ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 9 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 161 - 180 จากข้อมูลทั้งหมด 1478 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 161 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงาน วงเงิน 11,500.000 ล้านบาท และวงเงินกู้ระยะสั้น จำนวน 800.000 ล้านบาท (วงเงินกู้เบิกเกินบัญชี) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ 2564 | คค. | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการกู้เงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
(รฟท.) ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔)
โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข
และรายละเอียดตามความเหมาะสม โดยในส่วนของการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการกู้เงิน ให้
รฟท. พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับเงินกู้เพื่อบรรเทาการขาดสภาพคล่องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ วงเงิน ๑๑,๕๐๐
ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ รฟท.
ดำเนินการกู้เงินได้ภายหลังจากวงเงินดังกล่าวได้รับการบรรจุไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ที่ผ่านความเห็นชอบตามขั้นตอนแล้ว
ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเงินกู้ระยะสั้น
(วงเงินกู้เบิกเกินบัญชี) วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท
โดยให้ดำเนินการคัดเลือกสถาบันการเงินด้วยวิธีการประมูล
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม
โดย รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินด้วยวิธีการประมูลวงเงินกู้ระยะสั้น
(วงเงินกู้เบิกเกินบัญชี) ดังกล่าว
เพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านต้นทุนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยตลาด การเร่งรัดดำเนินการจัดทำแผนฟื้นฟูการแก้ไขปัญหาขององค์กรให้สอดคล้องและเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสากิจ
และมุ่งเน้นการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย โดยเฉพาะการสร้างรายได้จากการบริหารทรัพย์สิน
การจัดทำรายงานผลการให้บริการสาธารณะ (PSO) ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด
และการพิจารณาเบิกใช้เงินกู้ในจำนวนและระยะเวลาที่เหมาะสม
รวมทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารงานเท่าที่จำเป็น
และเร่งรัดการลงทุนโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเพิ่มรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 162 | การสนับสนุนสินค้าและบริการของวิสาหกิจชุมชน | นร. | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม และ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในการสนับสนุนและจัดซื้อจัดจ้างการผลิตสินค้าและบริการในเรื่องต่าง
ๆ จากวิสาหกิจชุมชน ชุมชน และท้องถิ่น
โดยให้แต่ละหน่วยงานพิจารณาจัดซื้อจัดจ้างในอัตราส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐
ของมูลค่าความต้องการใช้ทั้งหมดของหน่วยงาน
รวมทั้งให้มีการเร่งรัดการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
ให้ถูกต้องครบถ้วนโดยเร็ว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อ SMEs ในการขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินกิจการ
รวมทั้งการจำหน่ายสินค้าและบริการของ SMEs ในแต่ละกลุ่มธุรกิจ/แต่ละพื้นที่
นั้น
ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งดำเนินการสนับสนุนและจัดซื้อจัดจ้างดังกล่าวข้างต้นให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง
และให้จัดทำรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 163 | ขอความเห็นชอบขยายระยะเวลาดำเนินการตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562 - 2563 | พณ. | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินการตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน
ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ ออกไปอีก ๓ เดือน จากเดิมสิ้นสุดเดือนกันยายน ๒๕๖๓
เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๓ โดยใช้กรอบงบประมาณดำเนินการเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้
(๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๒) จำนวน ๑๓,๓๗๘.๙๙ ล้านบาท
ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ได้จ่ายเงินชดเชยส่วนต่างรายได้ให้แก่เกษตรกรแล้ว ๙ งวด เป็นเงิน ๖,๗๒๙.๕๗ ล้านบาท
คงเหลือจำนวน ๖,๖๔๙.๔๒ ล้านบาท เพื่อจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างรายได้ให้แก่เกษตรกร
และเป็นค่าบริหารจัดการของ ธ.ก.ส. (กันยายน ๒๕๖๒-ธันวาคม ๒๕๖๓)
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับ (๑) การติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง การเร่งรัดการเบิกจ่ายให้เป็นไปตามระยะเวลาโครงการฯ
ที่กำหนด และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ
เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดทำนโยบายที่เกี่ยวข้องต่อไป (๒) การพิจารณาเร่งรัดดำเนินมาตรการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินออกจากตลาดควบคู่ไปกับการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ
ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มในประเทศ
และลดภาระงบประมาณในการจ่ายชดเชยส่วนต่างรายได้ที่จ่ายให้แก่เกษตรกรกรณีราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำมาก
