ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 72 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1421 - 1440 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1421 | ข้อเสนอเชิงนโยบายของที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล ปี 2563 | พม. | 23/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอเชิงนโยบายของที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล
ปี ๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน
๒๕๖๓ ได้พิจารณารับรองความเห็นและข้อเสนอแนะ
รวมทั้งสรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ประสบ
และข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยในส่วนของข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาเพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการตามนัยมาตรา
๓๒ (๓) แห่งพระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ นั้น ประกอบด้วย ๔ ประเด็น
สำคัญ เช่น ๑) ให้ทบทวนโครงการจะนะเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต
จังหวัดสงขลา และยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒)
ควรจัดให้มีนโยบายการมีส่วนร่วมเพื่อบูรณาการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่อ่าวบ้านดอน
จังหวัดสุราษฎร์ธานี อย่างสมดุลและเป็นธรรม ๓)
ควรชดเชยทรัพย์สินให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบที่อยู่อาศัยในเขตพัฒนาโครงการรถไฟทางคู่
จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดนครราชสีมา และ ๔) ผลกระทบจากโรงงานประกอบกิจการขยะ ๕
จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และสระแก้ว เป็นต้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงอุตสาหกรรม ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำความเห็นและข้อเสนอแนะจากที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลปี
๒๕๖๓ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่เห็นว่าการพัฒนาเศรษฐกิจ
สังคม
และสิ่งแวดล้อมในระดับมหาภาคมีหน่วยงานรับผิดชอบและมีบทบาทในการกำกับดูแลในเรื่องต่าง
ๆ ดังนั้น
หากมีการสนับสนุนทรัพยากรและองค์ความรู้ที่มีอยู่เพื่อนำนโยบายสู่การปฏิบัติเฉพาะเรื่อง
จะทำให้เกิดผลดีอย่างเป็นรูปธรรมตามเป้าหมายข้อเสนอเชิงนโยบายดังกล่าว และคำนึงถึงหลักความเป็นธรรมในสังคมและประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
รวมถึงปฏิบัติตามความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงานต่อไป
ไปพิจารณาประกอบการกำหนดนโยบายและแผนการพัฒนาในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1422 | มาตรการสินเชื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ | กค. | 23/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการสินเชื่อสร้างงาน
สร้างอาชีพ รวมถึงอนุมัติงบประมาณวงเงินรวม ๑,๕๐๐ ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและเยียวยาฟื้นฟูให้แก่ประชาชน ผู้เริ่มประกอบการ
ผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบการขนาดย่อม
และผู้ขับขี่รถสาธารณะที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเริ่มต้นในการประกอบอาชีพหรือเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพ
ให้สามารถกลับมาประกอบอาชีพหรือดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่เห็นควรปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไป
จัดลำดับความสำคัญของผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งติดตามดูแล
และควบคุมการดำเนินมาตรการให้เป็นไปตามคำสั่งและระเบียบภายในของธนาคาร
และพิจารณาเพิ่มกรอบวงเงินของมาตรการ เพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนได้อย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณให้ธนาคารออมสินดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1423 | ขอความเห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลกสมัยสามัญครั้งที่ 12 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 23/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบข้อเสนอท่าทีไทยสำหรับการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก
(World Trade Organization : WTO) สมัยสามัญ ครั้งที่ ๑๒ (the Twelfth Ministerial Conference :
MC12) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓๐
พฤศจิกายน-๓ ธันวาคม ๒๕๖๔ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย พิจารณาใช้ดุลยพินิจตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสม
ในเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ของไทยต่อไป และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
ร่วมรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม MC12 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ร่วมรับรองแถลงการณ์ของการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์
ในเรื่องเกษตรของ WTO โดยท่าทีไทยสำหรับการประชุม MC12
มีสาระสำคัญ เช่น การจัดทำความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมง
การปรับปรุงความตกลงเกษตร แผนการดำเนินการด้านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
การค้ากับการพัฒนา และการปฏิรูป WTO โดยยังไม่มีการทำความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างกัน
สำหรับร่างแถลงการณ์ฯ
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของสมาชิกเพื่อผลักดันให้มีข้อสรุปหรือมีความคืบหน้าในการเจรจาการเกษตรที่เป็นรูปธรรมภายในการประชุม
MC12 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์การประชุม MC12 และร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1424 | ขอขยายกลุ่มเป้าหมายในการรับรองหลักสูตรเพื่อพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของหน่วยงานภาครัฐ | ดศ. | 23/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.)
