ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 26 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 501 - 520 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
501 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เกลือเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ. | 07/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
กำหนดให้เกลือเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เกลือตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย จำนวน ๗
รายการ ได้แก่ ๒๕๐๑.๐๐.๑๐-๐๐๐/KGM ๒๕๐๑.๐๐.๒๐-๐๐๐/KGM ๒๕๐๑.๐๐.๙๑-๐๐๐/KGM ๒๕๐๑.๐๐.๙๒-๐๐๐/KGM ๒๕๐๑.๐๐.๙๙-๐๐๓/KGM ๒๕๐๑.๐๐.๙๙-๐๐๔/KGM และ ๒๕๐๑.๐๐.๙๙-๐๙๐/KGM (เช่น เกลือป่นสำหรับรับประทาน
เกลือหินที่ไม่ผ่านกรรมวิธี
เกลือสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร หรืออุตสาหกรรมยา เกลือสำหรับอุตสาหกรรมอื่น ๆ)
เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าหรือหลักฐานการอนุญาตให้ส่งออกที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานอื่นที่มีอำนาจจากประเทศผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกแสดงต่อกรมศุลกากรประกอบการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
และกำหนดให้ผู้นำเข้าเกลือต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๖๐ วัน
นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า
ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวต้องไม่กระทบต่อข้อปฏิบัติตามหลักการค้าเสรีที่องค์การการค้าโลก
(World Trade Organization : WTO)
กำหนด หรือกระทบต่อข้อตกลงหรือความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศคู่ค้า และการกำหนดมาตรการจัดระเบียบในการนำเกลือเข้ามาในราชอาณาจักรอาจมีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่
จึงเห็นควรคำนึงถึงผลกระทบและการปฏิบัติตามพันธกรณีดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดและยกระดับการพัฒนาคุณภาพกระบวนการผลิตเกลือทะเลและเกลืออุตสาหกรรมของประเทศ
เพื่อสร้างมาตรฐานเกลือให้เป็นที่ยอมรับโดยต้องสอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว
(BCG Model) และให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นว่า
การที่ราคาเกลือทะเลของไทยตกต่ำมิได้ขึ้นอยู่กับการนำเข้าเกลือทะเลจากต่างประเทศเพียงปัจจัยเดียว
เกษตรกรชาวนาเกลือทะเลของไทยจำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพการผลิต
เพื่อลดต้นทุนการผลิตเกลือให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
502 | ร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร.09 | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอว่า
ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๓) ได้ตรวจร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย ๖
ประเด็นเกี่ยวกับการเพิ่มช่องทางโฆษณา การส่งเอกสาร การประชุมกรรมการ การเรียกประชุมกรรมการ
การมอบฉันทะให้บุคคลอื่นเข้าประชุมผู้ถือหุ้นแทนโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์)
และร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
(มาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบของกรรมการ การควบบริษัท
การแปรสภาพบริษัท) เสร็จแล้ว โดยรวมเป็นร่างเดียวตามมติคณะรัฐมนตรี
และขณะนี้อยู่ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ยืนยันการแก้ไข นั้น
หากแยกส่วนที่เป็นการดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรไปก่อน
ก็จะสอดคล้องกับการเสนอร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.
.... ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในวันนี้
จึงเห็นควรมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแยกร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย ๖ ประเด็น)
ที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๓) ตรวจพิจารณาเสร็จแล้วออกมาก่อน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
503 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 | กค. | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๔
ภายใต้วงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๘๗๓.๐๑๐ ล้านบาท พื้นที่รับประกันภัย จำนวน ๔๖
ล้านไร่ [รวมการปรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) และการรับประกันภัยภาคสมัครใจ
(Tier 2)] โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลและเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราต้นทุนเงินในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ
๑๒ เดือน ธ.ก.ส. บวก ๑ (เท่ากับร้อยละ ๒.๒ จำนวน ๖๓.๒๐๖ ล้านบาท)
ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ซึ่งคิดเป็นภาระงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๒,๙๓๖.๒๑๖
ล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณ ให้ ธ.ก.ส.
