ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 22 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 421 - 440 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
421 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับรถบรรทุกน้ำหนักเกิน | ปช. | 28/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับรถบรรทุกน้ำหนักเกิน โดยให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการแก้ไขปัญหาในประเด็นต่าง
ๆ ดังนี้ ๑)
การบังคับใช้กฎหมายให้สามารถเอาผิดและลงโทษผู้ประกอบการที่บรรทุกน้ำหนักเกินได้อย่างเป็นรูปธรรม
๒) จัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (Memorandum
of Understanding : MOU) ในการควบคุม กำกับ
ดูแลถนนในแต่ละเขตความรับผิดชอบอย่างบูรณาการ ๓)
จัดให้มีการประชุมหารือร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาในประเด็นการบังคับใช้กฎหมาย
๔) ออกมาตรการให้รถบรรทุกมีใบชั่งระบุน้ำหนักตั้งแต่ต้นทาง พร้อมทั้งสร้างช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสเมื่อพบผู้กระทำความผิด
๕) ผลักดันการนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินการชั่งน้ำหนักรถบรรทุก และ ๖) เพิ่มมาตรการการกำกับดูแล
และตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่มีปัญหาการทุจริต ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
และให้รายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
422 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ พ.ศ. .... | รง. | 28/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ
พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย
ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงการคลังที่เห็นว่า โดยที่ร่างมาตรา ๓๐
กำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบและร่างมาตรา
๓๑ กำหนดให้รายได้ของกองทุนส่วนหนึ่งมาจากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ ดังนั้น
จึงเป็นการตรากฎหมายที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ
ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งรัฐต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่า ต้นทุนและผลประโยชน์เสถียรภาพ
และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐประกอบด้วย ๑.๒ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่เห็นว่า ๑.๒.๑ นิยามคำว่า ผู้จ้างทำงาน
ควรคำนึงถึงความสอดคล้องกับมาตรา ๕๓๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เนื่องจากเป็นการจ้างแรงงานเช่นเดียวกันและควรเพิ่มเติมนิยามของผู้ส่งมอบงานไว้ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ๑.๒.๒ หมวด ๒ มาตรา ๙ - มาตรา ๑๘
ควรเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการประกอบอาชีพและออกใบรับรองมาตรฐานอาชีพ เช่น
การอบรมออนไลน์ที่ได้รับใบประกาศนียบัตรสามารถนำไปประกอบอาชีพได้ หมวด ๓ มาตรา ๔๑
- มาตรา ๔๔ ควรกำหนดให้การยื่นคำร้องและการพิจารณาคำร้อง
ควรให้สามารถนผ่านทางออนไลน์เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการบริการ ๑.๓ กระทรวงคมนาคมที่เห็นว่า ตามร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ พ.ศ. .... หมวด ๔ กำหนดให้กองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบประกอบด้วยเงินและทรัพย์สินตามที่กำหนดไว้ในร่างมาตรา ๓๑ และเงินของกองทุนให้ใช้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในร่างมาตรา ๓๒ ซึ่งเมื่อพิจารณาแหล่งที่มาและค่าใช้จ่ายสำหรับเงินของกองทุนแล้ว กรณีอาจก่อให้เกิดปัญหาสภาพคล่องในการบริหารกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ได้ ๑.๔ กระทรวงพาณิชย์ที่เห็นว่า การจัดตั้งกองทุน
โดยแหล่งรายได้มาจากเงินค่าสมาชิกอาจเป็นภาระแก่แรงงานนอกระบบได้
และทำให้ต้องใช้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลเป็นรายได้หลัก
อาจเป็นภาระต่องบประมาณภาครัฐในระยะยาวต่อไป
และร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีความจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ
ดังนั้น ควรมีการศึกษาและจัดทำกฎหมายลำดับรองคู่ขนานกันไป เพื่อให้การบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติฯ
มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกภาคส่วนทั้งผู้ประกอบการและแรงงาน ๑.๕ สำนักงบประมาณที่เห็นว่า สำหรับการพิจารณาจะจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ
กระทรวงแรงงานจะต้องดำเนินการตามมาตรา ๑๔ ของพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘ และมาตรา ๖๓ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และเป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๑.๖ สำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่า ๑.๖.๑ การกำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบแห่งชาตินั้น
