ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 44 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 861 - 880 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
861 | รายงานความก้าวหน้าโครงการจัดการน้ำชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ในพื้นที่นอกเขตชลประทานโดยชุมชนอย่างยั่งยืน 84 แห่ง | วท | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) รายงานความก้าวหน้าโครงการจัดการน้ำชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ในพื้นที่นอกเขตชลประทานโดยชุมชนอย่างยั่งยืน ๘๔ แห่ง สรุปผลการดำเนินงานได้ ดังนี้
๑. โครงสร้างของการบริหารจัดการน้ำชุมชน บริหารจัดการน้ำโดยชุมชนเป็นเจ้าของในการพัฒนาโครงสร้างน้ำ รวมทั้งวางแผนบนพื้นฐานของการพึ่งตนเองและประสานการทำงานร่วมกับ สสนก. และเครือข่ายความร่วมมือและวิชาการ ๒. โครงสร้างและหน้าที่ แบ่งการรับผิดชอบเป็น ๓ องค์ประกอบ ได้แก่ ๒.๑ สสนก. ทำหน้าที่บริหารโครงการและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการจัดการน้ำ ๒.๒ เครือข่ายความร่วมมือและเครือข่ายความรู้และวิชาการ ทำหน้าที่ประสานงานและปฏิบัติงานร่วมกับชุมชน ๒.๓ ชุมชน ประกอบด้วย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และคณะกรรมการน้ำชุมชน/หมู่บ้าน ทำหน้าที่ดำเนินงานโครงการ ๓. การดำเนินงานมี ๔ ระยะ ได้แก่ ๓.๑ ระยะที่ ๑ รวบรวมข้อเท็จจริงและสรุปสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไข ๓.๒ ระยะที่ ๒ เขียนแผนงานและจัดทำโครงการ ๓.๓ ระยะที่ ๓ ติดตาม ประเมิน ทบทวน ขยายผล ๔. ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ ๘๔ แห่ง ประกอบด้วย ภาคเหนือ ๓๗ แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๒๕ แห่ง ภาคกลาง ๑๑ แห่ง และภาคใต้ ๑๑ แห่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
862 | ยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา | ศธ | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการ/แนวคิด ยุทธศาสตร์และกลไกการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษาในระดับขั้นพื้นฐานและการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ตามกรอบแนวทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๖๑) ที่ให้นำเครื่องมือทางการเงินมาเป็นกลไกในการปรับประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรทางการศึกษา และให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ตามกรอบหลักการแนวคิดยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา รวมทั้งให้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา เพื่อดำเนินงานตามกรอบหลักการ/แนวคิด และยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการ คปร. เกี่ยวกับการสนับสนุนงบประมาณให้กับกองทุนเงินให้เปล่าสำหรับผู้เรียนด้อยโอกาส/ยากจน และค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาอื่น ๆ ตามยุทธศาสตร์การเงินการคลังเพื่อการศึกษาขั้นพื้นฐานและเพื่อการอุดมศึกษา อาจส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณ กระทรวงศึกษาธิการควรประเมินผลกระทบจากการปฏิรูปการจัดการศึกษาต่องบประมาณรายจ่ายด้านการศึกษา และดำเนินการปฏิรูปโดยใช้ทรัพยากรในการจัดการศึกษาที่มีอยู่เดิมก่อน ส่วนการถ่ายโอนกิจการด้านการจัดการศึกษาควรพิจารณาถึงความพร้อมในการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่อคุณภาพการให้บริการซึ่งมีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว นอกจากนี้ การปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ และกำหนดแนวทางดำเนินงานอย่างเป็นขั้นตอนและสอดคล้องกับทุกฝ่าย เนื่องจากผู้เรียนยังไม่มีความรู้เพียงพอที่จะเลือกสถานศึกษาได้ด้วยตนเอง รวมทั้งควรดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรด้านการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล โดยมีการระดมทรัพยากรและทุน มีการจัดสรร การติดตาม ประเมินผลและการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะกลไกเชิงระบบการติดตามและประเมินประสิทธิภาพประสิทธิผลและความคุ้มค่าในด้านการดำเนินงาน (Performance Audit) ด้านการบริหารจัดการ (Management Audit) และด้านการเงิน (Financial Audit) เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรทางการศึกษาของสถานศึกษาส่งผลถึงผู้เรียนให้ได้รับบริการการศึกษาที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่ายุทธศาสตร์แต่ละด้านที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ เป็นเพียงกรอบในการดำเนินการ ซึ่งยังไม่มีรายละเอียด ดังนั้น ในขั้นการแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำรายละเอียด แนวทางการดำเนินการที่ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งก่อนดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
863 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินงานตามแผนปฏิรูปประเทศไทย กระทรวงมหาดไทย | นร | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กระดับตำบลแห่งละ ๒ ล้านบาท จำนวน ๙๙ แห่ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๙๘ ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รายการงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงิน ๑.