และ (๓) การบูรณาการแนวทางการบริหารจัดการปาล์มน้ำมันให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันและอนาคต
โดยคาดการณ์แนวโน้มความต้องการในตลาดกับพื้นที่ปลูกปาล์มที่มีอยู่
และปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันที่จะออกสู่ตลาด เพื่อหาแนวทางในการลดอุปทานและเพิ่มอุปสงค์
โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน
เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาเชิงนโยบายในการบริหารจัดการทั้งระบบ และพิจารณาความซ้ำซ้อนของมาตรการที่รัฐให้ความช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกร
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 164 | การเร่งรัดการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) | นร 05 | 04/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๓ (เรื่อง
การสนับสนุนการใช้สินค้าและบริการของวิสาหกิจชุมชน ชุมชน และท้องถิ่น)
ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกกับการจัดซื้อจัดจ้างการผลิตสินค้าและบริการในเรื่องต่าง
ๆ จากวิสาหกิจชุมชน ชุมชน และท้องถิ่น
โดยให้แต่ละหน่วยงานพิจารณาจัดซื้อจัดจ้างในอัตราส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐
ของมูลค่าความต้องการใช้ทั้งหมดของหน่วยงาน นั้น
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ SMEs
ให้ถูกต้องครบถ้วนโดยเร็ว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อ SMEs ในการขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินกิจการ
รวมทั้งการจำหน่ายสินค้าและบริการของ SMEs ในแต่ละกลุ่มธุรกิจ/แต่ละพื้นที่ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 165 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย กรณีนายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ หายตัวไปที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งอาจมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง) | สม | 29/07/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย กรณีนายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ หายตัวไปที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งอาจมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ โดยได้พิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในสองประเด็นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การรับเรื่องเป็นคดีพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และการเร่งรัดเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 166 | รายงานผลการดำเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง ปี 2562 (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2562) | มท | 14/07/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ปี ๒๕๖๒ (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม ๒๕๖๒) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม ๒๕๖๒) มีแผนงาน/โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ระยะทาง ๑๖๗ กิโลเมตร จำนวน ๓ แผนงาน ประกอบด้วย (๑) แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ปี ๒๕๕๑-๒๕๕๖ (ฉบับปรับปรุง) รวมระยะทาง ๒๕.๒ กิโลเมตร อยู่ระหว่างดำเนินการ ๑๗.๒ กิโลเมตร มีกำหนดแล้วเสร็จ ปี ๒๕๖๓ (๒) แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน รัชดาภิเษก รวมระยะทาง ๒๒.๕ กิโลเมตร มีกำหนดแล้วเสร็จ ปี ๒๕๖๔ และ (๓) แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินเพื่อรองรับการเป็นมหานครแห่งอาเซียน รวมระยะทาง ๑๒๗.๓ กิโลเมตร มีกำหนดแล้วเสร็จ ปี ๒๕๖๔ ๒. การเบิกจ่ายงบประมาณ ณ เดือนธันวาคม ๒๕๖๒ ได้มีการเบิกจ่ายเงินรวม ๑,๗๗๓.๖๑๕ ล้านบาท จากเป้าหมายการเบิกจ่ายในปี ๒๕๖๒ จำนวน ๒,๕๑๙.๗๔๔ ล้านบาท ๓. แผนการดำเนินงานในระยะต่อไป กฟน. ได้พิจารณาพื้นที่ที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและมีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อดำเนินโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินเพิ่มเติม โดยได้นำเสนอแผนการดำเนินโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ฉบับปฏิบัติการเร่งรัด ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการแล้ว เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ รวมระยะทาง ๒๐.๕ กิโลเมตร มีกำหนดแล้วเสร็จในปี ๒๕๖๖ ประกอบด้วย พื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงถนนรัตนาธิเบศร์ ช่วงถนนราชพฤกษ์ถึงถนนกาญจนาภิเษก และช่วงถนนกรุงเทพ-นนทบุรีถึงถนนติวานนท์ และพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว ถนนสุขุมวิท ช่วงซอยสุขุมวิท ๘๑-ซอยแบริ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 167 | มาตรการช่วยเศรษฐกิจ "พลังงานสร้างไทย" | พน | 30/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการช่วยเศรษฐกิจ “พลังงานสร้างไทย” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ สืบเนื่องจากผลกระทบจาก COVID-19 ประกอบด้วย (๑) การลดค่าครองชีพของประชาชนและช่วยเหลือผู้ประกอบการ (๒) การเร่งรัดการลงทุนตามแผนด้านพลังงาน และ (๓) การกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เริ่มคลี่คลาย ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 168 | การเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ และขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2523 ในกรณีที่ปรากฏว่ายังมีส่วนราชการใดเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต | ทส | 