ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 114 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 2261 - 2280 จากข้อมูลทั้งหมด 11309 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2261 | การควบรวมกิจการของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) | ดศ | 14/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการการควบรวมกิจการของบริษัท
ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท) เป็นบริษัทเดียวโดยใช้ชื่อ
“บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (National Telecom : NT Co)” (บริษัท
NT) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ โดย ๑.๑ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติในประเด็นการกำหนดให้ บริษัท NT เป็นผู้สนับสนุนนโยบายของรัฐในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและความมั่นคง
โดยให้รัฐสนับสนุนคลื่นความถี่ที่เหมาะสมในการทำภารกิจให้ได้แนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนเหมาะสมและเป็นไปตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการต่อไป ๑.๒ ให้ บริษัท NT ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้กับรัฐวิสาหกิจทั่วไปมาใช้บังคับในหลักการเดียวกันกับที่
บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท ได้รับเมื่อแปลงสภาพเป็นบริษัทจำกัดตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ยังต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ. ๒๕๕๐ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งดำเนินการจัดทำแผนธุรกิจ
บริษัท NT ทั้งในระยะกลางและระยะยาวที่ชัดเจน
เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการหารายได้เพิ่มจากธุรกิจใหม่เพื่อทดแทนรายได้ในกลุ่มบริการโทรคมนาคมสื่อสารไร้สาย
ทั้งนี้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ภายหลังการควบรวมกิจการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และบริษัท
NT จำเป็นต้องจัดทำแผนธุรกิจที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนโดยเร็ว
เพื่อให้บริษัท NT สามารถดำเนินธุรกิจตามกรอบวัตถุประสงค์ในการควบรวมที่จะเป็นเครื่องมือภาครัฐในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและการพัฒนาอุตสาหกรรมสื่อสารและโทรคมนาคมของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในการดำเนินการเกี่ยวกับการควบรวมกิจการดังกล่าว
เห็นควรให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติเมื่อมีการควบรวมกิจการแล้ว
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกำกับดูแลให้
บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท ดำเนินการสนับสนุน ส่งเสริมให้พนักงานเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
และให้พิจารณากำหนดแผนการบริหารจัดการบุคลากรรองรับกรณีที่มีพนักงานเข้าร่วมโครงการน้อยกว่าที่กำหนด
รวมทั้ง ประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่พนักงาน
สหภาพรัฐวิสาหกิจ และสาธารณชนเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการตามแผนการฟื้นฟูของ
บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท ในครั้งนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2262 | ร่างบันทึกความร่วมมือด้านข้อมูลพื้นฐานเพื่อการจัดระบบและการพำนักของแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ | รง | 14/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติของประเทศญี่ปุ่นกับกระทรวงแรงงาน ราชอาณาจักรไทย เกี่ยวกับความร่วมมือด้านข้อมูลพื้นฐานเพื่อการจัดระบบและการพำนักของแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ (Draft of Memorandum of Cooperation between the Ministry of Justice, the Ministry of Foreign Affairs, the Ministry of Health, Labour and Welfare and the National Police Agency of Japan and the Ministry of Labour of the Kingdom of Thailand on a Basic Framework for Information Partnership for Proper Operation of the System Pertaining to Foreign Human Resources with the Status of Residence of “Specified Skilled Worker” : MOC) มีสาระสำคัญเพื่อคุ้มครองแรงงานที่มีทักษะเฉพาะผ่านทางการส่งเสริมการจัดส่งและการรับแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ จำนวน ๑๔ สาขา เช่น ผู้อนุบาล งานจัดการความสะอาดอาคาร อุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอุปกรณ์เครื่องจักรกล อุตสาหกรรมก่อสร้าง เกษตรกรรม การผลิตอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น จากประเทศไทยไปยังประเทศญี่ปุ่นให้เป็นไปอย่างราบรื่น และแก้ไขปัญหาในการส่ง การรับแรงงาน และปัญหาของการพำนักอยู่ในประเทศญี่ปุ่นของแรงงาน รวมถึงเพื่อเสริมสร้างผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ และระบุประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน (๒) หน้าที่ความรับผิดชอบของกระทรวงและหน่วยงานของประเทศญี่ปุ่นและกระทรวงแรงงานประเทศไทย และ (๓) การดำเนินการทดสอบทักษะฝีมือและการสอบเพื่อวัดความสามารถทางภาษาญี่ปุ่น เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงแรงงานเป็นผู้ลงนามในบันทึกความร่วมมือฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2263 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2562/2563 | อก | 14/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ ในอัตรา ๗๕๐.