให้พิจารณาดำเนินการตาม ความเหมาะสมและจำเป็นโดยคำนึงถึงข้อจำกัดทางการเงินการคลังของประเทศ โดยพิจารณาพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง และหรือพื้นที่ที่ส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย 3. ให้รับข้อเสนอเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ให้มีการประสานงานกับองค์กร ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับการฝึกอบรมตามแผน ฯ รวมทั้งข้อเสนอเพิ่มเติม ของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณที่ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำรายละ เอียดการใช้จ่ายงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
965 | ขออนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้สำหรับโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 03/11/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เสนอ
ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2552 (เรื่อง ขออนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้สำหรับโครงการลงทุนภาย ใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555) ในส่วนของการกำหนดให้เมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้รับการ อนุมัติการจัดสรรวงเงินอุดหนุนตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นแล้ว ให้ อปท. ดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทย เข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 โดยให้ อปท. จัดทำแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินผ่านกรมส่งเสริมการปก ครองส่วนท้องถิ่น โดยให้แก้ไขเป็น "เมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการอนุมัติการจัดสรรวงเงินอุดหนุนตาม หลักเกณฑ์ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว ให้องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น ดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 ต่อไป"
|
||||||||||||||||||||||||
966 | รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน | ตผ | 03/11/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่น ดิน สรุปได้ดังนี้ 1.1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 มีหน่วยรับตรวจในความรับผิดชอบตรวจสอบจำนวน 71,787 หน่วย และมีหน่วยรับตรวจที่ตรวจเสร็จและออกรายงานจำนวน 6,265 หน่วย โดยลักษณะงานตรวจสอบ ได้แก่ การตรวจ สอบเงินทั่วไป การตรวจสอบงบการเงิน การตรวจสอบเงินอุดหนุน การตรวจสอบการจัดเก็บรายได้ การตรวจสอบ การจัดซื้อจัดจ้าง การตรวจสอบสืบสวน และการตรวจสอบการดำเนินงาน 1.2 ตรวจสอบเงินงบประมาณแผ่นดิน มูลค่างานตามสัญญาซื้อจ้าง จำนวน 58,927.40 ล้านบาท ตรวจสอบเพื่อแสดงความเห็นต่องบการเงินรัฐวิสาหกิจ กองทุนและเงินทุน หน่วยงานอิสระ/องค์กรมหาชน และ หน่วยงานอื่น ๆ มีมูลค่าสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 8,127,928.43 ล้านบาท (ไม่รวบงบสอบทาน) ประมาณการมูลค่า ความเสียหาย/ค่าเสียโอกาส เป็นตัวเงินรวมทั้งสิ้น 68,192.90 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินงบประมาณที่เรียกเก็บ คืนหรือรายได้ที่จัดเก็บเพิ่ม จำนวน 4,106.33 ล้านบาท และประมาณการมูลค่าความเสียหายที่รัฐสูญเสียงบโดย ไม่ประหยัดหรือสูญเสียรายได้ จำนวน 64,086.57 ล้านบาท 2. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำผลการตรวจสอบไปปฏิบัติ หรือดำเนินการ ปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยในส่วนที่เกี่ยวกับราชการส่วนท้องถิ่น ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับและ ติดตามตรวจสอบการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลอย่างใกล้ ชิดและต่อเนื่องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
967 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในยุคการค้าเสรี | สสป | 03/11/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การพัฒนาการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในยุคการค้าเสรี" และรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความ เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะสรุปได้ดังนี้ 1. การผลิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 1.1 สร้างระบบเชื่อมโยงตลาดและพัฒนาตลาดกลางขององค์กรเกษตรกรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถใน การแข่งขัน และลดช่องว่างการตลาด รวมทั้งสร้างตลาดให้เกิดในชุมชน 1.2 ส่งเสริมให้มีการผลิตแบบเกษตรผสมผสานมากขึ้น