ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 41 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 801 - 820 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
801 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขอและการออกใบอนุญาตจัดตั้งสนามบิน พ.ศ. .... | คค | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขอและการออกใบอนุญาตจัดตั้งสนามบิน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกกฎกระทรวงว่าด้วยการขอและการออกใบอนุญาตจัดตั้งสนามบิน พ.ศ. ๒๕๕๐ ๑.๒ กำหนดคำนิยาม “สนามบินสาธารณะ” “สนามบินส่วนบุคคล” ๑.๓ หมวด ๑ สนามบินสาธารณะ ๑.๓.๑ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะผู้ขออนุญาตจัดตั้งสนามบินสาธารณะ ได้แก่ เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดซึ่งจดทะเบียนตามกฎหมายไทย และมีสำนักงานใหญ่ของบริษัทตั้งอยู่ในราชอาณาจักร มีกรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง หรือสิทธิใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่ขออนุญาต ฯลฯ เป็นต้น ๑.๓.๒ กำหนดให้การจัดตั้งสนามบินสาธารณะให้ยื่นคำขอตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด พร้อมด้วยเอกสารหลักฐาน ได้แก่ สำเนาหนังสือรับรองหรือหลักฐานการเป็นนิติบุคคล สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่นายทะเบียนรับรอง ฯลฯ เป็นต้น ๑.๓.๓ กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคำขอจัดตั้งสนามบินสาธารณะและเงื่อนไขให้ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องปฏิบัติ ๑.๓.๔ กำหนดให้ใบอนุญาตจัดตั้งสนามบินสาธารณะ ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด ๑.๔ หมวด ๒ สนามบินส่วนบุคคล ๑.๔.๑ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะผู้ขออนุญาตจัดตั้งสนามบินส่วนบุคคล ได้แก่ ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ฯลฯ เป็นต้น ๑.๔.๒ กำหนดให้การจัดตั้งสนามบินส่วนบุคคลให้ยื่นคำขอตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด พร้อมด้วยเอกสารหลักฐาน ได้แก่ กรณีผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลธรรมดาให้แนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือเอกสารประจำตัวอย่างอื่นที่ทางราชการออกให้ใช้แทนบัตรประชาชน เอกสารหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง หรือสิทธิใช้ประโยชน์ในพื้นที่ขออนุญาตจัดตั้งสนามบินส่วนบุคคล ฯลฯ เป็นต้น ๑.๔.๓ กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคำขอจัดตั้งสนามบินส่วนบุคคลและเงื่อนไขให้ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องปฏิบัติ ๑.๔.๔ กำหนดให้ใบอนุญาตจัดตั้งสนามบินส่วนบุคคล ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด และให้มีอายุไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับผลกระทบจากสนามบินสาธารณะ เช่น ผลกระทบด้านเสียง กลิ่นและละอองน้ำมันฟุ้งกระจายเปื้อนอาคารและเสื้อผ้าที่ตากไว้ จากการลงจอดของเครื่องบิน เนื่องจากการขยายระยะทางขึ้นลงของเครื่องบิน โดยประชาชนไม่ได้รับค่าชดเชยหรือการเยียวยาอย่างใด ดังนั้น ในชั้นการพิจารณาอนุญาตจัดตั้งสนามบินหรือการแก้ไขเกี่ยวกับระยะทางขึ้นลงของเครื่องบิน ควรกำหนดให้ต้องจัดทำประชาพิจารณ์ และดำเนินการศึกษาผลกระทบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสอบถามความเห็นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นที่ตั้งหรืออยู่ใกล้เคียงสนามบินสาธารณะเพื่อประกอบการพิจารณา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
802 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | ทส | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ และระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๑ กรมทรัพยากรน้ำ โดยศูนย์สนับสนุนการดำเนินงานติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเล ได้รับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ จำนวน ๒๑๖ เครื่อง จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม ๔๖ จังหวัด จำนวน ๑๙๑ เครื่อง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จำนวน ๕ เครื่อง และสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน ๒๐ เครื่อง และได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำจากการประสานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน และกรุงเทพมหานคร โดยติดตั้งในพื้นที่ต่าง ๆ รวมจำนวน ๑๓ จุด จำนวนเครื่องสูบน้ำ ๑๕๖ เครื่อง ซึ่งผลการดำเนินงานสูบน้ำ ตั้งแต่วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ สามารถสูบน้ำเพื่อช่วยระบายน้ำลงสู่ทะเลได้ทั้งสิ้น ๑๗,๕๔๖,๖๘๙ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑.๒ กรมทรัพยากรน้ำ โดยศูนย์สนับสนุนการดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเล ได้รับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ จำนวน ๒๕๓ เครื่อง ประกอบด้วย เครื่องสูบน้ำจากภาคเหนือ จำนวน ๔๔ เครื่อง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน ๖๑ เครื่อง ภาคกลาง จำนวน ๑๑๘ เครื่อง ภาคตะวันออก จำนวน ๑๒ เครื่อง และภาคตะวันตก จำนวน ๑๘ เครื่อง โดยได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำในการกู้พื้นที่ประสบอุทกภัย โดยประสานจังหวัดพื้นที่เป้าหมายที่ยังมีน้ำท่วมขัง รวมจำนวน ๑๓ จุด มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเสร็จแล้ว จำนวน ๑๒๒ เครื่อง ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เป็นประธานเปิดงาน “ชาวปากน้ำร่วมใจ คืนคลองสวยน้ำใส ป้องกันภัยน้ำท่วม” เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ สถานีสูบน้ำสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ในการนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กองทัพเรือ และประชาชนในจังหวัดสมุทรปราการ ได้ร่วมมือในการกำจัดผักตบชวา จัดเก็บขยะมูลฝอย และขุดลอกคลองเลียบชายทะเลริมถนนสุขุมวิท ให้สามารถรองรับน้ำได้มากขึ้น เพื่อช่วยการระบายน้ำในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เดินทางไปตรวจติดตามสภาพความพร้อมเครื่องสูบน้ำที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ในการนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดและเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรน้ำได้นำเครื่องสูบน้ำไปติดตั้งในพื้นที่น้ำท่วมขังและเร่งระบายน้ำตามภารกิจ
|
||||||||||||||||||||||||
803 | รายงานผลการดำเนินการป้องกันและการฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม และความต้องการขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นจากนักลงทุนชาวญี่ปุ่นในประเทศไทย | อก | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการป้องกันและการฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม และความต้องการขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นจากนักลงทุนชาวญี่ปุ่นในประเทศไทย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปผลการป้องกันนิคมอุตสาหกรรม ได้ดำเนินการประสานหน่วยงานต่าง ๆ ในการป้องกันนิคมทั้งด้านการเสริมคันกั้นน้ำให้มั่นคงแข็งแรง จัดหาเครื่องสูบน้ำและเครื่องจักรกลหนักไว้อย่างเพียงพอในทุกพื้นที่ ขอรับการสนับสนุนกำลังพลจากกระทรวงกลาโหมตรวจสอบเฝ้าระวังคันกั้นน้ำตลอด ๒๔ ชั่วโมง ในกรณีที่คันกั้นน้ำชำรุด มีการรั่วซึม จะเร่งซ่อมโดยทันที และตรวจสอบระดับน้ำในคลองต่าง ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อนิคม โดยประสานและได้รับความร่วมมือจากศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) กรุงเทพมหานคร กรมชลประทาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการควบคุมการระบายน้ำผ่านพื้นที่นิคม มิให้เกิดความเสียหายต่อนิคมอุตสาหกรรม ๒. สรุปผลการฟื้นฟูนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรม มีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยสามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่ และผู้ประกอบการเข้าทำความสะอาด ซ่อมแซมเครื่องอุปกรณ์ รวมทั้งมีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในการฟื้นฟูโรงงานแล้ว จำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ เขตประกอบการอุตสาหกรรมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) และเขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟูพื้นที่มีข้อจำกัดที่ระดับน้ำภายนอกนิคมต้องลดต่ำกว่าคันกั้นน้ำเดิม เพื่อให้คันกั้นน้ำมีความแข็งแรง ดังนั้น สวนอุตสาหกรรมนวนคร และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี จึงเริ่มสูบน้ำออกจากพื้นที่ล่าช้ากว่าพื้นที่อื่น ส่วนนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครมีข้อจำกัดด้านภูมิประเทศ ทำให้ระดับน้ำลดลงช้า จึงยังไม่สามารถสูบน้ำออกจากนิคมได้ ทั้งนี้ จะเริ่มดำเนินการแก้ไขปัญหาเพื่อการฟื้นฟูพื้นที่ทุกแห่งให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยประมาณการว่าภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ นิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรมทุกแห่ง ผู้ประกอบการจะเข้าฟื้นฟูโรงงาน ซ่อมแซมเครื่องจักรอุปกรณ์ได้ และจะมีผู้ประกอบการบางรายเริ่มประกอบการได้ ทั้งนี้ ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ คาดว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะสามารถเริ่มประกอบการได้ ๓. กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกแห่งประเทศญี่ปุ่น หรือ Japan Export and Import Band (JICA) และ Japan External Trade Organization (JETRO) ได้รับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยเฉพาะนักลงทุนชาวญี่ปุ่น ได้รับทราบประเด็นปัญหา ข้อวิตกกังวลและความประสงค์ที่จะขอรับความช่วยเหลือ โดยต้องการทราบความชัดเจนของภาครัฐในการบริหารจัดการน้ำในภาพรวม ต้องการให้นิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรม มีระบบการป้องกันปัญหาอุทกภัยของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การช่วยเหลือในด้านเงินทุน เทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ เพื่อซ่อมแซมบูรณะโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานและเครื่องจักรกลต่าง ๆ และการอำนวยความสะดวกในการจัดหาเครื่องจักรอุปกรณ์ กระบวนการหรือพิธีการทางกฎหมายในการนำเข้าส่งออกสารเคมีและวัตถุดิบที่จำเป็นในการฟื้นฟูกิจการ ๔. JICA เสนอความช่วยเหลือและการสนับสนุนต่อภาคอุตสาหกรรมทั้งระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว โดยระยะเร่งด่วน เป็นการสนับสนุนเครื่องจักรอุปกรณ์ รถสูบน้ำ เพื่อช่วยเหลือสำหรับการฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่ชุมชนโดยรอบ ระยะสั้น เป็นการสนับสนุนทางวิชาการในการออกแบบและก่อสร้างคันกั้นน้ำรอบนิคมอุตสาหกรรม และการให้ความช่วยเหลือด้านการป้องกันและการฟื้นฟูการประกอบการอย่างเร่งด่วนทั้งด้านวิชาการและการเงิน สำหรับระยะกลางและระยะยาว เป็นการสนับสนุนการศึกษาการป้องกันอุทกภัยในภาพรวมของประเทศ และสนับสนุนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับป้องกันอุทกภัย และความช่วยเหลือทางเทคนิคอื่น
|
||||||||||||||||||||||||
804 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เรื่อง คุณภาพชีวิตประชาชนไทยด้านสาธารณสุข ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง | สว | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เรื่อง คุณภาพชีวิตประชาชนไทยด้านสาธารณสุข ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข มีดังนี้
๑. เสริมสร้างกระบวนการบริหารจัดการภาคประชาชนที่จะทำให้ชุมชนเข้มแข็ง มั่นคง ยั่งยืน พร้อมที่จะพัฒนาในทุกด้าน โดยการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านสาธารณสุขของประชาชนที่ให้ความสำคัญ การมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาและการสร้างสุขภาพแทนการซ่อมสุขภาพ ๒. สร้างเครือข่ายแนวราบ โดยมีการศึกษาวิจัยทดสอบรูปแบบการป้องกัน ควบคุมโรคโดยภาคส่วนประชาชนมีส่วนร่วม เช่น การพัฒนารูปแบบการป้องกัน แก้ไขปัญหาการสูบบุหรี่ในชุมชน การพัฒนารูปแบบการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์เพื่อสุขภาวะชุมชน ๓. ภาครัฐผลิตบุคลากรด้านสาธารณสุข โดยกระทรวงสาธารณสุขมีบทบาทกำหนดนโยบายระบบกำลังคน และวางยุทธศาสตร์ในการวางแผนกำลังคนด้านสาธารณสุขทั่วประเทศ สนับสนุน ติดตาม กำกับดูแลให้เป็นไปตามนโยบาย เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของบริบทสังคม เศรษฐกิจของประเทศ และประชาคมอาเซียน โดยกำหนดทิศทางการผลิตกำลังคนด้านสาธารณสุขร่วมกับสภาวิชาชีพ และสถาบันการศึกษา ๔. ส่งเสริมการวิจัยสาธารณสุขชุมชน โดยนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้กับภูมิปัญญาชาวบ้าน และเทคโนโลยีที่เหมาะสม พัฒนา ต่อยอด เชื่อมโยงสู่ระบบสุขภาพภาคประชาชน ด้วยการพัฒนาวิชาการ รวมทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค วินิจฉัย รักษาโรค และภัยสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี ๕. ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณและวิทยาการแก่ชุมชนที่ได้นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต เช่น การจัดสรรนมผงให้แก่ทารกแรกเกิด ที่แม่มีการติดเชื้อเอดส์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก และการออกกำลังกายแบบวิถีไทย ๖. มีรถพยาบาลเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ในโรงพยาบาลทุกแห่ง ออกให้บริการประชาชนในชุมชนกรณีฉุกเฉิน รวมทั้งมีระบบส่งต่อไปรับการรักษาโรงพยาบาลต่าง ๆ และสนับสนุนด้านวิชาการการดูแลผู้ป่วยเบื้องต้นแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรถพยาบาลเคลื่อนที่ (Mobile Unit)
|
||||||||||||||||||||||||
805 | สรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2554) | มท | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์อุทกภัยปัจจุบัน ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย ๑๗ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี ชัยนาท อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก สมุทรสาคร สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร รวม ๑๒๔ อำเภอ ๘๖๗ ตำบล ๕,๗๕๒ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑,๘๘๖,๐๖๒ ครัวเรือน ๕,๐๕๑,๒๓๕ คน โดยพื้นที่ประสบอุทกภัยและมีการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ รวมทั้งสิ้น ๖๔ จังหวัด มีผู้เสียชีวิต ๖๐๖ ราย สูญหาย ๓ คน ปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างฟื้นฟู จำนวน ๔๗ จังหวัด ๒. การดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ที่อนุมัติในหลักการในการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (กรณีอุทกภัย) ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท เพิ่มเติม (ครั้งที่ ๓) ใน ๖๒ จังหวัด กรอบครัวเรือน จำนวน ๒,๒๘๙,๕๖๒ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑๑,๔๔๗,๘๑๐ บาท กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รวบรวมรายชื่อส่งธนาคารออมสินแล้ว ๑๔,๐๓๙ ครัวเรือน เป็นเงิน ๗๐,๑๙๕,๐๐๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๖๑ (ณ วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) ๓. การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยหนาว กระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งที่ ๕๔๗/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยหนาว ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๕ ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการ และเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้อำนวยการศูนย์ มีหน้าที่อำนวยการ ประสานแผน และบูรณาการการปฏิบัติงาน รวมทั้งกำกับ ดูแลการปฏิบัติงานของฝ่ายต่าง ๆ ให้เป็นไปตามนโยบายของศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ นอกจากนี้ ได้สั่งการทุกจังหวัดเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยหนาวของจังหวัด โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ ของจังหวัด โดยให้มีการเตรียมการทั้งก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และภายหลังเกิดเหตุ รวมทั้งให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ ทั้งในระดับอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