๐๐ บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส หรือเท่ากับร้อยละ ๙๗.๙๑ ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศ ๗๖๖.๐๑ บาทต่อตันอ้อย และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ ๔๕.๐๐ บาท ต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ เท่ากับ ๓๒๑.๔๓ บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรพิจารณาดำเนินการทบทวนระเบียบมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และแนวทางการจัดเก็บรายได้เพื่อให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงพอต่อการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งพิจารณาถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน เป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับ ฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยต้องคำนึงถึงความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศของไทยภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ด้วย และควรพิจารณาดำเนินการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การยกระดับคุณภาพความหวานของอ้อยเพื่อลดต้นทุนการผลิต และการส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอ้อยและน้ำตาลทรายภายในประเทศ เพื่อให้ชาวไร่อ้อยและผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลทรายมีผลตอบแทนที่สูงขึ้น และรองรับภาวะราคาน้ำตาลทรายในตลาดสากลตกต่ำในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการเสริมเพิ่มเติมจากการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ (เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้) เพื่อจูงใจให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยลดการเผาอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยว เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้และลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน (PM2.5) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2264 | การโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินขององค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นเพื่อชำระหนี้ให้กระทรวงการคลังและการตัดหนี้ค้างชำระคงเหลือเป็นหนี้สูญ | กษ | 14/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินขององค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น (อ.ย.) จำนวน ๔ แปลง ได้แก่ (๑) ที่ดินเลขที่ ๖๙๒๔ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น (๒) ที่ดินเลขที่ ๑๒๓๔๕ ตำบลวัดเกษ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ (๓) ที่ดินเลขที่ ๖๖๐๙ ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ และ (๔) ที่ดินเลขที่ ๓๒๕๒๑๑ ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อชำระหนี้ให้กระทรวงการคลัง โดยใช้ราคาประเมินที่ดินที่เป็นปัจจุบัน ส่วนการตัดหนี้ค้างชำระคงเหลือของ อ.ย. ต่อกระทรวงการคลังเป็นหนี้สูญ ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามมติสภาบริหารคณะปฏิวัติเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ที่กำหนดหลักการกรณีหนี้เงินค้างชำระที่กระทรวงการคลังไม่สามารถเรียกร้องจากลูกหนี้ได้ จำนวนเงินหรือหนี้เกินกว่า ๕ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ในส่วนของที่ดิน น.ส. ๓ จำนวน ๒ แปลง ของ อ.ย. ที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าลุ่มแม่น้ำฝาง ได้แก่ (๑) ที่ดิน น.ส. ๓ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๑ ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ประมาณ ๓๘ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา และ (๒) ที่ดิน น.ส. ๓ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๑๗๗ ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ประมาณ ๒๖ ไร่ ๒ งาน ๘๐ ตารางวา ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งดำเนินการตรวจสอบการได้มาซึ่งที่ดิน น.ส. ๓ ทั้งสองแปลงดังกล่าว ว่าเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว และเมื่อได้ผลการตรวจสอบที่เป็นที่ยุติแล้วให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2265 | ร่างความตกลง เลขที่ 173/3/764-1 ว่าด้วยการรับกำลังพลของราชอาณาจักรไทยเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาทางทหารของกระทรวงกลาโหมแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย | กห | 14/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำความตกลง เลขที่ ๑๗๓/๓/๗๖๔-๑ ว่าด้วยการรับกำลังพลของราชอาณาจักรไทยเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาทางทหารของกระทรวงกลาโหมแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย (Agreement No. 173/3/764-1 on the Requirements for the Admission of Servicemen of the Kingdom of Thailand for Training in Military Educational Establishments of the Ministry of Defence of the Russian Federation) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการรับกำลังพลของราชอาณาจักรไทยเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาทางทหารของกระทรวงกลาโหมแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย อันเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซีย โดยจะมีการลงนามในร่างความตกลงฯ ระหว่างผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย กับเจ้ากรมกำลังพลทหาร กระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรรัสเซีย ในห้วงเดือนมกราคม ๒๕๖๓ ๑.