ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 8 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 141 - 160 จากข้อมูลทั้งหมด 2037 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 141 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี 2563/2564 | นร.14 | 15/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓,๒๔๘.๕๒
ล้านบาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง
ปี ๒๕๖๓/๒๕๖๔ จำนวน ๒,๘๕๔ รายการ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า
โครงการของจังหวัดที่ต้องระบุในแผนพัฒนาจังหวัด
ขอให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติตรวจสอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
หากยังมิได้กำหนดอยู่ในแผนพัฒนาจังหวัด
เห็นควรให้ไปดำเนินการบรรจุในแผนพัฒนาจังหวัดให้ครบถ้วนก่อน
ในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นตรวจสอบ
หากพบว่าเป็นหน่วยรับงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๔ ให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณโดยตรง หากมิใช่ ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณผ่านกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 142 | สรุปผลการพิจารณาแนวทางและความเหมาะสมต่อข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือกรณีการเกิดอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ | สผ. | 01/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาแนวทางและความเหมาะสมต่อข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือกรณีการเกิดอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้
ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยเร่งด่วนว่า
กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
ได้เตรียมความพร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยตั้งแต่ก่อนและหลังเกิดอุทกภัยอย่างเป็นระบบ
รวมทั้งได้เตรียมเจ้าหน้าที่ไว้พร้อมสำหรับการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่โดยทันที โดยการเยียวยาฟื้นฟูผู้ประสบภัยและพื้นที่ประสบภัยภายหลังสถานการณ์อุทกภัยคลี่คลาย
ได้กำหนดแผนการ เช่น การมอบเงินช่วยเหลือ การเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ส่วนสถานที่สำคัญ
ได้เร่งรัดดำเนินการสำรวจความเสียหาย และขอรับการสนับสนุนงบกลางซ่อมแซม เพื่อให้สามารถเปิดบริการได้ตามปกติ
สำหรับการสร้างระบบเตือนภัย ได้กำหนดช่องทางสื่อสารผ่านสื่อต่าง ๆ
ให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง นอกจากนี้ การให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถประกาศเขตภัยพิบัติและสามารถใช้งบประมาณของท้องถิ่นในการดำเนินการ
เมื่อท้องถิ่นสามารถให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้
จึงไม่มีความจำเป็นต้องประกาศเขตภัยพิบัติ
เนื่องจากทำให้เกิดความซ้ำซ้อนและเพิ่มขั้นตอนการปฏิบัติ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 143 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจัดตั้งเทศบาลนครแม่สอดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด” ของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น วุฒิสภา | นร.01 | 25/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การจัดตั้งเทศบาลนครแม่สอดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ
“นครแม่สอด” ของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น วุฒิสภา ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยสรุปผลการพิจารณาได้ว่า การจัดตั้ง “นครแม่สอด” สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐
ปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ในเรื่องการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
และการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำหรับร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแม่สอด
พ.ศ. .... มีความสอดคล้องกับร่างแผนกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ ทั้งนี้
กระทรวงมหาดไทยได้สำรวจเจตนารมณ์ของประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแบบพิเศษดังกล่าว
ตามมาตรา ๒๔๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ แล้ว
ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 144 | รายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กรณีการบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันเด็ก | สผผ. | 11/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด
๕ หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐
กรณีการบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันเด็ก ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า
การบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันยังไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณประเภทเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนโครงการอาหารกลางวันให้แก่สถานศึกษาหลายแห่งล่าช้า
การขาดนักโภชนาการชุมชนครบทุกท้องถิ่น ค่าเฉลี่ยอาหารกลางวันในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาลดลงต่ำกว่า
๒๐ บาท การนำวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์มาใช้บังคับกรณีการใช้จ่ายเงินอุดหนุนอาหารกลางวันเด็กที่เกินกว่า
๕๐๐,๐๐๐ บาท ทำให้ค่าอาหารกลางวันเฉลี่ยต่อรายเพิ่มสูงขึ้นจากการบวกกำไรเพิ่มของผู้ประมูล
รวมทั้งหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับเงินอุดหนุนโครงการอาหารกลางวันกรณีเงินเหลือจ่ายที่กระทรวงการคลังและสถานศึกษาหลายแห่งถือปฏิบัติไม่สอดคล้องกับขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข
