ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 45 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 881 - 900 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
881 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา ที่จังหวัดยะลา | อก | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา ที่จังหวัดยะลา ตามคำขอที่ ๑/๒๕๔๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เกี่ยวกับการนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างของห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๑/๒๕๔๗ (ประทานบัตรที่ ๑๒๓๓๗/๑๕๒๗๒) ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๓/๒๕๕๒ (ประทานบัตรที่ ๓๑๕๓๐/๑๕๒๓๖) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา ตั้งอยู่ที่ตำบลลิดล อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ซึ่งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านโครงการเหมืองแร่ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วไว้ ในการประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๒ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
882 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดให้กรรมการผู้แทนสมาชิกสภาท้องถิ่นอย่างน้อยต้องมีผู้แทนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดหนึ่งคน ผู้แทนสมาชิกสภาเทศบาลหนึ่งคน และผู้แทนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหนึ่งคนหรือสองคนแล้วแต่กรณี ๑.๒ กำหนดวิธีการสรรหากรรมการผู้แทนสมาชิกสภาท้องถิ่น การจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกและบัญชีรายชื่อสำรอง และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการก่อนครบวาระ ๑.๓ กำหนดบทเฉพาะกาล ให้กรรมการผู้แทนสมาชิกสภาท้องถิ่นปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะครบวาระ และกรณียังไม่มีบัญชีรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดำเนินการสรรหาภายใน ๖๐ วัน ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มผู้แทนสมาชิกสภาเมืองพัทยา เป็นกรรมการในคณะกรรมการธรรมาธิบาลจังหวัดชลบุรี และแก้ไขถ้อยคำในร่างระเบียบฯ จากคำว่า “ผู้แทนสมาชิกสภาองค์กรบริหารส่วนจังหวัด” เป็น “ผู้แทนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด “และคำว่า “ผู้แทนสมาชิกสภาองค์กรบริหารส่วนตำบล” เป็น “ผู้แทนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล” และเพิ่มผู้แทนสมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรูปแบบการปกครองลักษณะพิเศษ และปรับปรุงข้ออื่น ๆ ให้สอดคล้องกับที่ปรับปรุงแก้ไขดังกล่าวด้วย รวมทั้งเพิ่มเติมข้อความว่า “ไม่เป็นข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ” ไว้ในระเบียบฯ ข้อ ๘ (๑๐) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
883 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2553 | นร | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กศส.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กศส. เสนอ โดยที่ประชุม ฯ ได้มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ตามข้อเสนอของกรมทรัพย์สินทางปัญญา และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำคำสั่งต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้มีการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่อง การแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย โดยให้แก้ไขคำว่า “ข้าราชการ” เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” และให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (สศส.) อีกตำแหน่งหนึ่ง จนกว่าจะมีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ที่ได้แก้ไขแล้ว และให้ สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำคำสั่งต่อไป ๑.๓ รับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กบศส.) โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เป็นประธานกรรมการเพื่อทำหน้าที่ควบคุมดูแลการดำเนินงานและการบริหารงานทั่วไป รวมทั้งออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินงานของ สศส. ๑.๔ รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเห็นชอบรูปแบบองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ โดยให้จัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ใน สศช. และให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธาน ๑.๕ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินโครงการสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในส่วนของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๖ รับทราบแนวทางการบริหารจัดการ สศส. ๒. เห็นชอบในหลักการตามผลการพิจารณาและมติของ กศส. ในเรื่อง การขอแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย โดยให้แก้คำว่า “ข้าราชการ” เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” เพื่อให้ครอบคลุมถึงข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นในกระทรวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ทั้งนี้ เพื่อเปิดกว้างสำหรับการสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ และให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีรับไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบฯ ให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขระเบียบฯ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย ดังกล่าว ควรต้องมีการพิจารณาเพิ่มเติมบทนิยามในข้อ ๓ คำว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” เพิ่มเติมขึ้นด้วย เพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติ ประกอบกับตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้มีการกำหนดนิยามคำว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ไว้ถึง ๑๖ ประเภท จึงเห็นควรกำหนดบทนิยามดังกล่าวเพื่อให้เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่และการสรรหาบุคคลมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการบริหารสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
884 | แนวทางการบริหารการคลังในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2554 | กค | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอผลการคาดการณ์การจัดเก็บรายได้รัฐบาลปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งคาดว่าจะจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิจำนวน ๑,๗๗๐,๐๐๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗.๓ สูงกว่าที่จัดเก็บได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ไม่รวมรายได้พิเศษ (๑,๖๔๗,๓๒๕ ล้านบาท) จำนวน ๑๒๒,๖๗๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗.๔ โดยคาดว่าการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจจะสูงกว่าประมาณการ ภาษีที่คาดว่าจะจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และอากรขาเข้า ๒. เห็นชอบในหลักการให้มีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพิ่มเติม (งบกลางปี) เพื่อชดใช้เงินคงคลังที่ได้มีการใช้ไปในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๘๔,๑๔๒.๕๖ ล้านบาท จัดสรรเพิ่มเติมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวนประมาณ ๕,๐๐๐ ล้านบาท และจัดสรรเป็นงบประมาณช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติ จำนวนประมาณ ๑๗,๐๐๐ ล้านบาท รวมเป็นวงเงินทั้งหมดไม่เกิน ๑๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย รับไปพิจารณารายละเอียดของงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วให้สำนักงบประมาณนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
885 | ร่างระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพและการได้รับประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพ พ.ศ. .... | ทส | 11/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพและการได้รับประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพ พ.ศ. .... ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๖ ได้ตรวจพิจารณา และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ
๑. กำหนดบทนิยาม “การเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพ” “หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจตามกฎหมาย” “หน่วยงานของรัฐที่ครอบครองทรัพยากรชีวภาพ” “ชุมชนท้องถิ่น” “หนังสืออนุญาต” และ “ข้อตกลง” ๒. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจตามกฎหมายและหน่วยงานของรัฐที่ครอบครองทรัพยากรชีวภาพซึ่งมิได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพไว้โดยเฉพาะ จะอนุญาตให้มีการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพได้ เมื่อได้รับคำขอรับหนังสืออนุญาตเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพตามแบบที่คณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (กอช.) กำหนด ๓. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่ได้รับคำขอ ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสารหรือหลักฐานและรายละเอียดต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับคำขอ ๔. กำหนดให้ในกรณีที่การเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพใดมีแหล่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใด ให้หน่วยงานของรัฐที่ได้รับคำขอสอบถามความเห็นจาก อปท. นั้น และให้ อปท. นั้นมีหน้าที่ให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาคำขอรับหนังสืออนุญาต ๕. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่ได้รับคำขอรับหนังสืออนุญาตพิจารณาคำขอรับหนังสืออนุญาตให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วันนับแต่วันที่ได้รับคำขอรับหนังสืออนุญาต หรือนับแต่วันที่ได้รับเอกสารหรือหลักฐานและรายละเอียดต่าง ๆ ถูกต้องครบถ้วน แล้วแต่กรณี ๖. กำหนดให้ข้อตกลงต้องระบุถึงความตกลงระหว่างหน่วยงานของรัฐที่ได้ออกหนังสืออนุญาตกับผู้ได้รับหนังสืออนุญาตเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย สิทธิและประโยชน์ตอบแทนในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพไม่ว่าจะคำนวณเป็นเงินได้หรือไม่ ที่หน่วยงานของรัฐ ผู้ได้รับอนุญาต และชุมชนท้องถิ่นพึงจะได้รับ ค่าภาษีอากร และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ตามกฎหมาย ๗. กำหนดเนื้อหาในข้อตกลงที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อการพาณิชย์ และข้อตกลงที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการพาณิชย์ ๘. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่ออกหนังสืออนุญาตต้องทำความตกลงกับผู้ได้รับหนังสืออนุญาตเกี่ยวกับการรายงานความก้าวหน้าในการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพตามข้อตกลงตามระยะเวลาที่จะตกลงกัน แต่ต้องไม่น้อยกว่า ๓ เดือนต่อหนึ่งครั้ง และการรายงานผลการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพเมื่อหนังสืออนุญาตสิ้นผล ๙. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่ออกหนังสืออนุญาตมีหน้าที่ตรวจสอบ ติดตาม และกำกับดูแล ให้ผู้ได้รับหนังสืออนุญาตปฏิบัติตามข้อตกลงโดยเคร่งครัด และรายงานความก้าวหน้าในการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพตามข้อตกลงให้ กอช. ทราบตามระยะเวลาที่ กอช. กำหนด รวมทั้งรายงานผลการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพให้ กอช. ทราบ เมือหนังสืออนุญาตสิ้นผล