๒ อนุมัติหลักการในการใช้สถานที่โรงเรียนขนาดเล็กมาดำเนินการเป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในระดับตำบล โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงมหาดไทยภายใต้การกำกับดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กระดับตำบล ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเสนอขอตั้งค่าใช้จ่ายไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามขั้นตอนต่อไป ส่วนการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กระดับตำบลที่ยังไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนในครั้งนี้ จำนวน ๓๐๘ แห่ง ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งสำรวจความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละแห่ง โดยอาจขอความร่วมมือการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจากภาคเอกชนในพื้นที่หรือประสานกับกระทรวงศึกษาธิการเพื่อใช้สถานที่โรงเรียนขนาดเล็กที่ไปหลอมรวมเป็นโรงเรียนดีประจำตำบลมาดำเนินการเป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในระดับตำบลในสังกัดของ อปท. ต่อไป และหากไม่ได้รับการสนับสนุนในการดำเนินการดังกล่าว ก็ให้เสนอขอตั้งค่าใช้จ่ายไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ กรณีโรงเรียนดีประจำตำบลแห่งใดที่มีความพร้อมและได้รับการสนับสนุนจาก อปท. ก็ให้พิจารณาจัดตั้งเป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กระดับตำบลด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
864 | การปรับปรุงซ่อมแซมระบบบำบัดน้ำเสียและระบบกำจัดขยะมูลฝอยที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย | ทส | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติยให้กระทรวงมหาดไทยรับเรื่อง การปรับปรุงซ่อมแซมระบบบำบัดน้ำเสียและระบบกำจัดขยะมูลฝอยที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ไปประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบข้อมูลและเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมระบบบำบัดน้ำเสียและระบบกำจัดขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ยังไม่ได้ดำเนินการหรืออยู่ระหว่างดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเองเป็นลำดับแรก และหากมีความจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม ก็ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณตามโครงการช่วยเหลือฟื้นฟูความเสียหายจากภัยพิบัติด้านอุทกภัยของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยให้เสนอขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
865 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของนายนิคม สังฆรักษ์ (นายนิธิรักษ์ สังฆรักษ์ ผู้สืบสันดานของนายนิคม สังฆรักษ์) ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช | อก | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของนายนิคม สังฆรักษ์ (นายนิธิรักษ์ สังฆรักษ์ ผู้สืบสันดานของนายนิคม สังฆรักษ์) ตามคำขอที่ ๖/๒๕๔๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้ความสำคัญกับมาตรการรักษาคุณภาพน้ำอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพน้ำท่าในบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ที่ทำเหมืองแร่ รวมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ เป็นเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรและกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวโดยเคร่งครัด และข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้นที่ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือสุขอนามัยของประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนหรือกระบวนการตรวจสอบ กำกับดูแลเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมจากการที่ผู้ขอประทานบัตรรายงานส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และในการทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าวจะต้องแจ้งให้ อปท. เจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้นที่ซึ่งอาจมีผลกระทบได้ทราบว่ามีกองทุนสุขภาพอนามัยในช่วงการทำเหมืองหินอุตสาหกรรมเพื่อประกันความเสี่ยงสุขภาพของประชาชนในพื้นที่หรือบริเวณใกล้เคียงและแสดงผลการดำเนินงานกองทุนให้ อปท. ทราบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
866 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด วังศิลา ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช | อก | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยขน์ในพื้นที่ป่าไม้) เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด วังศิลา ตามคำขอที่ ๗/๒๕๔๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตาสหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้ความสำคัญกับมาตรการรักษาคุณภาพน้ำอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพน้ำท่าในบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ที่ทำเหมืองแร่ รวมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ เป็นเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรและกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวโดยเคร่งครัด และข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้นที่ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือสุขอนามัยของประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนหรือกระบวนการตรวจสอบ กำกับดูแลเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมจากการที่ผู้ขอประทานบัตรรายงานส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และในการทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าวจะต้องแจ้งให้ อปท. เจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้นที่ซึ่งอาจมีผลกระทบได้ทราบว่ามีกองทุนสุขภาพอนามัยในช่วงการทำเหมืองหินอุตสาหกรรมเพื่อประกันความเสี่ยงสุขภาพของประชาชนในพื้นที่หรือบริเวณใกล้เคียงและแสดงผลการดำเนินงานกองทุนให้ อปท. ทราบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
867 | (ร่าง) แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555 - 2559 | กก | 15/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