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ธ.ก.ส.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรเห็นถึงความสำคัญในการสร้างหลักประกันหากเกิดความเสียหายจากภัยธรรมชาติ
เพื่อให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในระบบประกันภัยพืชผล
และพร้อมที่จะจ่ายค่าเบี้ยประกันด้วยความสมัครใจ
รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับลดสัดส่วนการอุดหนุนของภาครัฐในการจ่ายเบี้ยประกันภัย
ควรนำผลการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ
การศึกษาต้นทุนการประกันภัยที่สะท้อนความเสี่ยงจริง และการพิจารณาทำข้อมูลความเสี่ยงภาคเกษตร
อาทิ ข้อมูลสภาพอากาศ ข้อมูลความเสี่ยงการเกิดภัยแล้งและน้ำท่วม
ในการใช้ประกอบการคิดอัตราดอกเบี้ยประกันภัย เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
ควรนำข้อมูลการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning by Agri-Map) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเครื่องมือในการพิจารณาความเหมาะสมของการใช้พื้นที่เพาะปลูกข้าว
และควรจัดทำแผนการใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ในภาพรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อใช้สำหรับวางแผนและบริหารจัดการตามศักยภาพและความสามารถของรัฐที่จะต้องรับภาระงบประมาณทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
504 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การส่งเสริม เพิ่มขีดความสามารถ และสร้างความเป็นธรรมทางการแข่งขันของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา | สว. | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การส่งเสริม เพิ่มขีดความสามารถ
และสร้างความเป็นธรรมทางการแข่งขันของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce)
ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยในภาพรวมไม่มีข้อขัดข้องกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ และมีความเห็นเพิ่มเติมว่าการสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยนั้น
มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากจะช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืนขึ้น
และการกำหนดแนวปฏิบัติสำหรับการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ควรตั้งอยู่บนหลักไม่เลือกปฏิบัติและใช้บังคับเป็นการทั่วไปทั้งผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ
การพิจารณายกร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ตามความมาตรา
๓๒ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๒ ควรตั้งอยู่บนหลักการไม่เลือกปฏิบัติ
และหลีกเลี่ยงการออกมาตรการที่จะนำไปสู่การสร้างภาระให้กับผู้ประกอบธุรกิจ
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษา สำหรับการส่งเสริมธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
(e-Commerce) นั้น ปัจจุบันได้มีการจัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ
SME ซึ่งเห็นควรมีการติดตามผลสัมฤทธิ์ของเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) อยู่ระหว่างการกำหนดแนวทางและรูปแบบการจัดเก็บรายได้จากผู้ประกอบการที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างประเทศ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
505 | สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2564 | นร.10 | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๔ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
และได้มีประเด็นข้อสั่งการสำคัญที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้คณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่ารับไปดำเนินการ
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ ๑.
ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาข้อเสนอแนวทางการขับเคลื่อน กระตุ้น และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
รวมถึงการใช้ชีวิตวิถีใหม่ของประชาชน
ภายใต้บริบทการบริหารจัดการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อภายในประเทศลดลง
และเริ่มมีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้ว ทั้งนี้
ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาปรับเปลี่ยนรูปแบบการปฏิบัติงาน
และการให้บริการประชาชนให้สอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่ด้วย ๒.
ให้ทุกส่วนราชการจัดทำวิดีทัศน์นำเสนอผลงานของหน่วยงานที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล
เพื่อการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประชาชนเกี่ยวกับผลงานและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน
ทั้งนี้ วิดีทัศน์ควรมีรูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจ
ทันยุคสมัยและให้มีการเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง ๓.
ให้ทุกส่วนราชการนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการปฏิบัติงาน
การอำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชน โดยอาจพิจารณาสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีความรู้
ความชำนาญ และประสบการณ์ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ๔.
ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชนตามที่ได้รับการประสานจากศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีด้วยความรวดเร็ว ๕. ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาจัดส่งข้อมูลให้กับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการร้องขอ
ทั้งนี้ ขอให้ดำเนินการตามแนวทางที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยเคร่งครัด ๖.
ให้ทุกส่วนราชการให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมจิตอาสา
โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมจิตอาสาในพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ
ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ๗.
ให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ อาทิ
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เตรียมแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นองค์รวมภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้น อาทิ ภัยแล้ง ปัญหาน้ำทะเลหนุน ๘.