23/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหากรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต และให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการตามมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหากรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๒๓ (เรื่อง การเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) ในกรณีที่ปรากฏว่ายังมีส่วนราชการใดเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และหากปรากฏว่ายังมีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใดเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาตอีก ให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งกับหน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ทั้งนี้ ในส่วนของการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ ภายใน ๑๘๐ วัน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ นั้น ให้หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงเป็นผู้รวบรวมคำขออนุญาตของหน่วยงานในสังกัดให้ครบถ้วนเพื่อส่งไปยังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) ต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เช่น (๑) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ของแต่ละหน่วยงานอย่างรอบคอบและให้มีความเหมาะสม (๒) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการมาตรการที่เสนออย่างจริงจัง ไม่ควรมีการผ่อนผันอีกในอนาคต และพิจารณาดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปล่อยปละละเลยและมีส่วนเกี่ยวข้อง (๓) ให้ส่วนราชการผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาต เร่งรัดขั้นตอนการยื่นคำขอและการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตในการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าเป็นไปอย่างรวดเร็ว และให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (๔) ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงบประมาณได้ใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาความพร้อมของพื้นที่ดำเนินการประกอบการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี และ (๕) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรกำหนดกลไกและแผนการติดตามประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดวิธีการที่เหมาะสมและไม่ขัดต่อกฎหมายในการดำเนินการกรณีที่ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเข้าใช้พื้นที่ป่าไม้เพื่อทำประโยชน์ในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมและดิจิทัล กรณีที่ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนำพื้นที่ป่าไม้ที่ได้รับอนุญาตไปให้ภาคเอกชนเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ต่อ/ถือกรรมสิทธิ์ในพื้นที่นั้น ๆ เพื่อประกอบกิจการ เช่น ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว กรณีการตั้งสำนักสงฆ์ในพื้นที่ป่า และกรณีการนำที่ดินของเกษตรกรที่รัฐอนุญาตให้เข้าใช้พื้นที่ไปให้เอกชนเช่าต่อ ๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๔.๑ วางแผนและจัดลำดับความสำคัญในการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตโครงการที่ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๒๓ เพื่อบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่โครงการต่าง ๆ จะต้องหยุการดำเนินการเพื่อรอผลการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ๔.๒ ในระยะต่อไป ให้จัดทำแนวทางปฏิบัติในกรณีที่ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือเอกชนจะต้องดำเนินการเพื่อขออนุมัติ/อนุญาตเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ในแต่ละประเภท ตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้มีความชัดเจน ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน พร้อมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาของแต่ละขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติ/อนุญาตทั้งกระบวนการ รวมทั้งให้พิจารณานำระบบเทคโนโลยีนวัตกรรมที่ทันสมัยมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนงานด้วย ๕. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องดำเนินโครงการในพื้นที่ป่าประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นต้นไป คำนึงถึงความพร้อมในการดำเนินโครงการอย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้องเรียบร้อยก่อนเสนอขออนุมัติโครงการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ (เรื่อง การเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ) เพื่อป้องกันมิให้เกิดกรณีการเสนอขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีใด ๆ ภายหลังจากเริ่มดำเนินโครงการไปแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 169 | รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 6 | นร10 | 23/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ ๖ ข้อมูล ณ วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๓ ซึ่งได้รับข้อมูลจาก ๑๔๖ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๙๙ ของส่วนราชการทั้งหมด (๑๔๗ ส่วนราชการ) ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (Work From Home) ส่วนราชการร้อยละ ๘๙ (๑๓๐ ส่วนราชการ) มีการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ และส่วนราชการร้อยละ ๔๑ (๖๐ ส่วนราชการ) กำหนดให้มีจำนวนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งร้อยละ ๕๐ ขึ้นไป (ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งมี ๖๓ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๔๓) โดยในจำนวนนี้มีส่วนราชการร้อยละ ๑๖ (๒๓ ส่วนราชการ) มอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (เท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา) โดยมีการมอบหมายให้ปฏิบัติงานที่บ้านในหลายรูปแบบ เช่น ปฏิบัติงานที่บ้านสลับกับการมาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้งของส่วนราชการ วันเว้นวัน สัปดาห์ละ ๑ วัน สัปดาห์ละ ๒ วัน สัปดาห์เว้นสัปดาห์ เป็นต้น นอกจากนี้ ส่วนราชการร้อยละ ๑๐ (๑๖ ส่วนราชการ) มีการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานทุกคนปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมี ๑๔ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๙) ๑.๒ การเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ มีส่วนราชการกำหนดให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานเมื่อจำเป็นต้องปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ ส่วนใหญ่ร้อยละ ๔๖ กำหนดการเหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานเป็น ๓ ช่วงเวลา คือ เวลา ๐๗.๓๐-๑๕.๓๐ น. เวลา ๐๘.๓๐-๑๖.๓๐ น. และเวลา ๐๙.๓๐-๑๗.๓๐ น. และส่วนราชการร้อยละ ๑๔ ไม่ได้กำหนดให้มีการเหลื่อมเวลาการปฏิบัติงาน ๒. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๙ มิถุนายน ๒๕๖๓) ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาแนวทางการดำเนินมาตรการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและลักษณะงานขององค์กร รวมทั้งให้นำมาตรการเหลื่อมเวลาในการปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งไปดำเนินการให้เกิดผลอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อลดปัญหาการคับคั่งของการจราจรด้วย นั้น ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการพิจารณากำหนดแนวทางการเหลื่อมเวลาการทำงานของหน่วยงานให้สอดคล้องกับการเหลื่อมเวลาของสถานศึกษาต่าง ๆ ที่มีกำหนดการเปิดภาคเรียนประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓ ในเดือนกรกฎาคมนี้ด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 170 | ผลการดำเนินงานโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 | กค | 16/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสถานะการดำเนินโครงการ และการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒ ที่ยังไม่แล้วเสร็จ ๑.๒ ให้กระทรวงต้นสังกัดเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จที่ประสงค์จะดำเนินการต่อโดยใช้เงินจากแหล่งอื่นดำเนินงานให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และเบิกจ่ายเงินให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว รวมทั้งกำกับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินงานตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการอย่างเคร่งครัด และขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานความก้าวหน้าของงาน แผนการใช้จ่ายเงิน และผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากแหล่งอื่นให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบภายในวันที่ ๗ ของเดือนถัดไปจนกว่าจะดำเนินโครงการแล้วเสร็จ ๑.๓ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการส่งคืนเงินคงเหลือจากการดำเนินโครงการในกรณีเบิกเงินจากคลังไปแล้ว แต่ไม่ได้จ่าย หรือจ่ายไม่หมด หรือได้รับคืน เข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง ชื่อบัญชี “เงินฝากเงินกู้สำหรับโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน” ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการส่งคืนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ด้วย เพื่อให้กระทรวงการคลังนำเงินที่เหลือในบัญชีส่งคืนคลังและดำเนินการปิดบัญชีดังกล่าวตามระเบียบต่อไป ทั้งนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถส่งคืนเงินคงเหลือภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเงินนั้นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเองตามระเบียบการนำเงินส่งคลังที่เกี่ยวข้อง และรายงานกระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบต่อไป ๑.๔ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งดำเนินการส่งคืนกรอบวงเงินเหลือจ่ายจากการจัดสรรไปที่สำนักงบประมาณ และแจ้งผลการส่งคืนเงินเหลือจ่ายที่เสร็จสิ้นแล้วให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ ด้วย ๑.๕ ให้กรมทรัพยากรน้ำที่มีโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จและอยู่ระหว่างการยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการพัสดุ รวมถึงกฎหมายและระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดโดยเร็ว และเสนอขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีต้นสังกัดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีขออนุมัติยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ต่อไป ทั้งนี้ ในกรณีที่มีเงินคงเหลือของโครงการ ขอให้ส่งคืนเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๒๐ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการส่งคืนเงินนั้นให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบด้วย และหากไม่สามารถส่งคืนเงินคงเหลือภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้กรมทรัพยากรน้ำนำเงินนั้นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเองตามระเบียบการนำเงินส่งคลังที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควร (๑) ให้กระทรวงเจ้าสังกัดของหน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จ และให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยเคร่งครัด (๒) มีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการของหน่วยงานที่ดำเนินการภายใต้โครงการเงินกู้ฯ และ (๓) โครงการที่ดำเนินการและเบิกจ่ายไม่ทันวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ และประสงค์จะดำเนินการต่อโดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จากโครงการ/รายการที่ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และมีงบประมาณเหลือจ่าย และ/หรือหมดความจำเป็น ไม่สามารถดำเนินการได้ทันในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป โดยให้รายงานความก้าวหน้าของงาน แผนการใช้จ่ายเงิน และผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ทราบตามขั้นตอนจนกว่าโครงการจะดำเนินการแล้วเสร็จ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 171 | รายงานผลการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฤดูแล้ง ปี 2562/63 และการเตรียมความพร้อมรองรับฤดูฝน ปี 2563 | นร14 | 09/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๒/๖๓ และการเตรียมความพร้อมรองรับฤดูฝน ปี ๒๕๖๓ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับสรุปผลการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๒/๖๓ การวางแผนการจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกในฤดูฝน ปี ๒๕๖๓ เช่น การประเมินปริมาณน้ำต้นทุนฤดูฝน ปี ๒๕๖๓ และการบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ๓๕ แห่ง ในช่วงฤดูฝน ปี ๒๕๖๓ เป็นต้น และการเตรียมการบริหารจัดการน้ำเพื่อรองรับในฤดูฝน ปี ๒๕๖๓ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการบางมาตรการแล้ว เช่น การคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัย การปรับแผนการเพาะปลูกพืช และการจัดทำหลักเกณฑ์และมาตรการที่สำคัญในการบริหารจัดการน้ำ เป็นต้น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการเตรียมความพร้อมรองรับฤดูฝน ปี ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติร่วมกับกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลแหล่งกักเก็บน้ำทั่วประเทศและแหล่งกักเก็บน้ำตามธรรมชาติ รวมทั้งปริมาณน้ำที่กักเก็บได้ เพื่อเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการปริมาณน้ำต้นทุน และจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำในระยะยาวต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการกำหนดพื้นที่ป่าเป็นแหล่งซับน้ำฝน โดยมีการสร้างเขื่อนหรือฝายเพื่อกักกันหรือชะลอการไหลของน้ำในจุดที่เหมาะสม เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำใต้ดินและเป็นประโยชน์ต่อการขุดเจาะน้ำบาดาลในระยะต่อไป ๔. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ (เรื่อง การเร่งรัดบรรเทาสถานการณ์ภัยแล้ง และการบริหารจัดการน้ำ) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งรัดการดำเนินการขุดเจาะบ่อบาดาลให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ดำเนินการในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำเป็นลำดับแรก นั้น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ในการสำรวจและขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลในที่ดินของประชาชน เพื่อพัฒนาระบบการกระจายน้ำบาดาล และให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคและมีน้ำใช้เพื่อการเกษตรมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 172 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | กค | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ จำนวน ๘,๔๑๒ หน่วยงาน จากทั้งหมด ๘,๔๓๑ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๗๗ โดยมีหน่วยงานของรัฐที่ไม่ส่งรายงานการเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด จำนวน ๖๗ หน่วยงาน และหน่วยงานของรัฐที่ไม่ส่งรายงานการเงิน จำนวน ๑๙ หน่วยงาน ในจำนวนนี้มี ๑๓ หน่วยงาน ที่ส่งรายงานเกินระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่จัดส่งรายงานเป็นปีที่ ๒ ติดต่อกัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ความสำคัญ ควบคุม กำกับดูแล หน่วยงานภายใต้สังกัดส่งรายงานการเงินของหน่วยงานภายในระยะเวลาที่พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กำหนด หากไม่สามารถส่งรายงานการเงินให้กระทรวงการคลังได้ตามกำหนด ให้หน่วยงานรายงานเหตุผลหรือปัญหาอุปสรรคต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบ ๓. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดควบคุม กำกับดูแล หน่วยงานภายใต้สังกัดจัดทำบัญชี และรายงานการเงินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด ๔. ให้กระทรวงการคลังกำหนดมาตรการและแนวทางในการเร่งรัด ติดตามให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจัดส่งรายงานการเงินในปีต่อ ๆ ไป ให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 173 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปค เรื่อง การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 | พณ | 05/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปค เรื่องการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-๑๙ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ฯ โดยร่างแถลงการณ์ฯ เป็นเอกสารที่จะเวียนให้รัฐมนตรีการค้าของประเทศสมาชิกเอเปคร่วมรับรองทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์โดยไม่มีการลงนาม ในวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือในระดับภูมิภาคและการมีบทบาทสำคัญของเอเปคในการร่วมรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-๑๙ อย่างทันท่วงที เช่น การสนับสนุนให้เขตเศรษฐกิจเอเปคดำเนินมาตรการอำนวยความสะดวกเพื่อเร่งการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ และการส่งเสริมให้เอเปคมีวาระด้านดิจิทัล รวมทั้งพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และการค้าบริการที่เกี่ยวเนื่อง เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ) อาจเสนอให้มีการขยายขอบเขตเนื้อหาให้ครอบคลุมแนวทางการเผยแพร่องค์ความรู้และถอดบทเรียนร่วมกันเพื่อส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีในการรับมือและป้องกันการระบาดของโรคในอนาคต และแนวทางการเร่งรัดการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยยกระดับการพัฒนาทั้งของไทยและเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ให้สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 174 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) (การยกเว้นอากรขาเข้ายาสูตรผสมที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์) | กค | 07/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรขาเข้ายาสูตรผสม (ประเภทย่อย ๓๐๐๓.๙๐) ที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์เท่านั้น จากเดิมที่กำหนดไว้ร้อยละ ๑๐ ตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ภาค ๒ พิกัดอัตราอากรขาเข้า ซึ่งจะทำให้ลดภาระต้นทุนการผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ ส่งผลให้ผู้ผลิตยามีความคล่องตัวในการเลือกใช้วัตถุดิบที่หลากหลายสำหรับการผลิตยาต้านไวรัสให้มีคุณสมบัติการรักษาที่เหมาะสมกับอาการของผู้ติดเชื้อ และลดการนำเข้ายาต้านไวรัสเอดส์สำเร็จรูป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับมาตรการเร่งรัดค้นหาและส่งเสริมให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าถึงบริการรักษาที่ได้มาตรฐานไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 175 | ผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 18 การประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES ครั้งที่ 71 และครั้งที่ 72 | ทส | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ [Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora (CITES)] ครั้งที่ ๑๘ และการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES ครั้งที่ ๗๑ และครั้งที่ ๗๒ ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๒ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่อยู่ในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญา CITES เช่น ช้าง แรด สัตว์ในกลุ่มแมวใหญ่ เต่าบกและเต่าน้ำจืด ลิ่น เป็นต้น ตลอดจนการปรับเปลี่ยนบัญชีชนิดพันธุ์ และการพิจารณามาตรการต่าง ๆ เกี่ยวกับการบังคับใช้อนุสัญญา โดยในส่วนของประเทศไทย ที่ประชุมฯ ได้รับทราบรายงานการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบสารสนเทศการค้าช้าง (Elephant Trade Information System : ETIS Report) ว่าประเทศไทยไม่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการค้างาช้างผิดกฎหมายอีกต่อไป เนื่องจากประเทศไทยไม่มีคดีค้างาช้างรายใหญ่และมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้นและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ประเทศไทยในฐานะภาคีอนุสัญญา CITES ยังมีพันธกิจที่จะต้องดำเนินการตามมติที่ประชุมฯ เช่น (๑) การออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดชนิดสัตว์ป่าควบคุม และประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง พืชอนุรักษ์ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงบัญชีชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าในการประชุมฯ (๒) การจัดทำรายงานเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เช่น รายงานเสือ ลิ่น การปิดตลาดการค้างาช้าง ส่งสำนักเลขาธิการ CITES ตามกำหนดเวลา (๓) การขอสงวนสิทธิ์สำหรับชนิดพันธุ์ที่พบว่ามีการค้ามากในประเทศไทยที่มีการบรรจุอยู่ในบัญชี CITES หรือปรับเลื่อนบัญชี ได้แก่ ตุ๊กแกบ้าน เต่าดาวอินเดีย เต่าแพนเค้ก และยีราฟ (๔) การขอรับจัดสรรงบประมาณในส่วนของเงินอุดหนุนการเป็นสมาชิกอนุสัญญา CITES ระยะเวลา ๓ ปีที่ถูกปรับเพิ่มขึ้น ๖,๘๑๑ ดอลลาร์สหรัฐ (๒๑๒,๗๐๗.๕๓ บาท) จากเดิม ๕๔,๙๐๑ ดอลลาร์สหรัฐ (๑,๗๑๔,๕๕๘.๒๓ บาท) เป็น ๖๑,๗๑๒ ดอลลาร์สหรัฐ (๑,๙๒๗,๒๖๕.๗๖ บาท) และ (๕) การเร่งรัดให้มีการออกพระราชบัญญัติช้าง พ.ศ. .... เพื่อจัดการและควบคุมการค้างาช้างบ้าน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายใดควบคุมในส่วนดังกล่าว และมอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้านการจัดการช้างในประเทศไทยรักษามาตรฐานการดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อตกลงตามอนุสัญญา CITES และเตรียมความพร้อมในการจัดทำฐานข้อมูลการตรวจสอบรูปพรรณและขึ้นบัญชีเสือที่อยู่ในการครอบครองของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งขยายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการตัดวงจรการค้าที่ผิดกฎหมาย เพื่อเตรียมการตอบรับการเข้าตรวจสอบจากสำนักเลขาธิการ CITES เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอให้พิจารณาโอนหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรแล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 