ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 50 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 981 - 1000 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
981 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การติดตามประเมินผลการพัฒนาประเทศในปีแรกของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 | สสป | 25/08/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การติดตามประเมินผลการพัฒนาประเทศในปีแรกของแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 และรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าว ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการ และปรับปรุงแผนบริหารราชการแผ่น ดินให้สอดคล้องกับเป้าหมาย แนวทางพัฒนา และแผนงานในแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 รวมทั้งในกรณีที่มีการ ปรับปรุงครึ่งแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 (Mid Plan Review) โดยเฉพาะแผนงานและโครงการพัฒนาที่เกี่ยวข้อง กับดัชนีชี้วัดที่ไม่เป็นไปตามแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 หรือต่ำกว่าเป้าหมายของแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 และใน การปรับปรุงครึ่งแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 ควรสนับสนุนให้มีหลักประกันสุขภาพตลอดชีวิต เพื่อการยกระดับ ความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันในสังคมไทย 2. ให้ส่วนราชการระดับจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้ความสำคัญกับความสอด คล้องกันระหว่างแผนพัฒนาจังหวัดและแผนของ อปท. กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้มากขึ้นเพื่อ ให้เป็นประโยชน์ต่อการบรรลุความสำเร็จของแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 ในระดับต่าง ๆ 3. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบการจัดทำแผน พัฒนาระดับภูมิภาค แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนพัฒนาพื้นที่เฉพาะ รวมทั้งแผนพัฒนาที่เป็นนโยบายสำคัญ ของรัฐบาล และให้พิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรุงพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน โดย เพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยการจัดทำนโยบายของรัฐบาล การแถลงนโยบายและผลงานของรัฐบาลต่อรัฐสภาต้อง แสดงความสอดคล้องระหว่างนโยบายของรัฐบาลกับวิสัยทัศน์และแนวคิดในการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
982 | มาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน | มท | 18/08/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการงบประมาณชดเชยค่าใช้น้ำประปาที่อยู่อาศัยของระบบประปาเทศ
บาลที่ดำเนินการไปแล้ว ในระหว่างเดือนตุลาคม 2551 ถึงเดือนมีนาคม 2552 ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง เป็นเงิน รวม 311,751,016.37 บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณชดเชยดังกล่าว ให้ กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น) ประสานรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อดำเนิน การตามกระบวนการงบประมาณและระยะเวลาตามความเหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
983 | สรุปผลการประเมินองค์การมหาชนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 | นร | 18/08/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบผลการประเมินองค์การมหาชนและข้อเสนอการปรับปรุงองค์การมหาชน ตามมติคณะกรรม การพัฒนาระบบราชการ ครั้งที่ 5/2552 วันที่ 30 มิถุนายน 2552 ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยมอบหมาย ให้ ก.พ.ร. รับข้อเสนอการปรับปรุงเกี่ยวกับการเร่งแก้ไขพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 เพื่อสนับสนุน การปฏิบัติการของหน่วยงานรูปแบบองค์การมหาชนให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น ไปดำเนินการต่อไป และมอบหมาย ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายจัดตั้งขององค์การมหาชน 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (ศ.ศ.ป.) สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (สบร.) และสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (สอซช.) รับข้อเสนอการปรับปรุงในส่วนที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการร่วมกับคณะกรรมการองค์การมหาชนแต่ละแห่ง ต่อไป 2. ส่วนองค์การมหาชน (กลุ่มที่ 3) อีก 3 แห่ง ได้แก่ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (สคพ.) สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) และองค์การบริหารการพัฒนาพื้น ที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ให้ดำเนินการดังนี้ 2.1 กรณี สคพ. และ สพพ. มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่าง ประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณาร่วมกันเพื่อบูรณาการ องค์การมหาชนทั้งสองแห่ง และกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการองค์การมหาชนดังกล่าวให้เหมาะสม 2.2 กรณี อพท. มอบหมายผู้บริหาร อพท. หารือการปรับปรุงองค์กรในรายละเอียดร่วมกับ ก.พ.ร. และเสนอให้คณะอนุกรรมการการพัฒนารูปแบบการให้บริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีที่ ปรึกษานายกรัฐมนตรี (นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน) เป็นประธานคณะอนุกรรมการ ฯ พิจารณาด้วยเพื่อกำหนดแนว ทางการบริหารและพัฒนา อพท. ให้สามารถดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีผลเป็นรูป ธรรมมากยิ่งขึ้น 3. ให้ ก.พ.ร. และผู้เกี่ยวข้องตามข้อ 1. และข้อ 2. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีก ครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
984 | ขออนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้สำหรับโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 18/08/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบแผนการลงทุนสำหรับโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ประเภทที่ 1 ภายใต้ระบบ e-Budgeting SP วงเงิน 1,063,659 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการลงทุนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจที่ รัฐบาลรับภาระการลงทุน จำนวน 824,162 ล้านบาท และโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่รัฐวิสาหกิจรับภาระการ ลงทุนเอง จำนวน 239,497 ล้านบาท 1.2 อนุมัติกรอบการจัดสรรวงเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและ เสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 วงเงิน 200,000 ล้านบาท สำหรับโครงการลงทุนของรัฐบาลและ รัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลรับภาระการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2552 ประเภทที่ 1 1.3 เห็นชอบให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนความเหมาะสมกรอบวงเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ ที่จะใช้สมทบเงินคงคลังเพื่อนำมาสนับสนุนโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ ในวงเงิน 100,000 ล้านบาท 2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไป พิจารณาด้วยว่า การพิจารณาโครงการที่จะบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติ ฯ ควรมีความชัดเจนของหน่วยงานรับผิดชอบโครง การ และพิจารณาความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 3. ให้ทุกกระทรวงรับไปพิจารณาทบทวน และเสนอเพิ่มเติมโครงการตามแผนปฏิบัติการ ฯ ว่าโครงการใด มีความพร้อม และประสงค์ที่จะรับการจัดสรรเงินกู้จากพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและ เสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 หรือร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟู เศรษฐกิจ พ.ศ. .... แจ้งให้กระทรวงการคลังทราบภายใน 2 สัปดาห์ 4. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดสรรเงิน จำนวน 23,000 ล้านบาท จากเงินกู้ตาม พระราชกำหนด ฯ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป) ทั้งนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแผน ฯ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
985 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | มท | 11/08/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงมหาดไทยใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ....
ที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอเป็นหลัก และให้ส่งร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการส่วนท้อง ถิ่น พ.ศ. .... ที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาใช้ประกอบการตรวจพิจารณาต่อ ไป แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติ ฯ ที่กระทรวงมหาดไทยเสนอมี หลักการทำนองเดียวกับร่างพระราชบัญญัติ ฯ ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยผ่านกระบวนการ รับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียแล้ว ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการเมื่อวัน ที่ 16 มิถุนายน 2552 ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
||||||||||||||||||||||||
986 | ซักซ้อมแนวทางการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินกรณีตู้โทรศัพท์สาธารณะ | มท | 11/08/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบเรื่องการซักซ้อมแนวทางการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินกรณีตู้โทรศัพท์สาธารณะ
โดยกระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือถึงองค์กรปครองส่วนท้องถิ่นในการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินกรณีตู้โทรศัพท์ สาธารณะ โดยถือปฏิบัติตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 และที่แก้ไขเพิ่ม เติม และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีของทรัพย์สิน ดังนี้ 1. กรณีตู้โทรศัพท์สาธารณะที่มีค่าเช่า ให้นำค่าเช่ามาประเมินเป็นค่ารายปี 2. กรณีตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ไม่สามารถหาค่าเช่าได้ ให้ถือปฏิบัติ ดังนี้ 2.1 ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนดค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตรสำหรับตู้โทรศัพท์ สาธารณะแยกตามทำเลที่ตั้งซึ่งมีความเจริญทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2.2 การหาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตร ให้ใช้หลักการเทียบเคียงกับค่าเช่าจริงของทรัพย์ สินประเภทอาคาร หรือค่าเช่าแผงลอยในเขตพื้นที่ใกล้เคียงแต่ละทำเลที่ตั้งหรือเทียบเคียงกับอัตราค่าเช่าของอาคาร อาคารลักษณะพิเศษ หรือแผงลอยที่กรมธนารักษ์กำหนด 3. การประเมินค่ารายปีตู้โทรศัพท์สาธารณะไม่ควรสูงกว่าค่ารายปีที่กรุงเทพมหานครจัดเก็บในอัตราค่า เช่าสูงสุด 250 บาทต่อตู้ต่อเดือน
|
||||||||||||||||||||||||
987 | ร่างแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ 2) ของประเทศไทย พ.ศ. 2552 - 2556 | ทก | 05/08/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ 1.1 เห็นชอบต่อร่างแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ฉบับที่ 2 ของประเทศไทย พ.ศ. 2552-2556 เพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนดมาตรการในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของภาครัฐที่จะส่ง เสริมและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม การนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการ บริหารและบริการภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง สร้างโอกาส และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทค โนโลยีสารสนเทศและสื่อสาร พัฒนาบุคลากรด้าน ICT และบุคคลทั่วไปให้มีความรู้ ความสามารถในการสร้าง สรรค์ ผลิต และใช้ ICT อย่างมีคุณธรรม จริยธรรม วิจารณญาณและรู้เท่ากัน ตลอดจนส่งเสริมการวิจัยและการ พัฒนาอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถใน การแข่งขันของประเทศ 1.2 ให้ทุกกระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัด ทำและ/หรือปรับแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของหน่วยงานให้สอดคล้องกับแผนแม่บท ฯ (ฉบับที่ 2) 1.3 ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนัก งานปลัดกระทรวง ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ (กทสช.) รับผิดชอบ การดำเนินการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ และเป็นหน่วยงานประสานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผน ปฏิบัติการ และแผนงบประมาณรองรับแผนแม่บท ฯ (ฉบับที่ 2) รวมถึงการติดตามประเมินผลเพื่อให้เกิดผลที่ เป็นรูปธรรมต่อไป 1.4 ให้หน่วยงานกลางซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดสรรทรัพยากร และการบริหารจัดการภาครัฐ ได้แก่ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบ ราชการ นำแผนแม่บท ฯ (ฉบับที่ 2) มาใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการ ปรับปรุงโครงสร้าง รวมทั้งจัด สรรทรัพยากรทางด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย ในช่วงระยะเวลาของ แผนแม่บท ฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2552-2556 ต่อไป 2. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวง การคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้ความสำคัญในการพัฒนากลไกการบริหารจัดการแผนให้มีประสิทธิ ภาพ เกิดบูรณาการ และหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อนในการลงทุน และประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งภาค รัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน และสร้างความเข้าใจและสนับสนุนบทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดย เฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งให้ความสำคัญในการติดตามประเมินผลและพัฒนาตัวชี้วัดทั้งในเชิง ปริมาณและเชิงคุณภาพเพื่อให้สามารถสะท้อนผลสัมฤทธิ์ของแผน ฯ ได้อย่างเป็นรูปธรรม และให้นำความ เห็นของคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งชาติ (กทสช.) เกี่ยวกับการนำแผนไปสู่การ ปฏิบัติการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมศักยภาพการแข่งขัน และการพัฒนาบุคลากร เป็นต้น ไป ประกอบการพิจารณาจัดทำแผนปฏิบัติการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยให้คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้ม ค่าและประหยัด ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