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
กระทรวงการคลัง และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ร่วมกันพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตร รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าทางการเกษตร
อาทิ (๑) การสร้างห้องเย็นเพื่อให้สามารถจัดเก็บสินค้าทางเกษตรได้นานขึ้น (๒)
การควบคุมความสมดุลระหว่างความสามารถในการเพาะปลูกพืชผล สินค้าทางการเกษตร
และความต้องการผลผลิตทางการเกษตร (๓)
การนำเทคโนโลยีทางการเกษตรมาใช้ในการควบคุมปริมาณการใช้น้ำสำหรับการเพาะปลูกพืชพันธุ์แต่ละชนิดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำลง และ (๔) การสนับสนุนความรู้
สร้างความเข้าใจให้กับประชาชน
เพื่อการใช้ประโยชน์พื้นที่ได้อย่างเหมาะสมตามแนวทางของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ๙.
ให้กระทรวงมหาดไทยสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจใหม่แบบองค์รวม
หรือ Bioeconomy, Circular Economy and Green Economy (BCG) ซึ่งเกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ ในเชิงพื้นที่
เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำนโยบายดังกล่าวไปพิจารณาประกอบการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑๓ ต่อไปด้วย ๑๐. ให้สำนักงาน ก.พ.
จัดทำข้อเสนอรูปแบบการจ้างงานที่หลากหลาย
รวมถึงแนวทางการจ่ายค่าตอบแทนและการจัดสวัสดิการที่เหมาะสม เพื่อดึงดูด
จูงใจ และรักษาไว้ซึ่งกำลังคนที่มีความรู้ความสามารถให้อยู่ในระบบราชการ ๑๑. ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการสรรหา
สอบคัดเลือก
และบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการหรือปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐเพื่อทดแทนอัตราว่างจากการเกษียณอายุและอัตราตั้งใหม่ที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วแต่ยังไม่ได้มีการบรรจุแต่งตั้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ทั้งนี้
เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีงานทำของประชาชนและบรรเทาผลกระทบของการว่างงานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๔
๑๒.
ให้ทุกส่วนราชการกวดขันและเข้มงวดในการปฏิบัติงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐของหน่วยงานทุกระดับให้เป็นไปด้วยความซื่อสัตย์
สุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล
เพื่อลดโอกาสในการทุจริตประพฤติมิชอบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
506 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้า และกลไกสนับสนุนอื่น ๆ เพื่ออำนวยความร่วมมือหลังจากเสร็จสิ้นการทบทวนนโยบายการค้าระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการค้าระหว่างประเทศแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ | พณ. | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้า
และกลไกสนับสนุนอื่น ๆ เพื่ออำนวยความร่วมมือหลังจากเสร็จสิ้นการทบทวนนโยบายการค้าระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการค้าระหว่างประเทศแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ
(ร่าง MoU) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่าง
MoU ดังกล่าว โดยร่าง MoU มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริม
อำนวยความสะดวก และพัฒนาความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร
และจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้า (Joint Economic and Trade
Committee : JETCO) ในระดับรัฐมนตรี (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้าระหว่างประเทศของสหราชอาณาจักรหรือผู้แทนเป็นประธานร่วม)
เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมและขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกัน (ร่าง MoU
จะมีการลงนามร่วมกันในวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๔) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่ขอให้พิจารณาปรับแก้ถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
507 | การต่ออายุบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MoU) ว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงอาหารแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ | พณ. | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการต่ออายุบันทึกความเข้าใจ
(Memorandum of Understanding : MoU) ระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงอาหารแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ
และมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมายให้เป็นผู้ลงนาม
โดยร่าง MoU มีสาระสำคัญเป็นความตกลงการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐต่อรัฐ
(Government to Govetnment : G to G) ซึ่งรัฐบาลไทยตกลงจะขายข้าวทุกชนิดให้แก่รัฐบาลบังกลาเทศปริมาณไม่เกิน
๑ ล้านตันต่อปี ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๙ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การผลิตของทั้งสองประเทศและระดับราคาในตลาดโลก
และมีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา ๕ ปี จนถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๙
(กำหนดวันลงนามภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่าง MoU แล้ว) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในส่วนของการซื้อขายข้าวแบบ
G to G ควรให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อย่างเคร่งครัด
เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่าง MoU
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