806 | รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีราษฎรร้องทุกข์เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำภูทับฟ้า ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย | ทส | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีราษฎรร้องทุกข์เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำ ภูทับฟ้า ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เนื่องจากมีการพบว่ามีปริมาณสารปรอทสูง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. กรมควบคุมมลพิษได้ตรวจสอบและวิเคราะห์คุณภาพน้ำ ระหว่างวันที่ ๑ - ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และระหว่างวันที่ ๒๕ - ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔ พบว่าตัวอย่างน้ำที่เก็บจากบริเวณห้วยเหล็ก ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มีปริมาณสารไซยาไนด์อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด แต่มีปริมาณสารหนูเกินมาตรฐานน้ำผิวดิน และไม่พบว่ามีสารปรอทในตัวอย่างน้ำผิวดินและน้ำใต้ดินเกินมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดแต่อย่างใด ๒. กรมทรัพยากรธรณีได้ตรวจสอบการปนเปื้อนของมลสาร ระหว่างเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๔ โดยเก็บตัวอย่างดินและตะกอนท้องน้ำ จำนวน ๔๑ ตัวอย่าง เพื่อวิเคราะห์ปริมาณธาตุ As, Cd, Co, Cr, Cu, Fe, Mn, Ni, Pb และ Zn ผลการวิเคราะห์ตัวอย่างดินและตะกอนท้องน้ำ จำนวน ๒๐ ตัวอย่าง มีปริมาณธาตุ As อยู่ระหว่าง ๓๐ - ๓๘๕ มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานคุณภาพดินที่ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยและเกษตรกรรม และตัวอย่างดิน จำนวน ๑ ตัวอย่าง มีปริมาณธาตุแคดเมียม ๑๐.๙๐ มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานคุณภาพดินที่ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยและเกษตรกรรม ทั้งนี้ ตัวอย่างดินทั้งหมด จำนวน ๔๑ ตัวอย่าง มีปริมาณธาตุปรอทไม่เกินมาตรฐานคุณภาพดินที่ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยและเกษตรกรรม ๓. กรมทรัพยากรน้ำบาดาลรายงานว่า บริเวณพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพแร่สูง จึงอาจพบการปนเปื้อนของสารหนูหรือไซยาไนด์ในธรรมชาติอยู่แล้ว และไซยาไนด์สามารถย่อยสลายได้ง่ายเมื่อสัมผัสแสงแดด ดังนั้น โอกาสที่ปนเปื้อนในน้ำบาดาลจึงเป็นไปได้น้อยมาก ๔. สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้พิจารณารายงานการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่โครงการจัดส่งเป็นระยะ ๆ และแจ้งผลให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ทราบ ทั้งนี้ ในส่วนการตรวจสอบกำกับการทำเหมืองของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด เป็นหน้าที่ของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ซึ่งกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่สามารถกำหนดให้เพิ่มความถี่และจุดเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อเฝ้าระวังคุณภาพน้ำให้มากขึ้นได้ แต่ไม่ควรเปลี่ยนจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำอยู่เสมอ เนื่องจากจะไม่สามารถเปรียบเทียบผลได้ ๕. กรณีที่ราษฎรในพื้นที่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเห็นว่าควรระงับการขอขยายพื้นที่ใหม่หรือการขอประทานบัตรของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด แปลงประทานบัตรที่ ๑๐๔/๒๕๓๘ นั้น เป็นอำนาจของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหน่วยงานอนุญาตตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ซึ่งมีอำนาจโดยตรง และยังมีอำนาจในการกำกับดูแลให้โครงการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพิ่มเติมมาตรการที่เห็นว่าสำคัญให้แก่โครงการในการนำไปปฏิบัติ
|
||||||||||||||||||||||||
807 | ร่างระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินค่าบำรุงสมาคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | มท | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินค่าบำรุงสมาคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ประสงค์จะสมัครเป็นสมาชิกของสมาคมหรือยกเลิกการเป็นสมาชิกของสมาคม จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๑.๒ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะสมัครเป็นสมาชิกสมาคมจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะได้รับและเป็นผลดีต่อการปฏิบัติราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งต้องพิจารณาถึงรายจ่ายตามข้อผูกพันที่จะต้องชำระเงินค่าบำรุงให้แก่สมาคมตามข้อบังคับของสมาคม และฐานะทางการคลังเป็นสำคัญ ๑.๓ การจ่ายเงินค่าบำรุงให้แก่สมาคมที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นสมาชิก ให้เบิกจ่ายได้ตั้งแต่ปีงบประมาณที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสมัครเป็นสมาชิกตามจำนวนเงินค่าบำรุงที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของสมาคม โดยให้ตั้งจ่ายไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรืองบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ๑.๔ การจ่ายเงินค่าบำรุงสมาคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ยังมิได้มีการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ให้เบิกจ่ายได้ตามระเบียบนี้ ๑.๕ การจ่ายเงินค่าบำรุงสมาคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้ดำเนินการเบิกจ่ายไปแล้ว โดยไม่ขัดหรือแย้งกับหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ให้ถือเป็นการเบิกจ่ายเงินค่าบำรุงสมาคมตามระเบียบนี้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเกี่ยวกับการเข้าเป็นสมาชิกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย (ส.ท.ท.) ของเทศบาล หรือการเข้าเป็นสมาชิกสมาคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบอื่น (องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล) ไม่ใช่กิจการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่หรือมีกฎหมายกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการได้ ประกอบกับการออกระเบียบกำหนดให้การจ่ายเงินค่าบำรุงสมาคมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อเป็นรายจ่ายอื่น ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๖๗ (๙) พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๗๔ (๙) พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๘๕ (๑๐) อาจเป็นการเกินอำนาจที่กฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ไว้ อย่างไรก็ตาม การที่จะให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือองค์การบริหารส่วนตำบลเข้าเป็นสมาชิกสมาคมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ ต้องดำเนินการปรับปรุงกฎหมายจัดตั้งของแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ในเรื่องดังกล่าว หรือกำหนดให้มีสันนิบาตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเทียบเคียงได้กับพระราชบัญญัติสหกรณ์ จากนั้นกระทรวงมหาดไทยจึงสามารถออกระเบียบเพื่อรองรับการเบิกจ่ายได้ต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
