ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 28 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 541 - 560 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
541 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจชั่งตวงวัดและการจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการอนุญาตให้ผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมเป็นผู้ตรวจสอบและให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิตหรือซ่อม พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | พณ. | 15/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง
รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.
ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจชั่งตวงวัดและการจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการชั่งตวงวัด
และหลักเกณฑ์และวิธีการจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว ๒. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตให้ผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมเป็นผู้ตรวจสอบและให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิตหรือซ่อม
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการออกใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาตและการอนุญาต
และการขอรับใบแทนใบอนุญาตและการออกใบแทนใบอนุญาตให้ผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมเป็นผู้ตรวจสอบและให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิตหรือซ่อม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
542 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักร ตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี พ.ศ. 2564 ถึงปี พ.ศ. 2566 พ.ศ. .... | พณ. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน
สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๖ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน
สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ข้อ ๓ กำหนดให้ผู้นำเข้าที่ประสงค์จะใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียนต้องแสดงหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า
(Form D) ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน
เพียงอย่างเดียว ซึ่งแตกต่างกับที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
การยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับของที่มีถิ่นกำเนิดจากอาเซียน (ฉบับที่
๒) ลงวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๓ ซึ่งออกเพื่อปฏิบัติตามพิธีสารฉบับที่ ๑
เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (First Protocol to Amend the
ASEAN Trade in Goods Agreement) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรกำกับดูแลการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างเข้มงวด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน
เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศและรายได้ของเกษตรกร
อีกทั้งควรดำเนินการออกประกาศการนำเข้าให้ทันเวลา เพื่อตอบสนองความต้องการใช้วัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ในช่วงที่ผลผลิตในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
543 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 1/2563 | นร.11 | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ
(กบส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญ เช่น
รับทราบความคืบหน้าการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย และพิจารณาเรื่องต่าง ๆ
เช่น แผนการพัฒนาท่าเรือทางบก (Dry Port) และการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภายใต้ความปกติใหม่
(New Normal) จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) เป็นต้น และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติ กบส.
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ และรายงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอ
กบส. ตามขั้นตอนต่อไป ตามที่ กบส. เสนอ ๒.
ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ ๒.๑
หน่วยงานที่มีการพัฒนาหรือกำลังจะพัฒนาระบบหรือแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ
การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ การนำเข้า-ส่งออกสินค้า
และการชำระเงินค่าสินค้าระหว่างประเทศ ต้องเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลของประเทศไทย
(National Digital Trade Platform : NDTP) เพื่อสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) สำหรับอำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศได้แบบเบ็ดเสร็จ
ครบวงจร ๒.๒
หน่วยงานภาครัฐต้องปรับปรุงขั้นตอนและกระบวนการทำงาน (reprocess) การให้บริการการจัดเก็บข้อมูล รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย
กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค ให้รองรับและสนับสนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการทำงานภายใต้ความปกติใหม่
(New Normal) สามารถให้บริการแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างสมบูรณ์
ไร้รอยต่อ และให้บริการได้ตลอดเวลา โดยไม่มีวันหยุด ๒.๓
กรมศุลกากรควรเร่งรัดการพัฒนาและเชื่อมโยงระบบ National Single
Window (NSW) เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
และเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์ม NDTP เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและผู้ประกอบการแบบเบ็ดเสร็จ
ครบวงจร ณ จุดเดียว ทั้งการเชื่อมโยงระหว่างภาครัฐ (G2G) ภาครัฐกับภาคเอกชน
(G2B) และระหว่างภาคเอกชน (B2B) ๒.๔
กระทรวงการคลังอาจพิจารณาให้สิ่งจูงใจแก่ผู้ประกอบการ เช่น
การให้สิทธิพิเศษด้านภาษี การให้บริการแบบด่วนพิเศษ (Fast
Track หรือ Priority Lane) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและกระตุ้นการใช้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
(e-Service) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
544 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม ลดอัตราค่าธรรมเนียม และยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด พ.ศ. .... | พณ. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม ลดอัตราค่าธรรมเนียม และยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน
การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขการลดอัตราค่าธรรมเนียมแก่ห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดที่ยื่นขอจดทะเบียนผ่านระบบจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์
(e-Registration) ลงร้อยละ ๓๐
ซึ่งจะสิ้นผลในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยขยายระยะเวลาการลดอัตราค่าธรรมเนียมออกไปอีก
๓ ปี (๑ มกราคม ๒๕๖๔ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖)
และเพิ่มส่วนลดลดอัตราค่าธรรมเนียมจากเดิมที่ลดให้ร้อยละ ๓๐ เป็นลดให้ร้อยละ ๕๐
รวมทั้งทบทวนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ อนุญาต ของทางราชการ
ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
และแจ้งกระทรวงการคลังจัดทำประมาณการรายได้
เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนรายงานและติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ
และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการลดขั้นตอนและอำนวยความสะดวกในการจดทะเบียน
เพื่อยกอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศให้อยู่ในลำดับที่ดีขึ้น
และประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเชื่อมโยงและบูรณาการฐานข้อมูลผู้ประกอบการร่วมกันเพื่อประโยชน์ในการกำหนดนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
๓.
ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
545 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา | พณ. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นายมนู สิทธิประศาสน์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ผู้อำนวยการ สคพ.)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป
แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ ธันวาคม ๒๕๖๓) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
546 | ขอเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 | พณ. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๓/๖๔
รอบที่ ๑ จำนวน ๑๘,๐๙๖.๐๖ ล้านบาท เป็น ๔๖,๘๐๗.๓๕ ล้านบาท และให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรทำความตกลงกับสำนักงบประมาณและขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ และปีถัด ๆ ไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการคลัง
(ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งรัดและกำกับดูแลการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรให้รวดเร็ว
ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรมีการกำกับ ติดตาม
และตรวจสอบการใช้จ่ายเงินงบประมาณตามโครงการประกันรายได้ฯ ให้มีความถูกต้อง
โปร่งใส เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายเงินงบประมาณเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรอย่างแท้จริง
ควรมีการติดตามการซื้อขายข้าวเปลือกให้เป็นไปตามคุณภาพข้าว
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและไม่ส่งผลต่อราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง
และควรเร่งรัดการดำเนินงานตามมาตรการคู่ขนานต่าง ๆ
ให้มีผลต่อการยกระดับราคาข้าวเปลือกให้เพิ่มสูงขึ้น
เพื่อนำไปสู่การลดภาระงบประมาณในการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างตามโครงการประกันรายได้ฯ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางและบูรณาการการดำเนินงานวิจัยเกี่ยวกับการปรับปรุงคุณภาพข้าวหรือพัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่ให้มีความเป็นเอกภาพ
รวมทั้งกำหนดแนวทางการบริหารจัดการข้าวทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผล
โดยคำนึงถึงต้นทุนและงบประมาณค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
แล้วให้รายงานผลการดำเนินงานดังกล่าวต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
547 | แนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพการให้บริการงานด้านการทำงานของคนต่างด้าว | รง. | 23/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพการให้บริการงานด้านการทำงานของคนต่างด้าว
โดยการจ้างเหมาเอกชนดำเนินการให้บริการรับคำขออนุญาตทำงาน การออกใบอนุญาตทำงาน
และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (e-WorkPermitOS) ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ และให้กระทรวงแรงงานดำเนินการ (๑)
คัดเลือกผู้รับจ้างในการให้บริการรับคำขออนุญาตทำงาน การออกใบอนุญาตทำงาน
และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (e-WorkPermitOS) ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
(๒) เชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม
และกรุงเทพมหานคร และ (๓) แต่งตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยมีปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธาน
เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวราบรื่นและจะแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ ๒๕๖๔
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น ควรคำนึงถึงหลักการความคุ้มค่า
ตามมาตรา ๘ (๑) ของพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.