รับข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน
รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การขอรับการจัดสรรงบประมาณค่าอาหารกลางวันเด็กจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งล่าช้าเนื่องจากมีรายละเอียดขั้นตอนค่อนข้างมาก
โดยหากรัฐบาลสามารถจัดหาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือนักโภชนาการหรือผู้มีความรู้ความสามารถในการจัดการด้านโภชนาการสำหรับเด็กให้เข้ามาดำเนินการช่วยเหลือโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลาง
จะเป็นผลดีแก่ทั้งโรงเรียนและนักเรียน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ (เรื่อง ขอปรับค่าอาหารกลางวันของนักเรียน)
ให้สอดคล้องกับข้อเสนอแนะข้างต้นด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 145 | ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา | ทส. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า
และแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา
ซึ่งได้ผ่านการประชุมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์
และเมืองเก่า ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๔ เรียบร้อยแล้ว
โดยขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าอุทัยธานี มีเนื้อที่ประมาณ ๑.๖๙ ตารางกิโลเมตร
(๑,๐๕๘.๘๗ ไร่) ครอบคลุมองค์ประกอบเมืองที่สำคัญ เช่น วัดอุโปสถาราม (วัดโบสถ์)
พื้นที่ย่านการค้าดั้งเดิมบริเวณถนนศรีอุทัยและถนนท่าช้าง
ย่านชุมชนชาวจีนตรอกโรงยา และชุมชนชาวแพแม่น้ำสะแกกรัง ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าตรัง
เนื้อที่ประมาณ ๑.๙๑ ตารางกิโลเมตร (๑,๑๙๒.๙๕ ไร่) ครอบคลุมองค์ประกอบเมืองที่สำคัญ
เช่น หอนาฬิกาจังหวัดตรัง สถานีรถไฟตรัง และขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าฉะเชิงเทรา
เนื้อที่ประมาณ ๓.๙๖ ตารางกิโลเมตร (๒,๔๗๕.๖๙ ไร่)
ครอบคลุมองค์ประกอบเมืองที่สำคัญ เช่น ป้อมและกำแพงเมือง วัดโสธรวรารามวรวิหาร ย่านการค้าตลาดทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
จังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ประกอบด้วยแนวทางทั่วไป
เช่น การมีส่วนร่วมและการประชาสัมพันธ์ การสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน
การส่งเสริมกิจกรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่น และแนวทางสำหรับพื้นที่หลัก เช่น ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน
ด้านอาคารและสภาพแวดล้อม ด้านระบบการราจรและคมนาคมขนส่ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม
กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น หน่วยงานผู้รับผิดชอบในพื้นที่ควรมีแผนการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว
และแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว
โดยต้องคำนึงถึงสุขอนามัย ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ
หน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น
รวมถึงองค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความสำคัญกับการนำแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่เมืองเก่าไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง
และในการจัดทำแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าฉะเชิงเทราซึ่งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับการพัฒนาเขตพัฒนาภาคตะวันออก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ประโยชน์จากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนานบิน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า
และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า
เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว
ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้ดำเนินการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีอย่างเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำชับให้เจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ที่เกี่ยวข้องบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันให้ถูกต้อง
เหมาะสม รวมทั้งสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการกำหนดขอบเขตพื้นเมืองเก่าให้ทั่วถึงด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 146 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | กค. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ประกอบด้วย
งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงินของรัฐบาล หน่วยงานของรัฐ
รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๘,๔๒๒ หน่วยงาน จากจำนวนทั้งหมด
๘,๔๓๙ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๘๐
โดยมีหน่วยงานของรัฐที่ไม่ส่งรายงานการเงินภายในระยะเวลาตามมาตรา ๗๐ จำนวน ๕๑
หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๐.๖๐ ประกอบด้วย หน่วยงานของรัฐที่ส่งรายงานการเงินไม่ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด
จำนวน ๓๔ หน่วยงาน และหน่วยงานของรัฐที่ไม่ส่งรายงานการเงิน จำนวน ๑๗ หน่วยงาน
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
ให้หน่วยงานของรัฐที่ไม่ส่งรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
ให้กระทรวงการคลังภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด รายงานเหตุผลหรือปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไข
เพื่อให้สามารถจัดส่งรายงานการเงินประจำปีให้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนดให้กระทรวงการคลังทราบภายใน
๖๐ วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๓.