ลดการผลิตเชิงเดี่ยว และใช้สารอินทรีย์ที่ผลิต เองในชุมชน 1.3 ส่งเสริมให้มีการศึกษา วิจัย และค้นคว้า รวมทั้งพัฒนาองค์ความรู้ด้านการพัฒนาการเกษตรด้วย ภูมิปัญญาท้องถิ่น 1.4 พัฒนาองค์ความรู้และขีดความสามารถของบุคลากรในภาคการเกษตรให้สามารถปรับตัวรองรับ ผลกระทบที่จะเกิดจากปัจจัยภายนอก 2. การเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร 2.1 จัดให้มีมาตรการอำนวยความสะดวกให้เกิดการเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร สร้างแรงจูงใจให้ผู้ บริโภค เน้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีภารกิจสำคัญในการสนับสนุนงบประมาณและโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรอย่างจริงจัง เพื่อลดปัญหาสินค้าล้น ตลาดและขาดตลาดบางช่วง 2.3 ส่งเสริมให้เกษตรกรพัฒนาขีดความสามารถในการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร สามารถปรับตัวและ กำหนดทิศทางเพื่อรองรับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศ 3. การจัดการตลาด 3.1 จัดตั้งตลาดกลางเพื่อรวบรวม ประมูล และกระจายผลผลิตทางการเกษตรในแต่ละจังหวัด 3.2 จัดการระบบโลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนการผลิตรวมและสนับสนุนระบบการขนส่งสินค้าให้ถึงมือผู้ ซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศ 3.3 ให้ตัวแทนสถาบันเกษตรกรมีบทบาทและส่วนร่วมในการเจรจาการค้าในทุกระดับ 4. มาตรการสนับสนุนของภาครัฐ 4.1 พัฒนาฐานข้อมูลและมีการวิเคราะห์ที่เป็นระบบให้ทันสถานการณ์ เพื่อกำหนดนโยบายและการ ตัดสินใจของเกษตรกร รวมทั้งส่งเสริมให้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยได้อย่างต่อเนื่อง 4.2 กำหนดมาตรการในการสร้างเสถียรภาพทางด้านรายได้ของเกษตรกร เพื่อทดแทนมาตรการใน การแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรโดยตรง 4.3 สร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรภายในประเทศทัดเทียมมาตรฐานส่งออก 4.4 ดำเนินการจดทะเบียนเกษตรกรให้ทั่วถึง ถูกต้อง และเป็นธรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวาง นโยบายและวางแผนด้านการเกษตร 4.5 ปรับปรุงเงื่อนไขกองทุนที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับการแก้ไขผลกระทบจากการทำข้อตกลงการค้าเสรี 4.6 กำหนดมาตรการตรวจสอบคุณภาพสินค้าและมาตรการจัดเก็บภาษีสินค้าเกษตรนำเข้าจากผู้นำ เข้าและผู้กระจายสินค้าในประเทศในรูปแบบภาษีท้องถิ่นและมาตรฐานความปลอดภัยของผู้บริโภค
|
||||||||||||||||||||||||
968 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ พ.ศ. .... | นร | 27/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประชาสัมพันธ์แห่ง
ชาติ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและ รางอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบ ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประชาสัมพันธ์ พ.ศ. 2544 ระเบียบสำนักนายก รัฐมนตรีว่าด้วยการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2546 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการ ประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2548 2. กำหนดนิยามคำว่า "หน่วยงานของรัฐ" หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่ เรียกชื่ออย่างอื่นมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น องค์การของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ 3. กำหนดให้มีคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า "กปช." โดยมีกรรมการผู้ทรง คุณวุฒิไม่เกินหกคน มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ความเห็นชอบ และเสนอแนะให้คำปรึกษาและประสานงานการจัดทำแผนประชาสัมพันธ์ของหน่วยงาน ของรัฐ รวมทั้งให้คำแนะนำในการประสานงานการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชน 4. กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 5. กำหนดให้กรมประชาสัมพันธ์ เป็นฝ่ายเลขานุการของ กปช. ทำหน้าที่ศึกษาวิเคราะห์นโยบาย และแผนการประชาสัมพันธ์ของชาติ ประสานงาน ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย ส่งเสริม และสนับสนุนการจัดทำแผน การประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานของรัฐเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