๒๕๖๐ ด้วย กล่าวคือ ราคาในการออกใบอนุญาตทำงานให้กับคนต่างด้าว
ไม่ควรจะสูงกว่าราคาที่ใช้อยู่ปัจจุบัน
และควรเป็นราคาที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับค่าธรรมเนียมจากการให้บริการออกใบอนุญาตดังกล่าว
และการดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๒ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
548 | รายงานการพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) | สผ. | 23/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก
(CPTPP) โดยมีข้อสังเกตว่า (๑)
รัฐบาลควรสนับสนุนและเตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าว
โดยเตรียมข้อมูลเพื่อชี้แจงกับผู้ที่ได้รับผลกระทบและประชาชน
รวมถึงเตรียมข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย (๒)
ควรพิจารณาถึงภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการเยียวยาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงฯ
(๓) ควรมีกรอบของการเจรจาที่เกิดจากกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และ (๔)
ควรผลักดันให้มีการจัดตั้งกองทุนที่มีการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีการค้า อย่างไรก็ตาม
หากรัฐบาลต้องการเจรจาเพื่อเข้าร่วมความตกลงฯ
และมีประเด็นใดที่ประเทศไทยยังไม่มีความพร้อมเพียงพอ
หรือประเด็นใดที่อาจทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบก็สามารถกำหนดประเด็นเพื่อตั้งข้อสงวนไว้เบื้องต้นในการเจรจาได้
ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ๒.
มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรับรายงาน
พร้อมทั้งข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า
สำนักงานศาลยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วส่งผลการพิจารณาให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน
๓๐ วัน เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓.
ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง
แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ
และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน
และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
549 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ ว่าด้วยการตอบสนองต่อสถานการณ์โควิด-19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล | พณ. | 17/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ
ว่าด้วยการตอบสนองต่อสถานการณ์โควิด-๑๙ ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๒๙
กรกฎาคม ๒๕๖๓ ซึ่งที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและความเห็นต่อสถานการณ์โควิด-๑๙
ในอาเซียนและญี่ปุ่น รวมถึงกำหนดทิศทางการดำเนินความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน
และที่ประชุมได้ร่วมรับรองแผนปฏิบัติการด้านความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น
ที่ได้มีการปรับปรุงจากร่างแผนปฏิบัติการฯ
เดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓
ซึ่งเป็นการปรับปรุงในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
โดยได้เพิ่มเติมการดำเนินโครงการทางเศรษฐกิจซึ่งญี่ปุ่นขอเสนอเพิ่มเติม จำนวน ๗
โครงการ ได้แก่ (๑) การส่งเสริมความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา (๒)
การดำเนินโครงการประกันสินเชื่อโดยองค์กรรับประกันแห่งประเทศญี่ปุ่น (Nippon
Export and Investment Insurance : NEXI) (๓)
ความร่วมมือด้านการรับประกันต่อระหว่าง NEXI กับองค์กรสินเชื่อเพื่อการส่งออก
(Export Credit Agency : ECA) ของอาเซียน
(๔) ความร่วมมือด้านการส่งเสริมเมืองอัจฉริยะระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่น (๕)
การจัดตั้งเครือข่ายนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ (๖)
โครงการเสริมสร้างศักยภาพการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีพลังงานทดแทน
และ (๗) โครงการสาธิตเกี่ยวกับประสิทธิภาพการใช้พลังงานและเทคโนโลยีพลังงานทดแทนในประเทศสมาชิกอาเซียน
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ
เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อพิจารณาดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ เกี่ยวกับ
(๑) ประเด็นการยอมรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าไร้กระดาษในรูปแบบ Portable
Document Format (PDF) ร่วมกัน นั้น
ระเบียบในปัจจุบันของกรมศุลกากรยังไม่ยอมรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าไร้กระดาษในรูปแบบ
PDF อย่างไรก็ตาม
กระทรวงการคลังไม่ขัดข้องที่จะร่วมหารือเพื่อส่งเสริมการยอมรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าไร้กระดาษในรูปแบบ
PDF โดยขึ้นอยู่กับกฎระเบียบของแต่ละประเทศ (๒)
ประเด็นแพลตฟอร์มการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (DXPE) นั้น
ควรพิจารณาให้มีระบบการติดตามความคืบหน้าการจับคู่ทางธุรกิจและการอำนวยความสะดวกหลังจากการขับคู่ทางธุรกิจเสร็จสิ้นแล้ว
และ (๓)
ประเด็นโครงการสนับสนุนทางการเงินของญี่ปุ่นเพื่อเร่งการขยายธุรกิจในต่างประเทศของธุรกิจเทคโนโลยีด้านการศึกษา