988 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | นร | 05/08/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมการประสานงานด้านนิติบัญญัติแห่งชาติ วันอังคารที่ 4
สิงหาคม 2552 โดยให้แก้ไขร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ตามความเห็นคณะกรรม การประสานงานด้านนิติบัญญัติ ดังนี้ 1. แก้ไขเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติ ฯ ในบรรทัดที่ 5 ให้ตัดคำว่า "และ" ออก และเติมข้อความ "และ สาขาอื่น ๆ" หลังคำว่า "สาธารณสุข" และในบรรทัดที่ 8 ให้เติมข้อความ "รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" หลังคำว่า "ชุมชน" 2. แก้ไขร่างมาตรา 75 โดยตัดคำว่า "ประธานสภากรุงเทพมหานคร" ออกตามสรุปผลการประชุม ฯ ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
989 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2552 | ทส | 28/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 15
กรกฎาคม 2552 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีผลการประชุมสรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กรมทรัพยากรน้ำดำเนินการศึกษา สำรวจ ออกแบบโครงการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ำภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 รวมทั้งให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาลดำเนินการสำรวจและพัฒนา แหล่งน้ำบาดาลตามที่ได้เสนอของบประมาณภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (SP 2) รอบที่ 2 โดยกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถปรับปรุงรายละเอียดให้เหมาะสม และให้เสนอขอแปรญัตติงบประมาณ ปี พ.ศ. 2553 2. ที่ประชุมมีมติเรื่อง การโอนกิจการบางอย่างให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในส่วนที่เกี่ยวกับ ระบบ ดังนี้ 2.1 จัดทำระบบฐานข้อมูลสารสนเทศการบริหารจัดการน้ำอุปโภคบริโภคในภาพรวมของประเทศโดย มีกรมทรัพยากรน้ำเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ 2.2 จัดทำแผนการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในภาพรวมของประเทศทั้งระบบ ได้แก่ การสำรวจออกแบบ ก่อสร้าง การปรับปรุงซ่อมแซม ดูแล และบำรุงรักษา รวมทั้งการบริหารจัดการ โดยให้กรม ทรัพยากรน้ำเสนอของบประมาณดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2.3 ให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาลสามารถให้ความช่วยเหลือแก่ท้องถิ่นในการจัดหาแหล่งน้ำในพื้นที่หา น้ำยาก โดยพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลและจัดทำระบบประปาหมู่บ้าน 2.4 ให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ เสนอเรื่องขอทบทวนการถ่ายโอนภารกิจที่เกี่ยวกับการก่อสร้างและปรับปรุง ซ่อมแซมระบบประปาให้คณะกรรมการกระจายอำนาจ ฯ พิจารณา ในกรณีที่ อปท. ไม่สามารถดำเนินการได้หรือ ดำเนินการได้แต่ไม่มีประสิทธิภาพ ให้กรมทรัพยากรน้ำและกรมทรัพยากรน้ำบาดาลดำเนินการแทน
|
||||||||||||||||||||||||
990 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การรับมือสิ่งท้าทายอุบัติใหม่เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทยในอนาคต | สสป | 28/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การรับมือสิ่งท้าทายอุบัติใหม่เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทยในอนาคต โดยจะต้องดำเนินการใน ๓ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์การสร้างคนที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ ยุทธศาสตร์การสร้างฐานข้อมูลและระบบเตือนภัยที่เชื่อถือได้ มีความเป็นเอกภาพและรวดเร็วทันเหตุการณ์ และจัดตั้งกลไกการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ซึ่งที่ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นต่อข้อเสนอแนะดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ควรมีหน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่ในการจัดทำยุทธศาสตร์ วางแผน และประสานงานกับภาคีที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับประเทศและระดับสากล และมีการจัดตั้งกลไกการขับเคลื่อนงานทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด เพื่อให้ยุทธศาสตร์การรับมือกับสิ่งท้าทายอุบัติใหม่ที่จัดทำขึ้นสามารถปฏิบัติให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ๑.๒ ควรส่งเสริม สนับสนุน การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นนโยบายเร่งด่วน ดำเนินการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการบูรณาการร่วมกัน โดยมีการศึกษาวิเคราะห์และจัดลำดับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ๑.๓ การพัฒนาด้านความมั่นคงทางด้านอาหารและพลังงาน ควรจัดทำเป็นยุทธศาสตร์ที่มีแผนปฏิบัติการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ที่ชัดเจน สามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม การศึกษาวิจัยและเก็บข้อมูลในทุก ๆ ด้านที่เกี่ยวข้องต้องมีความสอดคล้องกับความเป็นจริงและสามารถรับมือสถานการณ์ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางนโยบายพันธุวิศวกรรมและความปลอดภัยทางชีวภาพของประเทศควรอยู่บนพื้นฐานขององค์ความรู้ของประเทศไทย และบูรณาการองค์ความรู้ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความหลากหลายทางชีวภาพ ส่งเสริมการศึกษาวิจัยทางเทคโนโลยีชีวภาพอย่างจริงจัง และเตรียมความพร้อมทางด้านกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อเข้าเป็นภาคี Cartagena Protocol นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์และแนวทางการรับมือด้านการเกษตรควรคำนึงถึงแรงงานในวัยทำงาน ของภาคเกษตรมีแนวโน้มลดลง การจัดหาสวัสดิการทางสังคมแก่เกษตรกร ๑.๔ ให้มีหน่วยงานคลังสมอง (Think Tank) ของประเทศที่ปฏิบัติหน้าที่รองรับความท้าทาย โดยเน้นในเรื่องของการค้าและการส่งออกสินค้า นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ ผู้เชี่ยวชาญ ซอฟต์แวร์ และการพัฒนาโครงการต่าง ๆ รวมทั้งควรส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาในประเด็นที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง ๑.๕ การมีส่วนร่วมขององค์กรระดับท้องถิ่นและภาคประชาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะเป็นกลไกหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ตลอดจนแผนงานและโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทยในการรับมือกับสิ่งท้ายทายอุบัติใหม่ให้ดำเนินไปได้อย่างสัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรม โดยจะต้องสร้างความเข้าใจ ความตระหนักรู้ถึงปัญหา และเร่งส่งเสริมให้เกิดการประสานความร่วมมือภายในชุมชนในพื้นที่อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ๑.๖ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรับมือกับสิ่งท้าทายอุบัติใหม่ ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะในการเรียนรู้และการคิดเชิงวิเคราะห์ การปลูกฝังจิตสำนึกสาธารณะ และการสร้างเครือข่ายทางสังคมทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับประชาชนในทุกระดับในการรับมือกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและกระแสโลกาภิวัฒน์ที่กำลังเกิดขึ้นและคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ๒. ให้สภาที่ปรึกษาฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอและความเห็นของที่ประชุมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทำหน้าที่หน่วยงานประสานการดำเนินงานและติดตามความก้าวหน้า |
||||||||||||||||||||||||
991 | การควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ขนิดเอ (เอช1 เอ็น1) | นร | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการควบ
คุมป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) ในทุกจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการ จังหวัดเป็นประธาน หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมเป็นคณะกรรมการ ดำเนินการติด ตาม วิเคราะห์สถานการณ์ของโรค วางแผนปฏิบัติการควบคุมป้องกันการระบาดของโรค และมีกลไกในการติดตาม กำกับให้หน่วยงานที่รับผิดชอบปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดจากส่วนกลาง และที่กำหนดขึ้นในพื้นที่ และรายงาน สถานการณ์และผลการปฏิบัติงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งติดตามผู้ป่วยไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) ทุกราย และให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อขอความร่วม มือในการผลิตหน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้าเพื่อความประหยัดและลดปริมาณขยะจากหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วซึ่งทำ จากกระดาษ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
992 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | มท | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ
จัดตั้งมหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานครขึ้นเป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อให้มีการศึกษา ส่งเสริมวิชาการ การวิจัย และวิชาชีพชั้นสูง พัฒนาองค์ความรู้ด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยเน้นทางด้านเวชศาสตร์เขตเมือง และพัฒนา องค์ความรู้ด้านการปกครองส่วนท้องถิ่นและพัฒนามหานคร ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทน ราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
993 | รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. 2551 | นร | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย พ.ศ. 2551 โดยสาระใน รายงาน ฯ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ภาพรวมของระบบราชการ ส่วนที่ 2 ความก้าวหน้าของการพัฒนา ระบบราชการไทย และส่วนที่ 3 ผลการดำเนินงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ประจำปี พ.