๑. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ และให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนงานด้านการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติเสนอ โดย (ร่าง) แผนพัฒนาการท่องเที่ยวฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มีขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในระดับโลก รวมทั้งสามารถสร้างรายได้และกระจายรายได้ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่
๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการท่องเที่ยว ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การพัฒนาและฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืน ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนาสินค้า บริการ และปัจจัยสนับสนุนการท่องเที่ยว ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การสร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมการท่องเที่ยว ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการทรัพยากรการท่องเที่ยว ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการสร้างจุดขายใหม่ด้านการท่องเที่ยวโดยตั้งเป้าให้เป็น Hospitality and Wellness Center of the World เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวระดับบน การกำหนดเป้าหมายด้านรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งการเพิ่มระยะการพำนักและค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยวแทนการเพิ่มยอดนักท่องเที่ยว การให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนในสาขาท่องเที่ยวโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนามัคคุเทศก์ให้ได้มาตรฐานทั้งทักษะด้านภาษาต่างประเทศ ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย การให้ความสำคัญต่อมาตรการกำกับดูแล ไม่พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างไร้ทิศทาง และไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และเอกลักษณ์ของท้องถิ่น รวมทั้งการให้ความสำคัญต่อการสอดส่องดูแลและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับโฆษณาชวนเชื่อที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ด้านลบของการท่องเที่ยวไทย การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร การพัฒนาสินค้าและกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ ๆ เพื่อสร้างความโดดเด่นในระดับภูมิภาค และการให้ความสำคัญกับการสร้างทางเลือกใหม่ ๆ ให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณตามแผนพัฒนาด้านการท่องเที่ยวฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับการใช้จ่ายงบประมาณ (Redeploy) ของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรในแต่ละปีงบประมาณให้สอดคล้องตามแผนพัฒนาด้านการท่องเที่ยวฯ เป็นลำดับแรก และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานเจ้าภาพในการบูรณาการการจัดทำความต้องการงบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการจัดทำงบประมาณที่ซ้ำซ้อนหรือการใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่คุ้มค่า รวมทั้งกำหนดวงรอบในการติดตามและประเมินผลที่ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
868 | รายงานผลการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล เรื่อง การสร้างหลักประกันด้านรายได้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ (การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ) | นร | 15/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ปคค.) รายงานผลการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล เรื่อง การสร้างหลักประกันด้านรายได้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ (การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ) สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณตามโครงการสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุ งวดที่ ๑ เป็นเงิน ๑๕,๕๓๔,๑๕๖,๐๐๐ บาท ซึ่งกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้มีหนังสือถึงจังหวัดเพื่อจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โครงการสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุ เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในงวดที่ ๑ จำนวน ๖ เดือน (ตุลาคม ๒๕๕๓ - มีนาคม ๒๕๕๔) จำนวน ๕,๑๗๘,๐๕๒ คน เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๕,๕๓๔,๑๕๖,๐๐๐ บาท พร้อมแนวทางปฏิบัติ ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุไปแล้ว ๔ เดือน (ตุลาคม ๒๕๕๓ - มกราคม ๒๕๕๔) ๒. กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ในการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ วงเงิน ๖,๗๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดให้ผู้สูงอายุทั้ง ๗๕ จังหวัดแสดงความประสงค์เพื่อขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจนถึงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ๓. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ว่าจ้างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังดำเนินโครงการศึกษาการปรับปรุงรูปแบบการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุโดยประยุกต์ใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและพัฒนาระบบต้นแบบ และได้นำเสนอผลการศึกษาต่อที่ประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๔ ซึ่งที่ประชุมมีมติให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบภารกิจเรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเป็นส่วนราชการเจ้าของงบประมาณจัดทำงบประมาณในรูปแบบเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเพื่อใช้จ่ายในโครงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นการเฉพาะ รวมทั้งพัฒนารูปแบบการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในรูปแบบการจ่ายเบี้ยยังชีพผ่านระบบธนาคารไปยังผู้สูงอายุโดยตรง โดยให้ดำเนินการลักษณะเป็นโครงการนำร่องในเทศบาลหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ที่มีสถาบันทางการเงินให้บริการในพื้นที่ ตลอดจนพัฒนากระบวนการการลงทะเบียนและการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุโดยการเชื่อมโยงข้อมูลเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก โดยใช้ระบบ Off Line ข้อมูลจากบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์จากระบบทะเบียนราษฎร์ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