(Ed-Tech) นั้น
ขอเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนและพัฒนาพันธมิตรกับ Ed-tech
Startup ในท้องถิ่นของไทย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
550 | การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดำเนินการมาตรการที่มิใช่ภาษีสำหรับสินค้าจำเป็นภายใต้แผนปฏิบัติการฮานอยว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานของอาเซียนให้เข้มแข็งในการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของโควิด-19 | พณ. | 10/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดำเนินการมาตรการที่มิใช่ภาษีสำหรับสินค้าจำเป็นภายใต้แผนปฏิบัติการฮานอยว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานของอาเซียนให้เข้มแข็งในการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของโควิด-๑๙
(MOU on the Implementation of Non-Tariff Measures on Essential
Goods under the Hanoi Plan of Action on Strengthening ASEAN Economic
Cooperation and Supply Chain Connectivity in Response to the COVID-19 Pandemic)
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางความร่วมมือระหว่างกันเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการที่มิใช่ภาษีสำหรับรายการสินค้าจำเป็นในภาคผนวกของบันทึกความเข้าใจฯ
เช่น อาหาร ยา อุปกรณ์ทางการแพทย์
เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการค้าและการเคลื่อนย้ายสินค้าดังกล่าวระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในช่วงสถานการณ์ระบาดใหญ่ของโรคโควิด-๑๙
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามบันทึกความเข้าใจฯ
ของประเทศสมาชิกเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าและเยียวยาผู้ประกอบการไทยในสาขาที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
551 | ร่างเอกสารผลลัพธ์ที่จะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 31 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 27 | กต. | 10/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๓๑ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ได้รับมอบหมาย
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว
รวมทั้งเห็นชอบร่างปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๗
และร่างปฏิญญาผู้นำว่าด้วยวิสัยทัศน์เอเปคภายหลังปี ค.ศ. ๒๐๒๐
และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว
โดยเอกสารผลลัพธ์ทั้ง ๓ ฉบับ
เป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้นำและรัฐมนตรีของเขตเศรษฐกิจเอเปคในการร่วมมือกันในด้านต่าง
ๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด-๑๙ บรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม
และฟื้นฟูเศรษฐกิจของภูมิภาคในระยะยาว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์ทั้ง
๓ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
552 | แผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2563 – 2565 | ยธ. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ เพื่อใช้เป็นกรอบทิศทางการดำเนินงาน
เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ ประสานการปฏิบัติ จัดสรรทรัพยากร
และติดตามประเมินผลของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยแผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วย ๕
มาตรการ (๙ แนวทาง) ได้แก่ (๑) มาตรการความร่วมมือระหว่างประเทศ (๒)
มาตรการการปราบปรามและบังคับใช้กฎหมาย (๓) มาตรการการป้องกันยาเสพติด (๔)
มาตรการการบำบัดรักษายาเสพติด และ (๕) มาตรการการบริหารจัดการอย่างบูรณาการ และให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดประจำปีให้สอดคล้องรองรับกับแผนปฏิบัติการฯ
ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลกลไกการขับเคลื่อนในแต่ละระดับ
รวมทั้งการกำหนดค่าเป้าหมายของตัวชี้วัดเพื่อให้สามารถติดตามประเมินผลสำเร็จของแผนในการแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามแผนปฏิบัติการฯ
เห็นควรให้ดำเนินการในลักษณะบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งนำไปเป็นกรอบแนวทางในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
553 | โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 พร้อมมาตรการคู่ขนาน และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 | พณ. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๒/๖๓ รอบที่ ๑
พร้อมมาตรการคู่ขนาน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และอนุมัติในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปี ๒๕๖๓/๖๔ รอบที่ ๑ พร้อมมาตรการคู่ขนาน และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๓/๖๔ ภายในกรอบวงเงินงบประมาณเบื้องต้น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยในส่วนของกรอบวงเงินงบประมาณและค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามผลการดำเนินงานจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
โดยกระทรวงพาณิชย์ควรหารือร่วมกับ ธ.ก.ส.