|
|||||||||||||||||||||||||||
886 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 10/2553 | นร | 11/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเรื่อง ความก้าวหน้าของเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) และความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ สาขาพัฒนาการท่องเที่ยว รวมทั้งเห็นชอบตามมติคณะกรรมการฯ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ตรวจสอบความชัดเจนของข้อกฎหมายที่รองรับหรือให้อำนาจการใช้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) สำหรับการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเสนอวัตถุประสงค์ หลักเกณฑ์ และแนวทางการจัดสรรเงินกู้ดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ โครงการที่ได้ดำเนินการและเบิกจ่ายแล้ว ติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการในด้านผลลัพธ์หรือผลสำเร็จของโครงการตามดัชนีชี้วัดที่กำหนดไว้ ๑.๒.๒ โครงการที่ยังไม่ได้ขอรับจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ และโครงการที่ยังไม่เริ่มดำเนินการควรพิจารณายกเลิกโครงการและนำเงินมาใช้ในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยซึ่งมีความเร่งด่วนก่อน ๑.๒.๓ โครงการที่ขอขยายระยะเวลาการขอรับจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ และขยายระยะเวลาการขอรับจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ และขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการออกไปเกินกว่าปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ควรตรวจสอบว่าโครงการดังกล่าวได้มีการผูกพันสัญญาไว้แล้วหรือไม่ หากยังไม่มีการผูกพันสัญญาควรพิจารณานำเงินมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยซึ่งมีความเร่งด่วนก่อน และหากเป็นโครงการที่มีวงเงินลงทุนสูงควรพิจารณาทางเลือกในการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนหรือจัดสรรงบประมาณดำเนินการจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ๒. สำหรับโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต วงเงิน ๒,๖๐๐ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องและขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓. เห็นชอบการปรับปรุงชื่อโครงการที่หน่วยงานเสนอเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในสาขาต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ อนุมัติไว้แล้ว ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๓.๑ จาก “โครงการช่วยเหลือและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ๘๖๓ รายการ” เป็น “โครงการช่วยเหลือและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย” ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วงเงิน ๔๒๗.๒๓ ล้านบาท ๓.๒ จาก “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย ๙๘ รายการ” เป็น “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย” ของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วงเงิน ๒๑๙.๙๕ ล้านบาท ๓.๓ จาก “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย ๙๘ รายการ (ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสำนักงานบ้านพักข้าราชการ)” เป็น “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย (ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสำนักงานบ้านพักข้าราชการ)” ของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วงเงิน ๑๔.๔๖ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
887 | แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียน นักศึกษา ขององค์กรหลักกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | ศธ | 11/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียนนักศึกษา ขององค์กรหลักกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒๐ หน่วยงาน ดังนี้
๑. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ๒. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๓. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ๔. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ๕. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ๖. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ๗. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี กองบัญชาการตำรวจนครบาล ๘. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ๙. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ๑๐. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาสและผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๑๑. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม ๑๒. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ๑๓. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กรมประชาสัมพันธ์ ๑๔. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กองบังคับการปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๑๕ แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ๑๖. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กระทรวงแรงงาน ๑๗. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ๑๘. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ๑๙. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๒๐. แผนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
