ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 79 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1561 - 1580 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1561 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรณีให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นอกสถานพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข | สธ. | 10/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบโครงการแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
กรณีให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นอกสถานพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข และอนุมัติรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ กรณีให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นอกสถานพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข จำนวนเงินทั้งสิ้น
๑,๘๗๗,๔๕๕,๐๐๐
บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งประเมินผลและพิจารณาปรับเป้าหมายของโครงการแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่
: กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๔ กรณีให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นอกสถานพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข
ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน
เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นระบบและมีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1562 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระยะการระบาดระลอกเมษายน 2564 | สธ. | 10/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบโครงการแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอกเมษายน ๒๕๖๔ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และอนุมัติรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ระยะการระบาดระลอกเมษายน ๒๕๖๔ จำนวนเงินทั้งสิ้น ๑๒,๖๖๙,๒๑๘,๓๑๘ บาท และขยายระยะเวลาการปฏิบัติงานและการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ในโครงการเตรียมความพร้อมรับมือและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอกเมษายน
๒๕๖๔ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔
ออกไปเป็นระยะเวลา ๖ เดือน (เดือนเมษายน ถึง กันยายน ๒๕๖๔) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเพิ่มเติม
ดังนี้ ๒.๑
ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโครานา 2019 ให้อยู่ในวงจำกัดโดยเร็วที่สุด
โดยให้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
รวมทั้งให้พิจารณาปรับปรุงระบบการตรวจคัดกรองระดับ/ประเภทผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถให้การช่วยเหลือและนำผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาลและเข้าถึงอย่างรวดเร็วทั่วถึง
และทันเวลา ๒.๒
ให้ปรับปรุงระบบการบริหารจัดการและการกระจายยาที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 อาทิ ยาฟาวิพิราเวียร์ ไปยังผู้ป่วยที่รักษาตัวในโรงพยาบาล
รวมถึงผู้ป่วยในระบบการแยกกักตัวที่บ้าน (Home isolation) และการกักตัวในชุมชน (Community
isolation) ให้รวดเร็วและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ๒.๓
ให้ประเมินสถานการณ์ ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในขั้นตอนต่าง ๆ เช่น
การเฝ้าระวังโรค การเข้าตรวจโรค และการรักษาพยาบาล เป็นต้น อย่างใกล้ชิด
เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ๒.๔ ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1563 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุม ครั้งที่ 3/2564 | นร.11 สศช | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ประกอบด้วย (๑)
โครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ตามมาตรการที่ ๑
โดยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา จำนวน ๒,๐๐๐ บาทต่อคน ในภาคการศึกษาที่ ๑/๒๕๖๔ กรอบวงเงิน ๒๑,๙๐๕.๙๒๐๐ ล้านบาท (๒)
ให้หน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษาเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
ดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายสัปดาห์ (๓) ให้สถานศึกษาของรัฐ
เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดการเรียนการสอนและการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ตามระเบียบของทางราชการ (๔) โครงการตามมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของนิสิต
นักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในภาครัฐและเอกชน ของสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กรอบวงเงิน
๑๐,๐๐๐ ล้านบาท (๕) ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
ดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายสัปดาห์ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด
และเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจในมาตรการที่ถูกต้องให้กับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชน
รวมทั้งการพิจารณาแนวทางการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการในภาพรวม
โดยรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อให้ภาครัฐมีข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายหรือแนวทางที่เกี่ยวข้องในลักษณะมุ่งเป้า
ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐในภาพรวมต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1564 | ร่างถ้อยแถลงร่วมกลุ่มมิตรประเทศลุ่มน้ำโขง | กต. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้เ ๑.
เห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมกลุ่มมิตรประเทศลุ่มน้ำโขง ซึ่งร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศในกลุ่มมิตรประเทศลุ่มน้ำโขงที่จะส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง
ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
การฟื้นฟูหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ และการพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรอง
โดยไม่มีการลงนามร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมกลุ่มมิตรประเทศลุ่มน้ำโขง
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1565 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 27 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร.11 สศช | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๗ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑) ตระหนักถึงความท้าทายระดับโลกในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
(โควิด-๑๙) โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคเพื่อรับมือผลกระทบดังกล่าว
๒) ยินดีต่อผลการดำเนินงานของคณะทำงานแต่ละสาขาในปี ๒๕๖๔
และความสำเร็จของการประชุมคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อมครั้งแรก ๓)
แนวทางของแต่ละสาขาความร่วมมือขับเคลื่อนการดำเนินงานของ IMT-GT ในระยะต่อไป
โดยส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ในการดำเนินงาน ๔)
รับทราบถึงการดำเนินงานระยะสุดท้ายของเครือข่ายมหาวิทยาลัย IMT-GT (UNITED) ตามแผนงานยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๕ ปี พ.ศ.