รับผิดชอบดำเนินการรับรองหลักสูตรการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลในข้าราชการและบุคลากรของรัฐ
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ เรื่อง ร่างแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐเพื่อการปรับเปลี่ยนเป็นรัฐบาลดิจิทัล
สำหรับข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ ๖ กลุ่ม ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูง
ผู้อำนวยการกอง ผู้ทำงานนโยบายและวิชาการ ผู้ทำงานด้านบริการ
ผู้ปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยี และผู้ปฏิบัติงานอื่น ๆ ทั้งนี้
ตามมติคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๔
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงาน ก.พ.ร. อาทิ
กระบวนการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของดิจิทัลเทคโนโลยี
ไม่ควรดำเนินการไปในลักษณะของงานปกติประจำ
ควรมีการทบทวนและปรับปรุงมาตรฐานให้เป็นไปตามรอบระยะเวลาที่เหมาะสมและต่อเนื่อง
และหากมีการพัฒนาระบบการยื่นขอรับรองหลักสูตรในรูปแบบออนไลน์ได้จะช่วยลดระยะเวลาและขั้นตอนในการดำเนินการ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย สดช.
เร่งกำหนดมาตรฐานของหลักสูตรการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลสำหรับข้าราชการและบุคลากรของรัฐในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย
กำหนดกลไกการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ
และสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญและเป็นที่ยอมรับในสาขาที่เกี่ยวข้อง
อาทิ การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลและด้านเทคโนโลยีดิจิทัล
เพื่อสร้างการยอมรับในฐานะหน่วยงานรับรองหลักสูตรการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล
รวมทั้งให้ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนให้หน่วยงานของรัฐจัดฝึกอบรมในหลักสูตรการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลสำหรับข้าราชการและบุคลากรของรัฐที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
โดย สดช. เป็นลำดับแรก
เพื่อให้ข้าราชการและบุคลากรภาครัฐได้รับการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลภายใต้มาตรฐานเดียวกัน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1425 | ร่างข้อตกลงการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส. | 23/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างข้อตกลงการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก
กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงฯ
เพื่อดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยร่างข้อตกลงการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจออกไปจนถึงวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ การแก้ไขปรับปรุงขอบเขตความร่วมมือตามพัฒนาการดำเนินงานให้เป็นปัจจุบัน
และการปรับปรุงข้อมูลรายละเอียดผู้ประสานงานภายใต้บันทึกความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่เห็นว่าหากมีประเด็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในร่างข้อตกลงฯ
ให้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ โดยให้ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และมีการหารือสร้างความเข้าใจในการดำเนินงานร่วมกันเพื่อให้เกิดความชัดเจนและบูรณาการความร่วมมือในการดำเนินกิจกรรมการพัฒนาโครงการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวจากการปรับเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
และให้พิจารณาเรื่องการประเมินปริมาณการใช้ทรัพยากรน้ำทั้งภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อตกลงการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก
กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1426 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประสานความร่วมมือของส่วนราชการในการสำรวจและศึกษาวิจัยสมุนไพรและถิ่นกำเนิดของสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ พ.ศ. .... | สธ. | 23/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการประสานความร่วมมือของส่วนราชการในการสำรวจและศึกษาวิจัยสมุนไพรและถิ่นกำเนิดของสมุนไพรในเขตอนุรักษ์
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการประสานความร่วมมือของส่วนราชการที่มีอำนาจหน้าที่
ในการสงวนและรักษาสภาพธรรมชาติตามที่กฎหมายกำหนด
เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
พ.ศ. ๒๕๖๔
มีอำนาจเข้าไปในพื้นที่ได้มีการกำหนดเป็นเขตอนุรักษ์ในการสำรวจและศึกษาวิจัยสมุนไพรและถิ่นกำเนิดของสมุนไพร
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการตามแผนการจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพร
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เช่น ในข้อ ๑๐ รายละเอียดของสมุนไพร ในเรื่อง ชื่อ (Name) เป็นคำที่กว้าง
ควรระบุให้ชัดเจนว่าเป็นชื่อใด เช่น ชื่อวิทยาศาสตร์ (scientific name) ชื่อท้องถิ่น
(local name) ชื่ออื่นหรือชื่อทั่วไป (vernacular
name) หรือชื่อสามัญ (common name) เพิ่มเติมคำนิยาม
คำว่า “การเข้าถึง” ให้ครอบคลุม กฎหมาย ระเบียบ ข้อตกลงและอนุสัญญาระหว่างประเทศ
และการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ป่า ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ประกาศ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าเมื่อมีการนำผลสำรวจและงานศึกษาวิจัยไปจัดทำแผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรแล้ว
ควรมีการวางแผนเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการของสมุนไพรเพื่อให้ภาคส่วนต่าง ๆ
สามารถนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศต่อไป ควบคู่กับการนำสมุนไพรออกมาใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมและรัดกุม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1427 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมใบแทนใบอนุญาตและใบแทนใบสำคัญการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ พ.ศ. .... | กษ. | 23/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมใบแทนใบอนุญาตและใบแทนใบสำคัญการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบแทนใบอนุญาตและใบแทนใบสำคัญการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ
ซึ่งผู้ผลิตอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะผู้นำเข้าอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ หรือผู้ขายอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะจะต้องชำระในกรณีที่ใบอนุญาตหรือใบสำคัญการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะสูญหาย
ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ ฉบับละ ๑๐๐ บาท
เพื่อเป็นการช่วยเหลือและลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการ รวมทั้งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
(๒ มกราคม ๒๕๖๓) [เรื่อง แนวทางการทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ อนุญาต
ของทางราชการ] ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ที่เห็นว่าหากไม่ประสงค์จะจัดเก็บค่าธรรมเนียมนี้อีกต่อไปแล้ว ให้พิจารณายกเลิกรายการค่าธรรมเนียมดังกล่าวในพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์
พ.ศ. ๒๕๖๐ ในโอกาสต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1428 | ร่างข้อบังคับการเคหะแห่งชาติ ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บริษัทในเครือของการเคหะแห่งชาติ พ.ศ. .... | พม. | 23/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการร่างข้อบังคับการเคหะแห่งชาติ
ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บริษัทในเครือของการเคหะแห่งชาติ พ.ศ.
....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บริษัทในเครือของการเคหะแห่งชาติ
(กคช.) เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนงานโครงการที่ กคช.