ในการจัดทำประมาณการค่าชดเชยต้นทุนเงินให้มีความสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ
๑๒ เดือน ณ ปัจจุบันของ ธ.ก.ส. ด้วย สำหรับค่าบริหารจัดการของ ธ.ก.ส. ให้คงอัตราเช่นเดียวกับ
ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
เพื่อให้เป็นตามวัตถุประสงค์โครงการ/มาตรการอย่างแท้จริง
และกระทรวงพาณิชย์ควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต ทั้งพันธุ์ข้าว
โครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร
ตลอดจนการยกระดับมูลค่าข้าวจากการพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน
และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม
เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันที่จะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
554 | ขออนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 | กษ. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง
ระยะที่ ๒ ซึ่งมีหลักการเดียวกับโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ ๑
โดยมีสาระสำคัญเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางโดยการประกันรายได้ให้แก่เกษตรกรเป็นรายเดือนสำหรับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย
(กยท.) ภายในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ โดยเป็นสวนยางอายุ ๗ ปีขึ้นไปที่เปิดกรีดแล้ว
รายละไม่เกิน ๒๕ ไร่ กำหนดระยะเวลาประกันรายได้ ๖ เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม
๒๕๖๓-มีนาคม ๒๕๖๔ ซึ่งเงินที่เกษตรกรจะได้รับคำนวณจากส่วนต่างราคายางที่ประกันรายได้
เช่น (ยางแผ่นดิบคุณภาพดี ๖๐ บาท/กิโลกรัม) กับราคากลางอ้างอิงการขาย
โดยจะจ่ายให้กับเกษตรกรผ่านทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้
ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้ใช้เงินทุนสำรอง ธ.ก.ส. สำรองจ่ายไปก่อน และให้ ธ.ก.ส.
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นและเหมาะสม
โดยต้องคำนึงถึงสถานะทางการเงินการคลังของประเทศในแต่ละปีต่อไป
ส่วนค่าบริหารโครงการฯ เห็นควรให้ กยท. ใช้จ่ายจากเงินกองทุนพัฒนายางพาราในลำดับแรก
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กยท.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
(๑) ควรมีการหารือกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อสร้างเสถียรภาพที่มั่นคงยั่งยืนและช่วยลดภาระงบประมาณของภาครัฐ
(๒) ควรมีมาตรการที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรชาวสวนยางสามารถมีรายได้จากหลากหลายทาง
เพื่อรองรับผลกระทบจากวิกฤตทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น (๓) ควรกำหนดราคาประกันรายได้เท่าที่จำเป็นเพื่อมิให้ส่วนต่างของต้นทุนการผลิตสูงเกินความจำเป็น
และควรพิจารณามาตรการเร่งรัดและติดตามการดำเนินการที่ทันต่อสถานการณ์และจัดให้มีระบบการประเมินผลสัมฤทธิ์
และ (๔) ควรมีมาตรการในการลดปริมาณยางในระบบ
และส่งเสริมการใช้ยางในประเทศให้เป็นไปตามเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์ยางระยะ ๒๐ ปี
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
555 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและความร่วมมือทางนิติวิทยาศาสตร์ | ยธ. | 28/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
กระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและความร่วมมือทางนิติวิทยาศาสตร์
(Draft Memorandum of Understanding between The Central Institute
of Forensic Science, Ministry of Justice of the Kingdom of Thailand and
Institute of Forensic Science, Ministry of Public Security of China on Forensic
Science Academic Exchange and Cooperation) และให้ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือและช่วยเหลือด้านการเสริมสร้างศักยภาพเกี่ยวกับ
(๑) การพัฒนาวิชาชีพ (การแลกเปลี่ยนบุคลากรและการฝึกอบรม) และ (๒) การพัฒนาเทคนิค
(การพัฒนาฐานข้อมูลด้านไบโอเมตริกส์และการพัฒนาเทคนิค วิธีการและเทคโนโลยี
ผู้เชี่ยวชาญและสมรรถนะห้องปฏิบัติการในการตรวจดีเอ็นเอ (DNA) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
และข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ เช่น
ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานตามความจำเป็นและเหมาะสม
และควรพิจารณาหลักประกันในการป้องกันไม่ให้ต่างชาติเข้าถึงระบบฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลของไทย
เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