176 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ครั้งที่ 1/2563 | นร | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญประกอบด้วย (๑) มาตรการด้านการเงินการคลัง ได้แก่ มาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ มาตรการกระตุ้นการลงทุนผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการขจัดอุปสรรคในกระบวนการก่อหนี้เพื่อสนับสนุนการลงทุนของภาครัฐ (๒) มาตรการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน ได้แก่ มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเร่งรัดให้เกิดการลงทุนและมีโครงการลงทุนใหม่เกิดขึ้น มาตรการสร้างความเชื่อมโยงสู่เศรษฐกิจฐานรากเพื่อสนับสนุนให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเศรษฐกิจในระดับฐานราก (๓) การเร่งรัดการลงทุนภาครัฐ โดยการเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ ได้แก่ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม การลงทุนด้านพลังงาน การจัดการทรัพยากรน้ำ และ (๔) แผนการเจรจาการค้าระหว่างประเทศของประเทศไทย เป็นการรายงานความก้าวหน้าการทำความตกลงทางการค้า และสถานะการทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ของไทย และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงานดำเนินการตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าการลงทุนต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าการลงทุนเสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการเพื่อขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ให้คำนึงถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน ความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่ หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยคำนึงถึงความโปร่งใส และมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมจากการดำเนินโครงการ รวมถึงดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 177 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็ง [ห่วงโซ่อุปทานอาเซียน] [ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของอาเซียน] ในการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา (โควิด-19) | พณ | 10/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็ง [ห่วงโซ่อุปทานอาเซียน] [ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของอาเซียน] ในการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา (โควิด-๑๙) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างถ้อยแถลงฯ โดยร่างถ้อยแถลงฯ เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ ๒๖ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๙-๑๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ เมืองดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิด-๑๙ ผ่านการดำเนินการต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความพยายามในการประสานงานและความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อการตอบสนองต่อความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและการค้าดิจิทัลเพื่อเอื้อให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไป แม้ในกรณีมีการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ และทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานในระยะยาว โดยเฉพาะความร่วมมือในการเร่งรัดการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและการค้าดิจิทัลที่สามารถเชื่อมโยงกันในภูมิภาค เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยในประเทศสมาชิก สามารถปรับตัวและเข้าถึงช่องทางตลาดรูปแบบใหม่ ตลอดจนมีส่วนร่วมในห่วงโซ่การผลิตและการค้าในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 178 | มาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชน ดูแลปัญหาภัยแล้ง และกระตุ้นเศรษฐกิจ | พน | 10/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชน ดูแลปัญหาภัยแล้ง และกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายพิจารณาเร่งรัดออกแนวทางปฏิบัติและรายละเอียดในการดำเนินการเพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ ๑ บ้านอยู่อาศัย และประเภทที่ ๒ กิจการขนาดเล็ก จำนวนผู้ใช้ไฟฟ้ารวมประมาณ ๒๑.๕ ล้านราย สามารถใช้สิทธิในการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าที่วางไว้ตามขนาดเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้า ซึ่งมีวงเงินรวมที่จะมีสิทธิขอคืนประมาณ ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยจะสามารถเริ่มทยอยคืนได้ตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ๒. การเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ในพื้นที่ ๗๒ จังหวัด วงเงินรวม ๔,๐๖๔ ล้านบาท โดยให้กองทุนพัฒนาไฟฟ้าในพื้นที่ประกาศเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินภายใต้โครงการชุมชนปี ๒๕๖๓ จำนวนกว่า ๖,๖๐๐ โครงการ วงเงินรวม ๒,๔๙๔ ล้านบาท เพื่อเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายในพื้นที่และพัฒนาหรือฟื้นฟูท้องถิ่นในด้านสาธารณสุข อาชีพ การศึกษา และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้กองทุนพัฒนาไฟฟ้าในพื้นที่ประกาศ พิจารณาทบทวนโครงการชุมชนภายใต้งบประมาณที่ได้รับอนุมัติแล้ว เพื่อดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง จ้างแรงงาน จัดซื้อหรือก่อสร้างที่ใช้วัสดุอุปกรณ์ของผู้ประกอบการระดับท้องถิ่นภายในประเทศ การศึกษาดูงานภายในประเทศแทนการศึกษาดูงานต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ ๓. การกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้า โดยตรึงอัตราค่าเอฟที เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓ ในอัตรา -๑๑.