808 | การดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | ทส | 08/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานการระบายน้ำสู่ทะเล ได้มีการประสานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรวบรวมและดูแลเครื่องสูบน้ำระหว่างปฏิบัติงานการระบายน้ำลงสู่ทะเล และกำหนดจุดติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อให้การสูบน้ำเป็นเอกภาพและเกิดประสิทธิภาพ โดยให้กรมทรัพยากรน้ำบริหารจัดการเครื่องสูบน้ำ พร้อมปฏิบัติการติดตั้งและสนับสนุนการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ประสานงานการระบายน้ำ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ศูนย์ประสานงานการระบายน้ำ ได้รับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม ๓๑ จังหวัด จำนวน ๑๖๙ เครื่อง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จำนวน ๕ เครื่อง และสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน ๒๐ เครื่อง โดยได้นำเครื่องสูบน้ำดังกล่าวไปติดตั้งในพื้นที่ต่าง ๆ รวมจำนวน ๑๐ จุด จำนวนเครื่องสูบน้ำ ๑๖๗ เครื่อง ประสิทธิภาพการสูบน้ำจากจำนวนเครื่องสูบน้ำที่ติดตั้งทั้งหมดรวม ๑๓๓ เครื่อง มีปริมาณการสูบน้ำรวม ๗๙๕,๓๙๘ ลูกบาศก์เมตร/วัน และผลการดำเนินงานการสูบน้ำ จากการดำเนินงานติดตั้งเครื่องสูบน้ำเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ สามารถสูบน้ำเพื่อช่วยการระบายน้ำลงสู่ทะเลได้ทั้งสิ้น ๓,๖๒๘,๘๖๔ ลูกบาศก์เมตร ๒. การดำเนินการรื้อถอนประตูระบายน้ำแบบชั่วคราว (Stop Log) ได้มอบให้กรมทรัพยากรน้ำสำรวจและรื้อถอนประตูน้ำแบบชั่วคราวในลำคลองต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการระบายน้ำทางตอนเหนือสู่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานครในพื้นที่คลอง ๘ คลอง ๙ คลอง ๑๐ คลอง ๑๑ คลอง ๑๒ คลองลำหิน คลองหวังโต คลองแตงโม คลองเขมร และคลองลำเจดีย์บน รวม ๓๐ แผ่น ขนาดของ Stop Log รวมทั้งสิ้น ๑๘ เมตร ๓. การดำเนินการกำจัดวัชพืชและขยะมูลฝอย ได้มอบกรมทรัพยากรน้ำสำรวจและกำจัดวัชพืชและขยะมูลฝอยในลำคลองต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการระบายน้ำ โดยดำเนินการพื้นที่คลอง ๑๒ รวมทั้งสิ้น ๓.๖ กิโลเมตร ๔. การบำบัดน้ำเสียในพื้นที่ประสบอุทกภัยและพื้นที่น้ำท่วมขัง ได้จัดทำโครงการ “ภูมิรักษ์ พิทักษ์น้ำ” รวมพลัง รวมน้ำใจ ไล่น้ำเสีย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมแถลงข่าวโครงการดังกล่าวและทำพิธีปล่อยขบวนรถบรรทุกส่งดาสต้าบอล (DASTA BALL) และน้ำหมักชีวภาพ EM ไปยังพื้นที่ประสบอุทกภัย ๕ จังหวัด คือ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี และนครสวรรค์ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นความร่วมมือของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำ ร่วมกับกองทัพบก ซึ่งได้จัดส่งดาสต้าบอล จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ลูก และน้ำหมักชีวภาพ EM จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ขวด ไปยังพื้นที่ประสบอุทกภัยเป้าหมาย ๕. การผลิตและการบริการน้ำสะอาดแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ได้มีการเปิดจุดบริการน้ำบาดาลน้ำดื่มสะอาดช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภายในบริเวณพื้นที่ท้องฟ้าจำลอง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร และอีก ๑๐ จุดบริการ ประกอบด้วย เขตจตุจักร ณ สวนจตุจักร เขตวังทองหลาง ณ วัดสามัคคีธรรม เขตบางกะปิ ณ แฟลต ๑๓ การเคหะคลองจั่น เขตบึงกุ่ม ณ โรงเรียนประภาสวิทยา เขตคลองเตย ณ ท้องฟ้าจำลอง เขตสะพานสูง ณ วัดลาดบัวหลวง เขตบางบอน ณ วิทยาลัยเทคนิคราชสิทธิ์ เขตพระโขนง ณ วัดวชิรธรรมสาธิต อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ณ โรงเรียนพูลเจริญวิทยาลัย อำเภอเมืองสมุทรปราการ ณ วัดตำหรุ นอกจากนี้ กรมทรัพยากรน้ำได้ติดตั้งเครื่องผลิตน้ำดื่มในพื้นที่คลองทวีวัฒนาและกรมทรัพยากรน้ำ ปัจจุบันได้ผลิตน้ำสะอาดแล้วรวมทั้งสิ้น ๓๙,๔๓๕ ลิตร สามารถช่วยเหลือประชาชนทั้งสิ้นประมาณ ๗,๘๘๗ คน ๖. การป้องกันน้ำไหลบ่า การอพยพประชาชน และการนำอาหาร น้ำดื่มช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัย กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ แพไม้ไผ่ และกระสอบบรรจุทรายเพื่อจัดทำคันกั้นน้ำ การช่วยเหลือในการอพยพประชาชน และการนำอาหารแห้ง อาหารสดปรุงสำเร็จ และน้ำดื่มเข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยรุนแรง ๗. การกำจัดขยะมูลฝอยและบรรเทาปัญหามลพิษ กรมควบคุมมลพิษได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการบรรเทาปัญหามลพิษในพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยดำเนินการกำจัดขยะมูลฝอย สารเคมี และตรวจสอบคุณภาพน้ำ เร่งสำรวจคุณภาพสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงซ่อมแซม บำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียและระบบกำจัดขยะมูลฝอยที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย รวมถึงการบรรเทาน้ำเสียและสารเคมีในน้ำ โดยแจกจ่ายน้ำจุลินทรีย์ พด. ๖ ก้อนจุลินทรีย์ และผงจุลินทรีย์ ให้แก่ผู้ประสบภัย
|
||||||||||||||||||||||||
809 | รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. 2553 | นร | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป โดยรายงานการพัฒนาระบบราชการไทยฯ มีสาระสำคัญประกอบด้วย ๓ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ ภาพรวม ประกอบด้วย เป้าหมายและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๑ - พ.ศ. ๒๕๕๕) สถานภาพของระบบราชการไทย ที่บ่งบอกถึงลักษณะการมีอยู่ของหน่วยงานภาครัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร ตลอดจนผลการประเมินภาพรวมของระบบราชการไทยด้านต่าง ๆ ที่สะท้อนสมรรถนะของระบบราชการที่ได้พัฒนาต่อเนื่องมา และในรอบปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒. ส่วนที่ ๒ ความก้าวหน้าของการพัฒนาระบบราชการไทย ประกอบด้วย ผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของกระทรวง กรม จังหวัด และองค์การมหาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ การผลักดันการพัฒนาระบบราชการไทย เพื่อบรรลุเป้าประสงค์หลัก ๔ ประการของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๑ - พ.ศ. ๒๕๕๕) ซึ่งทำให้ระบบราชการไทย “เก่ง ดี มีส่วนร่วม และตอบสนองทันต่อการเปลี่ยนแปลง” อาทิเช่น การพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม การยกระดับการให้บริการประชาชนในราชการบริหารส่วนภูมิภาคและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การสร้างความเข้มแข็งในการบริหารพื้นที่ การปรับปรุงระบบการประเมินผลตามคำรับรองการปฏิบัติราชการให้เกิดการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวง การพัฒนาตนเองของส่วนราชการตามกระบวนการการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) ฯลฯ และการดำเนินงานขั้นต่อไป ทั้งงานเดิมที่สานต่อ และงานริเริ่มใหม่ โดยเฉพาะการสร้างระบบรองรับการเข้ามามีบทบาทการทำบริการสาธารณะของภาคส่วนอื่น และการสร้างความพร้อมยอมรับของฝ่ายข้าราชการ และความเชื่อมั่นของผู้รับบริการ ๓. ส่วนที่ ๓ การดำเนินงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ ประเด็นยุทธศาสตร์ของสำนักงาน ก.พ.ร. ทรัพยากรที่สำนักงานใช้ในการบริหารงาน ได้แก่ บุคลากร และงบประมาณ และรายงานกิจการของสถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (หน่วยบริการรูปแบบพิเศษ) ในกำกับของสำนักงาน ก.พ.ร.