๒๕๖๐-๒๕๖๕ ๕)
ตระหนักถึงความสำคัญของบทบาทของสภาธุรกิจในฐานะกลไกขับเคลื่อนสำคัญของ IMT-GT ๖)
ยืนยันที่จะพัฒนาความร่วมมือกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาต่อไป
รวมทั้งยินดีสร้างความร่วมมือกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาใหม่ ๆ
เพื่อขยายขอบเขตสาขาความร่วมมือกับ IMT-GT
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๗
แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT)
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1566 | มาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนในการติดต่อราชการเพื่อขออนุญาตกับหน่วยงานของรัฐจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 | นร.12 | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนในการติดต่อราชการเพื่อขออนุญาตกับหน่วยงานของรัฐจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019
เพื่อเป็นการสนับสนุนการดำเนินการตามข้อกำหนดและข้อปฏิบัติต่าง ๆ
รวมถึงผลกระทบของประชาชนจากการติดต่อหน่วยงานของรัฐ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ
โดยในส่วนของการขยายเวลาการต่ออายุใบอนุญาต การแจ้ง
การชำระภาษีหรือเงินอื่นใดที่บุคคลต้องชำระให้แก่หน่วยงานของรัฐ
ให้เป็นดุลยพินิจของแต่ละหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ที่จะพิจารณากำหนดระยะเวลาได้เองภายในกรอบของกฎหมายตามความจำเป็นเหมาะสม
แล้วให้หน่วยงานของรัฐแจ้งผลการพิจารณาขยายเวลาดังกล่าว ไปยังสำนักงาน ก.พ.ร.
โดยด่วน เพื่อรวบรวมนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าควรให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ออกใบอนุญาตหรือรับแจ้งรับไปพิจารณากฎหมายที่มีอยู่ในความรับผิดชอบ
โดยเฉพาะกฎหมายลำดับรอง และเร่งดำเนินการแก้ไขให้สอดคล้องกับข้อเสนอสำนักงาน
ก.พ.ร. ด้วย และแจ้งหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว
เร่งสื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพ
ให้ประชาชนได้รับทราบมาตรการที่เสนอ
เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้อย่างรวดเร็วและสอดคล้องกับสถานการณ์ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1567 | บันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงอุตสาหกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานนโยบายด้านการดูแลสุขภาพ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแห่งญี่ปุ่น กระทรวงกิจการภายใน และการสื่อสารแห่งญี่ปุ่น กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการแห่งญี่ปุ่น และกระทรวงเศรษฐกิจการค้า และอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น สาขาการดูแลสุขภาพ | สธ. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงอุตสาหกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย
และสำนักงานนโยบายด้านการดูแลสุขภาพ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแห่งญี่ปุ่น
กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารแห่งญี่ปุ่น กระทรวงสาธารณสุข
แรงงานและสวัสดิการแห่งญี่ปุ่น และกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า
และอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น สาขาการดูแลสุขภาพ และอนุมัติให้เอกอัครราชทูต ณ
กรุงโตเกียว หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในบันทึกความร่วมมือฯ โดยบันทึกความร่วมมือฯ
จะลงนามในรูปแบบทางไกล โดยเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว
และเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ในวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๔ ในระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย-ญี่ปุ่น
(High Level Joint Commission : HLJC ครั้งที่ ๕ มีสาระสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในด้านการดูแลสุขภาพ
ได้แก่ การให้บริการด้านการแพทย์ การฟื้นฟูสมรรถภาพ การดูแลผู้สูงอายุ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข
วัคซีน และอุปกรณ์การแพทย์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ การประกันสุขภาพถ้วนหน้า
และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1568 | ขยายขอบเขตมาตรการบรรเทาผลกระทบอันเนื่องมาจากข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 30) | นร.11 สศช | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขยายขอบเขตมาตรการบรรเทาผลกระทบและให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่สถานการณ์ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ และมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคม
กระทรวงแรงงานดำเนินการจัดทำรายละเอียด โดยมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือกลุ่มอาชีพผู้ขับรถยนต์รับจ้าง
(รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะที่มีอายุเกิน ๖๕ ปี
ที่ไม่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตน มาตรา ๔๐ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
ฉบับแก้ไข โดยพิจารณาจากฐานข้อมูลการจดทะเบียนอนุญาตผู้ขับรถยนต์รับจ้าง
(รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะ เพื่อให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างเหมาะสม