๒ ให้ผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2266 | ขออนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป กระทรวงยุติธรรม | ยธ | 14/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๔ โครงการ วงเงินรวม ๕,๗๒๙.๕๐๑๐ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการก่อสร้างเรือนจำกลางลำปาง (๒) โครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดร้อยเอ็ด (๓) โครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดยโสธร และ (๔) โครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยให้กระทรวงยุติธรรมจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความเหมาะสมจำเป็น ตามวงเงินงบประมาณประจำปีเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปประกอบการดำเนินการด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรกำหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กำหนดตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กฎหมาย ระเบียบ ประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2267 | การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (จังหวัดนราธิวาส) | นร04 | 14/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ และตรวจราชการ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ มกราคม ๒๕๖๓ ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน (นราธิวาส ปัตตานี และยะลา) โดยนายกรัฐมนตรีตรวจราชการและจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีฯ ในวังอังคารที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๓ ณ จังหวัดนราธิวาส และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการดูแลความปลอดภัยของคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ เจ้าหน้าที่และประชาชนทั้ง ๓ จังหวัด (นราธิวาส ปัตตานี และยะลา) โดยใช้มาตรการเชิงรุกทั้งในเขตเมืองและพื้นที่ป่าด้วย ๒. ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2268 | การประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 23 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองบันดาร์เสรีเบกาวันบรูไนดารุสซาลาม | กก | 14/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงข่าวร่วมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ซึ่งจะเป็นร่างผลลัพธ์ของการประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในการประชุมการท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๓๙ (ARF 2020) ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๖ มกราคม ๒๕๖๓ ณ เมืองบันดาร์เสรีเบกาวัน บรูไนดารุสซาลาม และอนุมัติให้ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (นายสิรภพ ดวงสอดศรี) ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนและร่วมรับรองร่างแถลงข่าวร่วมฯ โดยไม่มีการลงนาม ได้แก่ (๑) ร่างแถลงข่าวร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ (Joint Media Statement of the 23rd Meeting of ASEAN Tourism Ministers) (๒) ร่างแถลงข่าวร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ ๘ (Joint Media Statement of 8th Meeting of ASEAN-India Tourism Minister) และ (๓) ร่างแถลงข่าวร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น เกาหลี) ครั้งที่ ๑๘ [Joint Media Statement of 19th Meeting of ASEAN Plus Three (China, Japan and Republic of Korea) Tourism Minister] ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมฯ เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2269 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติให้มีการรับรองเอกสารสำหรับการประชุม Global Forum for Food and Agriculture (GFFA) ครั้งที่ 12 และการประชุม Berlin Agriculture Minister's Conference ครั้งที่ 12 | กษ | 14/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้มีการรับรองเอกสารสำหรับการประชุม Global Forum for Food and Agriculture (GFFA) ครั้งที่ ๑๒ และการประชุม Berlin Agriculture Minister''s Conference ครั้งที่ ๑๒ รวม ๒ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างเอกสารแถลงการณ์ (First draft GFFA Communique 2020) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมย์ในการส่งเสริมการดำเนินการและนโยบายที่เกี่ยวข้องด้านการค้าสินค้าเกษตร การค้าพหุภาคี การพัฒนาห่วงโซ่อาหารเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรที่ครอบคลุมและยั่งยืน รวมทั้งการส่งเสริมความปลอดภัยอาหารและความมั่นคงทางอาหาร และ (๒) เอกสาร FAO-Concept Note for an International Digital Council for Food and Agriculture มีสาระสำคัญเพื่อนำเสนอการจัดตั้ง International Digital Council for Food and Agriculture ซึ่งทำหน้าที่ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศและให้คำแนะนำเชิงนโยบายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากดิจิทัลสำหรับระบบอาหารและการเกษตรในการเพิ่มผลผลิต คุณภาพ ความปลอดภัยและความยั่งยืน โดยเอกสารทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าวจะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุม Berlin Agriculture Minister''s Conference ครั้งที่ ๑๒ ในวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๓ ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นจะต้องปรับปรุงถ้อยคำหรือสาระสำคัญของเอกสารทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2270 | ขอความเห็นชอบในหลักการการเข้าร่วมการประมูลคลื่นความถี่ของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) | ดศ | 14/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท โทรคมนาคม) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) เข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ย่าน ๗๐๐ MHz ๑๘๐๐ MHz ๒๖๐๐ และ ๒๖ GHz ตามเงื่อนไขประกาศของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่เกี่ยวข้อง และเห็นชอบให้คณะกรรมการ บมจ. กสท โทรคมนาคม และคณะกรรมการ บมจ. ทีโอที เป็นผู้พิจารณาเห็นชอบให้เข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่และอนุมัติงบประมาณให้เป็นไปตามเงื่อนไขประกาศ กสทช. ที่เกี่ยวข้อง โดยให้พิจารณาความเป็นไปได้ ความเหมาะสม รวมทั้งความสอดคล้องกับแผนธุรกิจและนโยบายของ บมจ. กสท โทรคมนาคม และ บมจ. ทีโอที และในกรณีที่เป็นผู้ชนะการประมูลก็ให้สามารถเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายใด ๆ อันเกิดจากการประมูลดังกล่าว ซึ่งมีกรอบะระยเวลาจำกัดตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าในอัตราที่กำหนด และการลงทุนเบื้องต้นตามภาระผูกพัน เป็นต้น สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องในส่วนที่เหลือนอกเหนือจากค่าใช้จ่ายล่วงหน้าที่ต้องชำระภายในกำหนด และการลงทุนในโครงการตามภาระผูกพันในระยะต่อไป ให้รัฐวิสาหกิจนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการดำเนินการต่อไป โดยให้ดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ/กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกำกับดูแลแนวทางการดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวนัที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖) อย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ในขั้นตอนการพิจารณาการเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่และการอนุมัติงบประมาณของคณะกรรมการ บมจ. กสท โทรคมนาคม และ บมจ. ทีโอที ควรพิจารณาความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความคุ้มค่าในการใช้ประโยชน์คลื่นความถี่ดังกล่าว โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง และการดำเนินงานตามแผนธุรกิจ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2271 | (ร่าง) แผนด้านการอุดมศึกษาเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศ พ.ศ. 2564 - 2570 กรอบวงเงินงบประมาณด้านการอุดมศึกษาในความรับผิดชอบของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กรอบวงเงินงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และระบบการจัดสรรและบริหารงบประมาณแบบบูรณาการที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ | อว | 14/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนด้านการอุดมศึกษาเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๗๐ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบแนวทางการพัฒนาระบบอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศให้สอดคล้องและบูรณาการกัน เพื่อให้เกิดเป็นพลังในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ การจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานในระบบวิจัยและนวัตกรรมในลักษณะต่อเนื่องหลายปี (Multi-year) โดยกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด ความสำเร็จ และมีการบริหารจัดการโปรแกรมในลักษณะของแพลตฟอร์มที่มีการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานเพื่อมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ และให้สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ส่ง (ร่าง) แผนดังกล่าวให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี) ต่อไป ๒. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณด้านการอุดมศึกษาในความรับผิดชอบของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ รวมทั้งสิ้น ๑๐,๒๕๐ ล้านบาท และระบบการจัดสรรและบริหารงบประมาณแบบบูรณาการที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ และให้สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๓. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ รวมทั้งสิ้น ๔๗,๑๙๒ ล้านบาท และระบบการจัดสรรและบริหารงบประมาณแบบบูรณาการที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ และให้สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๔. ให้สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2272 | มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร07 | 14/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณใช้จ่ายงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับสถานการณ์ และสามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันได้ทันทีเมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ประกาศใช้บังคับ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2273 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย สำหรับรายการงบประมาณซึ่งจะต้องก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณ และมีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป | มท | 14/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๕ หน่วยงาน ๑๐ โครงการ วงเงิน ๒๑,๓๓๒.