|
||||||||||||||||||||||||
810 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิของบุคคลในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิขององค์กรวิชาชีพในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | ศธ | 25/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงรวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิของบุคคลในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ศูนย์การเรียนจัดการศึกษาได้เพียงสองระบบ คือ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ๑.๒ กำหนดคุณสมบัติของบุคคลผู้มีสิทธิจัดการศึกษา ๑.๓ กำหนดวิธีการยื่นคำขอจัดตั้ง การพิจารณาคำขออนุญาตจัดตั้ง และข้อกำหนดเกี่ยวกับคณะกรรมการศูนย์การเรียน ๑.๔ กำหนดให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นผู้ประกาศกำหนดคุณสมบัติของผู้เรียนในศูนย์การเรียน ๑.๕ กำหนดให้มีการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน และการออกหลักฐานการศึกษาแก่ผู้เรียนหรือผู้สำเร็จการศึกษาจากศูนย์การเรียน ๑.๖ กำหนดให้ศูนย์การเรียนได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรเอกชน ๑.๗ กำหนดให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้คำปรึกษา คำแนะนำ และส่งเสริมสนับสนุนในด้านต่าง ๆ และมีหน้าที่ในการจัดหาที่เรียนให้แก่ผู้เรียนเมื่อมีการเลิกศูนย์การเรียน ๑.๘ กำหนดในการเลิกศูนย์การเรียน ๒. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิขององค์กรวิชาชีพในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดให้องค์กรวิชาชีพมีสิทธิจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานรูปแบบการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ๒.๒ กำหนดวิธีการยื่นคำขอจัดตั้ง การพิจารณาคำขอจัดตั้ง และข้อกำหนดเกี่ยวกับคณะกรรมการศูนย์การเรียน ๒.๓ กำหนดให้มีการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน และการออกหลักฐานแก่ผู้เรียนหรือผู้สำเร็จการศึกษาจากศูนย์การเรียน ๒.๔ กำหนดให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้คำปรึกษา คำแนะนำ และส่งเสริมสนับสนุนในด้านต่าง ๆ และมีหน้าที่ในการจัดหาที่เรียนให้แก่ผู้เรียนเมื่อมีการเลิกศูนย์การเรียน ๒.๕ กำหนดเหตุในการเลิกศูนย์การเรียน
|
||||||||||||||||||||||||
811 | การเตรียมความพร้อมในการป้องกัน แก้ไขสถานการณ์อุทกภัย และการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | นร | 25/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเตรียมความพร้อมในการป้องกัน แก้ไขสถานการณ์อุทกภัย และการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีทุกท่านจัดทำแผนรองรับการป้องกันและบรรเทาสถานการณ์อุทกภัยในภาวะฉุกเฉินตามอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แล้วส่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ภายในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ เพื่อรวบรวมจัดทำเป็นแผนแม่บท (master plan) ในการดำเนินงานของส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ให้สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันเสนอให้รองนายกรัฐมตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) พิจารณา ก่อนแจ้งให้ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ผู้อำนวยการ ศปภ.) ทราบ เพื่อประโยชน์ในการประสานงานระหว่างกันต่อไป ๒. ให้กระทรวงและหน่วยงานของภาครัฐที่มีการจัดตั้งศูนย์อพยพหรือสถานที่พักพิงให้แก่ประชาชนที่ประสบอุทกภัยแจ้งรายชื่อศูนย์อพยพและสถานที่พักพิงที่ได้จัดตั้งขึ้น โดยมีข้อมูลรายละเอียดผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนเพื่อให้สามารถประสานงานได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งรายชื่อของผู้ประสบอุทกภัยที่พักอาศัยอยู่ในสถานที่ดังกล่าวไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโดยด่วนเพื่อรวบรวมข้อมูลทั้งหมดส่งให้ผู้อำนวยการ ศปภ. ทราบ เพื่อจะได้ประชาสัมพันธ์ข้อมูลดังกล่าวให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึงต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีภารกิจในการให้ความช่วยเหลือและบริการประชาชนในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านสาธารณูปโภค การคมนาคม และอื่น ๆ เตรียมความพร้อมในการดูแล เฝ้าระวังจุดเสี่ยงต่าง ๆ การเคลื่อนย้ายผู้ประสบอุทกภัย และแจ้งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัย รวมทั้งให้สามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการได้ทันทีที่เกิดปัญหาขึ้น ทั้งนี้ ให้มีการแจ้งเตือนประชาชนในกรณีต่าง ๆ ที่จำเป็นด้วย เช่น การแจ้งเตือนและการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าและประปา การแจ้งข่าวเตือนภัยเกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัยและสภาวะอากาศที่อาจทำให้เกิดผลกระทบเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น ส่วนกรณีประตูระบายน้ำในแต่ละจุด ให้กรมชลประทานและกรุงเทพมหานครรายงานสถานการณ์ไปยัง ศปภ. เป็นระยะ ๆ รวมทั้งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดกำลังเจ้าหน้าที่ไปดูแลความสงบเรียบร้อยด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานกับจังหวัดต่าง ๆ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย เพื่อขอรับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำนำมาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
812 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา วุฒิสภา | ทส | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา วุฒิสภา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยกระทรวงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รวบรวมผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นปัญหามลพิษทางน้ำ ระบบการจัดการน้ำเสียและระบบการจัดการขยะในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การดำเนินโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลนครสงขลา และโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลเมืองสะเดา การสนับสนุนส่งเสริมรูปแบบและแนวทางในการบำบัดน้ำเสียให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในโครงการฟื้นฟูคุณภาพน้ำในพื้นที่วิกฤตแบบมีส่วนร่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยคลองอู่ตะเภา การตรวจสอบคุณภาพน้ำจากลำน้ำโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในโครงการพัฒนาระบบข้อมูลคุณภาพน้ำ : หนึ่งท้องถิ่น หนึ่งจุดเก็บตัวอย่างน้ำ และการจัดทำประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่อง เกณฑ์ในการคัดเลือกพื้นที่ การออกแบบการก่อสร้างและจัดการสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยชุมชนโดยการฝังกลบ การเผาในเตาเผา และการหมักทำปุ๋ย เป็นต้น ๒. ปัญหาการประมงจากการใช้เครื่องมือที่มีจำนวนมากเกินศักยภาพและการกีดขวางการสัญจรทางน้ำของทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การดำเนินการเพาะพันธุ์สัตว์น้ำและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจและสัตว์น้ำที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ การจัดตั้งชุมชนเพื่อดูแลและอนุบาลสัตว์น้ำให้แข็งแรงก่อนที่จะใช้ประโยชน์ การจัดตั้งฟาร์มสัตว์น้ำชุมชนและควบคุมไม่ให้มีเครื่องมือประมงประเภทไซนั่งและโพงพางเพิ่มมากขึ้น และการเข้าร่วมในการกำหนดและจัดระเบียบเครื่องมือประมงในบริเวณทะเลสาบสงขลาตอนล่างเพื่อการสัญจรทางน้ำของกรมเจ้าท่า เป็นต้น ๓. ปัญหาความเสื่อมโทรมของป่าต้นน้ำและความตื้นเขินของทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การผนวกพื้นที่บริเวณป่าผาดำและป่าสงวนแห่งชาติบริเวณใกล้เคียงให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง และดำเนินการปลูกป่าในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และบำรุงป่าในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๖๑ รวมเนื้อที่ ๑,๒๐๐ ไร่ การดำเนินการตามโครงการอนุรักษ์ดินและน้ำเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และโครงการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่นาร้างเพื่อการเกษตรแบบผสมผสาน เป็นต้น ๔. ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ชุ่มน้ำในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยและพรุควนเคร็ง และการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินโดยมิชอบ ได้แก่ การตรวจสอบการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยและพรุควนเคร็ง รวบรวมและจัดทำฐานข้อมูลแผนที่รูปแปลงที่ดินของรัฐในระบบภูมิสารสนเทศ การตรวจสอบพื้นที่ที่อ้างหนังสือสิทธิในที่ดินทั้งหมด ๓ จังหวัด ในบริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย การตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จังหวัดสงขลา และการจัดทำโครงการจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เป็นต้น ๕. การขาดการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การสนับสนุนให้เครือข่ายภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนแม่บทพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และเสนอยกร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... การดำเนินการบริหารจัดการเมืองโบราณหัวเขาแดง พร้อมพื้นที่ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ๒,๔๖๐ ไร่ การจัดทำระเบียบกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยการให้องค์กรเอกชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบโรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๓ เพื่อรองรับการทำงานขององค์กรภาคเอกชน และการตราพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยมีกลไกรองรับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการกำหนดเขตพื้นที่พัฒนา เป็นต้น ๖. ปัญหาการบริหารจัดการที่ขาดเอกภาพและความต่อเนื่อง และการจัดสรรงบประมาณที่ขาดการบูรณาการ ได้แก่ การจัดทำโครงการเร่งรัดการบังคับใช้ผังเมืองครอบคลุมพื่นที่รอบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา การจัดทำกรอบแผนงบประมาณประจำปีของลุ่มทะเลสาบสงขลา โดยใช้แผนแม่บทการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบเป็นหลัก และจัดทำโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น ๗. ปัญหาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมของพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การนำยุทธศาสตร์ที่ผ่านความเห็นชอบการจัดทำแผนนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการและจัดทำแผนงบประมาณสนับสนุน ศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเพื่อจัดตั้งเขตพื้นที่พัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และจัดสรรงบประมาณให้สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดให้แก่จังหวัดสงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช และการดำเนินโครงการศึกษาการตั้งถิ่นฐานและการดำรงชีวิตของชุมชนโบราณในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เป็นต้น ๘. ปัญหาศักยภาพของพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาในการขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ได้แก่ การจัดทำโครงการและศึกษาข้อมูลด้านวัฒนธรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และการดำเนินการเตรียมการประกาศพื้นที่ที่มีระบบนิเวศที่เป็นเอกลักษณ์ และพื้นที่ที่มีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมภายใต้โครงการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และเตรียมการเสนอพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
813 | ขออนุมัติใช้พื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า สำหรับโครงการขยายทางหลวงหมายเลข 4 สายตรัง - พัทลุง ตอนบ้านนาโยงเหนือ - เขาพับผ้า (บ้านนาวง) ให้เป็น 4 ช่องจราจรของกรมทางหลวง | คค | 11/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กรมทางหลวงใช้พื้นที่ในอุทยานแห่งชาติเขาปู่ - เขาย่า ในเขตจังหวัดพัทลุงและจังหวัดตรัง เนื้อที่ ๓๔๓ ไร่ ๔๒ ตารางวา และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าภูเขาบรรทัด แปลงที่ ๑ ตอนที่ ๑ เนื้อที่ ๗๐ ไร่ ๒ งาน ๕๐ ตารางวา และป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขาบรรทัด แปลงที่ ๒ ตอนที่ ๒ เนื้อที่ ๕๗ ไร่ ๓ งาน ๔๘ ตารางวา ซึ่งอยู่ในเขตทางหลวงและเป็นพื้นที่ที่กรมทางหลวงได้รับอนุญาตจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘ ให้เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อสร้างทางและแก้ไขเขตทางใหม่ ทางหลวงหมายเลข ๔ สายพัทลุง - ตรัง (เขาพับผ้า) ท้องที่จังหวัดพัทลุงและจังหวัดตรัง ๑.๒ ให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข ๔ สายตรัง - พัทลุง ตอนบ้านนาโยงเหนือ - เขาพับผ้า (บ้านนาวง) ให้เป็น ๔ ช่องจราจร โดยปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการอย่างเคร่งครัด รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรการเพิ่มเติมใน ๓ มาตรการตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ ได้แก่ การตัดต้นไม้ในเขตทาง ให้ดำเนินการเฉพาะเท่าที่จำเป็น โดยไม่ให้ตัดต้นไม้นอกเขตพื้นผิวจราจรที่จะก่อสร้าง การกำกับดูแลในระหว่างจัดเตรียมพื้นที่และการก่อสร้างมิให้ขุดตักดินในเขตทางและบริเวณใกล้เคียงมาใช้ในการก่อสร้าง และให้คงสภาพตามลักษณะภูมิประเทศเดิม และการกำกับผู้รับจ้างออกแบบก่อสร้าง และ/หรือผู้ดำเนินการก่อสร้างให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด และให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลโครงการฯ ด้วย ๒. ให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ (เรื่อง แนวทางพิจารณาการก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย และปฏิบัติตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในประเด็นการพิจารณาติดตั้งชุดสัญญาณเตือนภัย ขับขี่ยานพาหนะขณะมีสัตว์ป่าข้ามถนนในช่วงกลางคืน การปรับขนาดของท่อเพื่อให้สัตว์สามารถลอดได้ และการก่อสร้างระบบการระบายน้ำข้างทาง รวมทั้งความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่ได้นำเสนอประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว เกี่ยวกับการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ร่วมกำกับดูแลการดำเนินงานโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
814 | รายงานผลการพิจารณาความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านที่อยู่อาศัย" | นร | 11/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านที่อยู่อาศัย” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นของและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ควรกำหนดนโยบาย การจัดสรรงบประมาณ และการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะการออกกฎหมายและวางมาตรการเพื่อสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้นำเรื่องของระบบการพัฒนาที่อยู่อาศัยเป็นวาระสำคัญในการกำหนดนโยบายของท้องถิ่นและจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ควรกำหนดนโยบายมาตรฐานเฉพาะสำหรับที่อยู่อาศัยและชุมชนในย่านที่อยู่อาศัยดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์ มีคุณค่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรม และมีความหมายต่อชุมชนเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำที่เหมาะสมกับสภาพการณ์และบริบทเฉพาะชุมชน และมีความสอดคล้องกับกฎหมายข้อบังคับที่เป็นที่ยอมรับและสามารถปฏิบัติได้ทั้งในระดับท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๓. เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในชนบท ควรมีการส่งเสริมให้ประชาชนสร้างบ้านด้วยบล็อกประสานดินซีเมนต์ แทนบ้านไม้ ส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตเครื่องจักรสำหรับผลิตบล็อกประสานภายในประเทศโดยใช้มาตรฐานการผลิตที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เป็นผู้กำหนด ส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มของประชาชนในท้องถิ่นเพื่อผลิตบล็อกประสานดินซีเมนต์โดยผ่านกลไกขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเสริมการจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์บล็อกประสานและรับรองบล็อกประสานเป็นวัสดุก่อสร้างที่อยู่อาศัยเช่นเดียวกับวัสดุก่อสร้างทั่วไป กำหนดนโยบายและส่งเสริมให้ธนาคารของรัฐสนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับบ้านชนบทหลังละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ผ่อนชำระไม่เกินเดือนละ ๘๐๐ บาท (เพื่อไม่ให้ก่อหนี้มากเกินไป) จัดกรอบงบประมาณเพื่อพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยไปสู่โครงการบ้านมั่นคงเพิ่มขึ้น ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำกรอบงบประมาณเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ยากไร้ และผู้ไม่มีรายได้เพียงพอ และส่งเสริมการใช้นวัตกรรมอื่น ๆ ในการก่อสร้างบ้าน นอกเหนือจากบล็อก ประสาน เช่น ไม้ไผ่ ไม้ยางพารา ๔. เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในชุมชนแออัด ควรดำเนินมาตรการป้องกันการบุกรุกสร้างบ้านในพื้นที่สาธารณะด้วยการจัดทำผังเมืองและแสดงขอบเขตที่ชัดเจน และจัดทำประชาคมเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินสาธารณะ พัฒนา และจัดสรรที่ดินในบริเวณใกล้เคียงที่เหมาะสในการสร้างที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๕. เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างน้อย ควรส่งเสริมการลงทุนที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดให้เหมือนบ้านจัดสรร คือไม่เกินหน่วยละ ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดการใช้พลังงานในการเดินทางด้วยรถยนต์จากชานเมืองสู่ใจกลางเมือง และควรส่งเสริมการลงทุนที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางค่อนข้างน้อยในหัวเมืองภูมิภาคให้เหมือนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล คือ ไม่เกินหลังละ ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งอาคารชุดและบ้านจัดสรร
|
||||||||||||||||||||||||
