ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 118 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 2341 - 2360 จากข้อมูลทั้งหมด 11309 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2341 | ขอสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ทหารผ่านศึก | กห | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอปรับเพิ่มสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ผู้ที่ได้สิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าอยู่เดิม ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น ๒๗,๓๐๗ ราย จากเดิม ครอบครัวละ ๔๕ หน่วยต่อเดือน เป็น ครอบครัวละ ๕๐ หน่วยต่อเดือน และให้กระทรวงกลาโหมกำกับดูแลองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในการดำเนินการดังกล่าวด้วยความรอบคอบ ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. สำหรับการขอสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ผู้ที่ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ ๒ หรือเหรียญราชการชายแดน หรือเหรียญอื่นที่เทียบเท่า ที่มีคุณสมบัติเป็นทหารผ่านศึก และได้รับบัตรประจำตัวทหารผ่านศึกนอกประจำการ บัตรชั้นที่ ๓ จำนวน ๑๐๒,๐๐๐ ราย นั้น ให้กระทรวงกลาโหม โดยองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกพิจารณาการจัดลำดับหรือกลุ่มผู้ถือบัตรตามฐานรายได้ที่ได้รับในการให้สิทธิพิเศษดังกล่าว เช่น กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี การพิจารณาแหล่งเงินขององค์การทหารผ่านศึกที่สามารถนำมาใช้จ่ายได้ และงบประมาณที่ได้รับอุดหนุนจากรัฐบาลในภาพรวม ความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ผูกพันของหน่วยงาน เพื่อไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณมากจนเกินไป ตามนัยมาตรา ๑๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2342 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีกรณีการชดเชยส่วนต่างจากการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | กค | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ และวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ ที่ต้องการให้รัฐบาลชดเชยส่วนต่างที่เกิดจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าโดยใช้ปาล์มน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า โดยไม่ส่งผลกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าของประชาชน และเพื่อไม่ให้เป็นภาระสะสมของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยให้กระทรวงพลังงานเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า กรอบวงเงิน ๒,๐๒๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท แทนการปรับลดเงินรายได้นำส่งเข้ารัฐ หรือการบันทึกบัญชีเป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (PSA) โดยไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถส่งผ่านไปยังค่าไฟผันแปร (Ft) ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้เดิม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงพลังงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามผลการดำเนินการตามมาตรการปรับสมดุลปาล์มในประเทศ เพื่อเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เพิ่มเติมในส่วนที่อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อชดเชยส่วนต่างดังกล่าวให้กระทรวงพาณิชย์ กรอบวงเงิน ๕๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้เบิกจ่ายงบประมาณให้กับ กฟผ. แล้ว จำนวน ๘๘,๐๘๙,๙๕๓.๔๕ บาท โดยแก้ไขเป็นให้กระทรวงพลังงานเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณในส่วนที่เหลือ เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณตรงตามภารกิจของหน่วยงานและสอดคล้องกับข้อเสนอของกระทรวงการคลังในครั้งนี้ ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะต้องคำนึงถึงความครอบคลุมงบประมาณ ศักยภาพ และความสามารถในการบริหารจัดการของ กฟผ. ด้วย เพื่อมิให้เป็นภาระต่อภาพรวมของงบประมาณภาครัฐ โดยการดำเนินการภายใต้มาตรการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายให้ถูกต้องครบถ้วน มีความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด ไม่ซ้ำซ้อน โดยพิจารณาความเป็นธรรมในสังคม และความรับผิดชอบของหน่วยงานภาครัฐต่อประโยชน์ส่วนรวมที่จะเกิดขึ้น รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรร่วมกันพิจารณาและกำหนดปริมาณการเพาะปลูกปาล์มน้ำมันให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ในประเทศและปริมาณการส่งออก รวมทั้งควรสนับสนุนให้เกิดการใช้ปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นนอกจากการนำไปใช้ในการผลิตไบโอดีเซล โดยส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำปาล์มน้ำมันไปใช้ประโยชน์และเพิ่มมูลค่ามากขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ในกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินมาตรการปรับสมดุลปาล์มในประเทศในระยะต่อไป ให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำประมาณการค่าใช้จ่าย แหล่งเงิน และประโยชนที่จะได้รับจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงความเหมาะสม สอดคล้องกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ) วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒) และวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ [เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ (แก้ไขเพิ่มเติม)] มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้ประเมินผลการดำเนินมาตรการในช่วงที่ผ่านมา