ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 24 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 461 - 480 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
461 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร.01 | 20/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานประจำเดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๖๔
โดยมีผลการดำเนินงานของ คณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น (๑) กระทรวงกลาโหม
จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา จิตอาสาเฉพาะกิจ และจิตอาสาภัยพิบัติ (๒) กระทรวงการคลัง
จัดกิจกรรมจิตอาสากระทรวงการคลังร่วมใจบริจาคโลหิต ครั้งที่ ๑-๓
และกิจกรรมมอบอาหารปรุงสุกและน้ำดื่มแก่ประชาชนในพื้นที่เขตจตุจักร (๓)
กระทรวงพาณิชย์ จัดกิจกรรมจัดทำถุงใส่ของจากห่อกระดาษ A4 เพื่อนำไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลครู สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ) (๔) กระทรวงมหาดไทย จัดฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.)
และจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาเพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในโอกาสวันสำคัญของชาติไทย
และ (๕) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
จัดกิจกรรมโครงการสนับสนุนจิตอาสาพระราชทานกิจกรรมฝึกอบรมการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน
(CPR) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
462 | ร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อใช้บริโภคในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | อก. | 20/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย
ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อใช้บริโภคในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อใช้บริโภคในราชอาณาจักร โดยให้มีการจัดเก็บเงินส่วนต่างการจำหน่ายน้ำตาลทรายในราชอาณาจักรของโรงงานส่งให้แก่กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย
และนำเงินดังกล่าวมาบริหารจัดการให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างโรงงาน โดยให้เริ่มใช้บังคับตั้งแต่ฤดูการผลิตปี
๒๕๖๓/๒๕๖๔ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นว่าให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบต้องพิจารณาว่ามาตรการของไทยเข้าข่ายเป็นการอุดหนุนตามนิยามของความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้หรือไม่
และพิจารณาถึงข้อผูกพันการอุดหนุนภายในสำหรับสินค้าเกษตรทุกรายการ
และการกำหนดให้โรงงานน้ำตาลทรายนำส่งส่วนต่างระหว่างการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศตามที่สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายประกาศ
กับราคาน้ำตาลทรายขาวตลาดลอนดอนหมายเลข ๕
บวกพรีเมียมน้ำตาลทรายไทยเฉลี่ยแต่ละเดือน
อาจเข้าข่ายการอุดหนุนภายในที่บิดเบือนการค้าเนื่องจากรัฐเป็นผู้กำหนดราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบต้องพิจารณาว่ามาตรการของไทยเข้าข่ายเป็นการอุดหนุนตามนิยามของความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้หรือไม่
และพิจารณาถึงข้อผูกพันการอุดหนุนภายในสำหรับสินค้าเกษตรทุกรายการ และติดตามการจัดทำและการปรับปรุงบัญชีประมาณการการจำหน่ายน้ำตาลทรายในราชอาณาจักรตลอดฤดูกาลการผลิตให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดในร่างระเบียบฯ
ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
463 | การประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | นร.12 | 20/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และกรอบและแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่
๒/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงาน ก.พ.ร. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) สำนักงบประมาณ
สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่เห็นว่าควรมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาระบบบริการดิจิทัลแบบครบวงจร
(end-to-end Service) ที่สอดคล้องกับความต้องการพื้นฐานของประชาชน ความคุ้มค่าในการลงทุน
และออกแบบให้รองรับการเชื่อมต่อกระบวนงานและข้อมูลระหว่างบริการดิจิทัลที่เกี่ยวเนื่องในอนาคตด้วย
กำหนดรูปแบบ (Format) ของรายงานการปฏิบัติราชการให้เป็นรูปแบบเดียวกัน
เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงานของส่วนของราชการ การปรับแนวทางการประเมินส่วนราชการฯ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของหลายส่วนราชการ
ทำให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามแผนหรือเป้าหมายที่กำหนดไว้ และแนวทางการประเมินส่วนราชการฯ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
จะทำให้ตัวชี้วัดระดับกระทรวงและกรมสอดคล้องกับการบรรลุเป้าหมายระดับชาติในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ
แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ และแผนระดับชาติอื่นๆ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ในส่วนของการเชื่อมโยงการประเมินส่วนราชการกับการประเมินผลการปฏิบัติงานรายบุคคลในระดับหัวหน้าส่วนราชการ
(ปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า อธิบดีหรือเทียบเท่า ผู้ว่าราชการจังหวัด) ให้สำนักงาน
ก.พ.ร. ร่วมกับสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการประเมินผลการปฏิบัติงานรายบุคคลให้ชัดเจนและเหมาะสม
เพื่อถือปฏิบัติต่อไป
โดยอาจพิจารณากำหนดตัวชี้วัดที่แสดงให้เห็นถึงภาวะความเป็นผู้นำ มีการทำงานเชิงรุกสามารถบริหารงานและแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างทันท่วงที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสภาวะวิกฤตให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้
อาจพิจารณาหลักเกณฑ์และแนวทางดังกล่าวไปใช้ในการประเมินเพื่อเลื่อนระดับหรือพิจารณาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับประเด็นการปรับปรุงพัฒนาเว็บไซต์ของส่วนราชการให้เป็นปัจจุบัน
มีความทันสมัย สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ มีการนำเสนอที่น่าสนใจ
และง่ายต่อการเข้าถึงของประชาชน
เพื่อพิจารณากำหนดเป็นส่วนหนึ่งของตัวชี้วัดในการประเมินส่วนราชการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
464 | กรอบเจรจาของไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการเจรจาการค้าระดับรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก เรื่องการเจรจาจัดทำความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมง | พณ. | 13/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติในหลักการกรอบเจรจาของไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการเจรจาการค้าระดับรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก
เรื่องการเจรจาจัดทำความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมง ผ่านระบบการประชุมออนไลน์ เมื่อวันที่
๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ดังนี้ (๑) ห้ามให้การอุดหนุนการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน
และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported, and
Unregulated Fishing : IUU Fishing) (๒)
ให้การบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำที่ดีเป็นปัจจัยหนึ่งที่ใช้ในการพิจารณาว่าประเทศสมาชิกสามารถให้การอุดหนุนแก่ภาคประมงได้ต่อไปหรือไม่
(๓) ให้มีการปฏิบัติที่เป็นพิเศษและแตกต่าง (Special and Differential
Treatment : SDT) แก่ประเทศที่กำลังพัฒนา (รวมถึงไทย)
หากในการประชุมดังกล่าวมีการเสนอถ้อยคำหรือจัดทำเอกสารเพื่อแสดงเจตนารมณ์ของสมาชิกองค์การการค้าโลกในระดับนโยบายที่สอดคล้องกับหลักการ
หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมการเจรจาหรือรับรองเอกสารที่สอดคล้องตามหลักการในวันที่
๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔ (หากมี) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าหากการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามหนังสือสัญญานั้นต้องมีการออกพระราชบัญญัติหรือหนังสือสัญญานั้นอาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
สังคม หรือการค้า หรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก็จะต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาด้วย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเตรียมความพร้อมและมาตรการรองรับ
เพื่อให้การดำเนินงานสนับสนุนการปรับตัวของเกษตรกรชาวประมงและผู้ประกอบการประมงเป็นไปอย่างต่อเนื่องเมื่อร่างข้อตกลงฯ
ดังกล่าว ผ่านความเห็นชอบในเวทีสากลและมีผลในทางปฏิบัติในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนิน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
465 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคอย่างไม่เป็นทางการ | กต. | 13/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคอย่างไม่เป็นทางการ
มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการรับมือกับวิกฤตทางด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ
อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ โดยมุ่งเน้น ๓ หัวข้อหลัก คือ (๑) การเจริญเติบโตที่เข็มแข็งสมดุล
มั่นคง ยั่งยืนและครอบคลุม อาทิ การกำหนดนโยบายการคลังเพื่อช่วยเหลือประชาชน
การสร้างความเชื่อมโยงที่ปลอดภัยและไร้รอยต่อ การจัดหาเงินทุนอย่างยั่งยืน
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มี่คุณภาพ (๒) นวัตกรรมและการใช้ประโยชน์จากดิจิทัล
อาทิ การปฏิรูปโครงสร้าง การสร้างงานและโอกาสในสาขาใหม่
การส่งเสริมการพัฒนาทักษะเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ และ (๓)