815 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 27/09/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องการร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และข้อมูลความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) รวมทั้งสิ้น ๓๐,๓๑๘ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือช่องทางเว็บไซต์ www.1111.go.th ช่องทางตู้ ปณ.๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์จำแนกตามประเภทเรื่องรวมทั้งสิ้น ๑๙,๙๕๓ เรื่อง โดยร้องทุกข์ในประเภทเรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือเหตุเดือดร้อนรำคาญจากเสียงดัง/กลิ่นเหม็น และฝุ่นละอองจากบ้านเรือนและผู้ประกอบการ และขอความช่วยเหลือเร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามลำดับ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามหน่วยงาน [ไม่รวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด] รวมทั้งสิ้น ๖,๓๘๐ เรื่อง โดยหน่วยงานที่มีเรื่องร้องทุกข์ในความรับผิดชอบมากที่สุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการคลัง สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ๑.๔ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตาม อปท. และจังหวัด รวมทั้งสิ้น ๕,๒๘๙ เรื่อง โดยกรุงเทพมหานครมีเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด รองลงมาคือ จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดสงขลา ๑.๕ ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งผ่านทางศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีประเด็นสำคัญ อาทิ ขอให้เพิ่มการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการเลือกตั้งล่วงหน้าให้ชัดเจนและทั่วถึง การติดตั้งป้ายหาเสียงของพรรคการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานครบดบังทัศนวิสัยของผู้ใช้รถใช้ถนน การใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตจังหวัด ผู้มีสิทธิควรต้องลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตเป็นรายครั้ง และไม่เห็นด้วยกับกรณีมีการติดตั้งป้ายรูปสัตว์ที่มีข้อความว่า “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา” รวมทั้งการเชิญชวนให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยกากบาทที่ช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน (VOTE NO) เป็นต้น ๒. เห็นชอบให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||
816 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2555 | กค | 27/09/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินดำเนินการ ๑,๒๘๗,๐๐๔.๖๐ ล้านบาท แบ่งเป็น แผนการก่อหนี้ใหม่ ๔๖๙,๑๖๖.๗๖ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ ๖๔๐,๘๓๗.๘๔ ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยง ๑๗๗,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ การกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรบรรจุแผนการบริหารหนี้สาธารณะในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่มีวงเงินการก่อหนี้ค่อนข้างสูง เช่น กรุงเทพมหานคร และพัทยา ไว้ภายใต้กรอบวงเงินนี้ด้วย และควรพิจารณาทางเลือกในการกู้เงินสำหรับโครงการตามแผนการก่อหนี้ใหม่และความคุ้มค่าในการลงทุน รวมทั้งวิเคราะห์ศักยภาพการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ของหน่วยงานเจ้าของโครงการเพื่อลดภาระงบประมาณในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยในอนาคต ทั้งนี้ หากมีการปรับแผนการบริหารหนี้สาธารณะในระหว่างปี ควรนำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรเป็นรายจ่ายเพื่อชำระคืนหนี้เงินกู้แล้ว และผลการกู้เงินจริงเพื่อประกอบการพิจารณาปรับแผนฯ เพื่อให้การปรับแผนเป็นไปตามข้อเท็จจริงจากการดำเนินการและไม่กำหนดวงเงินกู้ที่เกินความจำเป็น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
817 | การรายงานความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ | พม | 27/09/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ ระหว่างวันที่ ๑๗ กันยายน - ๒๒ กันยายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดพิษณุโลก มีพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย จำนวน ๙ อำเภอ ๙๒ ตำบล ๘๔๒ หมู่บ้าน บ้านเรือนราษฎรได้รับผลกระทบ จำนวน ๔๐,๘๕๙ ครัวเรือน ๑๒๒,๕๗๗ ราย มีผู้เสียชีวิต ๗ ราย พื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ ๖๘๘,๘๓๗.๒๕ ไร่ สำหรับการให้ความช่วยเหลือ ได้ดำเนินการจัดหาที่พักพิงชั่วคราว จำนวน ๑๙๗ ครัวเรือน มอบถุงยังชีพ จำนวน ๑๒๓,๗๐๙ ราย และเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท จำนวน ๒,๐๑๖ ราย เป็นเงิน ๑๐,๐๘๐,๐๐๐ บาท อยู่ระหว่างการพิจารณาช่วยเหลือ ๗,๒๒๑ ราย จ่ายค่าชดเชยพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ๖๕,๓๓๐.๗๕ ไร่ เป็นเงิน ๑๑๙.๖๙ ล้านบาท รวมทั้งการจัดทำบางระกำโมเดล เพื่อป้องกันและแก้ไขอย่างเป็นระบบทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว โดยดำเนินการปรับปรุงระบบผันน้ำยม - น่าน (Water way) โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำ คลองผันน้ำสวรรคโลก - พิชัย พร้อมอาคาร งบประมาณ ๑๕๐ ล้านบาท ขุดลอกคลองระบายน้ำ DR 2.8 และ DR 15.8 พร้อมปรับปรุงอาคาร งบประมาณ ๓๐ ล้านบาท และปรับปรุงประตูระบายน้ำบางแก้ว งบประมาณ ๑๕๐ ล้านบาท ก่อสร้างแก้มลิง บึงตะเคร็ง งบประมาณ ๒๐๐ ล้านบาท และปรับปรุงแหล่งเก็บกักน้ำขนาดเล็ก ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัด ๒. จังหวัดเพชรบูรณ์ มีพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย จำนวน ๑๑ อำเภอ ๑๑๗ ตำบล ๑,๑๗๑ หมู่บ้าน บ้านเรือนราษฎรได้รับผลกระทบ จำนวน ๙๐,๖๖๔ ครัวเรือน ๑๙๒,๐๓๕ ราย มีผู้เสียชีวิต ๕ ราย บ้านเรือนเสียหายบางส่วน จำนวน ๒ หลัง พื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ ๗๘,๔๘๓ ไร่ สำหรับการให้ความช่วยเหลือ ทางจังหวัดร่วมกับส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายการเมือง ได้จัดทีมสำรวจเยี่ยมครอบครัวผู้ประสบภัย ให้คำปรึกษาแนะนำและฟื้นฟูสภาพจิตใจ และการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น โดยมอบถุงยังชีพ จำนวน ๒๕,๘๓๐ ราย และเงินสงเคราะห์ครอบครัว จำนวน ๕,๓๐๐ ราย ในพื้นที่ ๓๒ ตำบล นอกจากนี้ ได้เร่งรัดการก่อสร้างโครงการชลประทานอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง ๔ แห่ง คือ อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำก่อ ห้วยน้ำชุนใหญ่ ห้วยนา และคลองลำถง รวมทั้งขออนุมัติโครงการชลประทานอ่างเก็บน้ำแผนงานปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ จำนวน ๗ แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำห้วยเล็ง ห้วยท่าพล ห้วยน้ำชุนน้อย บ้านเสลี่ยงแห้ง ๓ ห้วยยาง บ้านนางั่ว ห้วยน้ำเฮี้ย และซับมะนาว รวมถึงจัดทำแผนการระบายน้ำและกำจัดสิ่งกีดขวางอย่างเป็นระบบ
|
||||||||||||||||||||||||
818 | การตรวจเยี่ยมเพื่อติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติในพื้นที่จังหวัดน่าน | กห | 27/09/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจเยี่ยมเพื่อติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติในพื้นที่จังหวัดน่าน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปผลการตรวจเยี่ยมได้ ดังนี้
๑. การตรวจติดตามสถานการณ์ทั่วไป ปัจจุบันสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดน่านคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว และอยู่ระหว่างการฟื้นฟูสภาพความเสียหาย โดยจังหวัดน่านได้กำหนดยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาอุทกภัยโดยแบ่งพื้นที่เป็น ๓ ตอน ได้แก่ ตอนเหนือ ๗ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอบ่อเกลือ อำเภอสองแคว อำเภอทุ่งช้าง อำเภอเชียงกลาง อำเภอปัว และอำเภอท่าวังผา ใช้ยุทธศาสตร์การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ การวางระบบชะลอน้ำและการกักเก็บน้ำบางตอนไว้ ตอนกลาง ๕ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอแม่จริม อำเภอสันติสุข อำเภอบ้านหลวง และอำเภอภูเพียง ใช้ยุทธศาสตร์การระบายน้ำในพื้นที่เทศบาล การขุดสระ หนองน้ำ การยกขอบแนวกั้นน้ำ เหมืองฝาย และการจัดระบบน้ำสาขา และตอนใต้ ๓ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเวียงสา อำเภอนาน้อย และอำเภอนาหมื่น ใช้ยุทธศาสตร์การระบายน้ำในแม่น้ำน่านให้ไหลไปยังเขื่อนสิริกิติ์โดยเร็ว ๒. การช่วยเหลือประชาชนของหน่วยทหาร ตั้งแต่วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๔ เป็นต้นมา ได้มีการช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่เกิดอุทกภัยในระลอกแรก โดยจัดกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และเครื่องมือต่าง ๆ ตามที่ได้แบ่งมอบพื้นที่รับผิดชอบในการขนย้ายสิ่งของหนีน้ำ โดยกองทัพภาคที่ ๓ สนับสนุนรถน้ำจัดทำน้ำดื่ม และกองบัญชาการช่วยรบที่ ๓ สนับสนุนรถครัวสนามจัดทำอาหารร้อนบรรจุกล่องแจกจ่ายในพื้นที่อำเภอเวียงสา และอำเภอท่าวังผา เมื่อน้ำลดลงได้ช่วยเหลือในการฟื้นฟู เก็บกวาดขยะ และสิ่งปฏิกูล โดยให้ความเร่งด่วนกับพระตำหนักธงน้อยของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำหรับกองพลพัฒนาที่ ๓ และหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ ๓๑ สนับสนุนการฟื้นฟูด้วยการซ่อมแซมถนนและตลิ่งที่พังทลายในพื้นที่อำเภอเวียงสา จนถึงปัจจุบัน ๓. ข้อเสนอเชิงนโยบายที่สมควรได้รับการพิจารณาแก้ไขด้วยการบูรณาการทุกส่วนราชการ เพื่อให้สามารถป้องกันปัญหาอุทกภัยของจังหวัดน่านในระยะยาว ๓ ประการ มีดังนี้ ๓.