ศ. 2551 และให้เสนอสภาผู้ แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป 2. เนื่องจากปัจจุบันหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหารและกำลังคนภาครัฐในฝ่ายพลเรือนมีหลาก หลายรูปแบบและประเภท รวมทั้งหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการตามมาตรการจำกัดขนาดกำลังคนภาครัฐ และได้ มีการถ่ายโอนภารกิจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาระยะหนึ่งแล้ว สมควรที่จะได้มีการพิจารณาทบทวนการจัด ประเภทและขนาดของกำลังคนภาครัฐในฝ่ายพลเรือน โดยให้พิจารณาภารกิจของรัฐในฝ่ายบริหารเป็นหลัก และให้ นำข้อสังเกต ตลอดจนข้อร้องเรียนจากหลายฝ่ายมาพิจารณาประกอบ เช่น ข้อสังเกตที่ว่า ส่วนราชการต่าง ๆ มัก ไม่บรรจุข้าราชการพลเรือนในระดับปฏิบัติการเพราะต้องการเก็บอัตราไว้ยุบรวมเพื่อกำหนดตำแหน่งให้สูงขึ้นทำให้ โครงสร้างบุคลากรเบี่ยงเบนไป โดยจะมีตำแหน่งระดับสูงมากขึ้น ขณะที่ระดับปฏิบัติการลดลงเรื่อย ๆ มีการจ้าง งานรูปแบบต่าง ๆ เพิ่มขึ้นในภารกิจของรัฐที่ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเพื่อทดแทนอัตรากำลังที่ถูกยุบรวม หรือยก เลิก ทั้ง ๆ ที่การจ้างงานในบางลักษณะเหมาะสมเฉพาะภารกิจที่มีระยะเวลาการปฏิบัติอย่างชัดเจน การจ้างงาน อย่างต่อเนื่องทำให้เกิดปัญหาข้อเรียกร้องและขวัญกำลังใจในด้านความมั่นคง ความเหลื่อมล้ำของสิทธิประโยชน์และ ค่าตอบแทน เกิดปัญหาข้อเรียกร้องถึงการขาดแคลนกำลังคนในส่วนราชการหลายแห่ง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุขทั้งในด้านจำนวนและสาขาวิชา จึงมอบให้สำนักงาน ก.พ. รับไปพิจารณาในภาพรวมร่วม กับคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) และ ก.พ.ร. ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
994 | ของบประมาณเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 โครงการสร้างหลักประกันรายได้แก่ผู้สูงอายุ และโครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล | มท | 09/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 โครงการสร้าง
หลักประกันรายได้แก่ผู้สูงอายุ และโครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก ตาม นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล จำนวน 2,283,251,400 บาท โดยใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุก เฉินหรือจำเป็นงบเงินอุดหนุน เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ให้แก่กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาด ไทย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการตามโครงการ ฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ ให้มีการติดตาม ประเมินผลการเบิกจ่าย ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ รวมทั้งมีการประมวลข้อมูลรายงานให้คณะรัฐมนตรี ทราบ เพื่อนำข้อมูลแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2553 ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
995 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ "ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการภาครัฐ" | สสป | 30/06/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการภาครัฐ" โดยมีความเห็น และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับธรรมาภิบาลด้านการเสริมสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย ธรรมาภิบาลด้านการกระจาย อำนาจสู่ท้องถิ่น ธรรมาภิบาลด้านกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ธรรมาภิบาลด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และธรรมาภิบาลด้านกฎหมายและการบริหารบ้านเมืองที่ดี สรุปได้ดังนี้ 1.1 ควรยึดกรอบการบริหารบ้านเมืองที่ดีตามแนวทางรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่มีฐาน คิดธรรมาภิบาลชุมชน โดยเน้นการปรับโครงสร้างทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ปฏิรูปกฎหมาย เพื่อคุ้มครอง ส่งเสริมสิทธิประชาชนและชุมชนในการพัฒนาตนเองและการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ 1.2 สร้างธรรมาภิบาลจากความร่วมมือของภาคต่าง ๆ ในสังคม 1.3 มุ่งเน้นประสิทธิผลของการบริหารบ้านเมืองที่ดี เช่น การพัฒนาที่ยั่งยืน การสร้างวัฒนธรรม ประชาธิปไตยทั้งแบบมีส่วนร่วมและแบบทางตรงให้มากยิ่งขึ้น 1.4 แก้ไขกฎหมายตามรัฐธรรมนูญทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้เกิดความ อิสระและสามารถดำเนินการตามเจตจำนงของชุมชนท้องถิ่น 1.5 แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งหมดให้กระจาย สู่ท้องถิ่นและรองรับสิทธิมนุษยชนต่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างแท้จริง 1.6 ส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการจัดทำแผนพัฒนา ชุมชนทั้งระบบหมู่บ้าน ตำบล และระหว่างตำบลอย่างบูรณาการ และเป็นอิสระสอดคล้องกับสภาพปัญหา เจต จำนง และต้นทุนทางสังคมของท้องถิ่นนั้น ๆ 1.7 พัฒนากลไกขององค์กรที่รองรับบทบัญญัติ เรื่อง สิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชนตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการบังคับให้ต้องมีการศึกษาและประเมินผลกระทบ ต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน รวมทั้งจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย ก่อนการดำเนินโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง 1.8 พัฒนากลไกขององค์กรที่จะรองรับในแนวนโยบายแห่งรัฐด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนตาม มาตรา 87 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ระบุว่ารัฐต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนด นโยบาย การวางแผน การตัดสินใจทางการเมือง การทำบริการสาธารณะ การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และ การจัดให้มีกฎหมายจัดตั้งกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองเพื่อช่วยเหลือการดำเนินกิจกรรมสาธารณะของชุม ชนและกลุ่มประชาชน 1.9 ยกเลิกประกาศและพื้นที่เป้าหมายที่จะประกาศหมู่เกาะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อเป็นพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อ.พ.