ให้กระทรวงการคลังให้ความสำคัญกับมาตรการด้านการจัดเก็บรายได้
โดยจะต้องมีการปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ โดยนำทรัพย์สินของภาครัฐมาสร้างรายได้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ราชพัสดุ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 147 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร.01 | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน
ประจำเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้
ดังนี้ ๑.
การจัดฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
ปัจจุบัน อปท. ทุกแห่งได้จัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติฯ ครบเรียบร้อยแล้ว
และมีการบันทึกรายชื่อผู้สมัครในระบบรายงานแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Report)
ของกรมการปกครองแล้ว ๔๕๔,๘๓๒ คน และมีการฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติฯ
ใน ๒๔ จังหวัด มีผู้ผ่านการอบรม ๒๒๕,๐๔๒ คน ๒.
การจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาเพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในโอกาสวันสำคัญของชาติไทยเพื่อร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดี
และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เช่น กิจกรรม “ปณิธานความดี ทำดีเริ่มได้ที่ใจเรา”
กิจกรรมจิตอาสาพัฒนาโรงพยาบาล สถานพยาบาล ภายในจังหวัด และกิจกรรมพัฒนาภูมิทัศน์
ทำความสะอาดลำน้ำ คู คลอง และชุมชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำ คู คลอง เป็นต้น ๓. การจัดนิทรรศการ “ความสุขที่พ่อให้”
และนิทรรศการ “ความดีที่แบ่งปัน” โดยรัฐบาลได้จัดกิจกรรม “วันพ่อแห่งชาติ” ระหว่างวันที่
๑-๖ ธันวาคม ๒๕๖๓
เพื่อเป็นการรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเพื่อสืบสานพระราชปณิธาณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๔.
การฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา ๙๐๔ “หลักสูตรหลักประจำ” รุ่นที่ ๕/๖๓ “เป็นเป้า เป็น
แม่พิมพ์” ระหว่างวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน-๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สำเร็จการฝึกอบรมสามารถเป็นตัวอย่างให้กับประชาชนจิตอาสาในการสร้างอุดมการณ์
สร้างจิตสำนึกและระเบียบวินัย ๕. ข้อมูลจำนวนจิตอาสาและกิจกรรมจิตอาสา
ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ มีจิตอาสาลงทะเบียน ๖,๗๓๙,๗๙๖ คน และจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา
๕๓,๖๙๕ ครั้ง และกิจกรรมจิตอาสาภัยพิบัติ ๗๐๓ ครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 148 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 | อก. | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การแจ้งการประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่
๒ (โรงงานที่มีแรงม้ารวมของเครื่องจักรมากกว่า ๗๕ แรงม้า และคนงานไม่เกิน ๗๕ คน)
การออกใบรับแจ้งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตลอดจนการดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้อง
สามารถดำเนินการได้โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ.ร. ที่เห็นควรพิจารณาดำเนินการพัฒนาระบบ e-Service ในการแจ้งประกอบกิจการโรงงานให้ครอบคลุมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจตามกฎหมาย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 149 | สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 และข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน | มท. | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่
พ.ศ. ๒๕๖๔ และเห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน
โดยภาพรวมการดำเนินงาน เช่น สถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๔ (รวม
๗ วัน) การจัดตั้งด่านชุมชน และผลการดำเนินการตามตัวชี้วัดตามแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนฯ
เป็นต้น รวมทั้งผลการวิเคราะห์ข้อมูลผลการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนฯ เช่น
ดัชนีความรุนแรงของอุบัติเหตุฯ เพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมเสี่ยงของผู้ขับขี่ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด
เป็นต้น ส่วนข้อเสนอเชิงนโยบายฯ ประกอบด้วย (๑) ด้านการบริหารจัดการ (๒)
ด้านผู้ใช้รถใช้ถนน (๓) ด้านถนน และ (๔) ด้านยานพาหนะ ๒. ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน
กระทรวงศึกษาธิการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เห็นควร (๑) ดำเนินการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี
โดยมุ่งเป้าและกำหนดเป้าหมายไปในพื้นที่อำเภอเสี่ยง
ให้การสนับสนุนทั้งด้านวิชาการและงบประมาณ และมีการกำกับ
ติดตามอย่างจริงจังต่อเนื่อง (๒) ให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้ความเสี่ยงถึงผลกระทบของการดื่มแล้วขับ
และบทลงโทษตามกฎหมาย และจัดให้มีด่านตรวจบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์
รวมทั้งมีนโยบายตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์กับผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุทุกราย และ