969 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย | สสป | 27/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา เรื่อง การพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย และรับทราบตามที่กระทรวง ศึกษาธิการเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์เชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาครูผู้สอน 1.1 กำหนดนโยบายดึงดูดผู้มีความสามารถเพื่อเป็นครูผู้สอน ซึ่งควรเป็นวาระแห่งชาติที่เน้นความ สำคัญของการศึกษาของชาติและความจำเป็นที่จะต้องมีครูผู้สอนที่มีความสามารถในระบบการศึกษา 1.2 ตั้งเป้าหมายผลิตครูที่มีความรู้เฉพาะด้านอย่างเร่งด่วนโดยรับผู้จบการศึกษาในแขนงต่าง ๆ ที่ ระบบโรงรียนไม่สามารถรองรับได้ เช่น วิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์ ภาษา ศิลปะ ดนตรี วัฒนธรรม 1.3 ศึกษาวิเคราะห์และออกแบบกระบวนการเรียน การสอน และกระบวนการเรียนรู้ใหม่ ๆ ที่มี ประสิทธิผลสูงกว่าที่เป็นไปในปัจจุบัน รวมถึงการออกแบบเชิงจิตวิทยาการเรียนรู้ การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อ การเรียนรู้ การใช้ภูมิปัญญาในชีวิตจริง การเปิดโอกาสให้นักเรียนใช้และแสดงความคิดเห็น การลดกระบวนการ เดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพ 1.4 ส่งเสริมให้ภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษานอกเหนือจากสถาบันการศึกษา เอกชน โดยใช้หลักการของการมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคมของภาคเอกชน (Corporate Social Respon sibility : CSR) เป็นหลักการขับเคลื่อน 2. ยุทธศาสตร์เชิงนโยบายในการพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์บนพื้นฐานเนื้อหาเชิงคุณภาพ คุณ ธรรม จริยธรรม ความรู้ และทักษะ 2.1 กำหนดให้มีนโยบายส่งเสริมเยาวชนให้มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ (Humanization) เพื่อเป็น หลักการสำคัญในการเสริมเข้ากับความสามารถทางวิชาการ เพื่อนำไปสู่การเป็นบุคคลที่มีคุณธรรม มีปัญญา และมีความสุข ตามหลักการทางการศึกษาที่ว่า "คุณธรรมนำความรู้" 2.2 ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาให้เยาวชนมีคุณธรรม จริยธรรม และความสร้างสรรค์ ปรับปรุง หรือมีมาตรการทดแทนในระบบการสอบซ่อมให้มีประสิทธิภาพ และเสริมระบบด้วยกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และการเรียนรู้สะสมระหว่างภาคเรียน 2.3 ลงทุนและสนับสนุนให้มีการจัดตั้งโรงเรียนและห้องเรียน ที่เน้นความสามารถเฉพาะด้านของ นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ 3. มาตรการด้านความเชื่อมโยงและการขับเคลื่อนเชิงระบบ 3.1 ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยศึกษาภาพรวมความจำเป็นและกระบวนการในการส่งเสริม ให้เกิดระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning) ของประเทศ 3.2 สร้างกลไกให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนการศึกษา และการสร้างบุคลากรท้องถิ่น อย่างมีคุณภาพ โดยวางกรอบแนวทางการพัฒนาการศึกษาและการเรียนรู้ในระดับชุมชน ขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นทั้งในระดับกว้างและในระดับลึก
|
||||||||||||||||||||||||
970 | ร่างแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 2 ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน | ยธ | 20/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบและประกาศใช้แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2552-2556) โดยเป็นแผนระดับ ชาติ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำไปใช้ในการส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งยังเป็นการสร้างหลักประกันสิทธิเสรีภาพให้แก่ประชาชน และพัฒนาระบบงานด้านสิทธิมนุษยชนในภาพ รวมอย่างมีเอกภาพของประเทศไทยให้ทัดเทียมกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนดัง กล่าวไปสู่การปฏิบัติด้วยการแปลงแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปสู่แผนบริหารราชการแผ่นดิน แผนปฏิบัติราชการ กระทรวง กรม แผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แผนพัฒนาองค์กรชุมชน แผนพัฒนาขององค์กรในระดับ ภูมิภาค แผนพัฒนาองค์กรสาธารณะ ตลอดจนแผนอื่นที่เกี่ยวข้อง แล้วจัดทำเป็นโครงการ/กิจกรรมเพื่อรองรับการ ดำเนินภารกิจแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ 2. ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาสนับสนุนอัตรากำลังข้าราชการ จำนวน 20 คน เพื่อดำเนินการ ภารกิจแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในการจัดทำและพัฒนาแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ การส่งเสริมให้มีการปฏิบัติ ตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ การสร้างกลไก มาตรการ กฎหมาย หรือเครื่องมือเพื่อรองรับการดำเนินงานและ การติดตามประเมินผลแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้แก่กระทรวงยุติธรรม โดยให้ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป 3. ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงแรงงาน กระทรวง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงาน ป.ป.ช. ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการจัดสภาพแวด ล้อมทางกายภาพระบบขนส่งสาธารณะ และการจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่ตอบสนองต่อการให้บริการแก่ผู้ สูงอายุ และคนพิการในด้านต่าง ๆ รวมทั้งควรมีการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกจังหวัด และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเครื่องมือ เพื่อให้เกิดการประสานงานและการใช้ประโยชน์จากฐาน ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่วนการนำแผนไปสู่การปฏิบัติโดยเฉพาะในพื้นที่ พิเศษ ซึ่งเป็นพื้นที่อ่อนไหวและมีปัญหากระทบต่อความมั่นคง ควรมีการกำกับดูแลให้มีการดำเนินการอย่างเหมาะ สม และเป็นไปอย่างระมัดระวัง เพื่อมิให้เกิดข้อจำกัดต่อการปฏิบัติของภาครัฐในการแก้ปัญหาภายใต้กรอบของกฎ หมาย และให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักเรื่องสิทธิมนุษยชนต่อภาคประชาชนโดยตรงควบคู่ไปกับการ ดำเนินการต่อองค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนอย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
971 | ขออนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้สำหรับโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 20/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ 1.1 อนุมัติการจัดสรรเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริม สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 วงเงิน 149,999.8371 ล้านบาท โดยโครงการใดที่เข้าข่ายต้องดำเนิน การตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและ กฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด โดยให้ดำเนินการบันทึกข้อมูลรายละเอียดโครงการ พื้นที่การดำเนินงาน แผน การดำเนินงาน และแผนการเบิกจ่ายเงินสำหรับโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ในระบบ e-Budgeting SP และให้สำนักงบประมาณเป็นผู้พิจารณาจัดสรรวงเงินกู้ตามแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงิน 1.2 อนุมัติกรอบการใช้จ่ายเงินกู้และนำเสนอกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนด ฯ ต่อรัฐสภา เพื่อทราบ 1.3 เห็นชอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พิจารณาดำเนินโครงการให้เป็นไปตามระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 โดยให้ดำเนิน การใช้จ่ายเงินตามแผนงานให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2553 และให้คณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่ องค์ปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการปฏิบัติเพื่อให้ อปท. ปฏิบัติต่อไป 1.4 เห็นชอบให้หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรเงินกู้จากพระราชกำหนด ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันตรวจสอบมูลค่างาน กำกับ ติดตามการดำเนินการเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และป้องกันการกระทำอันเป็น ทุจริต โดยให้หัวหน้าส่วนราชการรับผิดชอบโครงการที่ได้เสนอมาและได้รับจัดสรรเงินกู้เพื่อดำเนินการ และเพื่อ ประโยชน์ในการติดตามโครงการของสาธารณชนให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำประกาศแจ้งรายละเอียดของ โครงการ ณ ที่ตั้งโครงการให้สาธารณชนทราบด้วย 2. ให้เพิ่มถ้อยคำในหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0907/18476 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2552 หน้า 5 ข้อ 4) จากเดิม "...และเพื่อประโยชน์ในการติดตามโครงการของสาธารณชน ให้หน่วยงานเจ้าของ โครงการจัดทำประกาศแจ้งรายละเอียดของโครงการ ณ ที่ตั้งของโครงการให้สาธารณชนทราบด้วย" เป็น "...และ เพื่อประโยชน์ในการติดตามโครงการของสาธารณชนให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำประกาศแจ้งรายละเอียด ของโครงการ ตามแบบของสำนักนายกรัฐมนตรี ณ ที่ตั้งของโครงการให้สาธารณชนทราบด้วย" ตามที่รัฐมนตรีว่า การกระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติม |
||||||||||||||||||||||||