ท.) ให้ กลับไปดำเนินการบริหารจัดการที่ดินบนหมู่เกาะท่องเที่ยวตามกระบวนการที่มีประชาชนมีส่วนร่วม 1.10 ให้พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำมีทิศทางในการสร้างความสมดุลระหว่างทุนทางเศรษฐกิจ ทุน ทางสังคมและทุนทางสิ่งแวดล้อม โดยเน้นกระบวนการการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกันระหว่างภาครัฐ ภารธุรกิจ เอกชน และภาคประชาชน เพื่อนำไปสู่การจัดสรรน้ำที่เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน 1.11 แก้ไขกฎหมายป่าไม้ทั้งหมดเพื่อรองรับสิทธิชุมชนในการจัดการป่าอย่างยั่งยืน ตามแนวทางรัฐ ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 66 และมาตรา 67 1.12 นำพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 มาใช้ ให้เกิดการปฏิบัติจริงในองค์กร และหน่วยงานของรัฐ รวมถึงการกำหนดการบริหารบ้านเมืองที่ดีจากความร่วมมือ ระหว่างรัฐกับภาคีสังคมต่าง ๆ และส่งเสริมสิทธิชุมชนต่อการพัฒนาตนเองและการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุก ระดับ 1.13 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เป็นรูปธรรม โดยเน้นการมีกฎหมายที่สนับสนุนและรับ รองให้ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพ รวมทั้งมีศักยภาพในการรวมกลุ่มเป็นองค์กรประชาชนที่มีความชอบธรรมในการ พัฒนานโยบายสาธารณะและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่อนโยบายและโครงการใด ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในระดับท้องถิ่น และประเทศชาติ 1.14 ต้องมีมาตรการผลักดันและจูงใจ รวมถึงบทกำหนดโทษเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงาน ของรัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความรับผิดชอบในระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีและสังคมแบบมีส่วน ร่วม 1.15 เร่งรัดการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญ เช่น องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน เป็นต้น ให้เป็นไปตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ เพื่อนำไปสู่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงตามเจตนา รมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา รวมทั้งผลการดำเนินการของสำนักงาน ก.พ.ร. และส่วนราช การที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||
996 | ผลการดำเนินงานตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะในรายการผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการเพื่อมุ่งผลสัมฤทธิ์ตามนโยบายของรัฐบาล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 (Annual Inspection Report) | นร | 30/06/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอผลการดำเนินงานตามข้อสังเกตและข้อ
เสนอแนะในรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการเพื่อมุ่งผลสัมฤทธิ์ตามนโยบายของรัฐ บาล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 (Annual Inspection Report) ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้แจ้ง กระทรวงและส่วนราชการต่าง ๆ พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 1. การดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย 1.1 ภารกิจด้านคุณภาพชีวิตของส่วนราชการที่ถ่ายโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 1.2 กลุ่มโครงการด้านการให้บริการขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน 1.3 กลุ่มโครงการเพื่อการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม 2. การดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการกระทรวง ประกอบด้วย 2.1 กลุ่มโครงการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน 2.2 กลุ่มโครงการเพื่อการขับเคลื่อนปรัชญาแนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียง 2.3 กลุ่มโครงการด้านการดูแลคุณภาพชีวิตผู้ด้อยโอกาส 2.4 กลุ่มโครงการเพื่อการป้องกัน ปราบปรามและบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด 2.5 กลุ่มโครงการเพื่อการป้องกันและควบคุมโรค
|
||||||||||||||||||||||||
997 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการลุ่มน้ำยม : กรณีโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น | สสป | 30/06/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การบริหารจัดการลุ่มน้ำยม : กรณีโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น สรุปได้ดังนี้ 1.1 การบริหารจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำยมทั้งระบบ 1.1.1 การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง อาทิ พัฒนาระบบประปาหมู่บ้านในลุ่มน้ำยม ให้มีน้ำสะอาดเพื่อ การอุปโภคอย่างเพียงพอและทั่วถึง พัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนและระบบชลประทานเพิ่มเติมโดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบ ต่อการใช้น้ำในพื้นที่ตอนล่าง ทบทวนโครงการผันน้ำจากลุ่มน้ำยมไปสู่ลุ่มน้ำน่านที่จะเกิดขึ้นใหม่โดยมีการศึกษา ผลกระทบต่อการขาดแคลนน้ำในลุ่มน้ำยมตอนล่างและต่อระบบนิเวศน์พื้นที่ชุ่มน้ำในลุ่มน้ำยม เป็นต้น 1.1.2 การป้องกันอุทกภัย อาทิ ส่งเสริมและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมโดยชุมชนในแต่ ละพื้นที่ เพื่อให้ชุมชนมีบทบาทสำคัญในการป้องกันน้ำท่วมด้วยตนเอง และพัฒนาการไปสู่ความเข้มแข็งของชุมชน ในการป้องกันภัยธรรมชาติ ส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำการสำรวจพื้นที่รับน้ำตามธรรม ชาติหรือแก้มลิง ขุดคูคลองเชื่อมระหว่างแม่น้ำยมกับแก้มลิง และพัฒนาพื้นที่แก้มลิงให้สามารถรองรับน้ำได้อย่าง เต็มที่ รวมทั้งดำเนินการปรับปรุงโดยขุดลอกลำน้ำเดิมที่ถูกพัฒนาจนเปลี่ยนสภาพไป