และสามารถยืนยันตัวตน ตรวจสอบได้
และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
โดยให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ เพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์
รวมถึงปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
ตลอดจนการสร้างความรับรู้และความเข้าใจ และคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างครอบคลุม
เป็นธรรม อย่างโปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกมิติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย
และสำนักงานประกันสังคม ติดตามและประเมินผลการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและเผยแพร่ผลการดำเนินการฯ
ให้ประชาชนรับทราบอย่างถูกต้อง ทั่วถึง เป็นระยะ ๆ ด้วย ๓. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1569 | ขอความเห็นชอบปรับลดหน่วยโครงการบ้านเอื้ออาทรจังหวัดสมุทรปราการ (เทพารักษ์ 4) และเพิ่มกรอบงบลงทุน “โครงการบ้านเคหะสุขเกษม” | พม. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับลดหน่วยโครงการบ้านเอื้ออาทรจังหวัดสมุทรปราการ
(เทพารักษ์ ๔) จำนวน ๔๕ หน่วย เพื่อจัดทำโครงการอาคารต้นแบบของโครงการบ้านเคหะสุขเกษม
จำนวน ๑ อาคาร เพื่อเป็นอาคารเช่าสำหรับผู้สูงอายุและข้าราชการเกษียณ ลูกจ้าง
พนักงานของรัฐ โดยใช้ทรัพย์สินรอการพัฒนา (Sunk Cost) และเพิ่มกรอบงบลงทุน
“โครงการบ้านเคหะสุขเกษม” จำนวน ๑๑ ล้านบาท เพื่อการดำเนินงานปกติ ประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๔ ในการปรับปรุงอาคารต้นแบบของโครงการบ้านสุขเกษม (บ้านผู้สูงอายุและข้าราชการเกษียณ)
โดยเพิ่มวงเงินการดำเนินการและวงเงินเบิกจ่ายจากแหล่งเงินอุดหนุนจากรัฐบาลปี ๒๕๖๔
จำนวนเดียวกัน
ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(การเคหะแห่งชาติ) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุข
ที่เห็นว่าให้การเคหะแห่งชาติดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๑ และการประชุมครั้งที่
๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๓ ต่อไป และหากมีการสำรวจกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเช่าระยะยาว
ควรพิจารณากำหนดกลุ่มเป้าหมายของโครงการบ้านเคหะสุขเกษม ให้ครอบคลุมถึงประชาชนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง
โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในปัจจุบันด้วย และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนทุกขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้
ให้กำหนดกลุ่มเป้าหมายในการดำเนินการ โดยมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเป้าหมายในการดำเนินการให้ชัดเจน
โดยมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองก่อนเป็นลำดับแรก
รวมทั้งให้กำหนดรูปแบบและจำนวนการสร้างที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าห
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1570 | การขับเคลื่อนการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | นร.12 | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบรายชื่องานบริการ Agenda จำนวน ๑๒ งานบริการ และกำหนดให้เป็นตัวชี้วัดตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ของส่วนราชการที่ได้รับมอบหมาย และให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเป็นผู้พิจารณางานบริการ Agenda และงานบริการรายส่วนราชการเพิ่มเติม
ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
สำนักงาน ก.พ.ร. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เช่น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องสนับสนุนองค์ความรู้ในการพัฒนา e-Service ให้กับส่วนราชการควบคู่กันไปด้วยทั้งในด้านวิชาการและเทคนิค
งบประมาณและกฎหมายที่อาจยังไม่เอื้อต่อการพัฒนา e-Service ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการพิจารณาทบทวนงานบริการที่จะกำหนดเป็นตัวชี้วัดในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ควรเป็นงานบริการที่สามารถดำเนินงานได้ครบตามระดับพัฒนา e-Service ทั้ง ๓ ระดับ คือ L1 (สะดวกยื่น) L2 (สะดวกใช้) L3 (สะดวกรับ)
และพิจารณาความพร้อมของหน่วยงาน งบประมาณ รวมทั้งข้อจำกัดทางกฎหมายด้วย ควรดำเนินการร่วมกับส่วนราชการในการสำรวจคามต้องการของประชาชนหรือกลุ่มผู้รับบริการ
การเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่เจ้าหน้าที่ส่วนราชการ
ทั้งด้านวิชาการและด้านเทคนิคในการออกแบบหรือปรับปรุงกระบวนการทำงานให้เป็น e-Service และการปรับปรุงกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง
และควรคำนึงถึงประเด็นการสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในการใช้บริการและเข้าถึงข้อมูลและรับบริการจากภาครัฐได้โดยง่าย
สะดวก รวดเร็ว และหลากหลายช่องทางยิ่งขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
เร่งพิจารณากำหนดประเภทและจัดลำดับความจำเป็นเร่งด่วนของงานบริการประชาชนที่ส่วนราชการควรดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
เพื่อกำหนดเป็นตัวชี้วัดตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของส่วนราชการต่อไป
ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน ๓.