โดยเปรียบเทียบความคุ้มค่าของภาระงบประมาณที่ภาครัฐจะต้องสูญเสียกับประโยชน์ที่เกษตรกรชาวสวนปาล์มจะได้รับเพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศเป็นไปด้วยความรอบคอบและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2343 | ขออนุมัติให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้กรมการขนส่งทางบกใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อดำเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย | กษ | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้กรมการขนส่งทางบกใช้ประโยชนที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อดำเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยใช้ที่ดินถาวร ไม่มีกำหนดระยะเวลา ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการฯ ไม่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ อย่างไรก็ตาม พื้นที่ดังกล่าวยังมีสถานะเป็นป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) กระทรวงคมนาคม (กรมการขนส่งทางบก) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินของโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ ผลกระทบต่อต้นทุนที่ใช้ในการคำนวณความคุ้มค่าของโครงการฯ และผลวิเคราะห์ผลตอบแทนด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจส่งผลต่อรูปแบบและแผนงานดำเนินโครงการฯ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และประธานกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เช่น ควรเร่งรัดการพิจารณาเกี่ยวกับค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามแผนงาน และเพื่อให้กรมการขนส่งทางบกสามารถจัดเตรียมแผนบริหารงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2344 | การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำ ร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 | นร09 | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ ๑.๑.๑ ร่างอนุบัญญัติ จำนวน ๕ ฉบับ ได้แก่ ร่างแนวทางการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย ร่างแนวทางการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ร่างกฎกระทรวงกำหนดรอบระยะเวลาการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดกฎหมายตามมาตรา ๒๙ (๖) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการไม่เผยแพร่ข้อมูลในระบบกลาง พ.ศ. .... และให้ดำเนินการประกาศในราชกิจจานุเบิกษาเพื่อให้มีผลใช้บังคับต่อไป ๑.๑.๒ ร่างคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย จำนวน ๔ ฉบับ เพื่อให้หน่วยงานถือปฏิบัติ ได้แก่ ร่างคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องประกอบการจัดทำร่างกฎหมาย ร่างคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การใช้ระบบอนุญาตในกฎหมาย ร่างคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การใช้ระบบคณะกรรมการในกฎหมาย และร่างคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การนำโทษอาญามาใช้ในกฎหมาย ๑.๑.๓ มอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการ (๑) โดยที่มาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่ากฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ บัญญัติว่า เมื่อแนวทางเกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ตามหมวด ๕ การประเมินผลสัมฤทธิ์ มีผลใช้บังคับแล้ว ให้พระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นอันยกเลิก ดังนั้น หากกฎกระทรวงกำหนดกฎหมายตามมาตรา ๒๙ (๖) กฎกระทรวงกำหนดรอบระยะเวลาการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายและแนวทางการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย มีผลใช้บังคับ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจึงอาจแจ้งเวียนเพื่อให้หน่วยงานของรัฐทราบถึงการสิ้นผลของพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว และภารกิจหน้าที่ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่จะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่จะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ แทนการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายตามพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ และ (๒) ในกรณีแนวทางการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายมีผลใช้บังคับ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอาจพิจารณาแก้ไขระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ในส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมายและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย เพื่อไม่ให้หน่วยงานของรัฐต้องดำเนินการในเรื่องดังกล่าวซ้ำซ้อนกัน ๑.๑.๔ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๐ เรื่อง แนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๑.๑.๕ ให้หน่วยงานดำเนินการขับเคลื่อนงานในส่วนที่ต้องรับผิดชอบตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ และจัดการฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่ในสังกัด โดยหน่วยงานของรัฐอาจขอรับการสนับสนุนวิทยากรจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๑.๒ รับทราบ ๑.๒.๑ การดำเนินการเกี่ยวกับการสร้างความรับรู้ ความเข้าใจ เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๒.๒ การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำร่างหลักเกณฑ์การจัดทำคำอธิบายสรุปสาระสำคัญของกฎหมาย และร่างหลักเกณฑ์การจัดทำและเผยแพร่ข้อมูลในระบบกลางเพื่อให้ประโยชน์ในการให้ประชาชนเข้าถึงกฎหมายได้อย่างทั่วถึง ๑.