๙๕๙๕ ล้านบาท โดยให้กระทรวงมหาดไทยจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความเหมาะสมจำเป็น ตามวงเงินงบประมาณประจำปีเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานครรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีคุณลักษณะเฉพาะ ประมาณการหรือผลการสอบราคา รายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปประกอบการดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2274 | ขออนุมัติการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) | กษ | 14/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวนรวม ๗ รายการ (ภายใต้โครงการ จำนวน ๕ โครงการ) วงเงินรวม ๔,๐๖๕.๐๗๓๘ ล้านบาท โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความเหมาะสมจำเป็นตามวงเงินงบประมาณประจำปีเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชนที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2275 | การปิดสถานกงสุลใหญ่ ณ กรุงอันตานานาริโว สาธารณรัฐมาดากัสการ์ เป็นการชั่วคราวและการปรับเขตอาณาของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพริทอเรีย สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ | กต | 07/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบการปิดสถานกงสุลใหญ่ ณ กรุงอันตานานาริโว สาธารณรัฐมาดากัสการ์ เป็นการชั่วคราว ๒. อนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ โดยปรับให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพริทอเรีย สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ มีเขตอาณาครอบคลุมสาธารณรัฐมาดากัสการ์ และให้เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มประจำสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มประจำสาธารณรัฐมาดากัสการ์อีกตำแหน่งหนึ่ง โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงพริทอเรีย สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ซึ่งมีผลให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพริทอเรีย สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ มีเขตอาณาครอบคลุมสาธารณรัฐแอฟริการใต้ สาธารณรัฐแองโกลา สาธารณรัฐบอตสวานา ราชอาณาจักรเลโซโท สาธารณรัฐมาลาวี สาธารณรัฐมอริเชียส สาธารณรัฐนามิเบีย ราชอาณาจักรเอสวาตินี สาธารณรัฐแซมเบีย สาธารณรัฐซิมบับเว และสาธารณรัฐมาดากัสการ์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2276 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2561 เรื่อง มาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค 4.0 (มาตรการด้านการเงิน) | อก | 07/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) และโครงการ Transformation Loan เสริมแกร่ง (Soft Loan เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ ๒) ภายใต้มาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค ๔.๐ (มาตรการด้านการเงิน) โดยกำหนดระยะเวลาเริ่มรับคำขอกู้ในวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๒ และสิ้นสุดรับคำขอกู้ภายในวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ หรือจนกว่าจะหมดวงเงินสินเชื่อรวมของโครงการ แล้วแต่ระยะเวลาใดจะถึงก่อน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรเร่งประชาสัมพันธ์และติดตามการดำเนินโครงการ และในการส่งเสริมแหล่งเงินทุนให้แก่ SMEs ควรมีการสำรวจความต้องการที่แท้จริงของ SMEs เป้าหมายแต่ละกลุ่ม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2277 | แนวทางปฏิบัติในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี | นร05 | 07/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการจัดทำระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยให้จัดประเภทเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีออกเป็นด้านต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๑ ด้านการเมือง การต่างประเทศ และความมั่นคง ๑.๒ ด้านการสร้างรายได้และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ๑.๓ ด้านการศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ๑.๔ ด้านการลดความเหลื่อมล้ำ ๑.๕ ด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต ๑.๖ ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน การปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ๑.๗ อื่น ๆ (ถ้ามี) ๒. เห็นชอบให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐดำเนินการจัดทำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้อง เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ กฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่อง ระบุในหนังสือเสนอเรื่องให้ชัดเจนด้วยว่าเรื่องดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในด้านใด (ตามข้อ ๑)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2278 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (จำนวน 5 คน 1. นายสุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ฯลฯ) | อว | 07/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวม ๕ คน ซึ่งเป็นการแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ มกราคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ นายสุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการ ๑.