ให้กระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล
โดยยึดแนวทางการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล (Face Verification Service-FVS) ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหลัก และเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔ [เรื่อง
แนวทางการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือ Digital ID ด้วยการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล
(Face Verification Service-FVS)] ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1571 | รัฐบาลสาธารณรัฐซูดานเสนอขอปิดสถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐซูดานประจำประเทศไทยเป็นการชั่วคราว และขอให้สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐซูดานประจำมาเลเซียมีเขตอาณาครอบคลุมประเทศไทย | กต. | 27/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. รับทราบการปิดสถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐซูดานประจำประเทศไทยเป็นการชั่วคราว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๔ ๒. อนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเปิดสถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐซูดานประจำประเทศไทย) โดยมอบหมายให้สถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐซูดานประจำมาเลเซียมีเขตอาณาครอบคลุมประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1572 | มาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน | นร.11 สศช | 27/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการของมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชนซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔ และมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับสนับสนุนแหล่งเงินเพื่อดำเนินตามมาตรการดังกล่าว
ตามขั้นตอนของพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ (พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔) ต่อไป และให้ความสำคัญกับการพิจารณากำหนดกลไกการตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ได้รับความช่วยเหลือผ่านระบบบัญชีธนาคาร
พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน
รับรู้และเข้าใจถึงหลักการและแนวทางการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชนด้วย
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม
เร่งดำเนินการให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบให้ครบถ้วน พร้อมติดตามและประเมินผลการดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชนอย่างใกล้ชิดและเผยแพร่การดำเนินการให้ความช่วยเหลือให้ประชาชนได้รับทราบเป็นระยะ
ๆ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่าควรขยายให้มาตรการดังกล่าวให้ครอบคลุมสถานศึกษาในสังกัดสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
กระทรวงวัฒนธรรมด้วย และให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เร่งดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ และปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด ตลอดจนเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรับรู้และความเข้าใจในมาตรการที่ถูกต้องให้กับประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1573 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารและเผยแพร่ข่าวปลอม (Fake News) | นร. | 27/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลการดำเนินงานในเรื่องต่าง
ๆ ของหน่วยงานตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ (เรื่อง การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลงานและของรัฐบาล)
อย่างต่อเนื่องและจริงจัง
รวมทั้งป้องกันและแก้ไขปัญหาการรับรู้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารหรือข่าวปลอม
(Fake News)
ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Medial) ในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย
และในกรณีที่พบว่า เรื่องใดมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ไม่เป็นจริงให้เร่งชี้แจง
ทำความเข้าใจโดยเร็ว นั้น
ปัจจุบันยังพบปัญหาการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารและเผยแพร่ข่าวปลอมเป็นจำนวนมาก
ส่งผลต่อการรับรู้และความเข้าใจของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์วิกฤตของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙
ประกอบกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐยังไม่สามารถชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องได้รวดเร็วเพียงพอ
ทำให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศเป็นอันมาก คณะรัฐมนตรีจึงมีมติ ดังนี้ ๑. ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจัดตั้งหน่ายงานภายในขึ้นเพื่อรับผิดชอบในการติดตามและตรวจสอบข้อมูลข่าวสารต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐที่เผยแพร่ในสื่อต่าง ๆ ให้ถูกต้อง
รวดเร็ว และต่อเนื่อง และให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาข่าวปลอมให้รวดเร็ว ทันท่วงที