972 | ขออนุมัติโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (เพิ่มเติมครั้งที่ 2) | กค | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้ดำเนินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (เพิ่มเติมครั้งที่ 2) ในวง เงินรวม 227,939.0193 ล้านบาท โดยกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎ หมายใดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ต่อไปด้วย 2. อนุมัติให้โครงการประกันรายได้ให้เกษตรกร และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการประกันราคาข้าว เปลือก วงเงิน 40,013.0000 ล้านบาท และโครงการจำนำผลผลิต การเกษตรปีการผลิต 2551/2552 (ภาระ ดอกเบี้ยเงินกู้ให้สถาบันการเงิน) วงเงิน 1,919.6680 ล้านบาท เป็นโครงการภายใต้วัตถุประสงค์ข้อ 8 : วัตถุ ประสงค์อื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผน ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 3. เห็นชอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินโครงการ ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกว่าด้วย การบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ จ่ายเงินตามแผนงานให้แล้วเสร็จภายใน 31 ธันวาคม 2553 และให้คณะกรรมการ ฯ เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการปฏิบัติเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปฏิบัติต่อไป 4. อนุมัติโอนหรือเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ฯ จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วยโครงการปรับปรุงทางที่ไม่ปลอดภัยสำหรับการเดินรถ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และโครงการพัฒนาระบบบริการด้านสาธารณสุขระดับตติยภูมิ ของ มหาวิทยาลัยนเรศวร 5. อนุมัติกรอบวงเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้าง ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 เพื่อนำมาสนับสนุนโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ฯ ในวงเงิน 150,000 ล้านบาท และมอบหมายให้คณะกรรมการ ฯ พิจารณาจัดสรรเงินกู้ให้แก่โครงการภายใต้ แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ฯ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการแล้ว โดยให้ความสำคัญกับโครงการ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องเร่งดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 รวมทั้งโครงการของส่วนราชการและ รัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553
|
||||||||||||||||||||||||
973 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการจัดการน้ำในพื้นที่อุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจ | สสป | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "แนวทางการจัดการน้ำในพื้นที่อุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืนของระบบ เศรษฐกิจ" และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และ ผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอ แนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ด้านนโยบาย 1.1 จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายน้ำเพื่ออุตสาหกรรม เพื่อทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายน้ำ เพื่ออุตสาหกรรม เป็นทิศทางในการวางแผนการพัฒนาแหล่งน้ำให้ครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่มี ศักยภาพสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรน้ำทุกประเภท ดึงดูดการลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งเสริม การเจริญเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ตลอดจนความมั่นคงของชุมชนและสังคมให้บรรลุวัตถุประสงค์การ กระจายรายได้และความเจริญ 1.2 บูรณาการนโยบายและแผนการใช้น้ำเพื่ออุตสาหกรรมเข้ากับนโยบายและแผนการจัดการ น้ำของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และคณะกรรมการลุ่มน้ำต่าง ๆ ที่พื้นที่อุตสาหกรรมตั้งอยู่ 1.3 สร้างความสมดุลการใช้น้ำผ่านกลไกราคาของน้ำแต่ละประเภท จากแหล่งน้ำที่แตกต่างกัน เพื่อจูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมตลอดจนภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ เลือกใช้ตามความเหมาะสม 1.4 สร้างกลไกการตรวจสอบคุณภาพน้ำในรูปคณะกรรมการน้ำชุมชน ประกอบด้วย ชุมชนเอก ชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อยกระดับความร่วมมือและเพิ่มขีดความสามารถในการเฝ้าระวัง และตรวจวัดคุณภาพน้ำจากแหล่งน้ำตลอดจนการปนเปื้อนของน้ำทิ้ง 2. ด้านกฎหมาย 2.1 ผลักดันพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เพื่อเป็นกฎหมายหลักในการ บริหารและการพัฒนาทรัพยากรน้ำ การจัดตั้ง กนช. คณะกรรมการประจำลุ่มน้ำต่าง ๆ จะส่งผลดีต่อการระดม ความรู้ ความสามารถและความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีส่วนได้เสียเข้ามาร่วมกำหนดนโยบายและทิศทาง การบริหารจัดการน้ำให้มีเอกภาพ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย 2.2 พัฒนากฎหมายเกี่ยวกับการจัดการน้ำเพื่ออุตสาหกรรมและน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อให้เกิด องค์กรในรูปคณะกรรมการทรัพยากรน้ำเพื่ออุตสาหกรรมและทรัพยากรน้ำเพื่อเกษตรกรรมที่ประกอบด้วยส่วน ราชการ เอกชน ชุมชน เกษตรกร และผู้มีส่วนได้เสีย ทำหน้าที่ศึกษาวิเคราะห์ความต้องการน้ำ ประสิทธิภาพ การใช้น้ำของภาคการผลิตทั้งสอง 2.3 แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายด้านการจัดเก็บค่าบำบัดน้ำทิ้งจากภาคอุตสาหกรรม 3. ด้านการใช้เครื่องมือในการจูงใจ 3.1 ส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมประยุกต์และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการประหยัดน้ำรวมทั้งการ อนุรักษ์น้ำ เช่น การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต การใช้ซ้ำ การนำกลับมาใช้ใหม่ ฯลฯ เพื่อให้การใช้ทรัพยากร น้ำอย่างเต็มประสิทธิภาพ ประหยัด คุ้มค่า 3.2 ให้รางวัลในรูปส่วนลดการจัดเก็บค่าการปล่อยมลพิษ หากโรงงานใดได้ดำเนินโครงการลด การใช้น้ำหรือโครงการลดปริมาณน้ำทิ้งให้นำค่าน้ำและค่าการปล่อยมลพิษที่ลดได้มาบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในงบ การเงิน 4. ด้านการดำเนินงานหรือการนำนโยบายไปปฏิบัติ 4.1 แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายน้ำเพื่ออุตสาหกรรมระดับประเทศ เพื่อกำหนดนโยบายการ บริหารจัดการน้ำเพื่ออุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับ กนช. รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายน้ำเพื่ออุตสาห กรรมในระดับพื้นที่ เพื่อกำหนดสัดส่วนการจัดสรรน้ำให้แก่ภาคการผลิตและเพื่ออุปโภคบริโภคให้สอดคล้องกับ นโยบายของคณะกรรมการประจำลุ่มน้ำ ตลอดจนการกำหนดมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ เพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจ 4.2 ส่งเสริมและสนับสนุนการค้นคว้าและวิจัยด้านการบริหารอุปสงค์และอุปทานน้ำ กระตุ้นให้ เกิดการตื่นตัวในทางวิชาการเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำ 5. มาตรการด้านระบบติดตามประเมินผล 5.1 ติดตามค่าปริมาณน้ำสำรองในแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง 5.2 ประเมินผลประสิทธิภาพการใช้น้ำ โดยให้สถานประกอบการจัดทำค่าสัดส่วนของผลผลิต ต่อปริมาณน้ำเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน
|
||||||||||||||||||||||||
974 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประจำปี 2551 | นร | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการายงานสรุปผลการปฏิบัติงานของ
คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประจำ ปี พ.ศ. 2551 ประกอบด้วย การให้คำแนะนำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติ ราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทาง ปกครองโดยจัดวิทยากรออกเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามที่หน่วยงาน ของรัฐต่าง ๆ ร้องขอทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น และจัดเจ้าหน้าที่ไว้ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์แก่ เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และประชาชนที่ต้องการปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราช การทางปกครอง รวมทั้งเผยแพร่เอกสารที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการ ทางปกครองให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และประชาชนที่สนใจ
|
||||||||||||||||||||||||
975 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การส่งเสริมองค์ความรู้ของประชาชนเพื่อการมีส่วนร่วมในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น | สสป | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อ
เสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การส่งเสริมองค์ความรู้ของประชาชนเพื่อการมีส่วนร่วมในการกระจายอำนาจสู่ ท้องถิ่น" และรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความ เห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ ดังนี้ 1. กระทรวงศึกษาธิการควรบรรจุวิชาการปกครองส่วนท้องถิ่นหรือวิชาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการ กระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไว้ในหลักสูตรทั้งในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดม ศึกษา 2. องค์กร และหน่วยงานของรัฐ และเอกชนควรสอดแทรกวิชาความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการปกครองส่วน ท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมของประชาชนด้านการกระจายอำนาจสู่ อปท. ไว้ในหลักสูตรการฝึกอบรมหรือการสัมมนา ทุกครั้งที่มีการฝึกอบรมหรือการสัมมนาในเวลาที่เหมาะสม 3. สถาบันอุดมศึกษาควรจัดทำหลักสูตร "การมีส่วนร่วมของประชาชนกลุ่มองค์กรชุมชนในองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น" เพื่อทำการฝึกอบรมกลุ่มองค์กรชุมชนเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนและองค์กรภาคธุรกิจ และทำการ ศึกษาวิจัยรองรับประเด็นปัญหาของท้องถิ่น 4. จัดให้มีศูนย์ฝึกอบรมระดับจังหวัดในทุกจังหวัด โดยให้ อปท. ในจังหวัดนั้น ๆ ร่วมมือกับกระทรวงศึกษา ธิการและมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาคทำหน้าที่โดยตรงในการส่งเสริมสนับสนุนในเรื่องการปกครองส่วนท้องถิ่นและ การกระจายอำนาจสู่ อปท. ทั้งในแง่ของการให้ข้อมูลข่าวสารเป็นศูนย์ฝึกอบรมและประสานงานระหว่างกลุ่มองค์กร เครือข่าย ภาคประชาชนกับ อปท. 5. ส่งเสริมให้ อปท. ปรับวิธีการบริหารให้มีลักษณะแนวระนาบ เปิดโอกาส และส่งเสริมสนับสนุนให้กลุ่ม องค์กรชุมชน เครือข่ายภาคประชาชนมีส่วนร่วมในกิจการของ อปท. ให้มากขึ้น 6. ส่งเสริมให้ อปท. ใช้แผนแม่บทชุมชนเป็นฐานในการจัดทำแผนพัฒนาของ อปท. โดยให้ภาคประชาชนมี ส่วนร่วมอย่างจริงจัง
|
||||||||||||||||||||||||
976 | การปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ | กค | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วย การเงินการคลังของรัฐ เพื่อกำหนดกรอบวินัยทางการเงินการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยรับข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนด ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นำเงินรายได้ของ อปท. ทั้งหมดฝากคลัง ยกเว้นเงินรายได้ที่ อปท. เก็บเอง และเมื่อจำเป็นต้องใช้เงินดังกล่าวให้เบิกจากคลังโดยให้คำนึงถึงสถานะทางการคลังของประเทศ นั้น เห็นควรให้ อปท. นำส่งเงินรายได้เข้าบัญชีเงินฝากของ อปท. เพื่อที่จะได้บริหารจัดการตามข้อบัญญัติงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบ จากสภาท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามแผนพัฒนาที่กำหนดไว้ และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยว กับเนื้อหาสาระของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ บางเรื่องไม่ได้เป็นไปในลักษณะของการกำหนดกรอบในการรักษาวินัย การเงินการคลังแต่มีลักษณะเป็นการกำหนดรายละเอียดและวิธีการปฏิบัติ ส่วนการกำหนดทิศทางและแนวนโยบาย การคลังเพื่อประสิทธิภาพทางการคลัง การสร้างมาตรฐานทางบัญชี การตรวจสอบภายในและหลักเกณฑ์การดำเนิน กิจกรรมทางการคลังอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสทางการคลัง รวมทั้งการจัดทำข้อมูลทางการคลังเพื่อนำไปสู่ ความรับผิดชอบทางการคลัง ควรกำหนดในลักษณะเป็นกรอบให้ปฏิบัติ นอกจากนี้ การกำหนดให้หน่วยงานของรัฐ จัดทำแผนการใช้จ่ายเงินเสนอต่อกระทรวงการคลัง และหากมีความจำเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสามารถ ปรับแผนการใช้จ่ายเงินได้นั้น ไม่ได้มีการกำหนดกรอบหรือหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน อาจมีผลต่อการดำเนินภารกิจของรัฐ บาล และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติ พิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป 2. ให้สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง ไปพิจารณาร่วมกันในประเด็นตามคำชี้แจงของผู้อำนวยการ สำนักงบประมาณ ที่ว่าร่างพระราชบัญญัติ ฯ ได้กำหนดรายละเอียดของขั้นตอนปฏิบัติในด้านรายจ่ายบางประการที่ อาจทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติและการจัดทำงบประมาณของส่วนราชการ เช่น ร่างมาตรา 25 บัญญัติให้รายจ่าย ที่เป็นภาระตามกฎหมายของรัฐบาลต้องตั้งงบประมาณให้ครบถ้วน ซึ่งการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี นั้น เป็นเพียงตัวเลขประมาณการ ส่วนการใช้จ่ายหรือเบิกจ่ายงบประมาณมีกระบวนการ ขั้นตอน วิธีการที่ยืดหยุ่น และ สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เป็นจริง และให้ส่งผลการพิจารณาดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาของสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