|||||||||||||||||||||||||||
888 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2554 | มท | 21/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ช่วงเวลาการดำเนินการรณรงค์ ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๓-๔ มกราคม ๒๕๕๔ รวม ๗ วัน โดยกำหนดแนวทางการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัดใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินงาน เน้นหนักในมาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการด้านวิศวกรรมจราจร มาตรการด้านประชาสัมพันธ์ และมาตรการด้านการแพทย์ฉุกเฉินและการกู้ชีพ ๒. ช่วงเวลาในการดำเนินงาน กำหนดเป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงเตรียมความพร้อม ระหว่างวันที่ ๑-๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ เป็นการเตรียมความพร้อมทั้งด้านการปฏิบัติและงบประมาณเพื่อดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ในส่วนกลาง จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และช่วงปฏิบัติการเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๓-๔ มกราคม ๒๕๕๔ โดยจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ระดับจังหวัด และอำเภอ และศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การตั้งจุดสกัดตรวจ/ด่านตรวจร่วมแบบบูรณาการ การตั้งจุดสกัดประจำชุมชน หมู่บ้าน และการจัดตั้งหน่วยสนับสนุน และบริการประชาชน ระดับพื้นที่ ๓. แผนการดำเนินการในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ๓.๑ แผนงานที่ ๑ การจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ และศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๔ ๓.๒ แผนงานที่ ๒ การจัดตั้งจุดตรวจร่วม/ด่านตรวจร่วมบนเส้นทางสายหลักและสายรอง ๓.๓ แผนงานที่ ๓ การตั้งจุดสกัดประจำชุมชน หมู่บ้าน ๓.๔ แผนงานที่ ๔ การตั้งหน่วยสนับสนุนและบริการประชาชนระดับพื้นที่
|
|||||||||||||||||||||||||||
889 | การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น | กค | 21/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดการเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น และผลกระทบต่องบประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบล ในการประชุมร่วมกันระหว่างสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรมบัญชีกลาง เมื่อวันที่ ๑๕-๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งการปรับค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นของกระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้ เป็นการปรับเพื่อลดช่องว่างให้สอดคล้องและเป็นมาตรฐานเดียวกันกับค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาล ดังนั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จะไม่มีการปรับค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น รวมทั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาลอีก สำหรับข้อเสนอการปรับเงินเดือน ค่าจ้าง สำหรับข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น และลูกจ้างองค์การบริหารส่วนตำบล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทอื่นเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ ๕ นั้น หากมีการดำเนินการในโอกาสต่อไป ให้ปรับค่าตอบแทนเฉพาะในส่วนของข้าราชการประจำและพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างเท่านั้น ๒. ส่วนระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินค่าตอบแทน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่กระทรวงมหาดไทยส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
890 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. ...." | สสป | 14/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. ....” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้แจ้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ต่อไป โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ๑.๑ บัญญัติรายละเอียดด้านวิสัยทัศน์ของระบบการศึกษาปกติ การศึกษาทางเลือกทั้งหมด และทางออกของชุมชนชนบทที่ขาดโอกาสและแนวทางปฏิบัติ ๑.๒ เพิ่มเป้าหมายให้การศึกษาวิทยาลัยชุมชนเพื่อการศึกษาพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนในท้องถิ่นทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ๑.๓ เพิ่มเติมเจตนารมณ์และหลักการสำคัญ อาทิ การให้ความสำคัญกับการเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญาควบคู่ไปกับการจัดการศึกษาตลอดชีวิต การกำหนดให้สถาบันให้ความสำคัญในประด็นการมีส่วนร่วมของชุมชน การบริการการศึกษาตลอดชีวิต การต่อยอดการพัฒนาของชุมชน และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ การกำหนดแนวทางและวิธีการปฏิบัติในการรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับบทบาทและหน้าที่ของสถาบันเป็นสำคัญ เป็นต้น ๒. ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาลัยชุมชน ๒.๑ เร่งรัดการประกาศใช้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยชุมชนให้สอดคล้องตามปรัชญาและความมุ่งหมายของการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน ๒.๒ ปรับปรุงรูปแบบการดำเนินการวิทยาลัยชุมชนให้มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการและพัฒนาทางวิชาการ ๒.๓ ให้ชุมชน สถาบันการศึกษา และองค์กรภาคเอกชน มีการศึกษาและกำหนดแนวทางการจัดทำมาตรฐานและการประเมินคุณภาพการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนเป็นการเฉพาะ ๒.๔ สนับสนุนในการส่งเสริมการเชื่อมโยงและประสานการส่งเสริมและให้การสนับสนุนในการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน ระหว่างหน่วยงานส่วนกลางและหน่วยงานส่วนท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาของวิทยาลัยชุมชน ๓.๑ ให้ความสำคัญกับโครงสร้าง เนื้อหาและหลักสูตรของวิทยาลัยชุมชนที่ไม่เน้นแนวคิด เพื่อนำไปสู่การศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ๓.๒ ส่งเสริมและกำหนดแนวทางการพัฒนาเนื้อหาและหลักสูตรระยะสั้นและหลักสูตรวิชาชีพให้สามารถเทียบเคียงกับการศึกษาในระบบโดยเฉพาะองค์ความรู้ของชุมชนแต่ละท้องถิ่นให้เป็นเนื้อหาวิชาหลัก ๓.๓ ส่งเสริมให้ชุมชน องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและส่งเสริมการศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีส่วนร่วมสำคัญในการปรับปรุงหลักสูตรและเนื้อหาวิชาการ ๓.๔ พัฒนาและส่งเสริมบุคลากรทางการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา และส่งเสริมค้นหาศักยภาพของชุมชนด้วยการสนับสนุนสวัสดิการค่าตอบแทนเพิ่มเติม ๔. ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและการจัดการศึกษาของชุมชนและท้องถิ่น ๔.๑ ส่งเสริมการค้นหาศักยภาพของชุมชนและท้องถิ่นโดยมีวิทยาลัยชุมชนเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ๔.๒ ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาตามความต้องการของชุมชนและท้องถิ่นโดยเฉพาะการพัฒนาวิชาชีพและการพัฒนาและอนุรักษ์องค์ความรู้ ๔.๓ ส่งเสริมขีดความสามารถของชุมชนและท้องถิ่นให้มีความโดดเด่นและเป็นแหล่งเรียนรู้ของสังคม
|
|||||||||||||||||||||||||||
891 | การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล | มท | 14/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง การเพิ่มค่าคอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ดังนี้
๑. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดการเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ รวมถึงผลกระทบทางอ้อมที่จะต้องมีการปรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ และบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่องบประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบลที่จะใช้ในการดำเนินการโครงการพัฒนาต่าง ๆ ในท้องถิ่นหรือไม่ เพียงใด แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า ๒. ส่วนระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินค่าตอบแทน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่กระทรวงมหาดไทยส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรอผลการพิจารณาตามข้อ ๑ ก่อนดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
892 | การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล | นร | 07/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการที่กระทรวงมหาดไทยจะเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบลและบุคลากรขององค์การบริหารส่วนตำบล ขอให้พิจารณาเปรียบเทียบกับค่าตอบแทนของบุคลากรกลุ่มอื่น ๆ ให้สอดคล้องกันด้วย เนื่องจากมีการยึดโยงกันเป็นระบบ โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับไปจัดทำข้อมูลรายละเอียดและเปรียบเทียบค่าตอบแทนของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขต กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และบุคลากรส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า
|
|||||||||||||||||||||||||||
893 | การกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย และขอความเห็นชอบในการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียในเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย | ทส | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้เขตจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดเพชรบุรีซึ่งเป็นพื้นที่ที่องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ แล้ว เป็นเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียตามนัยแห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดการน้ำเสีย พ.ศ. ๒๕๓๘ มาตรา ๓ ๑.๒ ให้ อจน. ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาออกแบบรายละเอียด ก่อสร้าง และบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียในเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย ๑.๓ ให้ อจน. เข้าดำเนินการลงทุนตามนัยแห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดการน้ำเสีย พ.ศ. ๒๕๓๘ มาตรา ๓๐(๑) เพื่อริเริ่มโครงการหรือกิจการต่อเนื่องที่เกี่ยวกับการจัดการน้ำเสีย ๑.๔ การใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงาน ให้ อจน. ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้ อจน. ปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ให้ อจน. ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้ตามความจำเป็นเร่งด่วนและความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามเงื่อนไขของการบริหารจัดการ ๓. ให้ อจน. รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเตรียมความพร้อมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียได้ในระยะยาวต่อไป รวมทั้งการเจรจาทำข้อตกลงร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีส่วนรับผิดชอบในการบริหารจัดการต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