โดยให้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องในสื่อของหน่วยงานภายใน ๒๔ ชั่วโมง
นับตั้งแต่ได้รับแจ้งประเด็นข่าวปลอมจากประชาชน จากศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Operation Centre : PMOC) หรือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามแต่กรณี
เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องและให้ประชาชนเข้าถึงได้ให้มากที่สุด ทั้งนี้
ให้จัดส่งข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องดังกล่าวให้ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) กรมประชาสัมพันธ์
และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติทราบโดยด่วนคู่ขนานกันไป ๒. ในกรณีที่เห็นว่า การบิดเบือนข้อมูลข่าวสารและการเผยแพร่ข่าวปลอมนั้นเป็นเรื่องเสียหายร้ายแรงเกินกว่าที่กระทำไปภายใต้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้เสียหายหรือเป็นเจ้าของข้อมูลข่าวสารที่มีการนำไปบิดเบือนเป็นข่าวปลอมแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในแต่ละกรณีอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหารือและทำความเข้าใจร่วมกันให้ชัดเจน ถูกต้อง ตรงกัน
ในการนำความในข้อ ๑๑ ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๒๗)
เกี่ยวกับมาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน
มาบังคับใช้เพื่อให้สามารถดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างถูกต้อง รวดเร็ว
เกิดประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรม ทั้งนี้
ให้สื่อสารแนวทางการดำเนินการให้ทุกส่วนราชการและหน่วยของรัฐทราบอย่างถูกต้องโดยทั่วกัน
รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงแนวทางการดำเนินการในเรื่องนี้ของรัฐบาลที่ต้องการจะให้ผู้มีเจตนากระทำผิดทุกรายที่กระทำไปนอกเหนือขอบเขตการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญต้องได้รับโทษ
และแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและข่าวปลอมให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม)
ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรายงานผลและความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อ
๑-๒ ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้นายกรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1574 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 26/2564 | นร.11 สศช | 27/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ได้แก่ (๑) ให้กรมส่งเสริมการเกษตร
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการยกระดับเกษตรแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด
(๒) ให้นำวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๓) มาใช้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๑) เพิ่มเติม จำนวน ๑๓,๐๒๖.๑๒๐๐ ล้านบาท และมาตรา ๕ (๒) เพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๒๒.๙๙๐๐ ล้านบาท รวมวงเงิน ๑๔,๕๔๙.๑๑๐๐
ล้านบาท เพื่อรองรับการดำเนินโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์
(๓) โครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ
ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กรอบวงเงิน ๑๓,๐๒๖.๑๒๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับหน่วยบริการ
สถานพยาบาลที่ให้บริการสาธารณสุขโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ สำหรับประชาชนทุกสิทธิ
(๔) ให้สำนักงานประกันสังคม
ปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา
๓๓
ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดและพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยขยายพื้นที่การดำเนินโครงการฯ จากเดิม ๑๐ จังหวัด เป็น ๑๓ จังหวัด
ทำให้กรอบวงเงินโครงการฯ เพิ่มขึ้นจาก ๑๓,๕๐๔.๖๙๖๐ ล้านบาท เป็น ๑๕,๐๒๗.๖๘๖๐
ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ๑,๕๒๒.๙๙๐๐ ล้านบาท (๕)
ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการพัฒนาห้องปฏิบัติการชีวนิรภัย
ระดับ ๓ เพื่อรองรับการเป็นเครือข่ายห้องปฏิบัติการวินิจฉัยการติดเชื้อโรคโควิด-๑๙
และเชื้อโรคระบาดอื่น ๆ ในเขตภาคเหนือ (๖) ให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของโครงการคนละครึ่ง
และโครงการคนละครึ่งระยะที่ ๒ ให้แก่ร้านค้าที่ถูกระงับสิทธิ จำนวน ๒๙๖ ราย
วงเงินที่ระงับการจ่ายจำนวน ๙๗๒,๕๑๖ บาท จนกว่าการตรวจจะแล้วเสร็จ
และ (๗) ให้จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดยะลา ปรับแผนดำเนินงาน
แผนการใช้จ่ายงบประมาณโครงการฯ และให้จังหวัดแม่ฮ่องสอน ปรับแผนดำเนินงานโครงการพัฒนาผ้าทอละว้า
เป็นต้น ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าควรปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งเร่งรัดการจ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1575 | เสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีสถานการณ์การชุมนุมและเรียกร้องทางการเมืองของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน | สม. | 27/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
กรณีสถานการณ์การชุมนุมและเรียกร้องทางการเมืองของนักเรียน นิสิต นักศึกษา
และประชาชน
ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางฯ
ดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้อง
เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และเหมาะสมกับสถานการณ์และข้อเท็จจริงในแต่ละกรณี
โดยให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เพื่อคงไว้ด้วยความสงบเรียบร้อยของสังคมและประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติในภาพรวม
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงยุติธรรม
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงกลาโหม
ที่เห็นว่าควรให้ข้อมูลการดำเนินการของรัฐบาลที่ผ่านมาเกี่ยวกับการบริหารจัดการการชุมนุม
ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากลให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับทราบ
เพื่อนำไปสู่การนำเสนอข้อมูลอย่างรอบด้านและควรดำเนินการผ่านกระบวนการของรัฐสภา
ควรสร้างการตระหนักรู้ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมและเรียกร้องทางการเมืองฯ
ควรได้รับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามมาตรการหรือแนวทางดังกล่าว การดำเนินการตามมาตรการต่าง
ๆ ในการดูแลการชุมนุมที่มีการละเมิดกฎหมาย
จะเป็นไปตามสมควรแก่เหตุและยุทธวิธีการใช้กำลังเท่าที่จำเป็นของสถานการณ์ตามหลักสัดส่วน
ให้หน่วยงานของรัฐอาจนำหลักการสำคัญสำหรับการบริหารจัดการการชุมนุมอย่างเหมาะสม ๑๐
ประการ มาปรับใช้ภายใต้บริบททางกฎหมายและสังคมของประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาถึงลักษณะธรรมชาติและการชุมนุมที่เกิดขึ้น
สนับสนุนให้รัฐบาลจัดให้มีเวทีหารือร่วมกับประชาชนเพื่อยุติความขัดแย้งโดยสันติวิธี
รวมถึงมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ความสมดุล ความเป็นกลาง
ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมไม่เลือกปฏิบัติ เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน
และการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนที่จะได้รับความคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1576 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 ครั้งที่ 3 | กค. | 27/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติการปรับปรุงแผนการก่อหนี้ใหม่
ที่ปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ ๑๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท จากเดิม ๑,๖๔๗,๑๓๑.๗๔ ล้านบาท เป็น ๑,๗๙๗,๑๓๑.๗๔ ล้านบาท แผนการบริหารหนี้เดิม คงเดิม ๑,๕๒๖,๕๖๔.๑๗ ล้านบาท และแผนการชำระหนี้ คงเดิม ๓๘๗,๘๖๐.๗๒
ล้านบาท การบรรจุรายการเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ครั้งที่
๓ จำนวน ๑ รายการ และการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่
การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันให้กับรัฐวิสาหกิจ
ตามมาตรา ๗ แห่ง พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะฯ มาตรา ๓ แห่ง พ.ร.ก.กู้เงินโควิด-๑๙
พ.ศ. ๒๕๖๓ และมาตรา ๓ แห่ง พ.ร.ก.กู้เงินโควิด-๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นต้น ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ
และให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรกำกับ
ติดตาม และเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการให้มีการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
คุ้มค่า และเกิดประสิทธิผลต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยรวมอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เองก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น
ๆ
และรัฐบาลควรเร่งพิจารณากำหนดรายละเอียดโครงการและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้มีความชัดเจนโดยเร็ว
โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับศักยภาพของระบบสาธารณสุขและการเร่งจัดหาวัคซีนเพื่อบรรเทาสถานการณ์ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
พร้อมทั้งเตรียมการออกมาตรการสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรักษาระดับศักยภาพการผลิตและการแข่งขันของประเทศไปพร้อมกัน
และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนการกำหนดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
(Gross Domestic Product : GDP) ให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับความจำเป็นในการใช้จ่ายและการลงทุนของประเทศ ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1577 | กรอบความตกลงว่าด้วยข้อตกลงยอมรับร่วมของอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Mutual Recognition Arrangements: AFA on MRA) ฉบับปรับปรุงแก้ไข | อก. | 27/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกรอบความตกลงว่าด้วยข้อตกลงยอมรับร่วมของอาเซียน
(ASEAN Framework Agreement on Mutual Recognition
Arrangements : AFA on MRA) ฉบับปรับปรุงแก้ไข มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงว่าด้วยข้อตกลงยอมรับร่วมของอาเซียน ฉบับปี ๒๕๔๑ ให้ทันสมัยมากขึ้น
โดยกำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องรับรอง
หรือยอมรับผลของกระบวนการตรวจสอบและรับรองที่ได้ดำเนินการตามบทบัญญัติภายใต้ข้อตกลงยอมรับร่วมรายสาขา