๖๐ สตางค์ต่อหน่วย หรือลดลง ๑๑.๖๐ สตางค์ต่อหน่วย จากค่าไฟฟ้าฐาน คิดเป็นวงเงินประมาณ ๔,๕๓๔ ล้านบาท ๔. มาตรการอื่น ๆ ของการไฟฟ้า อาทิ (๑) ลดค่าไฟฟ้าในอัตราร้อยละ ๓ ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท เป็นระยะเวลา ๓ เดือน (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๓) และ (๒) ขยายระยะเวลาการชำระค่าไฟฟ้า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท กิจการเฉพาะอย่าง (ธุรกิจโรงแรม และกิจการให้เช่าพักอาศัย) ตลอดจนไม่คิดค่าปรับ (ดอกเบี้ย) ตลอดระยะเวลาการผ่อนผัน โดยไม่มีการงดจ่ายไฟฟ้าเป็นการชั่วคราว และผ่อนผันได้ไม่เกิน ๖ เดือนของแต่ละรอบบิล ทั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ค่าไฟฟ้าประจำเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๖๓ โดยผู้ใช้ไฟฟ้าต้องแจ้งความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือได้ที่สำนักงานการไฟฟ้าในพื้นที่
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 179 | มาตรการเร่งรัดให้ทุกส่วนราชการจัดประชุมและสัมมนาภายในประเทศ 3 เดือน (เมษายน ถึง มิถุนายน 2563) เพื่อพยุงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว | กก | 10/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการเร่งรัดให้ทุกส่วนราชการจัดประชุมและสัมมนาภายในประเทศ ๓ เดือน (เมษายน ถึง มิถุนายน ๒๕๖๓) เพื่อพยุงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยขอความร่วมมือให้ทุกส่วนราชการเร่งการใช้จ่ายงบประมาณปี ๒๕๖๓ โดยการจัดประชุมและสัมมนาภายในประเทศ ๓ เดือน (เมษายน ถึง มิถุนายน ๒๕๖๓) และส่งปฏิทินการจัดประชุมและสัมมนาดังกล่าวให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อนำไปขยายผลร่วมกับภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้ ในการจัดประชุมและสัมมนาดังกล่าวให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐประสานงานกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในการดำเนินการป้องกันและควบคุมความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ โดยการจัดเตรียมสถานที่ อุปกรณ์ และเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามมาตรการและข้อแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด รวมถึงการเพิ่มทางเลือกของการประชุมและสัมมนา โดยการนำเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัยมาใช้เพื่อให้การจัดสถานที่ รูปแบบ และจำนวนผู้เข้าร่วมสัมมนามีความเหมาะสม และสามารถควบคุมและบริหารจัดการความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ด้วย ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอื่น ๆ และบริการเสริม เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างแรงจูงใจให้แก่หน่วยงานผู้จัดประชุม/สัมมนาในการใช้บริการจากสถานที่ดังกล่าวมากขึ้น รวมทั้งมีระบบข้อมูล การตรวจสอบ คัดกรองและป้องกันสำหรับผู้เข้าร่วมประชุมอย่างเข้มงวด เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้าร่วมประชุมและสัมมนาต่อไป และให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการจัดประชุมและสัมมนาในประเทศ ๓ เดือน (เมษายน ถึง มิถุนายน ๒๕๖๓) โดยให้เร่งดำเนินการตามมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง หรือเร่งใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรไว้เพื่อการดังกล่าวแล้ว รวมถึงการนำเงินนอกงบประมาณมาสมทบการจัดประชุมและสัมมนาในโอกาสแรกด้วย ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในข้อ ๑ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 180 | การเร่งรัดบรรเทาสถานการณ์ภัยแล้ง และการบริหารจัดการน้ำ | นร | 10/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เพื่อให้สถานการณ์ภัยแล้งที่กำลังจะเกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและประชาชนน้อยที่สุด จึงมีมติให้ทุกภาคส่วนร่วมกันประหยัดการใช้น้ำ และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งรัดการดำเนินการขุดเจาะบ่อบาดาลให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ดำเนินการในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำเป็นลำดับแรก ทั้งนี้ ให้พิจารณาความเหมาะสมในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานในการสูบน้ำ จัดหาเครื่องสูบน้ำที่มีกำลังในการสูบที่เหมาะสมกับปริมาณน้ำบาดาลในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งพิจารณาทางเลือกหรือวิธีการใหม่ในการเพิ่มประสิทธิภาพการขุดเจาะบ่อบาดาลด้วย ๒. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประสานภาคเอกชน เพื่อร่วมกันปรับปรุงพัฒนาระบบเชื่อมโยงน้ำ จัดหาแหล่งน้ำต้นทุน เพื่อนำน้ำเข้าระบบเครือข่ายอ่างเก็บน้ำ เสริมระบบประปา และดำเนินการตามมาตรการลดการใช้น้ำของภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่อย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) พิจารณาจัดทำแผนการจัดสรรน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ให้แก่พื้นที่ทุ่งบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก เพื่อเตรียมการเพาะปลูกข้าวนาปี และใช้เป็นพื้นที่แก้มลิงรองรับน้ำหลากในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ๒๕๖๓
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