เห็นชอบในการจัดให้มีเคหะเพื่อประชาชนเช่า เช่าซื้อ หรือซื้อ
หรือประกอบกิจการอื่นที่สนับสนุนหรือเกี่ยวเนื่องกับเรื่องดังกล่าว
หรือเป็นการดำเนินการโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดให้บริษัทในเครือของ
กคช. ต้องจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับแผนบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการและฐานะทางการเงินที่ผ่านมา
การรับรองของผู้สอบบัญชีในรอบ ๓ ปีบัญชีที่ผ่านมา
การยกร่างหลักเกณฑ์ให้มีการประกาศใช้บังคับพร้อมกับการประกาศใช้บังคับร่างข้อบังคับในเรื่องนี้
การพิจารณากฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย
รวมทั้งพิจารณาการให้ความช่วยเหลือทางการเงินด้วยความรอบคอบตามความเหมาะสม
ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1429 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 14/2564 | นร.11 สศช | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๑๔/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
ซึ่งได้พิจารณาการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดังนี้ (๑) อนุมัติให้นำวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา
๕ (๒) มาใช้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๑) เพิ่มเติม ครั้งที่ ๑ จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ สำหรับการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ของหน่วยงานรับผิดชอบ (๒) มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบที่ได้รับอนุมัติดำเนินโครงการใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
และพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ
เร่งดำเนินการคืนเงินกู้เหลือจ่ายและรายงานประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการเสนอกระทรวงการคลัง
(๓) อนุมัติโครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปี ๒๕๖๔
รอบที่ ๕ ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรอบวงเงิน ๒๐,๘๒๙.๒๓๔๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงาน/โครงการกลุ่มที่ ๑
ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ (๔)
มอบหมายให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปี
๒๕๖๔ รอบที่ ๕ และดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน
เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ สามารถจัดหาเงินกู้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ ๑๕
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ อย่างเคร่งครัดตามขั้นตอนต่อไป
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
รายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากคลัง และรายงานประเมินผลสัมฤทธิ์
ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วน อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1430 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ภูเก็ต ตรัง พังงา ระนอง และสตูล) | นร.11 สศช | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด
ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่น
เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ภูเก็ต ตรัง พังงา
ระนอง และสตูล) เมื่อวันอังคารที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เห็นชอบในหลักการของโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีทั้ง
๗ โครงการ กรอบวงเงิน ๔๙๔ ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
และให้กระทรวงมหาดไทยเสนอขอรับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
และอนุมัติในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเอ็กซ์โปร วาระพิเศษ (Specialized Expo) ณ จังหวัดภูเก็ต
ภายใต้ชื่องาน EXPO-๒๐๒๘-Phuket, Thailand และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในหนังสือเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในนามของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
(Letter candidature) ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณให้ดำเนินการพิจารณาความเหมาะสมตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการด้านการเยียวยา ฟื้นฟู
และช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ด้านการท่องเที่ยว ด้านเกษตร
ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติม
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1431 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการประมูลสิทธิ์งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569 และจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2572 | กษ. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการยื่นประมูลสิทธิ์การจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี
พ.ศ. ๒๕๖๙ (ระดับ B) และจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. ๒๕๗๒ (ระดับ A1) ต่อสมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (AIPH) โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)
เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
(จังหวัดอุดรธานีและจังหวัดนครราชสีมา) สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการและสนับสนุนค่าใช้จ่ายร่วมกับภาครัฐด้วย
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาแนวทางการดำเนินงานและการบริหารจัดการทรัพย์สินภายหลังจากการจัดงานไว้เป็นการล่วงหน้าด้วย
พร้อมทั้งจัดทำรายละเอียดความเหมาะสมในการดำเนินงานที่สะท้อนถึงความคุ้มค่าและผลที่คาดว่าจะได้รับทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ในกรณีที่จะมีการกำหนดให้งานมหกรรมพืชสวนโลกเป็นงานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสสำคัญเช่น
ฉลองสิริราชสมบัติหรือเฉลิมพระชนมพรรษาให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1432 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อจัดให้รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเช่าที่ราชพัสดุเพื่อเป็นที่ทำการและที่พักเจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จังหวัดสงขลา | กค. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ วันที่ ๒๓ กรกฎาคม
๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ เพื่อจัดให้รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเช่าที่ราชพัสดุ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ สข.๑๑๐๐