894 | กรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย | กษ | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการอาหารแห่งชาติ เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ใช้กรอบ ยุทธศาสตร์การจัดการอาหารของประเทศไทยนี้ เป็นแนวทางในการจัดทำคำของบประมาณประจำปีได้ทันตั้งแต่ปี งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๑.๒ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำกรอบยุทธศาสตร์ การจัดการด้านอาหารของประเทศไทยผนวกเข้ากับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และให้หน่วย งานต่าง ๆ ใช้เป็นกรอบในการดำเนินงาน รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการอาหารแห่ง ชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนัก งบประมาณ เกี่ยวกับการสนับสนุนการรวมกลุ่มสร้างความเข้มแข็งในการผลิต และการนำผลผลิตทางการเกษตร ไปแปรรูปและต่อยอดการสร้างรายได้ให้ชุมชน การเพิ่มแนวทางดำเนินงาน โดยยกระดับความสามารถของหน่วย งานที่ทำการจัดเก็บรวบรวมและอนุรักษ์ทรัพยากรเชื้อพันธุกรรมพืชและสัตว์ ทั้งที่ได้จากธรรมชาติและจากผลการ วิจัยใหม่ ๆ การเพิ่มกลยุทธ์เกี่ยวกับความปลอดภัยของภาชนะและวัสดุสัมผัสอาหาร การให้ความสำคัญกับการ วางแผนและบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชา สังคมเพื่อให้มีอาหารที่ปลอดภัยเพียงพอต่อประชาชนทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤติ การจัดทำระบบฐานข้อมูล และบัญชีทรัพยากรด้านอาหารที่มีความทันสมัย สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และองค์กรที่เกี่ยว ข้องรวมทั้งเร่งรัดให้มีคลังข้อมูลด้านสาธารณภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การจัดทำแผนปฏิบัติการ ที่สามารถเชื่อมโยงการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบและจัดทำตัวชี้วัดความสำเร็จทั้งในเชิง ภาพรวมของกรอบยุทธศาสตร์และผลการดำเนินงานของหน่วยงานหลักและหน่วยงานตามเป้าหมายและแนวทาง การดำเนินงานที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
895 | โครงการโรงเรียนดีประจำตำบล | ศธ | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินโครงการโรงเรียนดีประจำ
ตำบล ดังนี้ ๑. วัตถุประสงค์ของโครงการฯ เพื่อพัฒนาโรงเรียนในชนบทระดับตำบลให้เป็น “โรงเรียนคุณภาพ” มี ความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งทางด้านวิชาการ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน การพัฒนาสุขภาพอนามัย การเรียนรู้ อาชีพ และกิจกรรมบริการชุมชนอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับนัก เรียนในท้องถิ่นชนบท และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ หรือการมีส่วนร่วมจากชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานนำไปสู่ความเข้มแข็งของโรงเรียนและรองรับการกระจายอำนาจ ๒. เป้าหมายการดำเนินโครงการฯ ประกอบด้วยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ละ ๑ โรงเรียน (ยกเว้นกรุงเทพมหานคร) รวม ๑๘๒ โรงเรียน และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประชาคมร่วมคัดเลือก โรงเรียน ๑ โรงเรียน ๑ ตำบล รวมประมาณ ๗,๐๐๐ ตำบล (โดยจะคัดเลือก ๑,๐๐๐ ตำบล เป้าหมายของการพัฒนา ปี พ.ศ. ๒๕๕๔) และพัฒนาโรงเรียนที่เหลือในปีต่อ ๆ ไป ๓. ภารกิจสำคัญของการพัฒนาโรงเรียนดีประจำตำบล อาทิ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา และจัด การเรียนการสอนที่มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของนักเรียนด้านวิชาการ พื้นฐานอาชีพ ดนตรี กีฬา ศิลปะ และเทคโนโลยี การปลูกฝังคุณลักษณะอันพึงประสงค์และพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับภูมิทัศน์และสิ่งแวด ล้อมให้สะอาด ร่มรื่น และปลอดภัย การจัดระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาอย่างเข้มแข็ง การบริหารจัด การศึกษาแบบมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในชุมชนและในท้องถิ่น รวมทั้งพัฒนาครูและบุคลากรตามแผนพัฒนาราย บุคคล (D-Plan) เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
896 | ผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | นร | 09/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนการระบายน้ำท่วมขังบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา การแก้ไขปัญหาขยะและปัญหาน้ำเน่าเสีย และข้อเสนอวาระแห่งชาติ การฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยและการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเสนอ โดยการแก้ไขปัญหาขยะและปัญหาน้ำเน่าเสีย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) ประสานกระทรวงกลาโหมเพื่อจัดส่งกำลังพลเข้าไปช่วยเร่งดำเนินการจัดเก็บขยะในพื้นที่ประสบภัยหลังน้ำลดให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย ๒. เห็นชอบในหลักการตามมติคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ที่ให้มีกลไกการบูรณะฟื้นฟูความเสียหายจากเหตุอุทกภัยทั้งในส่วนกลางและในจังหวัดต่าง ๆ ประกอบด้วยภาคประชาสังคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคราชการ และภาคเอกชน เพื่อบูรณาการการดำเนินการบูรณะฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้อย่างมีเอกภาพและมีความยั่งยืน ทั้งนี้ การดำเนินการบูรณะฟื้นฟูความเสียหายในแต่ละจังหวัดของส่วนราชการต่าง ๆ มอบหมายให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในแต่ละเขตพื้นที่ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประสานกับศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยในแต่ละจังหวัดซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการศูนย์ เพื่อดำเนินการต่อไป ๓. การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและวาตภัย ๓.