(๓) นำประเด็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายฯ ด้านยานพาหนะ (การกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการขอใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์เพิ่มเติม
นอกจากการทดสอบทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
และเพิ่มกระบวนการสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้ที่จะได้รับใบอนุญาตขับรถได้เห็นผลที่จะเกิดขึ้นต่อบุคคลอื่น
ๆ ถ้ามีการขับขี่โดยไม่มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม) ไปกำหนดไว้ในด้านผู้ใช้รถใช้ถนน
โดยให้กรมการขนส่งทางบกเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนข้อเสนอเชิงนโยบายฯ ด้านยานพาหนะ
ควรกำหนดในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานความปลอดภัยของยานพาหนะ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 150 | การถอดรายการเงินอุดหนุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ออกจากรายการเงินอุดหนุนที่จัดสรรให้เป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร.01 | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(ก.ก.ถ.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๓ ดังนี้ (๑)
การถอดรายการเงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
(อสม.) ออกจากรายการเงินอุดหนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด และ (๒)
ให้นำเงินงบประมาณเงินอุดหนุนสำหรับจ่ายค่าป่วยการ อสม. ไว้ที่กระทรวงสาธารณสุข
และให้กระทรวงสาธารณสุขเสนอตั้งงบประมาณรายการดังกล่าว ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๕ เป็นต้นไป ตามที่ ก.ก.ถ. เสนอ สำหรับการสนับสนุนงบประมาณเงินอุดหนุนชดเชยให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.) เพื่อให้คงสัดส่วนรายได้ของ อปท.
ที่กำหนดไว้เพื่อมิให้กระทบต่อการบริหารงานของ อปท. นั้น การถอดรายการเงินอุดหนุนดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการบริหารงานของ
อปท. ทั้งนี้ อปท. ยังคงได้รับเงินอุดหนุนงบประมาณตามภารกิจเหมือนเดิม
จึงไม่จำเป็นที่จะต้องจัดสรรงบประมาณชดเชยดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 151 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดสิทธิในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | มท. | 16/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดสิทธิในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของราชการส่วนท้องถิ่น
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ราชการส่วนท้องถิ่นดำเนินการให้วัยรุ่นในเขตราชการส่วนท้องถิ่นได้รับสิทธิในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้พิจารณาในประเด็นร่างข้อ ๕ ของร่างกฎกระทรวงดังกล่าวสมควรกำหนดให้มีการบริการข้อมูลข่าวสารโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงบริการข้อมูลข่าวสารของวัยรุ่นได้มากยิ่งขึ้น
ตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 152 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจ้างงานข้าราชการภายหลังเกษียณอายุ 60 ปี เพื่อรองรับสังคมสูงวัย ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา | สว. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การจ้างงานข้าราชการภายหลังเกษียณอายุ ๖๐ ปี เพื่อรองรับสังคมสูงวัย
ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ
และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา โดยสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณารายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
แล้ว เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
โดยเห็นควรให้ชะลอหรือทบทวนการดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม
ซึ่งควรใช้จ่ายงบประมาณที่มีจำกัดเพื่อให้เกิดการจ้างงานที่จำเป็นและควรพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์เพื่อความยั่งยืนทางการคลัง
การจ้างงานเพื่อใช้ศักยภาพข้าราชการเกษียณให้พิจารณาตามความจำเป็นและความต้องการของบุคลากรในแต่ละตำแหน่งหรือสาขา
และการศึกษาเพื่อปฏิรูประบบบำเหน็จบำนาญของข้าราชการส่วนท้องถิ่น
มีการวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดรับกันต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 153 | แนวทางปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเข้าสำรวจและจัดเก็บข้อมูลภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ | นร.01 | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบแนวทางปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเข้าสำรวจและจัดเก็บข้อมูลภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ
ตามมติคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๓ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑
หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจต้องทำการสำรวจว่าเป็นเจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง
หรือครอบครองที่ราชพัสดุที่ใดบ้าง ณ บริเวณใด
ซึ่งการเป็นเจ้าของหรือครอบครองดังกล่าว หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจจะเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมาย
โดยผู้เป็นเจ้าของหรือครอบครองที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ ณ วันที่ ๑ มกราคม
ของปีใด เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีสำหรับปีนั้น ๑.๒ เจ้าพนักงานสำรวจ พนักงานประเมิน
พนักงานเก็บภาษีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้บริหารท้องถิ่นจะจัดทำรายการที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งใช้ประโยชน์ในพื้นที่ต่าง
ๆ ทุกประเภท ทั้งพื้นที่ของเอกชน พื้นที่ที่มีโฉนด และพื้นที่หน่วยงานของรัฐ
โดยในกรณีพื้นที่ของรัฐหากมีการใช้ประโยชน์เพื่อการสาธารณะตามกฎหมายของหน่วยงานนั้น
จะได้รับการยกเว้นภาษี แต่หากมีการใช้ประโยชน์ในลักษณะการหารายได้จะอยู่ในข่ายที่ต้องถูกประเมินภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ดังนั้น หน่วยงานต้องเตรียมเอกสารข้อมูลที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อแสดงแก่ท้องถิ่น
เพื่อให้การสำรวจและจัดทำข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและถูกต้อง ๑.๓ กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเมินภาษีแล้ว
หากหน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจเห็นว่าการประเมินดังกล่าวไม่ถูกต้อง
สามารถอุทธรณ์ได้ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมินภาษี โดยการอุทธรณ์มี
๓ ลำดับ คือ (๑) อุทธรณ์ไปที่ผู้บริหารท้องถิ่น (๒) หากหน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจไม่เห็นชอบตามผลการพิจารณาของผู้บริหารท้องถิ่นมีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษีประจำจังหวัด
ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน โดยยื่นคำร้องผ่านท้องถิ่น และ (๓)
ฟ้องต่อศาล โดยคำพิพากษาของศาลจะถือเป็นที่สิ้นสุด ๑.๔ กรณีทรัพย์สินของรัฐหรือของหน่วยงานของรัฐซึ่งใช้ในกิจการของรัฐหรือของหน่วยงานของรัฐ
หรือในกิจการสาธารณะ โดยมิได้ใช้หาผลประโยชน์จะได้รับการยกเว้นภาษีตามมาตรา ๘ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒ ๒.
ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าว
เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีในการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นการทั่วไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 154 | (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563–2565) | ทส. | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕)
มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบและแนวทางการดำเนินงานร่วมกันจากทุกภาคส่วนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกที่สำคัญและต้องเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
ในช่วง ๓ ปีแรก (ปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕) โดยมี ๒ เป้าหมาย ได้แก่ (๑) การลด
เลิกใช้พลาสติกเป้าหมาย (ถุงพลาสติกหูหิ้วบาง กล่องโฟมบรรจุอาหาร แก้วพลาสติกบาง
และหลอดพลาสติก) ด้วยการใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ร้อยละ ๑๐๐
ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ และ (๒) การนำพลาสติกเป้าหมาย (๗ ชนิด เช่น
ถุงพลาสติกหูหิ้วอื่น ๆ ขวดพลาสติก ถาด/กล่องอาหาร)
กลับไปใช้ประโยชน์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular
Economy) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของพลาสติกเป้าหมาย ภายในปี พ.ศ.
๒๕๖๕ ผ่าน ๓ มาตรการ ได้แก่ มาตรการลดการเกิดขยะพลาสติก ณ แหล่งกำเนิด มาตรการลด
เลิกใช้พลาสติก ณ ขั้นตอนการบริโภค และมาตรการจัดการขยะพลาสติกหลังการบริโภค
โดยคาดว่าจะลดปริมาณขยะพลาสติกที่ต้องนำไปกำจัดได้ประมาณ ๐.๗๘ ล้านตันต่อปี
และประหยัดงบประมาณจัดการขยะมูลฝอย ๓,๙๐๐ ล้านบาทต่อปี ประหยัดพื้นที่รองรับพื้นที่ฝังกลบประมาณ
๒,๕๐๐ ไร่ และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์ ๑.๒
ล้านตัน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตาม
(ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
และให้รายงานผลการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะ ๆ เป็นรายไตรมาส ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และข้อคิดเห็น ข้อสังเกต
และข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น (๑)
ควรให้ความสำคัญกับการสนับสนุนและเตรียมความพร้อมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินการตาม
(ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ (๒) การพัฒนาให้มีกฎหมายเพื่อการจัดการขยะพลาสติกเป็นการเฉพาะ
สมควรที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะได้พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในภาพรวมรวมกับส่วนราชการและหน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่รับผิดชอบและดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ และ (๓) ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โอนงบประมาณรายจ่าย
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 155 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประจำปี พ.ศ. 2562 | นร.09 | 02/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ๒.