508 | ผลการลงนามความตกลงให้ความสนับสนุนด้านการเงิน (Financing Agreement) “โครงการการรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอาเซียนจากสหภาพยุโรปเพิ่มเติมต่อประเทศไทย (ARISE Plus -Thailand) ในสาขาความช่วยเหลือด้านการค้า” | พณ. | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการลงนามความตกลงให้ความสนับสนุนด้านการเงิน
(Financing Agreement) “โครงการการรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอาเซียนจากสหภาพยุโรปเพิ่มเติมต่อประเทศไทย
(ARISE Plus-Thailand) ในสาขาความช่วยเหลือด้านการค้า” ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑. กระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับสหภาพยุโรปเพื่อหาข้อสรุปร่วมกันเกี่ยวกับร่างความตกลงฯ
โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกับการปรับเปลี่ยนถ้อยคำเพื่อให้เกิดความถูกต้องและชัดเจนใน
๒ ส่วน ได้แก่ (๑) ความตกลงหลัก มีการระบุชื่อหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลักของฝ่ายไทยเพื่อความชัดเจน
และเพิ่มชื่อกระทรวงพาณิชย์ในสวนของที่อยู่หน่วยงาน ตำแหน่งผู้ลงนามฝ่ายไทย
รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ลงนามของสหภาพยุโรป และ (๒) ภาคผนวก ๒
เงื่อนไขทั่วไป มีการปรับแก้ถ้อยคำเพื่อความถูกต้องและสอดคล้องกับบริบทระหว่างข้อย่อย
ทั้งนี้ การปรับแก้ถ้อยคำดังกล่าวไม่ได้เปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ๒. กระทรวงพาณิชย์ได้รับความตกลงฯ
ฉบับสมบูรณ์ที่ลงนามแล้วจากสหภาพยุโรป เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
และได้ส่งต้นฉบับของความตกลงฯ ไปเก็บรักษาไว้ที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย
กระทรวงการต่างประเทศด้วยแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
509 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ. | 16/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการควบคุมการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร
โดยกำหนดให้เครื่องพิมพ์อินทาลโยเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
และปรับปรุงบทนิยามคำว่า “เครื่องพิมพ์อินทาลโย” ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
และยกเลิกการควบคุมเครื่องถ่ายเอกสารชนิดสอดสี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
510 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร (1.นายมงคล รักษาพัชรวงศ์) | พณ. | 16/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร จำนวน ๑๒ คน
เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ มีนาคม
๒๕๖๔) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ดังนี้ ๑.
ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ ๑.๑ นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๑.๒ นายพงศ์พันธ์ อนันต์วรณิชย์ สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ๑.๓ นายธีรยศ เวียงทอง สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๑.๔
นายอุดมเกียรติ นนทแก้ว สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๑.๕
นางสาวณัฐนันท์ สินชัยพานิช สาขาเภสัชศาสตร์ ๑.๖
นายพีระ เจริญพร สาขาเศรษฐศาสตร์ ๒.
ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ๒.๑ นายชำนาญ
ภัตรพานิช สาขาเภสัชศาสตร์ ๒.๒
นายวิชา ธิติประเสริฐ สาขาเกษตรศาสตร์ ๒.๓
นายนำชัย เอกพัฒนพานิชย์ สาขานิติศาสตร์ ๒.๔
นายบุญสนอง รัตนสุนทรากุล สาขาอุตสาหกรรม ๒.๕
นายชลธิศ เอี่ยมวรวุฒิกุล สาขาวิศวกรรมศาสตร์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
511 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ว่าด้วยการค้าข้าวระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการค้าแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย | พณ. | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ว่าด้วยการค้าข้าวระหว่างกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการค้าแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
และมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม โดยร่าง
MOU
มีสาระสำคัญเป็นความตกลงการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐต่อรัฐ (G
to G) ซึ่งรัฐบาลไทยตกลงจะขายข้าวขาว ๑๕%-๒๕%
ให้แก่รัฐบาลสาธารณรัฐอินโดนีเซียปริมาณไม่เกิน ๑ ล้านตันต่อปี
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การผลิตของทั้งสองประเทศและระดับราคาในตลาดโลก
และมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา ๔ ปี นับแต่วันลงนาม
เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนี่งได้แจ้งความประสงค์ขอยกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นระยะเวลา
๖ เดือนล่วงหน้า ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับขั้นตอนปฏิบัติตาม
MOU
ดังกล่าว
กระทรวงพาณิชย์ควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่จะทำการซื้อขาย
รวมถึงชนิด คุณภาพ และปริมาณข้าวที่จะซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) เพื่อใช้ในการติดตามตรวจสอบความโปร่งใสในการดำเนินงานดังกล่าว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
512 | ขอเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 และโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 | พณ. | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ดังนี้
๑.๑ การปรับเพิ่มวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๓/๖๔
รอบที่ ๑ จากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ จำนวน
๔๖,๘๐๗.๓๕ ล้านบาท โดยขอเพิ่มเติมอีก จำนวน ๓,๘๓๘.๙๒ ล้านบาท เป็น ๕๐,๖๔๖.๒๗
ล้านบาท
๑.๒ การขยายปริมาณข้าวเปลือก วงเงินงบประมาณ
และระยะเวลาดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๓/๖๔
จากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ปริมาณ ๑.๕๐
ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินงบประมาณ ๑๙,๘๒๖.๗๖ ล้านบาท เพิ่มเติมอีก ๐.๓๒ ล้านตันข้าวเปลือก
เป็น ๑.๘๒ ล้านตันข้าวเปลือก และงบประมาณเพิ่มเติมอีก จำนวน ๔,๕๐๔.๒๗ ล้านบาท
(โดยเป็นวงเงินจ่ายขาด ๑,๐๐๓.๗๗ ล้านบาท) เป็น ๒๔,๓๓๑.๐๓ ล้านบาท
และขยายระยะเวลาจัดทำสัญญากู้โครงการสินเชื่อชะลอขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต
๒๕๖๓/๖๔ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔ (ภาคใต้ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔) ๒.
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินการจริง
ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยให้กระทรวงพาณิชย์หารือร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในการจัดทำประมาณการค่าชดเชยต้นทุนเงินให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ
๑๒ เดือน ณ ปัจจุบัน ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรด้วย
ส่วนค่าบริหารจัดการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรให้คงอัตราเช่นเดิมตามที่ได้ช่วยเหลือพืชชนิดอื่น
ๆ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น
ควรดำเนินการตรวจสอบเกษตรกรผู้มีสิทธิและชนิดข้าวที่สามารถเข้าร่วมโครงการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง
และควรรวบรวมข้อมูลงบประมาณที่ภาครัฐได้เคยสนับสนุนเกษตรกรไปแล้วในอดีต
เพื่อจัดทำประมาณการตัวเลขงบประมาณที่เหมาะสมในการช่วยเหลือเกษตรกร
โดยครอบคลุมทุกมิติ เช่น งบประมาณสนับสนุนต่อครัวเรือนต่อปี
โดยแยกประมาณการดังกล่าวเป็นรายพืช และแยกเป็นรายโครงการ
ตลอดจนประเมินผลสัมฤทธิ์ของแต่ละโครงการที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔.
ให้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ
(นบข.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
แล้วนำเสนอ นบข. พิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ในกรณีที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ผู้ประกอบการ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมข้าวในโอกาสต่อไป
ให้นำเสนอผลการดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีดังกล่าวมาพร้อมกันด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
513 | ผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย ครั้งที่ 4 และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย | พณ. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย
ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ ในรูปแบบวีดิทัศน์ทางไกล (video
conference) ซึ่งสหพันธรัฐรัสเซียเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซียเป็นประธานร่วม
โดยมีสาระสำคัญคือ การตั้งเป้าหมายใหม่สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าในปี
๒๕๖๒ และมาตรการรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ รวมทั้งการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย
ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๐
ตุลาคม ๒๕๖๓ และมอบหมายหน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เช่น
ขอแก้ไขผลการประชุมฯ ในหัวข้อ Overview of the current economic and trade
relation between the Russian Federation and the Kingdom of Thailand and
Russian-Thai bilateral trade เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
514 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 24 (The 24th GMS Ministerial Conference) | นร.11 | 23/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
๖ ประเทศ ครั้งที่ ๒๔ (The 24th GMS
Ministerial Conference) โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายถาวร เสนเนียม) เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล
เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ซึ่งการประชุมมีหัวข้อหลัก คือ “มุ่งปูทางเพื่อการบูรณาการที่เพิ่มขึ้น
เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อความยั่งยืนและความเจริญมั่งคั่งในอนุภูมิภาค GMS” และมีผลการประชุมที่สำคัญ
เช่น รัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงได้รับรองแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีแผนงาน GMS
ครั้งที่ ๒๔ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ ๓
พฤศจิกายน ๒๕๖๓ และรับทราบรายงานของการประชุมเวทีหารือต่าง ๆ รวมทั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
(นายถาวร เสนเนียม) ได้มีข้อเสนอต่อที่ประชุมฯ เพื่อเน้นย้ำเจตนารมณ์ของไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
การพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโควิด-๑๙ และการพัฒนาความเชื่อมโยงทางด้านกฎระเบียบในอนุภูมิภาค
GMS และมอบหมายหน่วยงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุม
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงแรงงานที่เห็นควรผลักดันให้ประเทศสมาชิก GMS เร่งใช้ประโยชน์จากระบบการอำนวยความสะดวกทางการค้าที่มีอยู่ภายใต้กรอบอาเซียน
อาทิ ระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window)
ระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (ASEAN Wide Self-Certification)
เป็นต้น รวมถึงเร่งพัฒนาระบบการอำนวยความสะดวกทางการค้าให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อเป็นการส่งเสริมการค้าในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงอีกทางหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