๒.๓ การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำระบบกลาง (ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและเครือข่ายเชื่อมโยงที่จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ รวมทั้งการเข้าถึงบทบัญญัติของกฎหมายของประชาชน) เพื่อรองรับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๒.๔ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐเกิดข้อสงสัยหรือความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ อาจหารือมายังคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ ๒. ให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เป็นต้นไป โดยในส่วนของการจัดทำหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (Checklist) ให้ใช้รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ แทนการจัดทำคำชี้แจงตามหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติท้ายระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2345 | การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 3 | ทส | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ ๓ รวมทั้งสิ้น ๒๕ คน ประกอบด้วย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยฯ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะอนุกรรมการอนุสัญญามินามาตะฯ ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนกระทรวงพลังงาน ผู้แทนกระทรวงการคลัง และผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ๑.๒ เห็นชอบต่อท่าทีของไทยสำหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอทสมัยที่ ๓ จะสนับสนุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามหลักการและจุดมุ่งหมายของอนุสัญญามินามาตะฯ ในการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากการปลดปล่อยสู่บรรยากาศและการปล่อยสู่ดินหรือน้ำของปรอทและสารประกอบปรอทจากกิจกรรมของมนุษย์ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงสภาพการณ์ต่าง ๆ และความต้องการจำเพาะของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถในระดับประเทศและภูมิภาคด้านการจัดการสารเคมีอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจร ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างท่าทีฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2346 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 | กต | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาแม่น้ำโขง-แม่น้ำฮัน ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑ ในวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลีในการขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น การทบทวนความร่วมมือและติดตามผลลัพธ์ของการดำเนินการตามปฏิญญาแม่น้ำฮัน การเน้นย้ำทิศทางความร่วมมือในอนาคตและปรับสาขาความร่วมมือให้สอดคล้องกับนโยบายมุ่งใต้ใหม่ (New Southern Policy) และการย้ำเจตนารมณ์ที่ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนความร่วมมือที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรืองจากการแบ่งปันประสบการณ์ และการสร้างสันติภาพเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมในการรับรองร่างปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2347 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก | สกพอ | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือและพัฒนาความสัมพันธ์ด้านอุตสาหกรรมและธุรกิจระหว่างสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น การส่งเสริมการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ระหว่างกัน และการส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เป็นต้น โดยมีกำหนดการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในโอกาสการพบหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ ๓ ในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ๑.๒ อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ของฝ่ายไทย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2348 | ขออนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 26 | นร14 | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๖ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินงานและความร่วมมือของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ภายใต้พันธกรณีของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๓๘ ในประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ แผนปฏิบัติการประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ ยุทธศาสตร์การจัดการภัยแล้ง พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๘ การดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติ เรื่อง การแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้า และข้อตกลง โครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง รวมทั้งประเด็นอื่น ๆ ตามที่ประเทศสมาชิกเห็นชอบให้มีการหารือร่วมกัน (หากมี) ๑.