ให้หน่วยงานของรัฐ ทั้งราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น
รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐ
ส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมการอบรมด้านการบังคับคดี จากกรมบังคับคดี ทั้งนี้
เพื่อให้การบังคับทางปกครองโดยเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐมีประสิทธิภาพและมีมาตรฐานเดียวกัน
และกระทบกระเทือนต่อผู้อยู่ในบังคับของคำสั่งทางปกครองน้อยที่สุด ๓.
ให้หน่วยงานของรัฐที่หารือต่อคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองถือปฏิบัติตามความเห็นของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองเช่นเดียวกับการให้ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๒ ว่า
“...เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นทางกฎหมายเป็นประการใดแล้ว
โดยปกติให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา นั้น” ๔.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับข้อเสนอแนะของกระทรวงกลาโหมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม เช่น (๑) การจัดอบรมด้านการบังคับคดี
ควรจัดทำเนื้อหาเพื่อเพิ่มเติมทักษะที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานจริงในขั้นตอนต่าง ๆ
ของการบังคับคดีด้วย และ (๒) การจัดหลักสูตรอบรมด้านการบังคับคดี
อาจพิจารณาจัดการฝึกอบรมผ่านระบบ online และระบุช่องทางสำหรับการค้นหาความเห็นของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองเพื่อให้สามารถค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 156 | มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในปี 2564 | กค. | 26/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบมาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะจัดเก็บตามกฎหมายว่าด้วยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ในอัตราร้อยละ ๙๐ ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้ สำหรับการจัดเก็บภาษีของปีภาษี พ.ศ.
๒๕๖๔ และมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย
เพื่อสนับสนุนและบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่สร้างเสร็จพร้อมขายเป็นของตนเองในระดับราคาที่ไม่สูงมากและเหมาะสมกับศักยภาพของประชาชนแต่ละกลุ่ม
รวมถึงช่วยรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเชื่อมโยงกับการจ้างงาน
และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบางประเภท (ฉบับที่
..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ลดจำนวนภาษีในอัตราร้อยละเก้าสิบ
ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้ ตามมาตรา ๔๒ หรือมาตรา ๙๕ แล้วแต่กรณี
สำหรับการจัดเก็บภาษีของปีภาษี พ.ศ. ๒๕๖๔ สำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม
ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ใช้ประโยชน์อื่น และทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ
โดยให้บังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน
กรณีอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่ดินพร้อมอาคาร ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
และเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
กรณีห้องชุด ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์
จากเดิมร้อยละ ๒ เหลือร้อยละ ๐.๐๑ และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์
จากเดิมร้อยละ ๑ เหลือร้อยละ ๐.๐๑ เฉพาะการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ดังนี้ (๑)
ที่ดินพร้อมอาคารประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์
จากผู้จัดสรรที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน หรือ (๒)
ห้องชุดจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนอาคารชุด ในราคาไม่เกิน ๓ ล้านบาทต่อหน่วย
โดยการจดทะเบียนการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยต้องดำเนินการในคราวเดียวกัน
โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงวันที่ ๓๑
ธันวาคม ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๔.
ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น)
และกระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการสำรวจผลการจัดเก็บภาษี ณ สิ้นปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ในส่วนของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างว่ามีการสูญเสียรายได้เป็นจำนวนเท่าใด
และความเป็นไปได้ในการเพิ่มรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
ด้วยการนำเงินภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บและแบ่งให้
เพื่อประกอบการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
๕.
ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีแนวทางในการบริหารจัดการเพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ที่ส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของ
อปท. และก่อให้เกิดภาระในการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยรายได้ให้แก่ อปท.
โดยอาจพิจารณาใช้การกำหนดอัตราการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีความแตกต่างกันตามประเภทการใช้ประโยชน์
ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อการสูญเสียรายได้ของ อปท.