515 | การใช้ประโยชน์จากส่วนเกินหรือสิ่งเหลือใช้จากผลิตผลทางการเกษตรและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าทางการเกษตร | นร. | 23/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า
โดยที่รัฐบาลได้กำหนดให้การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน
และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green
Economy : BCG Model) : โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นวาระแห่งชาติ
ประกอบกับปัญหาสภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่นานาชาติให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น
เพื่อเป็นการส่งเสริมการขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ดังกล่าว รวมทั้งเป็นการจูงใจเกษตรกรให้งดการจุดไฟเผาในพื้นที่การเกษตร
เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) และลดปัญหาสภาวะโลกร้อน
ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการป้องกันการกีดกันทางการค้าอันอาจอ้างเหตุมาจากการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาสภาวะโลกร้อนด้วย
จึงมีมติ ดังนี้ ๑.
ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่/ประสานงานกันในการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการนำส่วนเกินหรือสิ่งเหลือใช้จากผลิตผลทางการเกษตรชนิดต่าง
ๆ เช่น ใบอ้อย ชานอ้อย กากน้ำตาล ฟางข้าว และซังข้าวโพดมาใช้ในด้านต่าง ๆ
ให้เกิดประโยชน์หรือเกิดมูลค่าสูงสุด เพื่อมิให้สิ่งของเกินหรือเหลือใช้เหล่านั้นต้องกลายเป็นขยะหรือของสูญเปล่าที่ต้องเผาทำลายไปโดยเปล่าประโยชน์
และก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น
การนำใบอ้อยไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าชีวมวล
การนำชานอ้อยไปผลิตเป็นวัสดุ/บรรจุภัณฑ์
๒. ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม
และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่/ประสานงานกันในการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปรับปรุง
พัฒนา และยกระดับสินค้าส่งออกของประเทศในปัจจุบันในส่วนที่เป็นพืชผลทางการเกษตรและสินค้าแปรรูปขั้นพื้นฐานชนิดต่าง
ๆ โดยนำองค์ความรู้จากการวิจัย เทคโนโลยี
และนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ให้สามารถต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม
หรือเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งสามารถสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ
รวมทั้งลดภาระการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
516 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้พัดลม หม้อหุงข้าว และหลอดไฟ เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2555 พ.ศ. .... | พณ. | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้พัดลม หม้อหุงข้าว และหลอดไฟ
เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๕๕ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
กำหนดให้พัดลม หม้อหุงข้าว และหลอดไฟ
เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๕๕ เนื่องจากมาตรการนำเข้าพัดลม หม้อหุงข้าว และหลอดไฟ
ที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร มีการกำหนดไว้เป็นการเฉพาะตามพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
พ.ศ. ๒๕๑๑ แล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
517 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ. | 09/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน
การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท (ฉบับที่ ..) พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน
การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท พ.ศ. ๒๕๔๔
โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการซื้อหุ้นคืน
ข้อกำหนดเกี่ยวกับระยะเวลาที่บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลโครงการซื้อหุ้นคืนแก่สาธารณะ
ข้อกำหนดเกี่ยวกับระยะเวลาที่บริษัทจะทำโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งใหม่
และข้อกำหนดเกี่ยวกับระยะเวลาที่บริษัทจะจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัทมหาชนจำกัด
เพื่อให้บริษัทสามารถบริหารสภาพคล่องทางการเงินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
518 | ขออนุมัติดำเนินการตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2564 | พณ. | 09/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี ๒๕๖๔ วงเงินงบประมาณ
๔,๖๐๐,๘๕๐,๐๐๐ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระงบประมาณ
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ส่วนค่าบริหารจัดการของ ธ.ก.ส. ให้คงอัตรา ๕ บาทต่อรายเกษตรกร
และค่าใช้จ่ายบริหารจัดการโครงการประกันรายได้ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔
เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ หรือโอนงบประมาณรายจ่าย หรือโอนเงินจัดสรร
หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรแล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ
เช่น ควรตรวจสอบเกษตรกรผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ
และกลไกการชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาเป้าหมายกับราคาตลาดอ้างอิงอย่างเหมาะสม
ควรพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันในระยะยาว
และควรกำหนดทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจนในระดับนโยบายเกษตรเพื่อจัดทำแผนการประกันรายได้ของแต่ละพืชเศรษฐกิจ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
และให้รายงานผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินการตามโครงการ
ฯ ในคราวต่อไปด้วย ๒.