๒ เห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยหารือกับประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงตามประเด็นในกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๖ เพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานและความร่วมมือเป็นไปตามพันธกรณีของความตกลงฯ ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับประเด็นที่จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2349 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 10 และร่างแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 6 | พม | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ ๑๐ และร่างแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ ๖ เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ ๑๐ [10th ASEAN Ministerial Meeting on Social Welfare and Development (10th AMMSWD)] and Its Relating Meeting) และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๗-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ นครหลวงเวียงจันทร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองที่จะส่งเสริมความร่วมมือเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน พ.ศ. ๒๕๖๘ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDG) ชื่นชมบทบาทของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ในการดำเนินความร่วมมือในประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสามในประเด็นด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ยืนยันความมุ่งมั่นในการใช้ประโยชน์จากหุ้นส่วนความร่วมมือในการผลักดันสิทธิเด็กและเพิ่มขีดความสามารถของผู้สูงอายุในอาเซียน ตลอดจนแสดงความยินดีต่อลาวสำหรับการจัดประชุมดังกล่าว ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุม 10th AMMSWD และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับรองแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง ๒ ฉบับ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง ๒ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2350 | การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน | กค | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งกระทรวงการคลัง และ ธปท. พิจารณาแล้ว เห็นควรให้คงอัตราเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินให้กับ ธปท. ไว้ที่ร้อยละ ๐.๔๖ ต่อปี เนื่องจากยังคงมีความเหมาะสมภายใต้สมมติฐานอัตราการขยายตัวของฐานเงินฝากที่อาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและการเงินทั้งในประเทศและตลาดการเงินโลก และเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การดำเนินการตามพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๕๕) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2351 | ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ กลุ่มที่ 3 บทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ | กค | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. ๒๕๓๕ ในส่วนที่เกี่ยวกับการควบโอนกิจการ ความรับผิดและบทกำหนดโทษ สำหรับกรรมการ และผู้มีอำนาจในการจัดการ ในกรณีแสวงหาประโยชน์อันมิชอบ รวมทั้งผู้ก่อหรือให้การสนับสนุนให้กระทำความผิดดังกล่าว เพื่อให้การโอนกิจการและการควบรวมกิจการดำเนินการได้อย่างคล่องตัว รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เสริมสร้างความเข้มแข็งในการประกอบธุรกิจประกันภัย และพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน อันจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น รวมทั้งป้องปรามการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของผู้ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้นำไปรวมกับร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑) โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมีความเห็นบางประการเกี่ยวกับการส่งหนังสือบอกกล่าวการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ การคัดค้านหนังสือบอกกล่าวการแปลงหนี้โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ นิยามของคำว่า “พนักงาน” การกำหนดความรับผิดของกรรมการและผู้มีอำนาจในการจัดการบริษัท บทบัญญัติเกี่ยวกับการสนับสนุนการกระทำความผิด และการกำหนดความผิดที่ไม่อาจเปรียบเทียบได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันชีวิตและธุรกิจประกันวินาศภัย ควรหารืออย่างใกล้ชิดกับสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เพื่อกำหนดแนวปฏิบัติที่เหมาะสมในการกำกับดูแลและป้องกันการกระทำอันเป็นการผูกขาด ลด หรือจำกัดการแข่งขันในการประกอบธุรกิจอย่างไม่เป็นธรรม และควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยทราบและปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวอย่างเคร่งครัด รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ภาคธุรกิจและประชาชนซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยรับทราบถึงรูปแบบการแจ้งสิทธิแก่ผู้เอาประกันภัยที่จะเปลี่ยนแปลงไปในกรณีที่มีการควบรวมหรือโอนกิจการ เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2352 | ขออนุมัติทบทวนมติคคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2533 โดยให้รัฐบาลสาธารณรัฐกัวเตมาลาตั้งที่ทำการสถานเอกอัครราชทูตรัฐกัวเตมาลาประจำประเทศไทย แทนการให้สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐกัวเตมาลาประจำญี่ปุ่นมีเขตอาณาครอบคลุมประเทศไทย และรัฐบาลสาธารณรัฐกัวเตมาลาเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐกัวเตมาลาประจำประเทศไทย (นายการ์โลส อุมเบร์โต ฆิเมเนซ ลิโกนา) | กต | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๓๓ เฉพาะในส่วนที่ให้สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐกัวเตมาลาประจำญี่ปุ่นมีเขตอาณาครอบคลุมถึงประเทศไทย เป็น