869 | ขออนุมัติแผนการก่อสร้างสนามกีฬาอำเภอและตำบล | กก | 15/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการแผนการก่อสร้างสนามกีฬาอำเภอและตำบล (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ประกอบด้วย แผนการก่อสร้างสนามกีฬาระดับอำเภอ ๖๙๐ อำเภอ วงเงิน ๑๖,๕๖๐ ล้านบาท และแผนการก่อสร้างสนามกีฬาระดับตำบล ๑,๑๑๔ ตำบล วงเงิน ๑๓,๓๖๘ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการก่อสร้างสนามกีฬาและแผนการใช้จ่ายเงินตามลำดับความสำคัญและจำเป็น รวมทั้งประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมให้ความเห็นในการเลือกใช้สถานที่ก่อสร้างที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจัดทำแผนการถ่ายโอนสนามกีฬาที่ก่อสร้างแล้วเสร็จให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบริหารจัดการและใช้ประโยชน์ต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงมหาดไทย ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการจัดทำแผนการถ่ายโอนสนามกีฬาอำเภอและตำบลที่ก่อสร้างแล้วเสร็จให้แก่ อปท. เพื่อให้ อปท. มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการด้านกีฬา จัดทำแผนสนับสนุนงบประมาณให้แก่ อปท. ที่รับถ่ายโอนภารกิจสนามกีฬาสำหรับการบำรุงรักษา การจัดหาอุปกรณ์กีฬา และออกกำลังกาย และครูผู้ฝึกสอนกีฬา รวมทั้งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือแนะนำทางเทคนิควิชาการเพื่อให้ อปท. ที่รับโอนภารกิจสนามกีฬาสามารถดำเนินการได้อย่างมีมาตรฐานและมีคุณภาพเท่าเทียมระดับสากล นอกจากนี้ ให้ อปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่หาแนวทางในการปลูกฝังและรณรงค์ให้ประชาชนรักการออกกำลังกายและเห็นถึงความสำคัญของการเล่นกีฬามากกว่ามุ่งเน้นพัฒนาแต่โครงสร้างพื้นฐาน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
870 | โครงการเมืองต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืน พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตกของอ่าวไทย ชะอำ-หัวหิน เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 | มท | 08/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการพัฒนาเมืองต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืน พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตกของอ่าวไทย ชะอำ - หัวหิน โดยมีนายดิสธร วัชโรทัย รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นที่ปรึกษา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และปลัดกระทรวงมหาดไทยและปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและแนวทางการดำเนินงานโครงการเมืองต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนฯ จัดทำแผนแม่บทการดำเนินโครงการและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งเสนอโครงการหรือกิจกรรมที่จะดำเนินการในพื้นที่โครงการที่เกินอำนาจหน้าที่และขีดความสามารถที่ท้องถิ่นจะสนับสนุนดำเนินการได้ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้เพิ่มผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการฯ ด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับการนำตราสัญลักษณ์เฉลิมพระเกียรติไปใช้ในกิจกรรมของโครงการ ให้นำไปใช้ด้วยความระมัดระวัง เหมาะสมและสมพระเกียรติ และในการจัดทำรายละเอียดโครงการ ควรให้ความสำคัญกับแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงวิถีชีวิต วัฒนธรรม สู่ความเป็นเอกลักษณ์ของเมือง และให้น้ำหนักกับการบริหารจัดการมากกว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและแนวพระราชดำริที่ได้พระราชทานไว้ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มาใช้ โดยเฉพาะโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นต้นแบบของการพัฒนาในรูปแบบการบูรณาการอย่างสมดุลและยั่งยืน นอกจากนี้ เพื่อให้การดูแลบำรุงรักษาสิ่งสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ เป็นไปอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดิมเข้าสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ควรมีการจัดทำแผนถ่ายโอนภารกิจและทรัพย์สินที่ชัดเจนและมีการนำแผนไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
871 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ (การจัดการน้ำและโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) | มท | 08/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามพระราชดำริในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ (การจัดการน้ำและโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงมหาดไทยได้ศึกษาค้นคว้า รวบรวมแนวคิด ทฤษฎี หลักการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริ และประชุมสัมมนาร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญจากส่วนราชการ/หน่วยงานในการบริหารจัดการน้ำ และนำมาเรียบเรียงจัดทำหนังสือการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นคู่มือให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศใช้ศึกษาและเป็นแนวทางปฏิบัติงาน รวมทั้งประกอบการจัดทำแผนงาน/โครงการการบริหารจัดการน้ำอย่างมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในพื้นที่ นอกจากนี้ ได้นำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการน้ำ เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง เช่น ระบบการเตือนภัยและติดตามสถานการณ์น้ำ โครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีเพื่อการจัดการน้ำ และการปรับปรุงจัดการน้ำในระดับเมือง และระดับชุมชน ๒. การดำเนินงานตามโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มขนาดเล็กอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้ศึกษา ค้นคว้า วิจัยและพัฒนา และตั้งโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มขนาดเล็กที่ใช้เงินลงทุนต่ำเพื่อสกัดน้ำมันปาล์มดิบจำหน่าย และนำผลพลอยได้ไปใช้ประโยชน์พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันของสมาชิกสหกรณ์นิคมอ่าวลึก จำกัด ได้รับประโยชน์จำนวน ๓,๙๘๐ ครัวเรือน ส่วนสหกรณ์นิคมอ่าวลึก จำกัด ได้จัดทำโครงการปรับปรุงโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทั้งนี้ โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มของสหกรณ์ใช้น้ำมันปาล์มดิบในการทอดผลปาล์มตามกระบวนการผลิตเฉลี่ย ๔๐๐ ลิตร/รอบการผลิต สหกรณ์จึงมีโครงการผลิตไบโอดีเซลเป็นพลังงานทดแทนโดยใช้น้ำมันปาล์มดิบที่ใช้แล้วมาเป็นวัตถุดิบ ๓. การดำเนินงานตามโครงการจัดพัฒนาที่ดินฯ ตามพระราชประสงค์หุบกะพง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ศูนย์สาธิตสหกรณ์โครงการหุบกะพงได้ดำเนินการการปฏิรูปที่ดินโดยการพัฒนาที่ดินว่างเปล่า จัดสรรให้เกษตรกรที่ไม่มีที่ดินในการเพาะปลูกเป็นของตนเองประกอบอาชีพตามวิธีการเกษตรแผนใหม่ แต่ไม่ให้กรรมสิทธิ์ในการถือครองที่ดิน และได้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับการจัดสรรที่ดินจัดตั้งเป็นสหกรณ์การเกษตรโดยใช้หลักและวิธีการสหกรณ์แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับสมาชิกตั้งแต่เริ่มการผลิตจนถึงการจำหน่ายออกสู่ตลาด ส่วนสหกรณ์การเกษตรหุบกะพง จำกัด ได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการเลี้ยงไก่ไข่ระบบปิด โครงการปลูกป่านศรนารายณ์ โครงการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง โครงการสวนทับทิมไทย-อิสราเอล เป็นต้น สำหรับปัญหาเรื่องน้ำ การประกอบอาชีพ สังคมและสิ่งแวดล้อม กรมชลประทานได้ดำเนินการขุดลอกเพื่อขยายความจุของอ่างเก็บน้ำ การขอรับการสนับสนุนการทำฝนหลวงในพื้นที่ รวมทั้งการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหา เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
872 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2554 - 2556) ภายใต้แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ พ.ศ. 2552 - 2556 | มท | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖) ภายใต้แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ได้แจ้งมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และจัดส่งแผนปฏิบัติการและงบประมาณฯ ให้หน่วยงานต่าง ๆ เพื่อดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงบประมาณเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณแก่หน่วยงานที่ร่วมบูรณาการตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณฯ ต่อไป ๑.๒ ให้หน่วยงานที่ร่วมบูรณาการทั้ง ๘๑ หน่วยงาน พิจารณาดำเนินการตามแนวทางการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการและงบประมาณฯ ไปสู่การปฏิบัติ โดยให้นำแผนงาน/โครงการตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณฯ ไปบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติราชการ ๔ ปี และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณดำเนินการต่อไป รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ส่งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๒. กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ได้รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปดำเนินการครบถ้วนทุกประการแล้ว ดังนี้ ๒.๑ ขั้นตอนการจัดทำแผนปฏิบัติการและงบประมาณฯ ได้บูรณาการร่วมกับกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศแล้ว ซึ่งได้แจ้งว่าไม่มีแผนงาน/โครงการที่รองรับกิจกรรมตามแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ (ระยะ ๕ ปี) แต่ยินดีให้การสนับสนุนอย่างเต็มขีดความสามารถหากเกิดภัยพิบัติขึ้น ๒.๒ จัดทำคู่มือเตรียมความพร้อมรับภัยจากคลื่นสึนามิของชุมชน และคู่มือชาวบ้านการปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากคลื่นสึนามิ โดยแจกจ่ายให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เสี่ยงภัยคลื่นสึนามิ ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ ๒.๓ กำหนดบรรจุโครงการสร้างระบบประเมินการเกิดคลื่นสึนามิและบูรณาการระบบการเตือนภัยคลื่นสึนามิของประเทศไทย วงเงิน ๖๗ ล้านบาท ไว้ในแผนปฏิบัติการและงบประมาณฯ โดยจะขอตั้งงบประมาณดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
873 | รายงานประจำปี 2552 (คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) | นร | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการปฏิบัติงานการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ประกอบด้วย ๑.๑ การกระจายอำนาจด้านภารกิจ อำนาจหน้าที่ ได้แก่ ๑.๑.๑ การบริหารแผนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. (ฉบับที่ ๒) ด้านการถ่ายโอนภารกิจ ๑.๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาของ อปท. ในระดับอาชีวศึกษา ๑.๑.๓ ผลการดำเนินงานของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาของ อปท. ให้แก่สถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ๑.๑.๔ การจัดการศึกษาเด็กที่มีลักษณะพิเศษในโรงงานสังกัด อปท. ๑.๒ การกระจายอำนาจด้านการเงิน การคลัง และงบประมาณ ได้แก่ ๑.๒.๑ การปรับปรุงรายได้ของ อปท. ๑.๒.๒ การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรรายได้ของ อปท. ๑.๒.๓ การจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่ อปท. ๑.๒.๔ เรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณ ๑.๓ การถ่ายโอนบุคลากรให้แก่ อปท. ๑.