เป็นต้น 1.1.3 การอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรน้ำและคุณภาพน้ำ โดยให้มีมาตรการรักษา ป่าธรรมชาติเพื่อให้คงสภาพสมบูรณ์ และฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมในเขตต้นน้ำยมและลุ่มน้ำสาขาให้กลับคืนเป็นแหล่ง น้ำต้นน้ำตามธรรมชาติดังเดิม ตลอดจนส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ ทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืนเพื่อรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำตามจารีตประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น และดำเนินการเพื่อหา มาตรการลดการชะล้างและการพังทลายของดินในบริเวณต้นน้ำยมและลำน้ำสาขา โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการ กำหนดมาตรการดังกล่าว 1.1.4 การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำยม โดยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำ ทั้งใน ด้านอุปโภคและบริโภคและระบบชลประทาน และปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติและแหล่งน้ำที่สร้างขึ้นอย่างมี ประสิทธิภาพ ปรับปรุงแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำยมในด้านการพัฒนาแหล่งน้ำ และบรรเทา ภัยแล้ง ด้านบรรเทาน้ำท่วม ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรน้ำให้สอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริง 1.2 โครงการสาธารณะที่เกี่ยวกับการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำหรือทางน้ำไหลที่มีผลกระทบต่อประชา ชน อาทิ 1.2.1 มีหลักประกันให้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนด้วยการจัดหาพื้นที่รองรับ การย้ายถิ่นฐานของชุมชน มีการพัฒนาที่ดินพัฒนาอาชีพ มีระบบโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค-สาธารณูป การ การสาธารณสุข การศึกษาอย่างต่อเนื่องเป็นธรรมและมีส่วนร่วมของประชาชน 1.2.2 การจ่ายค่าชดเชยที่ดินและทรัพย์สินที่เหมาะสมและคุ้มค่าแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ให้คิดมูลค่าที่ดินตามราคาที่ดินที่ประมาณการว่าจะสูงขึ้นเมื่อสร้างเขื่อนเสร็จแล้ว 1.2.3 จัดทำแผนมวลชนสัมพันธ์ เพื่อประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้ รับผลกระทบ 1.3 การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ 1.3.1 ลดความสูงของระดับสันเขื่อนและระดับกักเก็บในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลกระทบ ต่อประชาชน ระบบนิเวศน์ และทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่น้อยที่สุด 1.3.2 พิจารณาก่อสร้างเขื่อนขนาดเล็ก หรือฝายกั้นลำน้ำยมเพิ่มขึ้นให้มีระยะห่างจากจุดที่วาง แผนสร้างเขื่อนไว้เดิมอย่างเหมาะสมกับสภาพของแต่ละพื้นที่เพื่อช่วยรองรับน้ำจากการลดความสูงระดับสันเขื่อน แก่งเสือเต้นลง 1.3.3 จัดหาพื้นที่สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อให้มีปริมาณมากพอที่จะรองรับ ปริมาณน้ำท่า และน้ำต้นทุนของแต่ละลุ่มน้ำสาขาท้ายเขื่อน 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับ ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||
998 | ผลการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงการบ้านเอื้ออาทร | มท | 30/06/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบมาตรการปรับลดหน่วยก่อสร้างโครงการบ้านเอื้ออาทรที่ให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ปรับ ลดหน่วยก่อสร้างโครงการ ฯ จาก 300,504 หน่วย เป็น 281,556 หน่วย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาด ไทย ประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงการบ้านเอื้ออาทรเสนอ (ประกอบ ด้วยหน่วยก่อสร้างที่ กคช. แจ้งว่า จำหน่ายได้แล้วจำนวนประมาณ 210,000 หน่วย และหน่วยที่ยังจำหน่ายไม่ได้ จำนวนประมาณ 70,000 หน่วย) 2. เห็นชอบในหลักการมาตรการการเงินที่เห็นควรจัดสรรงบประมาณชดเชยภาระดอกเบี้ยเงินกู้ยืมให้แก่ กคช. จำนวนรวม 4,792 ล้านบาท ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจ ฯ (ประกอบด้วยเงินชดเชยภาระดอกเบี้ยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จำนวน 3,587 ล้านบาท และเงินชดเชยกรณีไม่ สามารถแยกทรัพย์สินเอื้ออาทรออกจากบัญชี กคช. ได้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2553 จำนวน 1,205 ล้านบาท) โดยใน ส่วนของเงินชดเชยภาระดอกเบี้ยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จำนวน 3,587 ล้านบาท นั้น อนุมัติให้ กคช. เบิกจ่าย ได้เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าทางการเงิน โดยให้ กคช. ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ แล้ว ดำเนินการต่อไปได้ 3. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้ง กคช. รับความเห็นเกี่ยวกับมาตรการ ต่าง ๆ ของคณะกรรมการเฉพาะกิจ ฯ เช่น ขายโครงการในลักษณะยกอาคารหรือขายทั้งโครงการให้แก่หน่วยงาน ภาครัฐ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ การปรับราคาขายบ้านเอื้ออาทรตามทำเลและศักยภาพของโครงการ รวมถึงการปรับราคาขายที่มีความแตกต่างกันภายในโครงการเดียวกันให้เหมาะสมกับโอกาสทางการตลาด และให้ สิทธิผู้ซื้อแต่ละรายสามารถซื้อได้ไม่เกิน 2 หน่วย/ครัวเรือน (ราย) เพื่อรองรับการขยายครอบครัวของผู้ซื้อได้อย่าง เหมาะสมโดยยังคงได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ จำนวน 80,000 บาทต่อหน่วย เป็นต้น และความเห็นของกระทรวงการ คลังที่เห็นว่า ในการจัดหาเงินกู้ให้ กคช. จะได้รับอัตราดอกเบี้ยตามสภาวะตลาดการเงินในขณะนั้น ๆ และเงินกู้ของ กคช. ส่วนใหญ่เป็นการกู้เงินแบบ Term Loan จากสถาบันการเงินเพื่อความคล่องตัวในการบริหารหนี้ ซึ่งหากภาวะ ตลาดการเงินเอื้ออำนวยก็จะพิจารณาดำเนินการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้อยู่แล้ว โดย กคช. ต้องขออนุมัติต่อคณะ รัฐมนตรีเพื่อขอกู้เงินใหม่เพื่อชำระคืนหนี้เงินกู้เดิม (Refinance) ไปพิจารณาแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ ในราย ละเอียดอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาสถานะทางการเงินของ กคช. ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในส่วนของหน่วยก่อสร้างของโครงการ ฯ ที่ยังจำหน่ายไม่ได้ นั้น ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์พิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในทางธุรกิจที่ผ่อนปรนเพื่อให้สามารถจำหน่าย หน่วยก่อสร้างดังกล่าวได้โดยเร็วในราคาที่เป็นธรรมซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะทางการเงินของ กคช. และลดภาระ ค่าใช้จ่ายของรัฐลงได้ รวมทั้งพิจารณาความเหมาะสมของการยกเลิกโดยเปรียบเทียบความคุ้มค่าและภาระของ กคช. แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
999 | รายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 | นร | 23/06/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (กขร.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ของ กขร. อาทิ การปรับปรุงแก้ไข พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ มีผลในทางปฏิบัติมากขึ้น การเยียวยารักษาสิทธิให้ประชาชน โดยให้ความสำคัญต่อการดำเนินการเพื่อลดขั้นตอน การดำเนินงานเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียน เรื่องอุทธรณ์ และการตอบข้อหารือตามกฎหมาย รวมทั้งการเผยแพร่ความ รู้ความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องทั้งในด้านการปฏิบัติหน้าที่ และการใช้ สิทธิตามกฎหมาย เป็นต้น 2. รับทราบเป้าหมายการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 โดย กขร. ได้กำหนดแนวทางในการ ดำเนินการในเรื่องสำคัญ คือ การติดตามเร่งรัดการตรากฎหมาย 2 ฉบับ การแนะนำและติดตามผลการปฏิบัติ งานของศูนย์ข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานของรัฐ การสร้างหน่วยงานตัวอย่าง และการขยายผลการกำหนดให้การ ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร ฯ เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพหน่วยงานในราชการบริหารส่วนท้องถิ่น 3. เห็นชอบแนวทางดำเนินการเพื่อให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติ ดังนี้ 3.1 ให้หน่วยงานของรัฐในทุกระดับถือเป็นนโยบายสำคัญที่จะต้องดูแลและกำชับในการปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร ฯ ของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะการปฏิบัติตามตัวชี้วัด "ระดับความสำเร็จในการเปิดเผย ข้อมูลข่าวสาร" ให้มีการปฏิบัติได้ครบถ้วนถูกต้องตามขั้นตอนที่กำหนดโดยเคร่งครัด เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น 3.2 ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐฟ้องคดีปกครองเพื่อเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการ เปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่มีคำวินิจฉัยให้หน่วยงานของรัฐเปิดเผยข้อมูลข่าวสารแก่ผู้อุทธรณ์ และต้องดำเนินการตาม คำวินิจฉัยภายใน 7 วัน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2542 โดยเคร่งครัด หากเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ ปฏิบัติตามโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการพิจารณาลงโทษทางวินัยทุกกรณี
|
||||||||||||||||||||||||
1000 | รัฐบาลจีนเสนอสร้างบ่อก๊าซชีวภาพในชนบทของไทย | กต | 16/06/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการในการดำเนินความร่วมมือตามข้อเสนอของรัฐบาลจีนต่อรัฐบาลไทยในการสร้าง บ่อผลิตก๊าซชีวภาพให้แก่ครัวเรือนในชนบทของไทย และให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งข้อพิจารณาของฝ่ายไทย ผ่านช่องทางทางการทูตต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ 2. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาในรายละเอียดความเหมาะสมในเรื่องพื้นที่ ดำเนินการโดยคำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความเห็นของประชาชนในพื้นที่ควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดประโยชน์ แก่ประชาชนในพื้นที่และประเทศโดยรวมอย่างแท้จริง 3. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าพื้น ที่สาธิตโครงการก่อสร้างบ่อผลิตก๊าซชีวภาพ ควรเป็นพื้นที่ที่มีการเลี้ยงสัตว์หนาแน่น สามารถเป็นตัวอย่างและถ่าย ทอดความรู้ให้กับเกษตรกร นักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจอื่น ๆ และในพื้นที่สาธิตต้องมีกิจกรรมการเลี้ยงปศุสัตว์ อาทิ โคเนื้อ โคนม กระบือ และสุกร โดยมีขนาดเหมาะสมสามารถผลิตมูลสัตว์เพื่อนำมาใช้ในการผลิตก๊าซได้อย่าง เพียงพอและมีความยั่งยืนในระบบการผลิต และในการดำเนินการสร้างบ่อก๊าซชีวภาพควรดำเนินการในองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นซึ่งมีระบบจัดการขยะมูลฝอยที่ถูกหลักสุขาภิบาลแล้ว รวมทั้งมีการศึกษาความเหมาะสมของสถาน ที่ แบบรายละเอียดของเทคโนโลยี ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ความคุ้มทุน และรูปแบบการบริหารจัดการที่เหมาะ สมสำหรับประเทศไทย นอกจากนี้ ควรพิจารณาถึงเทคโนโลยี และระบบที่นำมาใช้ในการผลิตก๊าซชีวภาพที่รักษา ระบบการบำบัดของเสียได้ง่ายและสะดวก รวมถึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนิน การด้วย |
.....