ให้รัฐบาลสาธารณรัฐกัวเตมาลาตั้งที่ทำการสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐกัวเตมาลาประจำประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. อนุมัติกรณีรัฐบาลสาธารณรัฐกัวเตมาลาเสนอขอแต่งตั้ง นายการ์โลส อุมเบร์โต ฆิเมเนซ ลิโกนา (Mr. Carlos Humberto Jimenez Licona) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐกัวเตมาลาประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นางอังเฮลา มาริอา เด โลวร์เดส ชาเวซ บิเอตติ (Mrs. Angela Maria de Lourdes Chavez Bietti) ซึ่งมีถิ่นพำนัก ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2353 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ | กห | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ (Memorandum of Understanding between the Ministry of Defence of the Kingdom of Thailand and the Ministry of National Defence of the People’s Republic of China on Defence Cooperation) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และขยายความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศให้มีความหลากหลายและครอบคลุมในทุก ๆ มิติเพิ่มมากขึ้น โดยจะมีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers’ Meeting-Plus : ADMM-Plus) ครั้งที่ ๖ ระหว่างวันที่ ๑๖ ถึงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2354 | ร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมระหว่าง ไทย - สหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2020 ว่าด้วยการเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศ | กห | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมระหว่าง ไทย-สหรัฐอเมริกา ค.ศ. ๒๐๒๐ ว่าด้วยการเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศ (Joint Vision Statement 2020 for the Thai-U.S. Defense Alliance) เป็นเอกสารที่กำหนดกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา โดยเน้นย้ำความยึดมั่นร่วมกันของไทยและสหรัฐอเมริกาต่อความเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศระหว่างกันอันยาวนาน ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมผลประโยชน์และค่านิยมร่วมกันในระยะยาว รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคง อันจะนำไปสู่ขีดความสามารถในการป้องปรามและตอบสนองต่อภัยคุกคามและสิ่งท้าทายร่วมกันในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะมีการจัดพิธีลงนามในร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ ในการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers’ Meeting-Plus : ADMM-Plus) ครั้งที่ ๖ ระหว่างวันที่ ๑๖ ถึงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักข่าวกรองแห่งชาติเกี่ยวกับการระบุถึง ‘free and open Indo-Pacific’ ในร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ อาจมีประเด็นที่ละเอียดอ่อนสำหรับบางประเทศได้ โดยที่ร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ อาจยังไม่ใช่ร่างฉบับสุดท้าย ดังนั้น หากมีการปรับแก้ในชั้นต่อไป ขอให้พิจารณาให้ร่างฉบับสุดท้ายเป็นไปตามแนวทางดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ การรักษาดุลความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา และไทยกับจีนยังเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ด้านการทหารกับสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเด็นอ่อนไหวสำหรับจีน เช่น ในประเด็นทะเลจีนใต้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2355 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เรื่อง ผลการเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ประจำปี 2562 ของนายกรัฐมนตรี | ศธ | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๒ เรื่อง ผลการเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ประจำปี ๒๕๖๒ ของนายกรัฐมนตรี ข้อ ๒ จากเดิม “ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับไปหารือในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นในไทย (Thai KOSEN) ให้เหมาะสมและชัดเจนเพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้สถาบันโคเซ็นดังกล่าวอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” เป็น “ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับไปหารือในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นในไทยให้เหมาะสมและร่วมสนับสนุนการดำเนินการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นดังกล่าวต่อไป” ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นควรให้ชะลอการโอนย้ายสถาบันโคเซ็น จากกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ออกไปอีก ๑ ปีนับจากวันที่รัฐบาลไทยได้รับเงินกู้จากรัฐบาลญี่ปุ่น และรัฐบาลไทยสามารถได้เข้าใช้ประโยชน์จากเงินกู้ดังกล่าวในการดำเนินโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในไทยและอนุภูมิภาค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2356 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 | นร11 | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ (กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี) ระหว่างวันที่ ๒๖ ตุลาคม-๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ โดยมีประเด็นการพัฒนาและข้อสั่งการ ได้แก่ การพัฒนาสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และบริการด้วยนวัตกรรมสู่มาตรฐานสากล การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ภาคตะวันตก และอารยธรรมทวารวดี และการพัฒนาและส่งเสริมการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนให้มีศักยภาพ ผลักดันเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนำไปสู่การกระตุ้นให้เกิดการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบด้วย ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2357 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง1 (กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี) | นร11 | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ (กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี) เมื่อวันอังคารที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีผลการประชุมในประเด็นสำคัญ ได้แก่ ด้านเกษตร ด้านการท่องเที่ยว ด้านการบริหารจัดการน้ำ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และข้อเสนอเชิงนโยบาย ๑.