๔ การดำเนินการแก้ไขกฎหมาย ได้แก่ ๑.๔.๑ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ๑.๔.๒ การจัดทำหรือปรับปรุงกฎหมาย ๑.๕ การจัดตั้ง อปท. รูปแบบพิเศษ ๒. ผลการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ประกอบด้วย ๒.๑ การติดตามประเมินผล ๒.๑.๑ การตรวจติดตามสถานศึกษาที่ถ่ายโอนให้แก่ อปท. ๒.๑.๒ การตรวจติดตามการถ่ายโอนสนามกีฬาให้แก่ อปท. ๒.๒ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ๒.๓ การดำเนินงานตามมติ กกถ. ได้แก่ ๒.๓.๑ การฝึกอบรมหลักสูตรการเตรียมความพร้อมในการรับโอนภารกิจของ อปท. สำหรับผู้บริหาร อปท. ๒.๓.๒ การให้ความรู้การกระจายอำนาจแก่เครือข่ายภาคประชาชนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๒.๓.๓ การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอนการเมืองการปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย ๒.๓.๔ การเสริมสร้างความรู้การกระจายอำนาจแก่วิทยุชุมชน ๒.๓.๕ การเสริมสร้างความรู้ด้านกฎหมายท้องถิ่นและเทคนิคการจัดทำข้อบัญญัติท้องถิ่น ๒.๓.๖ การสัมมนาประเด็นการกระจายอำนาจ เรื่อง ทิศทางขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) กับการจัดบริการสาธารณะที่มีมาตรฐานสู่การสร้างนวัตกรรมการให้บริการ ๒.๓.๗ การประชุมชี้แจงแนวทางปฏิบัติในการบริหารจัดการศูนย์อบรมเด็กก่อนระดับประถมศึกษาในศาสนสถาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
874 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2554 | นร | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔ ซึ่งได้มีการพิจารณาผลการศึกษาเบื้องต้นศักยภาพในการรองรับอุตสาหกรรมของพื้นที่มาบตาพุด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการ รศก. ดังนี้ ๒.๑ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการ รศก. ไปประกอบการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑.๑ ให้กรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดประเภทอุตสาหกรรม/กิจกรรมที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ โดยเฉพาะสารอินทรีย์ระเหยง่ายให้แล้วเสร็จภายใน ๒ สัปดาห์ ๒.๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) พิจารณาทบทวนนโยบายและมาตรการการส่งเสริมการลงทุนสำหรับอุตสาหกรรม/กิจกรรมประเภทต่าง ๆ ในพื้นที่มาบตาพุด ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะต้องส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม/กิจกรรมใหม่ที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ หรืออุตสาหกรรม/กิจกรรมเดิมที่ใช้เทคโนโลยีในการลดมลพิษโดยเฉพาะสารอินทรีย์ระเหยง่าย ๒.๑.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอนุมัติ อนุญาต การลดและขจัดมลพิษ และสนับสนุนให้มีการออกกฎหมายสำหรับควบคุมสารอินทรีย์ระเหยง่ายจากแหล่งกำเนิดที่ยังไม่มีมาตรฐานควบคุม ๒.๑.๔ ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเร่งประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ จังหวัดระยอง เพื่อศึกษาศักยภาพและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมพื้นที่จังหวัดระยอง และเสนอแนะแนวทางเลือกที่เหมาะสมบนพื้นฐานการยอมรับของประชาชนและศักยภาพการรองรับของพื้นที่ ๒.๒ ให้มีศูนย์อำนวยการระดับพื้นที่ ซึ่งประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองเป็นประธาน ผู้แทนระดับสูงที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาอุตสาหกรรมในมาบตาพุดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติงานประจำที่ศูนย์อำนวยการระดับพื้นที่ อย่างน้อย ๓ ปี เพื่อทำหน้าที่ (๑) ควบคุมให้มีการดำเนินการตามมาตรการควบคุมมลพิษอย่างเข้มงวด (๒) กำกับให้โรงงาน/กิจการทุกประเภทมีการปฏิบัติตามมาตรการการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม [Environmental Impact Assessment (EIA)] กฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด (๓) สนับสนุนให้เกิดเครือข่ายระหว่างชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นักวิชาการและภาครัฐ เพื่อเฝ้าระวังมลพิษ (๔) ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจในการดำเนินงานให้ทุกภาคส่วนทราบ (๕) แก้ไขปัญหาการปนเปื้อนมลพิษทางอากาศและทางน้ำ รวมถึงปัญหาด้านสาธารณสุขและการศึกษา และรายงานต่อคณะอนุกรรมการติดตามรายงานผลการแก้ไขปัญหาในพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง ซึ่งมีเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อดำเนินการติดตามแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงมหาดไทยจัดทำรายละเอียดของอำนาจหน้าที่และการจัดตั้งศูนย์อำนวยการฯ และนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ รศก. พิจารณา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
875 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 พ.ศ. .... | นร | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม โดยได้มีการพิจารณาทบทวนรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อคัดเลือกโครงการหรือรายการที่เป็นงบลงทุนตามลำดับความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูความเสียหายและมีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ จำนวน ๙,๙๐๐ ล้านบาท รวมทั้งการกำหนดยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณและโครงสร้างแผนงานเพื่อรองรับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติของหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ และแผนงานฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยพิบัติ ทั้งนี้ รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วย งบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน ๘๔,๑๔๒.๖ ล้านบาท งบประมาณรายจ่ายเป็นเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๕,๙๕๗.๔ ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยยังชีพผู้พิการหรือทุพพลภาพ และงบประมาณรายจ่ายสำหรับส่วนราชการในการฟื้นฟูความเสียหายและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ จำนวน ๙,๙๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ พ.ศ. .... พร้อมเอกสารงบประมาณ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินงานและระยะเวลาที่ได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับข้อพิจารณาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ แล้ว ๑.๔ คำของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานนั้น ๆ ๒. ให้นำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว พร้อมเอกสารงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