และจะนำไปใช้กับข้อตกลงยอมรับร่วมรายสาขาสำหรับทุกผลิตภัณฑ์
ทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม โดยครอบคลุม ๕ สาขา ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
รวมถึงสาขาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายอื่นลงนามในร่างกรอบความตกลงฯ
ฉบับปรับปรุงแก้ไขดังกล่าว และเมื่อลงนามแล้ว
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมส่งกรอบความตกลงฯ ดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ทั้งนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ (เรื่อง
แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอหนังสือสัญญาตามบทบัญญัติมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powres) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างกรอบความตกลงฯ
ฉบับปรับปรุงแก้ไขดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘
(เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าควรเร่งดำเนินการสร้างความรับรู้ให้ผู้มีส่วนได้เสียรับทราบกรอบความตกลงฯ
ที่จะมีการบังคับใช้ในอนาคต
ควบคู่ไปกับการเร่งส่งเสริมการนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการและเร่งพัฒนาศักยภาพห้องปฏิบัติการในส่วนของการทดสอบมาตรฐานและพัฒนาบุคลากรสำหรับการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานให้เพียงพอ
เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความเชื่อมั่นของสินค้าไทยกับผู้บริโภคในภูมิภาคอาเซียน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1578 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) ครั้งที่ 1/2564 | นร.11 สศช | 20/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ
(กพศ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม
๒๕๖๔ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (VDO Conference) โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบเรื่องที่สำคัญ ได้แก่ (๑)
การขับเคลื่อนการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๑๐ แห่ง (๒)
การกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษและกรอบแนวทางการให้สิทธิประโยชน์ และ (๓)
กลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ
รวมทั้งได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย เช่น
ควรมีการวิเคราะห์ห่วงโซ่มูลค่าของสินค้าอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร
ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง
เพิ่มการพัฒนาฝีมือแรงงานและการพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการส่งเสริมการลงทุน
ให้มีการอำนวยความสะดวกการทำธุรกรรมข้ามแดน ควรพิจารณาบูรณาการโมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นแกนสำคัญของแนวทางการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษในภาคต่าง
ๆ ที่จะพัฒนาโดยใช้ศักยภาพของพื้นที่เป็นหลัก ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
และนวัตกรรมเป็นกลไกสำคัญอย่างหนึ่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละภูมิภาค
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติ
รวมถึงปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
พิจารณาแต่งตั้งผู้แทนจากภาคประชาชนมามีส่วนร่วมในการจัดตั้งกลไกการบริหารจัดการในระดับพื้นที่เพื่อประสานการขับเคลื่อนการพัฒนาให้เป็นไปตามนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ และควรทบทวนสิทธิและประโยชน์และกิจการเป้าหมายจูงใจนักลงทุนยิ่งขึ้นและลดความซับซ้อน
รวมถึงแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่
รวมทั้งพิจารณาคัดเลือกพื้นที่โดยให้ความสำคัญกับศักยภาพความพร้อมของการพัฒนาพื้นที่
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1579 | การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร | นร.08 | 20/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๔ จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ ๒.
เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศ ดังนี้ ๒.๑
เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ ๑๓)
และร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ
จนกว่าคณะรัฐมนตรีจะกำหนดเป็นอย่างอื่น ๒.๒ รับทราบร่างประกาศ เรื่อง การให้ข้อกำหนด ประกาศ
และคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ
จนกว่านายกรัฐมนตรีจะกำหนดเป็นอย่างอื่น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1580 | ขออนุมัติรายชื่อผู้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร ประจำปีการศึกษา 2564 - 2565 จากคณะรัฐมนตรี | กห. | 20/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ
รวมรายชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.)
รุ่นที่ ๖๔ เพื่อเข้ารับการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๔-๒๕๖๕ ห้วงเวลาการศึกษาตั้งแต่ตุลาคม ๒๕๖๔ ถึง กันยายน
๒๕๖๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประธานสภาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรเสนอ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|