๑ การใช้เงินทดรองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดจะสามารถใช้ได้เมื่อเกิดภัยแล้ว และต้องประกาศให้เป็นพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติ จึงทำให้การเตรียมการที่จะเผชิญกับอุทกภัยทำได้ไม่เต็มที่และไม่ทันเวลา ประกอบกับในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีหน่วยงานราชการที่สามารถคาดการณ์การเกิดอุทกภัยได้อย่างแม่นยำ จึงสมควรที่จะปรับปรุงระเบียบ และหลักเกณฑ์ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถใช้งบประมาณจากเงินทดรองราชการในขั้นการป้องกัน เพื่อเตรียมการให้พร้อมก่อนเกิดภัย เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนได้ทันท่วงที ๓.๒ ปัจจุบันจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้มีการประสานแผนงานและโครงการในการบรรเทาอุทกภัยเพื่อประโยชน์ในการช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสมควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณของตนเพื่อร่วมบูรณาการและลดข้อจำกัดด้านงบประมาณของทางจังหวัดในภาพรวม เพื่อให้ช่วยเหลือประชาชนได้ทันเวลา จึงสมควรให้กระทรวงมหาดไทยกำหนดแนวทางปฏิบัติระดับนโยบายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ในการบรรเทาภัยเยียวยาและชดเชยตามขีดความสามารถ ๓.๓ ปัญหาของเขื่อนธงน้อย ปัจจุบันเป็นสิ่งกีดขวางทางน้ำไหลมากกว่าการใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยทางจังหวัดดำเนินการรวบรวมรายละเอียดเพื่อหาข้อสรุปและเสนอกระทรวงพลังงานทราบปัญหาต่อไป ส่วนการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่ภูเขาควรได้รับการพัฒนาการอยู่รวมกันของคนกับป่า สำหรับการเพิ่มเติมฝายชะลอน้ำ การสร้างระบบเตือนภัยในพื้นที่ห่างไกล และการสร้างเส้นทางอพยพของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งทางจังหวัดน่านจะเสนอความต้องการงบประมาณจากรัฐบาลและขอรับการสนับสนุนกำลังพลและยุทโธปกรณ์จากจังหวัดทหารบกน่าน และหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ ๓๑ สำนักงานพัฒนาภาค ๓ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
819 | รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประจำปี พ.ศ. 2552 | ปช | 20/09/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เสนอ โดยสาระสำคัญของรายงานดังกล่าว ประกอบด้วยผลการปฏิบัติงานด้านปราบปรามการทุจริต ด้านป้องกันการทุจริต ด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน และด้านบริหารจัดการองค์กร รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ รวม ๒ เรื่อง ดังนี้ ๑.๑ เรื่อง “คุณธรรมและจริยธรรมของนักการเมือง” คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า ตามมาตรา ๓๐๔ บัญญัติให้ดำเนินการจัดทำประมวลจริยธรรมให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ โดยในส่วนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประเภทที่ ๑ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับชาติ ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ได้จัดทำประมวลจริยธรรมของตนแล้วเสร็จ และได้ออกประกาศใช้บังคับแล้ว สำหรับของผู้ดำรงตำแหน่งประเภทที่ ๒ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับท้องถิ่น ได้แก่ ผู้บริหารและสมาชิกสภาในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทต่าง ๆ ทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตำบล และท้องถิ่นที่มีลักษณะการปกครองแบบพิเศษ คือ กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ยังมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีกเป็นจำนวนมากที่ยังมิได้จัดทำประมวลจริยธรรมของหน่วยงาน จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่รัฐบาลและรัฐสภาในฐานะผู้กำกับดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติราชการของหน่วยงานของรัฐจะเร่งรัดให้หน่วยงานของรัฐดังกล่าวดำเนินการจัดทำประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฝ่ายบริหารและฝ่ายสภาหรือประมวลจริยธรรมของข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเร็ว ๑.๒ เรื่อง “ปัญหาการทุจริตที่ดินของรัฐ” คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาด้านกฎหมายและระเบียบด้านนโยบาย ด้านการบริหารราชการ ด้านผู้มีอิทธิพลและอำนาจแฝง และด้านการบูรณาการกลไกภาคประชาสังคมในการป้องกันการทุจริตที่ดินของรัฐ เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตในการออกเอกสารสิทธิที่ดิน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้อเสนอแนะเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมของนักการเมืองและเรื่องปัญหาการทุจริตที่ดินของรัฐ เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
820 | วงเงินงบประมาณและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 13/09/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การกำหนดนโยบายงบประมาณขาดดุลสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยขาดดุลจำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๓๓๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กำหนดไว้ ๒,๑๖๙,๙๖๗.๕ ล้านบาท จำนวน ๑๖๐,๐๓๒.๕ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๔ โดยสาระสำคัญของงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๓๓๐,๐๐๐ ล้านบาท มีดังนี้ ๑.๑.๑ โครงสร้างงบประมาณรายจ่าย ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๘๓๙,๖๕๓.๑ ล้านบาท รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน ๕๔,๐๐๘.๑ ล้านบาท รายจ่ายลงทุน จำนวน ๓๘๔,๔๕๐ ล้านบาท และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๕๑,๘๘๘.๘ ล้านบาท ๑.๑.๒ รายได้สุทธิ จำนวน ๑,๙๘๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๓ งบประมาณขาดดุล จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เท่ากับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ คิดเป็นร้อยละ ๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ เทียบกับสัดส่วนร้อยละ ๓.๗ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ การกำหนดยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ๘ ยุทธศาสตร์ และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การสร้างรากฐานการพัฒนาที่สมดุลสู่สังคม ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ยุทธศาสตร์การศึกษา คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพชีวิต และความเท่าเทียมกันในสังคม ยุทธศาสตร์การอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ๑.๓ การกำหนดแนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย การให้ความสำคัญในการดำเนินภารกิจของกระทรวง/หน่วยงานที่สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ การจัดลำดับความสำคัญของภารกิจที่จะเสนอของบประมาณและกำหนดเป้าหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับความจำเป็นและวงเงินงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด การให้กระทรวง/หน่วยงานพิจารณาทบทวนเพื่อชะลอ ปรับลด หรือยกเลิกดำเนินภารกิจที่มีความสำคัญในระดับต่ำ หรือหมดความจำเป็น หรือไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและสถานการณ์ในปัจจุบัน การให้ความสำคัญกับการบูรณาการในการดำเนินภารกิจต่าง ๆ ทั้งในระดับกระทรวง/หน่วยงานและระหว่างกระทรวงเพื่อลดความซ้ำซ้อน การสนับสนุนงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ด้านการคลังของประเทศ รวมทั้งการให้ความสำคัญกับภารกิจของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่มีความพร้อม ๑.๔ การจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน ๒๒๓,๒๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ได้รับการจัดสรร จำนวน ๑๗๙,๙๐๗.๔ ล้านบาท เป็น จำนวน ๔๓,๒๙๒.๖ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๔.๑ ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ งบประมาณขาดดุล จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท นั้น ได้รวมวงเงินที่ต้องจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ของรัฐบาลเดิม จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาทไว้ด้วย จึงควรระบุข้อมูลให้ชัดเจน ๒.๒ แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการกำหนดให้สนับสนุนงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ด้านการคลังของประเทศ นั้น ให้สำนักงบประมาณประสานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการในการกำกับ ดูแล และติดตามการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสอดคล้องกับการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ๒.๓ ให้กระทรวงการคลังรับเรื่องการชำระดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมของกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ไปพิจารณาแนวทางการดำเนินการเรื่องนี้ร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป
|
.....