ให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติกำกับติดตามการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาและเป้าหมายที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์การปฏิรูปปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ
ปี ๒๕๖๑-๒๕๘๐ อย่างเคร่งครัดด้วย ๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการเพาะปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารแสดงสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินและตามกฎหมายอื่นให้เหมาะสมและชัดเจน
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
519 | ขอเพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 | พณ. | 09/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติเพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๓/๖๔ ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเบื้องต้น เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน
๒๕๖๓ จำนวน ๒๘,๐๔๖.๘๒ ล้านบาท โดยขอวงเงินเพิ่มเติมอีก ๒๘,๐๔๖.๘๑ ล้านบาท เป็น
๕๖,๐๙๓.๖๓ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณและขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ และปีถัด ๆ ไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรจัดทำระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์
คำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
ควรบูรณาการข้อมูลด้านการลงทะเบียนเกษตรกร จำนวนเกษตรกร ปริมาณผลผลิตต่อไร่
จำนวนพื้นที่เพาะปลูก สถาบันเกษตรกร ให้ถูกต้องครบถ้วน ไม่ซ้ำซ้อน ควรให้มีระบบการรายงาน
การติดตาม
และการประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับจากการดำเนินโครงการ
เพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน และควรกำหนดให้มีการจัดทำแผนปรับโครงสร้างการผลิตพืชหลายชนิด
โดยมีการสร้างความรับรู้และความเข้าใจในทุกมิติให้แก่เกษตรกรและหน่วยงานี่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วนทันต่อสถานการณ์ทางการตลาด
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามยุทธศาสตร์ข้าวไทย
ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๗ รวมทั้งแผนยุทธศาสตร์ของพืชเกษตรอื่น ๆ เพื่อปรับปรุง พัฒนา
และเพิ่มศักยภาพให้เกษตรกร และผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ
และปลายน้ำ มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยังยืน ซึ่งจะสามารถลดการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐได้ในระยะยาว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
520 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 2/2563 | กษ. | 09/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช
ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยมีผลการพิจารณาเกี่ยวกับ (๑) การใช้มาตรการปกป้องพิเศษ
(Special Safeguard Measure : SSG)
ภายใต้ความตกลงองค์การการค้าโลก (World Trade Organization :
WTO) และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade
Area : AFTA) สำหรับสินค้ามะพร้าว ปี ๒๕๖๓ (๒)
การบริหารนำเข้าน้ำมันถั่วเหลืองและแฟรกชันของน้ำมันถั่วเหลือง
มะพร้าวและมะพร้าวฝอย เนื้อมะพร้าวแห้ง
และน้ำมันมะพร้าวและแฟรกชันของน้ำมันมะพร้าว ปี ๒๕๖๔ และ (๓)
การบริหารการนำเข้ามะพร้าวผลตามกรอบความตกลง AFTA ปี ๒๕๖๔
ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์)
ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น
ควรประชาสัมพันธ์ถึงแนวปฏิบัติของการบริหารจัดการการนำเข้าสินค้าพืชน้ำมันและน้ำมันพืชดังกล่าวให้ผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องรับทราบอย่างทั่วถึง
เพื่อให้การนำเข้าสินค้าพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเกิดประโยชน์สูงสุดในการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่อไป
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|