การค้าและการลงทุน อาทิ การเร่งรัดการผลิตและการกระจายวัคซีน ที่มีประสิทธิภาพ
มีคุณภาพ ปลอดภัย และราคาเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง การอำนวยความสะดวก การเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการ
และการสนับสนุนกระบวนการขององค์การการค้าโลกเพื่อให้เกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคอย่างไม่เป็นทางการ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
466 | การควบคุมราคาชุดตรวจสำหรับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (Rapid Antigen Test) และวัคซีนทางเลือก | นร. | 13/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นว่า โดยที่ปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙)
ยังคงมีความรุนแรงอยู่อย่างต่อเนื่องและสามารถติดต่อกันได้ง่ายขึ้น
ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น สถานพยาบาลต่าง ๆ จึงได้มีการนำชุดตรวจแอนติเจนแบบทราบผลเร็ว
(Rapid Antigen Test)
มาใช้ในการตรวจหาเชื้อโควิด-๑๙
เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็วและลดความแออัดในการเข้ารับบริการ
นอกจากนี้รัฐบาลยังได้เร่งดำเนินการจัดหาวัคซีนทางเลือกเพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างทั่วถึงและหลากหลายมากขึ้นด้วย
ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งประสานกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อดำเนินการกำกับดูแลและควบคุมราคาจำหน่ายชุดตรวจแอนติเจนแบบทราบผลเร็ว (Rapid
Antigen Test) สำหรับโรคโควิด-๑๙ ในกรณีที่ให้ประชาชนสามารถซื้อเครื่องมือแพทย์ดังกล่าวมาใช้ได้เอง
และราคาจำหน่ายวัคซีนทางเลือก ให้เหมาะสม สอดคล้อง กับข้อเท็จจริง
และเป็นธรรมแก่ประชาชนผู้บริโภค
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
467 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อควบคุมโรคลัมปี สกินในโค กระบือ | กษ. | 06/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อควบคุมโรคลัมปี
สกิน ในโค กระบือ ตามข้อมูลที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ พร้อมขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา
๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ในวงเงินงบประมาณจำนวนทั้งสิ้น ๖๘๔,๒๑๘,๐๐๐ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมโรคลัมปี สกิน ในโค กระบือ ดังนี้ ๑)
ค่าตอบแทนอาสาปศุสัตว์ จำนวน ๑๔,๕๑๐,๐๐๐
บาท ๒) ค่าจัดซื้อวัคซีนโรคลัมปี สกิน จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ โด๊ส เป็นเงิน ๒๓๐,๑๓๘,๐๐๐ บาท ๓) ค่าจัดซื้อเวชภัณฑ์เพื่อการฆ่าเชื้อในฟาร์มและพาหนะในการเคลื่อนย้ายสัตว์
จำนวน ๒๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๔)
ค่าจัดซื้อเวชภัณฑ์เพื่อการรักษาโค กระบือ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ตัว
เป็นเงิน ๓๖๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท
และเพื่อการฟื้นฟู บำรุงสุขภาพสัตว์เลี้ยงของเกษตรกร จำนวน จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ตัว เป็นเงิน ๓๙,๘๐๐,๐๐๐
บาท ๕) ค่าวัสดุวิทยาศาสตร์เพื่อการแพทย์ สำหรับการเก็บตัวอย่าง
ฉีดวัคซีนและรักษาเป็นเงิน ๑๔,๗๗๐,๐๐๐
บาท และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
(ตามหนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๘/๑๓๔๓๒ ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน
๒๕๖๔) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยกรมปศุสัตว์ ควรดำเนินการควบคุมและเฝ้าระวังการเคลื่อนย้ายโคและกระบือในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคเพื่อไม่ให้โคและกระบือที่เป็นโรคไปแพร่เชื้อในพื้นที่อื่น
ๆ ที่ยังไม่เกิดโรค ตลอดจนสนับสนุนการศึกษาวิจัยและพัฒนาผลิตวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าวสำหรับใช้ในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ
ควบคู่ไปกับมาตรการควบคุมการระบาดของโรค และยกระดับมาตรฐานฟาร์มของเกษตรกรรายย่อย
โดยเร่งรัดให้เป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต้องดำเนินการเป็นลำดับแรกและดำเนินการกับปศุสัตว์ทุกชนิดไม่เฉพาะโค
กระบือ เท่านั้น
เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับกับสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นและมีการแพร่กระจายเชื้อโรคอย่างรวดเร็ว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑
ควบคุมดูแลไม่ให้มีการนำเข้าหรือลักลอบนำเข้าโคและกระบือที่ติดโรคลัมปี สกิน
จากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเข้มงวด ๒.๒ บริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคลัมปี สกิน
ให้เพียงพอกับความต้องการใช้งาน รวมทั้งให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในการจำกัดแมลงที่เป็นพาหะของโรคและสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการป้องกันโรคลัมปี