876 | การแก้ไขสัญญาสัมปทานของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ตามแนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 | ทก | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขสัญญาสัมปทานของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ตามแนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สัญญาร่วมลงทุนจัดตั้งโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงตามเส้นทางรถไฟ ระหว่างบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท คอม - ลิงค์ จำกัด ได้แก่ การแก้ไขสัญญาเพิ่มเติม/การจัดทำข้อตกลงแนบท้ายสัญญา (จำนวน ๒ ครั้ง) ๑.๑.๑ การจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ ๑ เรื่อง เปลี่ยนแปลงที่อยู่ในการส่งหนังสือ หรือคำบอกกล่าว และการแก้ไขปรับปรุงจุดเชื่อมโยงระบบของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อลดความหนาแน่นของปริมาณ Traffic (เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖) ๑.๑.๒ การจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ ๒ เรื่อง การติดตั้งวงจรเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยงระบบเคเบิลใยแก้วนำแสงตามเส้นทางรถไฟภายในท้องถิ่น และการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณส่วนแบ่งรายได้เฉพาะส่วนท้องถิ่น (เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๔) ๑.๒ สัญญาร่วมลงทุนสร้างโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำระหว่างบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กับบริษัท จัสมิน ซับมารีน เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ได้แก่ การแก้ไขสัญญาเพิ่มเติม/การจัดทำข้อตกลงแนบท้ายสัญญา (ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๔ และสัญญาร่วมดำเนินการฯ) ๑.๒.๑ การจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ ๑ เรื่อง ย้ายจุดเชื่อมโยง และจุดขึ้นฝั่ง สำหรับวงจรท้องถิ่น (เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๗) ๑.๒.๒ การจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ ๔ เรื่อง การปรับปรุงโครงข่าย จาก ๔ ระดับ เป็น ๒ ระดับ เพื่อให้มีวงจรใช้งานเพิ่มขึ้น (เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๕) ๑.๒.๓ การจัดทำสัญญาร่วมดำเนินการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงข่ายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำฝั่งทะเลด้านตะวันออก (เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๗) ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ที่เห็นควรให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เตรียมความพร้อมในการรับมอบทรัพย์สิน และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่กำหนดในสัญญา และเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและแผนการให้บริการในระยะต่อไป เพื่อให้การบริการโครงข่ายมีความต่อเนื่อง และให้รัฐวิสาหกิจที่ทำสัญญาร่วมลงทุนกับบริษัทเอกชนปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานฯ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถติดตามกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามข้อกำหนดตามสัญญา โดยเฉพาะการตรวจสอบส่งมอบทรัพย์สินและการแบ่งผลประโยชน์ให้แก่ภาครัฐ เพื่อดำเนินงานเป็นไปตามสัญญา ทั้งนี้ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเกี่ยวกับการดำเนินโครงการหรือแก้ไขเพิ่มเติมสัญญา หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องเสนอคณะกรรมการประสานงานตามมาตรา ๒๒ พิจารณา หากคณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วยจะต้องรายงานต่อรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดตามมาตรา ๒๓ (๒) และหากการแก้ไขดังกล่าวมีผลเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการหรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ของรัฐ รัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดก็ชอบที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป และเมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว หน่วยงานเจ้าของโครงการจึงจะลงนามแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