๒ เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2358 | มาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ "ชิมช้อปใช้" | กค | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินมาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้” เพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศผ่าน g-Wallet ช่อง ๒ สำหรับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุ ๑๘ ปิบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน และมีบัตรประจำตัวประชาชน จำนวนไม่เกิน ๒ ล้านคน โดยจะกันสิทธิ์บางส่วนสำหรับผู้ที่มีอายุ ๖๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไปในวันลงทะเบียน และขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” และมาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้” จนถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาแนวทางที่สามารถดึงดูดให้ประชาชนมาเข้าร่วมมาตรการดังกล่าวมากขึ้น ตลอดจนประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจในหลักเกณฑ์และสิทธิประโยชน์ในการเข้าร่วมมาตรการดังกล่าว โดยมีการรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2359 | การลงนามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชในการนำเข้ารำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มจากประเทศไทยระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | กษ | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชในการนำเข้ารำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มจากประเทศไทยระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ในช่วงการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยร่างพิธีสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการด้านสุขอนามัยพืชสำหรับการส่งออกรำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มจากประเทศไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน เช่น การกำหนดศัตรูพืชที่ห้ามปรากฏในรำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มที่จะส่งออก การรับรองสถานประกอบการ การตรวจสอบการควบคุมสุขอนามัยในกระบวนการที่เกี่ยวข้อง การออกใบรับรองสุขอนามัยพืช และการปฏิบัติต่อผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด เป็นต้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นจะต้องปรับปรุงถ้อยคำหรือสาระสำคัญของร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำคู่มือหรือข้อปฏิบัติในการดำเนินงานตามมาตรการการนำเข้ารำสกัดน้ำมันและกากเนื้อในเมล็ดปาล์มจากประเทศไทยระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เผยแพร่ให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเตรียมการและดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์ต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ของประเทศไทยในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2360 | การประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ครั้งที่ 23 ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา | นร11 | 12/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีแผนงาน GMS ครั้งที่ ๒๓ (Joint Ministerial Statement : JMS) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงความยินดีและรับทราบความสำเร็จล่าสุดของแผนงานความร่วมมือ GMS ใน ๘ สาขา ได้แก่ สาขาคมนาคม สาขาการอำนวยความสะดวกทางการค้าและคมนาคมขนส่ง สาขาพลังงาน สาขาเกษตร สาขาสิ่งแวดล้อม สาขาท่องเที่ยว สาขาสุขภาพ และสาขาการพัฒนาเมืองและชายแดน รวมทั้งแสดงความยินดีกับผลการประชุมเวทีหารือเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑๐ (ECF-10) เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเนปยิดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และเห็นชอบกรอบยุทธศาสตร์แผนงาน GMS สำหรับระยะเวลาการดำเนินการหลังปี ค.ศ. ๒๐๒๒ (พ.ศ. ๒๕๖๕) ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้แทนเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยและปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีประจำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS Minister) ในการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) ครั้งที่ ๒๓ (The 23rd GMS Ministerial Conference) ในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ๑.๓ เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้แทนได้ร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ โดยไม่มีการลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงาน GMS ครั้งที่ ๒๓ ในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....