สกิน ให้แก่เกษตรกรอย่างทั่วถึงโดยเร็วต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
468 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรและโรคระบาดร้ายแรงในสุกรหรือหมูป่า | กษ. | 06/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
เพื่อป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรและโรคระบาดร้ายแรงในสุกรหรือหมูป่าเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๔๐,๒๗๗,๔๒๖ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรและโรคระบาดร้ายแรงในสุกรหรือหมูป่า
ประกอบด้วย ค่าชดใช้ราคาสุกรที่ถูกทำลาย ตั้งแต่วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ ถึงวันที่
๒๒ มีนาคม ๒๕๖๔ ตามมาตรา ๑๓ (๔) แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘
จำนวนเงิน ๙๓,๗๗๒,๒๒๖ บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเกี่ยวกับการเฝ้าระวังโรคตรวจวินิจฉัยและทำลายเชื้อโรคหรือซากสัตว์
จำนวนเงิน ๔๖,๕๐๕,๒๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าในการดำเนินการ และให้ความสำคัญกับกระบวนการตรวจสอบสุกรให้ถูกต้องครบถ้วนตามที่ถูกทำลายจริง
และเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การบริหารงบประมาณเป็นไปด้วยความรอบคอบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และกรมปศุสัตว์
ควรดำเนินการหารือกับสำนักงบประมาณในการพิจารณาแหล่งงบประมาณที่สามารถดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากโรคระบาดในสุกรทั้งในระดับฟาร์มและระดับประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตรวจสอบและทำลายสุกรและหมูป่าที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคและบูรณาการป้องกันการนำเข้าหรือลักลอบนำเข้าสุกรและหมูป่าและวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มาจากประเทศที่มีการระบาดของโรคดังกล่าวอย่างเข้มงวด
รวมทั้งให้เร่งสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรและโรคระบาดร้ายแรงในสุกรหรือหมูป่าที่ถูกต้องให้แก่เกษตรกรอย่างทั่วถึงด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
469 | รายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี 2564 | พณ. | 29/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบรายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ
มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี ๒๕๖๔ และรายงานรายชื่อตลาดที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูงในประเทศคู่ค้า
(Notorious Markets) ประจำปี ๒๕๖๓ และพิจารณาสั่งการกำชับให้หน่วยงานภาครัฐทุกกระทรวงปฏิบัติตาม
“แนวทางการจัดซื้อจัดจ้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Software : ซอฟต์แวร์)
และการใช้งานซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์สำหรับหน่วยงานภาครัฐ” สรุปได้ ดังนี้ (๑)
ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้ประกาศสถานการณ์คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศคู่ค้าฯ
ประจำปี ๒๕๖๔ โดยไทยยังคงสถานะอยู่ในบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง และรายงาน Notorious
Markets ประจำปี ๒๕๖๓ ยังคงระบุเว็บไซต์ www.shopee.co.th เป็นตลาดออนไลน์ที่มีการละเมิดสูง (๒) สหรัฐฯ
แสดงความพอใจต่อนโยบายและผลการดำเนินการด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทยที่สำคัญ เช่น
การป้องปราม การละเมิดเครื่องหมายการค้าและลิขสิทธิ์
และการจัดทำแนวทางการจัดซื้อจัดจ้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์และการใช้งานซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์สำหรับหน่วยงานภาครัฐ
(๓) สหรัฐฯ ยังมีข้อกังวลและข้อเสนอแนะบางประการ เช่น
ปัญหางานจดทะเบียนสิทธิบัตรยาค้างสะสม การจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์โดยมิชอบ
และการจำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งในท้องตลาดและตลาดออนไลน์
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงสาธารณสุข
ที่เห็นว่าภาครัฐควรมีหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบการจัดหาซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์เนื่องจากบางซอฟต์แวร์สามารถใช้งานร่วมกันได้
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐเกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจำเป็นต้องมีกลไกทางการตลาดด้านราคา ที่ต้องมีความยืดหยุ่นเป็นราคาที่เหมาะสม
หน่วยงานทั่วไปสามารถเข้าถึงและครอบครองได้ ไม่เป็นภาระด้านงบประมาณ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
470 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงดิจิทัลและเศรษฐกิจของสาธารณรัฐออสเตรียกับกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทย | พณ. | 29/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงดิจิทัลและเศรษฐกิจของสาธารณรัฐออสเตรียกับกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทย ซึ่งร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ กาค้า และวิชาการ