(บางส่วน) ตำบลพะวง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เนื้อที่ประมาณ ๕-๐-๖๕.๘๐ ไร่ เพื่อเป็นที่ทำการและที่พักเจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน
ณ จังหวัดสงขลา
โดยกรมธนารักษ์จะได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖
โดยจัดสรรงบประมาณให้กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมไม่น้อยกว่า
๒๐ เท่าของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงรักษาป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม
กรณีการดำเนินโครงการใด ๆ
ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖
อย่างเคร่งครัดต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ควรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร และต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วนในทุกขั้นตอน
ควรเร่งรัดให้มีการดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการว่าด้วยการบริหารศูนย์ราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1433 | ขอความเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการต่ออายุแถลงการณ์ร่วม แสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | คค. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ
ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับสำหรับการลงนามดังกล่าว
โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญ คือ กระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
เห็นชอบให้มีการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมฯ ฉบับลงนามวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
ต่อเนื่องไปอีก ๒ ปี ทั้งนี้ แถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ ข้อ ๕ (๒) กำหนดให้
“แถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ มีอายุสาม (๓) ปี และอาจมีการต่ออายุได้อีกสอง (๒) ปี
อย่างต่อเนื่องกัน ตามความเห็นของทั้งฝ่าย” ประกอบกับ
ความตกลงว่าด้วยการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ ฉบับลงวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๓
มีการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ ต่อเนื่องไปอีก ๒ ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๓
พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
จึงได้ระบุให้ความตกลงว่าด้วยการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ ฉบับล่าสุด
เริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๒๒พฤศจิกายน ๒๕๖๖
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงว่าด้วยการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ
ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ทั้งนี้
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่ควรพิจารณาให้มีการระบุสาขาที่ต่างฝ่ายต่างสนใจในขอบเขตความร่วมมือของแถลงการณ์ร่วม
และฝ่ายไทยควรเสนอสาขาที่มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาคมนาคมขนส่งระบบราง
และฝ่ายเยอรมนีมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมในด้านนี้อย่างชัดเจน
และฝ่ายเยอรมนีสามารถกำหนดกิจกรรมหรือผู้ประกอบการเยอรมนีที่สนใจในการแลกเปลี่ยนหรือมีส่วนร่วมในการผลักดันเทคโนโลยีดังกล่าวในประเทศไทยได้ต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1434 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน | นร.11 สศช | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ซึ่งมีประเด็นการพัฒนาและข้อสั่งการสรุปได้
ดังนี้ (๑) พัฒนาคุณภาพการท่องเที่ยวให้มีมาตรฐานอย่างยั่งยืน (๒)
การพัฒนาระบบและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าภาคเกษตร ประมงและปศุสัตว์ที่มีศักยภาพในพื้นที่
เพื่อให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน (๓)
การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพต้นทุนมนุษย์เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และ (๔)
ประเด็นอื่น ๆ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบด้วย
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1435 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (ฉบับที่ ..) | ตช. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
(ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขและบรรเทาผลกระทบแก่คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามประเภทการตรวจลงตรา
(รวมทั้งการตรวจลงตรา Visa on Arrival) คนต่างด้าวที่ได้รับสิทธิการยกเว้นการตรวจลงตรา
และคนต่างด้าวที่ได้รับสิทธิตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
โดยให้ได้รับการขยายระยะเวลาอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและการแจ้งที่พักอาศัยต่อไปได้
ตั้งแต่วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ ทั้งนี้
เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (๓ สิงหาคม ๒๕๖๔) [เรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนในการติดต่อราชการเพื่อขออนุญาตกับหน่วยงานของรัฐจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙] ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
๒.
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจพิจารณาข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ของบุคคลควบคู่ไปด้วย
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและการแสวงประโยชน์จากห้วงเวลาดังกล่าวในการกระทำความผิด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1436 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการจัดที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยให้ชุมชน ในพื้นที่ป่าชายเลน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และ 2563 ในท้องที่จังหวัดชายฝั่งทะเล 21 จังหวัด | ทส. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการจัดที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยให้ชุมชน
ในพื้นที่ป่าชายเลน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และ ๒๕๖๓ ในท้องที่จังหวัดชายฝั่งทะเล
๒๑ จังหวัด เพื่อนำที่ดินที่เป็นป่าชายเลนเนื้อที่รวม
๔,๑๐๕-๐-๐๔