และลดภาระทางงบประมาณได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย
ควรพิจารณาให้ครอบคลุมกลุ่มถึงประชาชนและธุรกิจที่ประกอบการในรูปแบบบุคคลธรรมดาด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 157 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | สปสช. | 26/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
ประกอบด้วย งบประมาณสำหรับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ วงเงิน ๑๙๘,๘๙๑,๗๘๙,๔๐๐
บาท และงบประมาณบริหารงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) วงเงิน
๒,๒๐๓,๑๐๘,๖๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
มอบหมายให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดำเนินการและบริหารจัดการกองทุนฯ และควบคุมดูแล
สปสช. ให้บริหารกองทุนฯ ให้เป็นไปตามการมอบหมายดังกล่าว ตามที่ สปสช. เสนอ ๓.
ให้ สปสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นเพิ่มเติมบางประการของกระทรวงสาธารณสุข
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
และมติคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข ในคราวประชุมครั้งที่
๑๐/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้ สปสช. ดำเนินการเพิ่มเติม
ดังนี้ ๓.๑
เร่งศึกษาต้นทุนบริการที่แท้จริงของหน่วยบริการต่าง ๆ อาทิ ศูนย์บริการสาธารณสุข โรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัย
คลินิกและโรงพยาบาลเอกชน รวมถึงต้นทุนบริการของการรักษาพยาบาลต่าง ๆ เพื่อให้การประมาณการค่าใช้จ่ายในการจัดทำงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสอดคล้องกับข้อเท็จจริงมากยิ่งขึ้น ๓.๒ ในขั้นตอนการจัดทำคำของบประมาณในปีงบประมาณต่อ
ๆ ไป
ให้หารือร่วมกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมของรายการคำของบประมาณ
และปรับปรุงให้ถูกต้องก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔.
มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับ สปสช. สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
กระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๔.๑ บูรณาการแนวทางการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
รวมถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพที่เหมาะสมสำหรับดำเนินการในหน่วยบริการปฐมภูมิและเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ
โดยให้จัดทำกลไกการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานดังกล่าวที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม
โดยกำหนดตัวชี้วัดแต่ละรายการให้มีความชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อน
และกำหนดให้ความสามารถในการลดภาระงบประมาณด้านการรักษาพยาบาลเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดการดำเนินงานด้วย ๔.๒ สำรวจ ศึกษา
และวิเคราะห์ขีดความสามารถของระบบสุขภาพปฐมภูมิ ทั้งในด้านบุคลากร
อุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็น และงบประมาณ เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาและยกระดับระบบสุขภาพปฐมภูมิให้สามารถรองรับความต้องการและขอบเขตในการให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตของคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๔.๓
ประเมินความพร้อมของระบบสาธารณสุขในทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยคำนึงถึงมิติทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน
บริบทการถ่ายโอนภารกิจสาธารณสุขไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รูปแบบกลไกการบริหารจัดการที่เหมาะสม มีความยั่งยืน และมีประสิทธิภาพและปัจจัยแวดล้อมต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดเป้าหมายและแผนการพัฒนาและยกระดับระบบสาธารณสุขที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์
รวมถึงสถานการณ์ฉุกเฉินอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคระบาด โรคร้ายแรง
และโรคติดต่อที่อุบัติใหม่อย่างเป็นระบบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 158 | การนำเสนอเมืองโบราณศรีเทพ เข้าสู่บัญชีรายชื่อมรดกโลก | ทส. | 19/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบเอกสารนำเสนอเข้าสู่บัญชีรายชื่อมรดกโลก เมืองโบราณศรีเทพ
และให้ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก (พลเอก ประวิตร
วงษ์สุวรรณ) ลงนามในเอกสารนำเสนอเมืองโบราณศรีเทพเข้าสู่บัญชีรายชื่อมรดกโลก ณ
กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส (ทั้งนี้ ประเทศไทยจะต้องจัดส่งเอกสารนำเสนอเข้าสู่บัญชีรายชื่อมรดกโลก
เมืองโบราณศรีเทพ ให้ศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ภายในวันที่ ๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า (๑) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีแนวทางสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์การนำเสนอเมืองโบราณศรีเทพเข้าสู่บัญชีรายชื่อมรดกโลกให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทราบอย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะภาคประชาชนและชุมชนท้องถิ่น