๑ เห็นชอบในหลักการที่จะให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและวาตภัยทั้งในส่วนที่เป็นพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการสงเคราะห์และที่ไม่ได้รับการสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางเหมือนกัน ตามอัตราที่เหมาะสมแก่ต้นทุนการเพาะปลูกต่อไร่ ทั้งนี้ ในส่วนของการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรชาวสวนยางดังกล่าวเพิ่มเติม มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือและรวบรวมข้อมูลของเกษตรกรชาวสวนยางที่ประสบภัย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมครั้งต่อไป สำหรับเกษตรกรชาวสวนยางที่เพาะปลูกในพื้นที่ลาดเชิงเขาซึ่งอาจมีปัญหาเกี่ยวกับเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ เป็นต้น เพื่อกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งการบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูกให้เหมาะสม ถูกต้อง ตามระเบียบหลักเกณฑ์และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓.๒ ให้ คชอ. ประสานกับสภาอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางให้ความช่วยเหลือชาวสวนยางที่ต้นยางได้รับผลกระทบเสียหายจากอุทกภัยและวาตภัยที่เกิดขึ้น เช่น การขอความร่วมมือให้ภาคเอกชนเข้ามารับซื้อต้นยางที่โค่นล้มเพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ อื่น ๆ ต่อไป เป็นต้น ๔. อนุมัติในหลักการให้จ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยในภาคใต้เพิ่มเติมครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเร่งสำรวจและรวบรวมข้อมูลความเสียหายของผู้ประสบอุทกภัยและวาตภัยในภาคใต้โดยด่วน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในคราวประชุมครั้งต่อไป ๕. ให้กระทรวงการคลัง (กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา) และกระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความ ช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่บุตรหลานของผู้ประสบอุทกภัยและวาตภัยให้สามารถศึกษาต่อไปได้โดยไม่ต้องยุติการศึกษากลางคัน ๖. อนุมัติขยายกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (กรอบวงเงิน ๒๓๘.๘๓๒ ล้านบาท) ที่เหลืออยู่จำนวน ๑๓๒.๖๓๘ ล้านบาท ในการจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในภาคใต้ โดยให้กระทรวงมหาดไทยซื้อเรือท้องแบนอลูมิเนียม ๓๐ ลำ เรือท้องแบนไฟเบอร์กลาส ๑๘๓ ลำ เรือพาย ๔,๑๖๐ ลำ เครื่องยนต์เรือหางสั้น ๑๓๐ เครื่อง เครื่องยนต์เรือหางยาว ๒๐ เครื่อง เครื่องสูบน้ำ ๕๗ เครื่อง สุขาเคลื่อนที่ ๔๐๐ หลัง โดยขอตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ และดำเนินการต่อไปได้ โดยหากมีกรอบวงเงินเหลืออยู่อีกให้พิจารณาตามความจำเป็นเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ การจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ดังกล่าวให้นำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ภาคใต้เป็นลำดับแรก ๗. การให้ความช่วยเหลือด้านประมงและปศุสัตว์ ๗.๑ เห็นชอบในหลักการให้กรมปศุสัตว์ดำเนินการตามโครงการเพิ่มความมั่นคงด้านเสบียงสัตว์ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยผลิตหญ้าแห้งเพิ่มเติมจากเป้าหมายในการผลิตเดิม(จำนวน ๔,๔๐๐ ตัน) อีกจำนวน ๑,๐๐๐ ตัน โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากหมวดค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ รวมทั้งสิ้น ๕,๐๑๑,๔๐๐ บาท ตามมติของ คชอ. ๗.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือชดเชยแก่ผู้ได้รับความเดือดร้อนกรณีเรือและเครื่องมืออุปกรณ์การจับปลาที่ได้รับความเสียหาย และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๗.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการช่วยเหลือชดเชยแก่ผู้เป็นเจ้าของเครื่องมือจับปลาแบบโพงพางและไซนั่งในพื้นที่โดยรอบทะเลสาบสงขลา เพื่อจูงใจให้สามารถแก้ไขปัญหาการทำประมงและจัดระเบียบการใช้พื้นที่โดยรอบทะเลสาบสงขลาได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากเครื่องมือจับปลาดังกล่าวมีส่วนทำให้สัตว์น้ำสูญพันธุ์และทำลายระบบนิเวศของทะเลสาบเป็นจำนวนมาก
|
|||||||||||||||||||||||||||
897 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 02/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมและลำดับความเร่งด่วนทั้งในส่วนของงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วที่ยังไม่มีการก่อหนี้ผูกพัน เพื่อนำงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไปใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบภัยในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งเพื่อการก่อสร้างซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย ๒. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยสรุปดังนี้ ๒.๑ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ รวมทั้งรับทราบความก้าวหน้าและแนวทางการดำเนินการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พ.ศ. ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒.๒ อนุมัติการขยายระยะเวลาลงนามในสัญญา การจัดสรรเงิน และการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน ให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป และอนุมัติเป็นหลักการสำหรับโครงการเงินอุดหนุนสำหรับการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (วงเงิน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท) ให้ขยายเวลาลงนามในสัญญาเป็นภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ๒.