เห็นควรกำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานรับผิดชอบงานเลขานุการของคณะกรรมการดังกล่าวเพื่อปฏิบัติภารกิจสนับสนุนการดำเนินการของคณะกรรมการตามกฎหมายนี้ ๑.๖.๒ เห็นควรกำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานทำหน้าที่เป็นหน่วยงานเลขานุการของคณะกรรมการบริหารกองทุนแทนการจัดตั้งสำนักงานบริหารกองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบขึ้นใหม่
เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕o เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ ๑.๗ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า ๑.๗.๑ มีการใช้ระบบคณะกรรมการโดยไม่จำเป็นทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัดเนื่องจากภารกิจตามร่างกฎหมายนี้เป็นภารกิจหลักของกระทรวงแรงงานอยู่แล้ว
สมควรกำหนดให้เป็นภารกิจของกระทรวงแรงงาน เพื่อให้การขับเคลื่อนมีประสิทธิภาพ
หากประสงค์จะบูรณาการกับหน่วยงานอื่น อาจดำเนินการในรูปคณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีและการจัดตั้งกองทุนควรดำเนินการตามกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก่อน ๑.๗.๒ การรับส่งเอกสาร
คำขอ คำสั่งต่าง ๆ สมควรให้ดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้เพื่อความสะดวกรวดเร็วและเพื่อประโยชน์ในการจัดทำฐานข้อมูลแรงงานนอกระบบ ๑.๗.๓ การจัดตั้งองค์กรแรงงานนอกระบบเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้วไม่ต้องบัญญัติไว้ ๑.๗.๔ มาตรา
๑๖ และมาตรา ๑๗ ไม่จำเป็นต้องบัญญัติไว้
เป็นการบูรณาการทำงานของหน่วยงานของรัฐตามปกติ ส่วนมาตรา ๑๗
เป็นอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่แล้ว
รวมทั้งควรใช้โทษทางอาญาเพียงเท่าที่จำเป็นและควรเน้นการส่งเสริมมากกว่าการควบคุม ๑.๘ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ในส่วนของการกู้ยืมเงินกองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบเพื่อสนับสนุนการประกอบอาชีพนั้น
ควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการกู้ยืมให้สอดคล้องกับความต้องการ
และลักษณะการทำงานของแรงงานนอกระบบแต่ละประเภท แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ทั้งนี้
หากกระทรวงแรงงานมีความจำเป็นต้องจัดตั้งสำนักงานบริหารกองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ
เพื่อให้การบริหารกิจการของกองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบบรรลุวัตถุประสงค์และก่อให้เกิดประโยชน์แก่กิจการแรงงานนอกระบบยิ่งขึ้น
กระทรวงแรงงานจะต้องดำเนินการจัดตั้งสำนักงานให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง
การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) แล้วส่งผลการพิจารณาให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ ๒.๑ กระทรวงการคลังที่เห็นว่า การสร้างหลักประกันทางสังคมสำหรับแรงงานนอกระบบควรพิจารณาการบูรณาการร่วมกับระบบหลักประกันทางสังคมที่ดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบัน
ได้แก่ กองทุนการออมแห่งชาติ ผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ และมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม
พ.ศ. ๒๕๓๑ ๒.๒ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่เห็นว่า ๒.๒.๑ การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบจังหวัดขึ้นในสำนักงานแรงงานจังหวัดทุกจังหวัดจะต้องพิจารณาข้อจำกัดที่แตกต่างในเชิงโครงสร้างของสถานที่ ๒.๒.๒ ควรมีการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมถึงการคุ้มครองและการเข้าถึงสิทธิในด้านต่าง
ๆ เช่น การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การแนะนำและให้คำปรึกษาเพื่อส่งเสริมการมีงานทำ การอบรมพัฒนาทักษะทางด้านอาชีพของแรงงานนอกระบบโดยไม่เลือกปฏิบัติและตระหนักในสิทธิมนุษยชน
เพื่อลดความเหลื่อมล้ำสร้างความเป็นธรรมและเท่าเทียมในทุกมิติครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
ควรมีการรณรงค์การสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้แก่แรงงานนอกระบบ
เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้สูงอายุ
โดยควรรณรงค์ให้มีการเตรียมความพร้อมเรื่องการออมตั้งแต่อยู่ในวัยทำงานเพื่อให้เงินออมเป็นแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนในวัยสูงอายุ ๒.๓ กระทรวงคมนาคมที่เห็นว่า หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ต้องให้การสนับสนุนการดำเนินการต่าง
ๆ ของภาครัฐ โดยการพิจารณาให้การสนับสนุนใด ๆ