556 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ | พณ. | 28/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการงบประมาณของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากฝ่ายจีนให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านข้าง
อย่างสูงสุด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒. สำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า
ร่างบันทึกความเข้าใจฯ
เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของกระทรวงพาณิชย์ที่สามารถดำเนินการได้
โดยไม่ต้องเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
557 | แนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ พ.ศ. 2563-2565 | นร.10 | 28/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ เพื่อเป็นกรอบแนวทางสำคัญให้บุคลากรภาครัฐ ส่วนราชการ
และหน่วยงานภาครัฐนำไปดำเนินการด้านการพัฒนาบุคลากรภาครัฐให้เป็นทิศทางเดียวกัน โดยมีสาระสำคัญครอบคลุม
๓ ประเด็น ได้แก่ (๑)
ระบบนิเวศในการทำงานส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้และการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง
(๒) พัฒนากรอบทักษะ เพื่อการทำงานในยุคดิจิทัลและศตวรรษที่ ๒๑
และการสร้างนวัตกรรมที่ตอบสนองต่อการขับเคลื่อนภารกิจตามแผนการปฏิรูปประเทศ
แผนยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนการพัฒนาระบบราชการในอนาคต และ (๓)
ปลูกฝังบุคลากรภาครัฐให้มีกรอบความคิดในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง การมุ่งเน้นประโยชน์ส่วนรวมและทำงานบนหลักคุณธรรม
ประยุกต์หลักสากลอย่างเหมาะสม
และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในบริบทที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ตามที่สำนักงาน
ก.พ. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ก.พ.ร. และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน
เช่น (๑) ควรพิจารณาจัดการพัฒนาที่เป็นส่วนกลางร่วมด้วย
เนื่องจากการมอบแนวทางให้แต่ละส่วนงานดำเนินการเองนั้น
อาจดำเนินการได้ไม่ครบถ้วนถูกต้องและไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน (๒) ควรพิจารณาบูรณาการหรือผสานแนวทางการดำเนินงานตามแนวทางพัฒนาบุคลากรภาครัฐฯ
ร่วมกับแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ (พ.ศ.
๒๕๖๑-๒๕๖๕) (๓) ควรจัดทำคำอธิบายและคำนิยามของตัวชี้วัดส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐ
หลักเกณฑ์ และวิธีการประเมินผล
รวมทั้งเครื่องมือการวัดผลที่สะท้อนการปฏิบัติงานตามตัวชี้วัดได้อย่างชัดเจน และ (๓)
แต่ละหน่วยงานควรเชื่อมโยงการประเมินผลการเรียนรู้และพัฒนาตนเองของบุคลากรกับระบบประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปี
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. สำหรับภาระงบประมาณที่เกิดจากการดำเนินงานตามแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐฯ
ให้หน่วยงานภาครัฐจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประกอบการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
558 | ผลการเจรจากับสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร กรณีการจัดทำตารางข้อผูกพันภายใต้องค์การการค้าโลกของสหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร อันเป็นผลเนื่องมาจากการออกจากสมาชิกภาพสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) | พณ. | 28/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการจัดสรรปริมาณสินค้าที่มีโควตาภาษีของสหภาพยุโรป
และร่างหนังสือแลกเปลี่ยน (Exchange of Letter) ระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับการจัดสรรปริมาณสินค้าที่มีโควตาภาษีของสหราชอาณาจักร
รวม ๒ ฉบับ โดยร่างความตกลงฯ
เป็นการจัดสรรปริมาณโควตาของสินค้าโควตาภาษีที่สหภาพยุโรปจัดสรรให้แก่ไทย
ภายหลังระยะเวลาเปลี่ยนผ่านการออกจากสมาชิกสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร
ซึ่งแต่เดิมการจัดสรรปริมาณโควตาของสหภาพยุโรปได้รวมสัดส่วนของสหราชอาณาจักรอยู่ด้วย
ตารางการจัดสรรสัดส่วนใหม่นี้จะไม่รวมถึงปริมาณโควตาของสหราชอาณาจักร
และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ
เป็นการจัดสรรปริมาณโควตาของสินค้าโควตาภาษีที่สหราชอาณาจักรจัดสรรให้แก่ไทยภายหลังระยะเวลาเปลี่ยนผ่านการออกจากสมาชิกสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร
โดยมีปริมาณโควตาเท่ากับสัดส่วนที่เหลือจากการจัดสรรของสหภาพยุโรป
และไทยตกลงจะถอนการคัดค้านตารางข้อผูกพันของสหราชอาณาจักรทั้งหมดอย่างเป็นทางการด้วยวิธีแจ้งเป็นจดหมายถึงสำนักเลขาธิการองค์การการค้าโลก
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
แล้วเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒.
อนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกหรือผู้แทนลงนามย่อกำกับในร่างความตกลงฯ
และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ รวม ๒ ฉบับดังกล่าว ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ รวม ๒
ฉบับดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓.
อนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ
และหนังสือแลกเปลี่ยนฯ รวม ๒ ฉบับดังกล่าว ภายหลังจากที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม
(Full Powers) ให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกหรือผู้แทนลงนามในร่างความตกลงฯ
และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ รวม ๒ ฉบับดังกล่าว ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการแจ้งสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรว่าไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนภายในสำหรับการมีผลใช้บังคับร่างความตกลงระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการจัดสรรปริมาณสินค้าที่มีโควตาภาษีของสหภาพยุโรป
และร่างหนังสือแลกเปลี่ยน (Exchange of Letter) ระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับการจัดสรรปริมาณสินค้าที่มีโควตาภาษีของสหราชอาณาจักร
รวม ๒ ฉบับ รวม ๒ ฉบับดังกล่าว เมื่อรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบร่างความตกลงฯ
และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ รวม ๒ ฉบับดังกล่าว แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
559 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 1/2563 | นร. | 20/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบสรุปมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓ รวมทั้งเห็นชอบการเปิดตลาดและบริหารการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลือง
พิกัดอัตราศุลกากร ๒๓๐๔.๐๐.๙๐ รหัสย่อย ๐๒
เฉพาะที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค (รหัสสถิติ ๐๐๒/KGM) และรหัสย่อย ๒๙ เฉพาะที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ (รหัสสถิติ ๐๙๐/KGM)
คราวละ ๓ ปี คือ ปี ๒๕๖๔-๒๕๖๖ และเห็นชอบมาตรการปกป้องพิเศษ
(Special Safeguard Measure :
SSG) ภายใต้ความตกลงองค์การการค้าโลก (World
Trade Organization : WTO) และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN
Free Trade : AFTA) สำหรับสินค้ามะพร้าว ปี ๒๕๖๓
ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณ์วิศิษฏ์)
ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ๒. ให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช กระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ควรกำกับดูแลการนำเข้าให้เป็นไปตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่กำหนด
รวมทั้งเข้มงวดกับการป้องกันการลักลอบนำเข้ามะพร้าวและผลิตภัณฑ์มะพร้าวที่ผิดกฎหมาย
เพื่อมิให้กระทบกับเกษตรกรชาวสวนมะพร้าวในประเทศ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
560 | ขออนุมัติท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย ครั้งที่ 4 และการปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย | พณ. | 20/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย
ครั้งที่ ๔ และหากในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ ดังกล่าว มีผลให้มีการตกลงในเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น
ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่าย
โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นใหม่ ให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมสามารถดำเนินการได้และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
รวมทั้งเห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย
(Memorandum of Understanding on Extension of Trade and Economic
Cooperation Between the Ministry of Economic Development of the Russian
Federation and the Ministry of Commerce of the Kingdom of Thailand) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดท่าทีของไทยในด้านต่าง ๆ อาทิ
การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน การขยายความร่วมมือในระดับพหุภาคีและภูมิภาค
และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ส่วนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกระชับความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจ
การส่งเสริมกิจกรรมระหว่างภาคธุรกิจ
การพิจารณาแนวทางเพิ่มมูลค่าการค้าและลดอุปสรรคทางการค้า
ตลอดจนการอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสองประเทศ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรเน้นย้ำการหารือในสี่ประเด็นหลัก
คือ (๑) การเร่งรัดการอำนวยความสะดวกและลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน
โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญของไทยที่มีศักยภาพในตลาดรัสเซีย อาทิ
สินค้าประมงและปศุสัตว์ (๒)
การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโอกาสทางการค้าและการลงทุนให้แก่กลุ่ม SMEs
ของทั้งสองฝ่าย เพื่อเพิ่มโอกาสในการดำเนินธุรกิจ
รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกโดยเฉพาะด้านกฎระเบียบ (๓)
การส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวระหว่างกันที่สอดรับกับวิถีชีวิตใหม่ (New
Normal) และ (๔) การเพิ่มโอกาสในการพัฒนาความร่วมมือด้านอื่น ๆ
ที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพ อาทิ การพัฒนาพลังงานทดแทน
และการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งอาจขยายไปสู่การพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคอุบัติใหม่ร่วมกัน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.
ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|