ไร่ ไปดำเนินการจัดที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยให้ชุมชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) ที่เห็นว่าหากมีการดำเนินการใด
ๆ ในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ ทะเล หรือบนชายหาดทะเล
ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนัยพระราชบัญญัติการเดินเรือน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖
และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
กำหนดให้ชุมชนที่ได้รับอนุญาตให้ทำกินในป่าชายเลนดังกล่าวมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนให้มากขึ้นจากที่เป็นอยู่ด้วย
เพื่อให้การใช้ประโยชน์ป่าชายเลนเป็นไปอย่างยั่งยืน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่และการคัดกรองคุณสมบัติของราษฎรว่าเป็นผู้ยากไร้หรือไม่มีพื้นที่ทำกิน
รวมถึงกำหนดให้มีมาตรการป้องกันและคุ้มครองการบุกรุกพื้นที่ป่า
และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมพัฒนาอาชีพที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่โดยไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศป่าชายเลน
รวมทั้งพื้นที่ดังกล่าวอยู่ภายใต้ข้อกฎหมายของพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๕ ว่าด้วยที่จับสัตว์น้ำ
ควรให้หน่วยงานดำเนินการตามมาตรา ๖๒ ซึ่งห้ามมิให้ผู้ใดทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่จับสัตว์น้ำที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินให้ผิดไปจากสภาพที่เป็นอยู่
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1437 | ขออนุมัติกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 เพิ่มเติม | พณ. | 09/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวภายใต้โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปี ๒๕๖๔/๖๕ เพิ่มเติม ของกระทรวงพาณิชย์
เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้จาการจำหน่ายข้าวเปลือกในราคาที่เหมาะสมและสามารถป้องกันความเสี่ยงในการจำหน่ายผลผลิต
และช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากผลกระทบของสถานการณ์ Covid-19 ๒.
มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาจัดหาแหล่งเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปี ๒๕๖๔/๖๕ เพิ่มเติม ภายใต้กรอบวงเงินจำนวน ๗๖,๐๘๐.๙๕ ล้านบาท โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ตลอดจนกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่ควรเร่งดำเนินการพิจารณาแหล่งเงินภายใต้อัตราชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรัฐ
สัดส่วนวงเงินตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังภาครัฐ
และปรับปรุงคุณภาพข้าวให้ได้มาตรฐานซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำในเบื้องต้นและไม่ส่งผลต่อราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง
รวมทั้งพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและการยกระดับมูลค่าข้าวจากคุณภาพมาตรฐาน
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1438 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2564 | นร.11 สศช | 09/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๑๓/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๔
ซึ่งได้พิจารณาการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดังนี้ (๑) อนุมัติโครงการภายใต้มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด ๑๙) (ด้านไฟฟ้าและด้านน้ำประปา) จำนวน ๔ โครงการ ของการไฟฟ้านครหลวง
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค กรอบวงเงินรวม ๑๒,๗๗๑.๑๕ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการกลุ่มที่
๒ ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ (๒) มอบหมายให้การไฟฟ้านครหลวง
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค
เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ และดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน
เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ ๑๕
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยเคร่งครัดตามขั้นตอนต่อไป
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ดำเนินโครงการจัดทำข้อเสนอโครงการ
เสนอให้คณะกรรมการพิจารณาเป็นการล่วงหน้า เพื่อให้หน่วยงานเจ้าของโครงการใช้จ่ายเงินกู้ได้ตามแผนงานและวัตถุประสงค์
ควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลโครงการทั้งในช่วงระหว่างการดำเนินโครงการและภายหลังสิ้นสุดโครงการ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1439 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | กต. | 09/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนฝ่ายไทยในการลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการสานต่อและใช้แทนที่บันทึกความเข้าใจฉบับที่มีการลงนามแล้วเมื่อวันที่
๒๐ มีนาคม ๒๕๕๘ (ตามข้อ ๒) เพื่อกำหนดกรอบการดำเนินความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศในระยะ
๕ ปีข้างหน้า โดยให้มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหุตผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1440 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเเลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างปี พ.ศ. 2564 - 2569 | วธ. | 09/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรม
กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๙
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย
กับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๙ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญมุ่งเน้นความร่วมมือทางวัฒนธรรมในทุกระดับผ่านความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนบุคลากร
การสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ
การเพิ่มพูนการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างกันที่หลากหลาย เช่น ศิลปะการแสดง
วิจิตรศิลป์และศิลปกรรม มรดกทางวัฒนธรรม และภาพยนตร์ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรม
กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๙ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหุตผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและหมาะสมต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|