977 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3/2552 | นร | 06/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3/2552 วันที่ 28 กันยายน 2552 ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) ประธานกรรมการ กพอ. เสนอ โดยในการประชุมดังกล่าวได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ รวม 5 เรื่อง ได้แก่ 1.1 การปรับแนวทางการพัฒนาจังหวัดระยองสู่การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน 1.2 การจัดระบบบริการขั้นพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมให้มีคุณภาพและทั่วถึง 1.3 การกำกับดูแลโครงการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุดให้เป็นไปตามมาตรา 67 วรรค 2 ของรัฐธรรม นูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 1.4 การวางและจัดทำผังเมืองรวมมาบตาพุด 1.5 แนวทางการจัดการพื้นที่ที่มีปัญหาประชากรแฝงอย่างยั่งยืน 2. ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาสำหรับชุมชนในพื้นที่มาบตาพุดให้กระทรวงมหาดไทย รับไปประสานกับการประปาส่วนภูมิภาค เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับบริการน้ำประปาที่มี คุณภาพอย่างทั่วถึง ส่วนการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาการจัดเก็บขยะมูลฝอยให้จังหวัดระยองและเทศบาลเมือง มาบตาพุดดำเนินการขออนุมัติใช้งบประมาณตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ตามขั้นตอนของระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 แทนการใช้จ่ายจาก งบอุดหนุนส่วนท้องถิ่นตามนโยบายของรัฐ
|
||||||||||||||||||||||||
978 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร | 06/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลัก
เกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายก รัฐมนตรีเสนอไปพิจารณาร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยให้พิจารณาด้วยว่าจะสมควรออกเป็นระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรี หรือระเบียบกระทรวงมหาดไทย หรือระเบียบคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ จึงจะถูกต้องเหมาะ สม แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
979 | รายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินงานตามกรอบแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุดและจังหวัดระยอง | นร | 08/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามรายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินงานตามกรอบแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหา ผลกระทบจากอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุดและจังหวัดระยอง ของรองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพ ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของ กระทรวงแรงงานเกี่ยวกับการจะให้มีหน่วยงานกลางในรูปแบบองค์กรอิสระรับผิดชอบการแก้ไขปัญหาประชากรแฝง อย่างยั่งยืน ไปประกอบการพิจารณา 2. ให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวง อุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ เกี่ยวกับประเด็นการจัดตั้งมหาวิทยาลัยในจังหวัดระยองโดยควบรวมสถาบันการศึกษาระดับปริญญาตรีใน จังหวัดระยองแล้วจัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัย การศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาสุขภาพอนามัยของประชาชนและชุมชน การจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รูปแบบพิเศษ รวมทั้งการมอบหมายให้มีหน่วยงานกลางรับผิดชอบ การแก้ไขปัญหาประชากรแฝงอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
980 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินตอบแทนอื่นของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขต ของกรุงเทพมหานครและกรรมการของสภากรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 08/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาเกี่ยวกับการปรับเพิ่มเงินประจำตำแหน่ง เงินค่า
เบี้ยประชุมและเงินตอบแทนอื่นของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขตของกรุงเทพมหานคร และกรรม การของสภากรุงเทพมหานคร โดยให้พิจารณาแนวทางขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นประกอบด้วย แล้วนำ เสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
.....