877 | ขออนุมัติใช้ประโยชน์ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 และขอกันเขตพื้นที่ออกจากพื้นที่ป่า เพื่อการอนุรักษ์ เพื่อการทำเหมืองหินอุตสาหกรรม | อก | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ใช้ประโยชน์ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อการทำเหมืองหินอุตสาหกรรมบริเวณเขาหนองโอ่ง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี โดยให้ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๘ (เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดชั้นของป่าต้นน้ำลำธารและการทำเหมืองในพื้นที่ป่าปิด) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปดำเนินการให้ผู้ได้รับอนุญาตประทานบัตรจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาตามขั้นตอนก่อนดำเนินการต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรจัดให้มีกระบวนการรับฟังความเห็นของราษฎรในพื้นที่ และความเห็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนหรือกระบวนการพิจารณาเพื่อประโยชน์ในการบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ กำหนดไว้ และเป็นสื่อกลางในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการใช้ประโยชน์ในพื้นที่กับประชาชน รวมทั้งปฏิบัติตามเงื่อนไขและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และให้มีกองทุนสุขภาพอนามัยในช่วงการทำเหมืองหินอุตสาหกรรมเพื่อประกันความเสี่ยงสุขภาพของพนักงานและราษฎรบริเวณใกล้เคียง ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๒. กรณีการขออนุมัติใช้ประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ๑ บีอาร์ บริเวณเขาคลองโกน อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณาทบทวนและตรวจสอบข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศิลปากร อีกครั้งหนึ่ง ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
878 | การดำเนินงานโครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก ปี 2553 | มท | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง เงินค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) ที่ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการเกี่ยวกับขั้นตอนการจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตามขั้นตอนเดิม โดยจังหวัดโอนเงินไปให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จากนั้น อบจ. โอนให้สาธารณสุขจังหวัด เพื่อจะได้จัดสรรให้ อสม. ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณพิจารณาการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้แก่โครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก ปี ๒๕๕๓ โดยไม่รวมอยู่ในงบประมาณที่อยู่ในสัดส่วนของเงินอุดหนุนที่รัฐต้องจัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
879 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 28 กันยายน 2553 [เรื่อง การยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียนจากองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย] | กษ | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง การยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียน จากองค์กรส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) สรุปได้ ดังนี้
๑. อ.ส.ค. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมบัญชีกลาง เพื่อพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจเพื่อพิจารณาเห็นชอบยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ และวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ให้กับกรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรณีการจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียนสำหรับภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๓ และก่อนปิดภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๓ ซึ่งปฏิบัติไปตามแนวทางการปฏิบัติเดิม เนื่องจากได้ดำเนินการจัดซื้อไปก่อนแล้ว ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้ชี้แจงว่า กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีโดยจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียนจาก อ.ส.ค. ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ส่วนการจัดซื้อก่อนวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เป็นดุลยพินิจของหน่วยงานจัดซื้อที่จะปฏิบัติตามแนวทางเดิมได้ โดยให้ อ.ส.ค. แจ้งความจำนงพร้อมข้อมูลประกอบการพิจารณาให้ชัดเจนว่าประสงค์จะขอผ่อนผันสำหรับการจัดซื้อจำนวนกี่ครั้ง และแต่ละครั้งมีวงเงินเท่าใด ๒. คณะอนุกรรมการบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนได้พิจารณาตามข้อ ๑ และมีมติให้กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความประสงค์จะขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีจัดส่งข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาของกรมบัญชีกลางให้ อ.ส.ค. ดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
880 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. นโยบายงบประมาณ วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยกำหนดนโยบายงบประมาณขาดดุลสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๘๐,๐๐๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๗ ๒. แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้กำหนดแนวทางโดยสรุป ดังนี้ ๒.๑ สนับสนุนการเข้าสู่งบประมาณดุล โดยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้และวางแผนการลดค่าใช้จ่าย ส่งเสริมความร่วมมือในการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPPs) รวมทั้งบริหารจัดการเงินนอกงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๒.๒ ให้ความสำคัญต่อการดำเนินภารกิจของกระทรวง/หน่วยงานที่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ๒.๓ จัดลำดับความสำคัญของภารกิจที่จะเสนอของบประมาณ โดยคำนึงถึงความสามารถในการใช้จ่ายงบประมาณ ๒.๔ วิเคราะห์ความจำเป็นเร่งด่วน ความสำคัญ ความคุ้มค่า และจำนวนผู้ได้รับประโยชน์ ๒.๕ สนับสนุนงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับภารกิจของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่มีความพร้อม และสอดคล้องกับแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่ตอบสนองต่อทิศทางการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ของประเทศ ๓. การจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๒๐๐,๔๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ได้รับการจัดสรร ๑๗๓,๙๕๐ ล้านบาท เป็นจำนวน ๒๖,๔๕๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕.๒
|