๓ อนุมัติเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในส่วนของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด (จังหวัดน่าน แพร่ เชียงราย เชียงใหม่ ราชบุรี นครปฐม กาญจนบุรี สกลนคร มุกดาหาร พังงา ตาก ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ) กระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๒.๔ ในส่วนของการดำเนินโครงการใหม่ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๑๙ โครงการ วงเงินรวม ๔,๒๓๕.๕๙ ล้านบาท และโครงการเดิมที่กระทรวงการคลังกำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องจัดส่งคำขอการจัดสรรเงินพร้อมเอกสารรายละเอียดประกอบที่ครบถ้วนให้สำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ นั้น ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งพิจารณาทบทวนความจำเป็นเร่งด่วนและความเหมาะสมของโครงการเพื่อนำงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไปใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบภัยในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งเพื่อการก่อสร้างซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานและสถานที่ราชการต่าง ๆ ตามนัยหลักการที่นายกรัฐมนตรีเสนอ และให้แจ้งยืนยันผลการพิจารณาทบทวนพร้อมส่งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้สำนักงบประมาณภายใน ๓ วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้สำนักงบประมาณเร่งพิจารณาก่อนนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ โครงการใดที่หน่วยงานเจ้าของโครงการยังคงยืนยันขอจัดสรรเงินตามโครงการเดิมให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่กระทรวงการคลังกำหนด |
|||||||||||||||||||||||||||
898 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม และพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์ เพื่อทำเหมืองแร่ ของนายรังสรรค์ ตันตระกูล ที่จังหวัดชัยนาท | อก | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บีเอ็ม และพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์ เพื่อทำเหมืองแร่หินอ่อนและหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของนายรังสรรค์ ตันตระกูล ตามคำขอที่ ๒/๒๕๔๘ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๓๕ และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เห็นควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งวางแนวทางการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อประกอบการให้สัมปทานบัตรในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไปดำเนินการ รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ที่ว่า ถ้าไม่มีเหตุผลความจำเป็นพิเศษก็ไม่ควรให้มีการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
899 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประจำปี 2552 | นร | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอรายงานผลการปฏิบัติงานของ
คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประจำ ปี ๒๕๕๒ สรุปได้ดังนี้ ๑. ให้คำแนะนำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปก ครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ๒. เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองโดยจัดฝึกอบรม ข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อเป็นวิทยากรออกเผยแพร่ความรู้ตามที่หน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ร้องขอทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องตลอดมา สำหรับในปี ๒๕๕๒ ได้จัดวิทยากรไป บรรยายให้แก่กรมการพัฒนาชุมชน กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมการปกครอง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช สำนักงานจังหวัดฉะเชิงเทรา และสำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งได้จัด เจ้าหน้าที่ไว้ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์แก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐและประชาชนที่ต้องการปรึกษาปัญหา เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง นอกจากนี้ ได้จัดพิมพ์เอกสารเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎ หมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐและประชาชนที่สนใจ
|
|||||||||||||||||||||||||||
900 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา ที่จังหวัดยะลา | อก | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา ตามคำขอที่ ๓/๒๕๔๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เห็นว่า พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี จัดเป็นป่าต้นน้ำในการดำเนินการจึงต้องระมัดระวังในเรื่องผลกระทบคุณภาพน้ำ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ส่วนขั้นตอนในการอนุมัติประทานบัตร เห็นควรให้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างของห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๑/๒๕๔๗ (ประทานบัตรที่ ๑๒๓๓๗/๑๕๒๗๒) ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๓/๒๕๔๗ (ประทานบัตรที่ ๓๑๕๓๐/๑๕๒๓๖) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา ตั้งอยู่ที่ตำบลลิดล อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย และเห็นควรวางแนวทางการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อประกอบในการให้สัมปทานบัตรในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
.....