ตามร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ พ.ศ. .... มาตรา
๑๕ (๓) นั้น จะต้องคำนึงถึงบริบท ความพร้อมและความสามารถภายใต้ความเหมาะสมและสภาพแวดล้อมในขณะนั้นประกอบด้วย ๒.๔ สำนักงบประมาณที่เห็นว่า กระทรวงแรงงานควรคำนึงถึงการบูรณาการเรื่องแรงงานนอกระบบในทุกมิติของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
ทั้งภายใต้หน่วยงานการกำกับของกระทรวงแรงงนและภายนอกที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่างรอบคอบ
เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนของภารกิจ รวมถึงกรณีจะให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริม
การพัฒนาคุณภาพชีวิต และคุ้มครองแรงงานนอกระบบในครั้งนี้
และจะส่งผลต่อภาระงบประมาณนั้น
จะต้องคำนึงถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงานที่มีอยู่ก่อนเป็นลำดับแรก ตลอดจนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
และฐานะของแหล่งเงินนอกงบประมาณที่สามารถใช้จ่ายได้ ๒.๕ สำนักงาน ก.พ. ที่เห็นว่า ควรให้ความสำคัญกับระบบฐานข้อมูลกลุ่มแรงงานนอกระบบที่ถูกต้อง
ครบถ้วน และครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้กลุ่มแรงงานนอกระบบได้รับประโยชน์อย่างสูงสุดและการดำเนินการบรรลุผลตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว ๒.๖ สำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่า ควรมีการทบทวนความจำเป็นในการคงอยู่ของคณะกรรมการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบแห่งชาติและอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องที่จัดตั้งไว้
เพื่อให้มีจำนวนคณะกรรมการเท่าที่จำเป็นและไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการของคณะกรรมการที่มีอยู่เดิม ๒.๗ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ในขั้นตอนการจัดทำกฎหมายลำดับรอง เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในการส่งเสริม
การพัฒนาคุณภาพชีวิต และการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ
ในเรื่องการขึ้นทะเบียนแรงงานนอกระบบ ควรเพิ่มช่องทางการขึ้นทะเบียนให้มีความสะดวก
และสอดรับกับรูปแบบการทำงานที่หลากหลาย อาทิ การขึ้นทะเบียนผ่านระบบออนไลน์
การกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยขึ้นทะเบียนในระดับพื้นที่ ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
423 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ | กค. | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนหรือผู้มีหน้าที่ออกใบรับสามารถดำเนินการจัดทำ
ส่ง รับ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีหรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ตามประมวลรัษฎากร
ด้วยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่เห็นควรปรับปรุงถ้อยคำเพื่อให้เกิดความชัดเจนในวัตถุประสงค์ของการระบุตัวเจ้าของลายมือชื่อที่เชื่อมโยงไปถึงใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์
การส่งมอบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการส่งและรับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
และการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข หรือคุณสมบัติของระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวสามารถรับรองความมีอยู่ของข้อมูล
ณ
ขณะที่มีการส่งข้อมูลเพื่อป้องกันมิให้เกิดข้อโต้แย้งว่าข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขภายหลังจากการที่ได้มีการส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบ
ก่อนจะมีการรับรองความมีอยู่ของข้อมูลนั้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์
ที่ควรให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเพื่อป้องกันการปลอมแปลงหรือแก้ไขข้อมูลในใบกำกับภาษีและใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
424 | การดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2565 ให้แก่ประชาชน | พณ. | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินแผนงาน/โครงการที่สามารถดำเนินการให้มีผลในทางปฏิบัติเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่
พ.ศ. ๒๕๖๕ ให้แก่ประชาชน โดยมีกิจกรรมสำคัญ จำนวน ๗ กิจกรรม ได้แก่ ๑)
พาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน “New Year Grand Sale 2022” ๒) เพิ่มบริการออนไลน์ ๓)
ขยายเวลาให้บริการประชาชน นอกเวลาทำการ ๔)
ลดค่าธรรมเนียม/ให้ส่วนลดแก่ผู้ประกอบการ และประชาชน ๕) ให้บริการฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
๖) จัดกิจกรรม/งานแสดงและจำหน่ายสินค้า ๗) อบรม/เสวนา
ส่งเสริมความรู้ในการประกอบธุรกิจ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