ในสาขาที่มีความสนใจร่วมกัน ๑๐ สาขา ได้แก่ ๑) อุตสาหกรรมยานยนต์ ๒)
บริการด้านการบริหารจัดการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ๓) การเกษตรอินทรีย์ ๔)
เศรษฐกิจหมุนเวียน ๕) เมืองอัจฉริยะ ๖) วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย ๗)
วิสาหกิจเริ่มต้น (Startups) ๘)
การพัฒนากำลังคน ๙) อุตสาหกรรมเครื่องจักรกล หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และ ๑๐)
เทคโนโลยีสิ่งทอ ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มิได้มีเจตนาก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าเหมาะสมสอดคล้องกับนโยบายและผลประโยชน์ของไทย
สามารถปฏิบัติได้ภายใต้กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมีการติดตามประเมินผลเป็นระยะ
เพื่อขยายไปสู่ความร่วมมือในมิติอื่นต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงดิจิทัลและเศรษฐกิจของสาธารณรัฐออสเตรียกับกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
471 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (1. นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค) | พณ. | 29/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ รวม ๗ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๔)
เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑. นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ประธานกรรมการ ๒. นายภูเก็ต คุณประภากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายวีระศักดิ์
เลอวิศิษฎ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นายบุญเลิศ
สิริภัทรวณิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นางสาวอชิรญา อิงคตานุวัฒน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. รองศาสตราจารย์กฤตินี ณัฏฐวุฒิสิทธิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๗. นางสาวมาลี โชคล้ำเลิศ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
472 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 20/2564 | นร.11 | 22/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติและรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๐/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติโครงการรถ Mobile
พาณิชย์...ลดราคา! ช่วยประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ของกรมการค้าภายใน
กระทรวงพาณิชย์ อนุมัติการปรับกรอบวงเงินโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย
และเสี่ยงภัยสำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)
ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ในชุมชน ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
กระทรวงสาธารณสุข ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ จากเดิม
๑,๕๗๕.๔๙๕๐ ล้านบาท เป็น ๑,๕๗๕.๔๕๙๐ ล้านบาท และอนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการของกระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดนครปฐม จังหวัดพิจิตร
จังหวัดตรัง จังหวัดลำปาง จังหวัดอุดรธานี รวมจำนวน ๙ โครงการ
รวมทั้งรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๔ (๑ กุมภาพันธ์-๓๐ เมษายน ๒๕๖๔)
และรายงานผลการดำเนินการโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (๑ ตำบล
๑ มหาวิทยาลัย) ระยะ ๓ เดือน (กุมภาพันธ์-เมษายน ๒๕๖๔)
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
หน่วยงานรับผิดชอบโครงการควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาการดำเนินการ และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
473 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ. | 22/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
พ.ศ. ๒๕๔๒ จำนวน ๕๑ รายการ จำแนกเป็น ๔๖ สินค้า ๕ บริการ
ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๔
มิถุนายน ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ
เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
474 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ของการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์ ครั้งที่ 42 | พณ. | 22/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างแถลงการณ์ของการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์
ครั้งที่ ๔๒ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเข้าร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ฯ
ในการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์ ครั้งที่ ๔๒ (42th
Cairns Group Ministerial Meeting : CGMM) ในวันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยร่างแถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเปิดเสรีการค้าสินค้าเกษตรให้มากขึ้น
และรองรับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อ COVID-19 ความไม่มั่นคงทางอาหาร รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยเห็นพ้องร่วมกันที่จะมีการดำเนินการ เช่น
การลดอุปสรรคทางการค้าและการบิดเบือนทางการค้า และการปฏิรูปการค้าสินค้าเกษตรเพื่อสนับสนุนการพัฒนาของแต่ละประเทศ
เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
475 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 96) พ.ศ. 2536 พ.ศ. .... | พณ. | 15/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร
(ฉบับที่ ๙๖) พ.ศ. ๒๕๓๖ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๙๖) พ.ศ. ๒๕๓๖ เนื่องจากปัจจุบันไม่มีการนำเข้าสินค้าเครื่องจักรที่สามารถใช้เพื่อประโยชน์ในการละเมิดลิขสิทธิ์เทปเพลง วีดีโอเทป
และแผ่นซีดี แล้ว ประกอบกับปัจจุบันมีกลไกป้องปราบการละเมิดลิขสิทธิ์บนอินเทอร์เน็ตตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. ๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐
ด้วยเช่นกัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
476 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์สามมิติเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... | พณ. | 08/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
กำหนดให้เครื่องพิมพ์สามมิติเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์สามมิติเป็นสินค้าที่ปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๕๙
เนื่องจากปัจจุบันเครื่องพิมพ์สามมิติเป็นสินค้าที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพระราชบัญญัติควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอนุภาพทำลายล้างสูง
พ.ศ. ๒๕๖๒ แล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า
หากหน่วยงานผู้ดูแลควบคุมสินค้าดังกล่าว พบว่าเกิดปัญหากระทบต่อความมั่นคงอันเกิดจากการนำเข้าเครื่องพิมพ์สามมิติ
ก็สามารถออกประกาศควบคุมการนำเข้าในภายหลังได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
477 | การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม แห่งราชอาณาจักรไทย และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและความร่วมมือทางนิติวิทยาศาสตร์ | ยธ. | 08/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
กระทรวงยุติธรรม แห่งราชอาณาจักรไทย และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
กระทรวงความมั่นคงสาธารณะประชาชนจีน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและความร่วมมือทางนิติวิทยาศาสตร์
ซึ่งได้มีการปรับแก้จากฉบับเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม
๒๕๖๓ ดังนี้ (๑) เพิ่มเติมถ้อยคำในข้อ ๒ และข้อ ๓
ซึ่งเป็นการปรับแก้ภาษาและเพิ่มเติมถ้อยคำเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินกิจกรรมภายใต้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยไม่กระทบต่อสาระสำคัญโดยรวม (๒) เพิ่มข้อ ๑๐ และข้อ ๑๑
ตามข้อเสนอแนะของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อความเป็นเจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินกิจกรรมภายใต้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ทั้งนี้ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้จัดพิธีการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ
ในรูปแบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๔ โดยมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา
๕ ปี และจะได้รับการต่อออายุอีก ๕ ปี
เมื่อทั้งสองฝ่ายยินยอมร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษร ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
478 | ความตกลงว่าด้วยกรอบข้อบังคับด้านความปลอดภัยอาหารอาเซียน (ASEAN Food Safety Regulatory Framework Agreement ; AFSRF Agreement) | กษ. | 08/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบความตกลงว่าด้วยกรอบข้อบังคับด้านความปลอดภัยอาหารอาเซียน
(ASEAN Food Safety Regulatory Framework Agreement;
AFSRF Agreement) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางการดำเนินการที่ครอบคลุมและมีการบูรณาการเกี่ยวกับความปลอดภัยอาหารของประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองสุขภาพของผู้บริโภคและอำนวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายอย่างเสรีของอาหารปลอดภัยในอาเซียน
โดยมีการกำหนดหน้าที่ให้รัฐสมาชิกต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับการทำให้อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้าอาหารภายในอาเซียนเหลือน้อยที่สุด
และลดความแตกต่างของระบบการควบคุมของประเทศสมาชิกอาเซียน
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒.