๒ นายพีระพงศ์ ทีฆสกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์ ๑.๓ นายรัฐชาติ มงคลนาวิน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์ ๑.๔ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์ ๑.๕ นางปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านมนุษยศาสตร์ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในครั้งต่อ ๆ ไปให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2279 | มาตรการต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย | กค | 07/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การส่งเสริมขีดความสามารถของ SMEs เป็นวาระแห่งชาติ ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งพิจารณาและกำหนดมาตรการในการส่งเสริมขีดความสามารถของ SMEs ในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. เห็นชอบและรับทราบมาตรการต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย ซึ่งเป็นมาตรการเพื่อช่วยเหลือ SMEs ในกลุ่มที่ต้องการสภาพคล่อง กลุ่มที่กำลังจะถูกฟ้อง และกลุ่มที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย (๑) โครงการ บสย. SMEs สร้างไทย ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (๒) โครงการ Transformation Loan เสริมแกร่ง (Soft Loan เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ ๒) ของธนาคารออมสิน (๓) โครงการ GSB SMEs Extra Liquidity ของธนาคารออมสิน (๔) โครงการ PGS ๕ ถึง PGS ๗ และ (๕) โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการต่อไปให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ รวม ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น (๑) สถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจควรพัฒนาระบบฐานข้อมูล SMEs ที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อใช้วิเคราะห์ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ โดยเฉพาะกระบวนการพิจารณาสินเชื่อหรือการค้ำประกัน การบริหารความเสี่ยง และการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์กำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง และ (๒) การกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ควรครอบคลุมการเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีเจ้าหนี้อื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (non-bank) ด้วย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงการคลังประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการในการช่วยเหลือ SMEs ให้สาธารณชนรับทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง รวมทั้งให้กระทรวงการคลังติดตาม ประเมินผล และรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีทุก ๆ ๓ เดือน ด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2280 | ขอความเห็นชอบการดำเนินโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน | สทบ. | 07/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงชื่อโครงการ จากโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระดับหมู่บ้าน ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เป็นโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๑.๒ เห็นชอบให้ยุติการดำเนินโครงการที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และมีงบประมาณคงเหลือ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ ๒ (๒) โครงการหมู่บ้านจัดตั้งใหม่ และ (๓) โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) และขอเปลี่ยนแปลงการใช้งบประมาณคงเหลือ จำนวน ๓ โครงการดังกล่าว วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๔๐๗,๗๐๐,๐๐๐ บาท ไปใช้ในการดำเนินโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๑.๓ รับทราบการขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ กรณีที่จะขอใช้งบประมาณของโครงการอื่นที่ยังดำเนินการอยู่ จำนวน ๖ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ ๓ (๒) โครงการพัฒนาเมือง (๓) โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ (๔) โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชนเมืองเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ (๕) โครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืนโดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ และ (๖) โครงการประชารัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในกรุงเทพมหานคร วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๒,๐๘๓,๗๐๐,๐๐๐ บาท ไปใช้ในการดำเนินโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนก่อน และขอให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณ จำนวน ๑๒,๐๘๓,๗๐๐,๐๐๐ บาท ดังกล่าว คืนให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อจะได้ดำเนินโครงการให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการต่อไป ๒. สำหรับการใช้งบประมาณของโครงการที่ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ จำนวน ๖ โครงการ ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามข้อเท็จจริงที่จะใช้จ่าย โดยคำนึงถึงเป้าหมาย ประโยชน์ที่ได้รับ ผลสัมฤทธิ์ และประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้เกิดต้นทุนค่าเสียโอกาสในทุกมิติ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเท่าที่จำเป็นตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|