เพื่อสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์
ซึ่งจะทำให้เกิดการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของไทยและของโลกอย่างยั่งยืน (๒) หน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลาง
ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น
ควรดำเนินการตามแผนงาน/โครงการภายใต้แผนการบริหารจัดการเมืองโบราณศรีเทพอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งประสานให้เกิดการมีส่วนร่วมได้อย่างเป็นรูปธรรม และ (๓)
ค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการอนุรักษ์มรดกโลกทางวัฒนธรรมเมืองโบราณศรีเทพ
นั้น หากเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้ว
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๔ หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ
แล้วแต่กรณี ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป
เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 159 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (1.นายรอยล จิตรดอน) | ศธ. | 12/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา รวม ๒๑ คน ตามข้อ ๓ ของกฎกระทรวงกำหนดจำนวน คุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหา การเลือก วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ มกราคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑. ประธานกรรมการ (จำนวน ๑
คน เลือกจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ) นายรอยล จิตรดอน ประธานกรรมการการอาชีวศึกษา
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการพัฒนากำลังคน ๒. กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชน
(จำนวน ๓ คน) ๒.๑ นายประสาน ประวัติรุ่งเรือง กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชน
(สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย) ๒.๒ นายมานะผล ภู่สมบุญ กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชน
(สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) ๒.๓ นายประดิษฐ์ วัชระดนัย กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชน (สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ๓. ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(จำนวน ๑ คน) นายณรงค์ จันทะธรรม กรรมการผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๔. ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ (จำนวน ๑ คน) รองศาสตราจารย์เกรียงไกร บุญเลิศอุทัย กรรมการผู้แทนองค์กรวิชาชีพ ๕. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
(จำนวน ๑๕ คน) ๕.๑ นายวณิชย์ อ่วมศรี ด้านอุตสาหกรรม ๕.๒ นายธีระ ณ วังขนาย ด้านอุตสาหกรรม ๕.๓ นางปัทมาวลัย รัตนพล ด้านธุรกิจหรือบริการ ๕.๔ นายสมบัติ แสงสว่างสัจกุล ด้านธุรกิจหรือบริการ ๕.๕ นายนิยม ไวยรัชพานิช ด้านเกษตรและประมง ๕.๖ นายบำเพ็ญ เขียวหวาน ด้านเกษตรและประมง ๕.๗ นายณรงค์ศักดิ์ ภูมิศรีสอาด ด้านกฎหมาย ๕.๘ นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ด้านการเงินการคลังหรือการลงทุน ๕.๙ นายสินเธาว์ ชัยสวัสดิ์ ด้านการพัฒนากำลังคน ๕.๑๐ ว่าที่ร้อยตรี จรูญ ชูลาภ ด้านการจัดการอาชีวศึกษาภาครัฐ ๕.๑๑ รองศาสตราจารย์สมบัติ นพรัก ด้านการจัดการอาชีวศึกษาภาครัฐ ๕.๑๒ นายอดิศร สินประสงค์ ด้านการจัดการอาชีวศึกษาภาคเอกชน ๕.๑๓ นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ด้านการจัดการศึกษาพิเศษ ๕.๑๔ นางศิริพรรณ ชุมนุม ด้านการประเมินคุณภาพการศึกษา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 160 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ซึ่งจะต้องมีการก่อหนี้ผูกพันมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณสำหรับรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นหน่วยรับงบประมาณ | มท. | 12/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยทบทวนการยื่นเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ กรณีการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณสำหรับรายการที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นหน่วยรับงบประมาณ จำนวน ๒
โครงการ วงเงินทั้งสิ้น ๒,๒๔๖.๗๔๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) ของโครงการจัดหาน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาที่โรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า
จากแหล่งน้ำลำตะคองมายังโรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่าของเทศบาลนครนครราชสีมา
จังหวัดนครราชสีมา วงเงิน ๑,๐๔๖.๗๔๐๐ ล้านบาท และ (๒)
โครงการก่อสร้างอุทยานการเรียนรู้เฉลิมพระเกียรติของเทศบาลนครยะลา จังหวัดยะลา
วงเงิน ๑,๒๐๐.๐๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากแหล่งเงินอื่น เช่น
เงินรายได้หรือเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เงินกู้
เอกชนร่วมลงทุนหรือดำเนินการทั้งหมด แล้วแต่กรณี ทั้งนี้
ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด
การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ
ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