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในความตกลงดังกล่าว
และเมื่อลงนามแล้วให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งความตกลงฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ทั้งนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ (เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอหนังสือสัญญา ตามบทบัญญัติมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในความตกลงดังกล่าว
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของชาติ
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันของความตกลงดังกล่าวให้แก่เลขาธิการอาเซียนเพื่อรับทราบการให้สัตยาบัน
เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบความตกลงดังกล่าวแล้ว ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เห็นว่าร่างความตกลงฯ เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนามและดำเนินการให้มีผลผูกพัน
มุ่งเน้นการขจัดอุปสรรคทางการค้าในรูปแบบที่ไม่ใช่ภาษี อันเป็นลักษณะการค้าเสรี
และหากในอนาคตมีการจัดทำพิธีสารของร่างความตกลงฯ ควรพิจารณาส่งร่างพิธีสารฯ
ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์เร่งพิจารณาการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอาหารไทย
เพื่อรักษาเอกลักษณ์และภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
479 | ขอความเห็นชอบร่างตารางข้อผูกพันสาขาบริการโทรคมนาคมของไทยรอบอุรุกวัย ฉบับปรับปรุง ภายใต้องค์การการค้าโลก | พณ. | 01/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างตารางข้อผูกพันสาขาบริการโทรคมนาคมของไทยรอบอุรุกวัย ฉบับปรับปรุง
ภายใต้องค์การการค้าโลก
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงตารางข้อผูกพันสาขาบริการโทรคมนาคมของไทย
สำหรับบริการโทรคมนาคมพื้นฐาน ๔ บริการ ได้แก่ บริการโทรศัพท์ บริการเทเลกซ์
บริการโทรเลข และบริการโทรสาร เพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบที่ใช้ในปัจจุบัน
และเป็นไปตามหลักการกำกับดูแลบริการโทรคมนาคมพื้นฐาน
หลักการขององค์การการค้าโลกและมาตรฐานสากล ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์นำร่างตารางข้อผูกพันสาขาบริการโทรคมนาคมของไทยรอบอุรุกวัย
ฉบับปรับปรุง ภายใต้องค์การการค้าโลก
เข้าสู่กระบวนการภายใต้องค์การการค้าโลกเพื่อให้ร่างตารางข้อผูกพันที่ได้ปรับปรุงแล้วดังกล่าวมีผลผูกพันทางกฎหมายต่อไป
เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างตารางข้อผูกพันดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างตารางข้อผูกพันดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
480 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2564 และร่างแถลงการณ์ที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 01/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี
๒๕๖๔ ร่างแถลงการณ์เอเปคเรื่องห่วงโซ่อุปทานวัคซีนโควิด-๑๙
และร่างแถลงการณ์เอเปคเรื่องการบริการ เพื่อสนับสนุนการเคลื่อนย้ายสินค้าที่มีความจำเป็น
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
(หนังสือกระทรวงการต่างประเทศ ที่ กต ๐๗๐๓/๓๖๕ ลงวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๔)
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ประจำปี ๒๕๖๔
ร่างแถลงการณ์เอเปคเรื่องห่วงโซ่อุปทานวัคซีนโควิด-๑๙ และร่างแถลงการณ์เอเปคเรื่องการบริการ
เพื่อสนับสนุนการเคลื่อนย้ายสินค้าที่มีความจำเป็น
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|