425 | การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 (นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ และนายวันชัย พนมชัย) | อก. | 07/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย
พ.ศ. ๒๕๒๗
รวม ๒ คน แทนกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากเกษียณอายุราชการ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ ธันวาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ดังนี้ ๑. นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ๒. นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
426 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers: AEM) ครั้งที่ 53 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 07/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน
(ASEAN Economic Minsters : AEM) ครั้งที่ ๕๓ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๘-๑๕ กันยายน
๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีเนการาบรูไนดารุสซาลาม (บรูไน)
เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม และมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ (นายสรรเสริญ
สมะลาภา) เข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑. การประชุม AEM
ครั้งที่ ๕๓
มีการหารือเกี่ยวกับประเด็นการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจภายหลังโควิด-๑๙
การค้าบริการอาเซียน และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional
Comprehensive Economic Partnership : RCEP ๒.
การประชุมคณะมนตรีเขตการค้าเสรีอาเซียน ครั้งที่ ๓๕
มีการหารือเกี่ยวกับประเด็นการขยายรายการสินค้าจำเป็นในบัญชีและการจัดตั้งคณะผู้พิจารณาอิสระ
(ไทยจะยังไม่เข้าร่วม) ๓.
การหารือของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับประเทศนอกภูมิภาค ได้แก่
การเข้าร่วมความตกลง RCEP และความตกลงต่าง ๆ ๔. การหารือระหว่าง AEM
กับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน
มีการแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นที่ภาคเอกชนให้ความสำคัญในปี ๒๕๖๔
โดยเฉพาะการสร้างสภาพแวดล้อมและการเสริมสร้างความสามารถของแรงงานในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ๕.
การหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์
โดยไทยจะให้การสนับสนุน SMEs ในสาขาที่สิงคโปร์สนใจ
และขอให้สิงคโปร์สนับสนุนการนำเข้าสินค้าเกษตร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
427 | ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง มาตรการเพื่อประโยชน์ในการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงและมาตรการเกี่ยวกับสินค้าที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการใช้สุดท้ายหรือผู้ใช้สุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2564 | พณ. | 07/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
มาตรการเพื่อประโยชน์ในการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงและมาตรการเกี่ยวกับสินค้าที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการใช้สุดท้ายหรือผู้ใช้สุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
พ.ศ. ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการห้ามส่งออก ส่งกลับ ถ่ายลำ ผ่านแดน
และถ่ายโอนเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ของสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงและมาตรการเกี่ยวกับสินค้าที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการใช้สุดท้ายหรือผู้ใช้สุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
และก่อนการบังคับใช้มาตรการมีขั้นตอนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องชี้แจงข้อมูลเพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
รวมทั้งผู้ที่ถูกบังคับใช้มาตรการสามารถยื่นคำขอให้ทบทวนเพื่อยกเลิกการบังคับใช้มาตรการที่กำหนดได้
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
428 | ขออนุมัติวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 เพิ่มเติม | พณ. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติมโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๔/๖๕
เพิ่มเติม จำนวน ๗๖,๐๘๐.๙๕ ล้านบาท จำแนกเป็น วงเงินจ่ายชดเชยให้เกษตรกร จำนวน
๗๔,๕๖๙.๓๑ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
จำนวน ๑,๕๑๑.๖๔ ล้านบาท รวมเป็นวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี
๒๕๖๔/๖๕ จำนวนทั้งสิ้น ๘๙,๓๐๖.๓๙ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ
เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๔ โดยการชดเชยต้นทุนเงิน ธ.ก.ส.
ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้
ธ.ก.ส.
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินการจริง
ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ในส่วนของอัตราการชดเชยต้นทุนทางการเงินให้ ธ.ก.ส. ให้ใช้อัตราต้นทุนทางการเงินของ
ธ.ก.ส. ประจำไตรมาส บวก ๑
โดยให้มีการปรับเปลี่ยนอัตราต้นทุนทางการเงินตามอัตราที่แท้จริงทุกไตรมาส
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธ.ก.ส.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น (๑)
ตรวจสอบพื้นที่และที่มาของปริมาณผลผลิตข้าว ราคาซื้อขายในตลาด
จำนวนเกษตรกรที่ลงทะเบียน ปริมาณผลผลิตต่อไร่ จำนวนพื้นที่เพาะปลูก
และจำนวนสถาบันเกษตรกร ให้ถูกต้องครบถ้วนไม่ซ้ำซ้อนในทุกมิติ
โดยดำเนินการในพื้นที่ที่อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน และ (๒)
กำหนดมาตรการหรือกลไกเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ได้ผลผลิตที่มีปริมาณมากและคุณภาพสูง ใช้ต้นทุนต่ำ
และการปลูกข้าวแต่ละชนิดตามความเหมาะสมของพื้นที่ (Zoning)
และสอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่แท้จริง เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓.
ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปิดบัญชีโครงการที่รัฐบาลรับภาระชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการ
ตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถนำกรอบวงเงินที่เหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการต่าง
ๆ ดังกล่าว มาใช้ในการดำเนินโครงการอื่นที่มีความจำเป็นในอนาคตได้ต่อไป
รวมทั้งให้เร่งรายงานผลการดำเนินการและผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินโครงการตามนัยมาตรา ๒๙
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเร็วด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
429 | ขออนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 3 | กษ. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง
ระยะที่ ๓ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๐,๐๖๕.๖๙
ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง ในกรณีราคายางตกต่ำ
ในช่วงวิกฤตการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
และเพิ่มรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นรวมทั้งค่าบริหารโครงการให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและการยางแห่งประเทศไทยดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๘/๑๒๙ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔)
ทั้งนี้
ในส่วนของอัตราการชดเชยต้นทุนทางการเงินให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ให้ใช้อัตราต้นทุนทางการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ประจำไตรมาส บวก ๑ โดยให้มีการปรับเปลี่ยนอัตราต้นทุนทางการเงินที่แท้จริงทุกไตรมาส
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การยางแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด
ที่ นร ๐๗๑๘/๑๒๙ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔) และกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรอบวงเงินภายใต้ตามมาตรา
๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ มีวงเงินคงเหลือไม่เพียงพอ
ให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย
เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๕
กรณีเกษตรกรชาวสวนยางมีเป้าหมายในการดำเนินการในพื้นที่ป่าไม้จะต้องขออนุญาตให้ถูกต้อง
ครบถ้วน เป็นไปตามนัยมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวน พ.ศ. ๒๕๐๗
และพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ตลอดจนระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และเร่งดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ยางระยะ ๒๐ ปี
เพื่อยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมยางและการพัฒนาอาชีพและรายได้ของเกษตรกรให้มีความมั่นคงโดยไม่สร้างภาระด้านงบประมาณแก่ประเทศไทยในระยะยาว
และเร่งพิจารณาแหล่งเงินตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยคำนึงถึงศักยภาพและความสามารถของภาครัฐที่จะต้องรับภาระงบประมาณทั้งในปัจจุบันและอนาคตเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปิดบัญชีโครงการที่รัฐบาลรับภาระชดเชยค่าใช้จ่ายในการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการตามนัยมาตรา
๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่อให้สามารถนำกรอบวงเงินที่เหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการต่าง ๆ ดังกล่าว
มาใช้ในการดำเนินงานโครงการอื่นที่มีความจำเป็นในอนาคตต่อไป
รวมทั้งให้เร่งรายงานผลการดำเนินการและผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินโครงการตามนัยมาตรา ๒๘
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเร็วด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
430 | โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 | พณ. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยอนุมัติกรอบวงเงินโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๔/๖๕ ภายในกรอบวงเงิน ๕๔,๙๗๒.๗๒
ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ตามผลการดำเนินงานจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้
ในส่วนของอัตราการชดเชยต้นทุนทางการเงิน ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
ให้ใช้อัตราต้นทุนทางการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ประจำไตรมาส บวก ๑
โดยให้มีการปรับเปลี่ยนอัตราต้นทุนทางการเงินตามอัตราที่แท้จริงทุกไตรมาส
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ ๒.๑ รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า (๑) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ต้องจัดทำบัญชีสำหรับการดำเนินกิจกรรม
มาตรการ หรือโครงการที่ได้รับมอบหมายแยกต่างหากจากบัญชีการดำเนินงานทั่วไป
พร้อมทั้งเสนอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและผลสัมฤทธิ์ต่อรัฐมนตรี
เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ตามนัยบทบัญญัติมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และ
(๒) เนื่องจากโครงการสนับสนุนสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและโครงการประกันรายได้พืชต่าง
ๆ เป็นนโยบายของรัฐที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภาและมีการดำเนินการเป็นประจำ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสทางด้านการคลัง
หากกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในเห็นว่า ยังมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการต่อในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖
ก็ควรบรรจุโครงการรัฐดังกล่าวในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนปกติเพื่อไม่ให้เกิดค่าใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่จำเป็น
เช่น ภาระดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายให้กับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันภาระดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ในกรณีที่รัฐบาลใช้เงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการต่าง
ๆ มีจำนวนประมาณ ๙,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี ๒.๒ รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
(๑) กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณากรอบวงเงินงบประมาณที่ไม่สามารถดำเนินการได้ทุกโครงการ
ตลอดจนคำนึงถึงการกระจายความช่วยเหลือไปยังเกษตรกรในสาขาหรือพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นด้วย
และ (๒) เพื่อให้เกิดการปรับปรุง พัฒนา
และเพิ่มศักยภาพให้เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ
และปลายน้ำให้มีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
ตลอดจนลดภาระงบประมาณของภาครัฐระยะยาว เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ (๒.๑) ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ข้าวไทย
ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๗ ให้บรรลุเป้าหมายและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และ (๒.๒) ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้เกษตรกรเตรียมพร้อมปรับตัวต่อสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนการผลิตสินค้าเกษตรที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปสู่การผลิตสินค้าเกษตรที่สร้างมูลค่าสูงและมีตลาดรองรับที่ชัดเจน
๒.๓ รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ (๑) เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบพื้นที่และที่มาของผลผลิตข้าว ราคาซื้อขายในตลาด
จำนวนเกษตรกรที่ลงทะเบียน ปริมาณผลผลิตต่อไร่ จำนวนพื้นที่เพาะปลูก
และจำนวนสถาบันเกษตรกร ให้ถูกต้องครบถ้วน ไม่ซ้ำซ้อนในทุกมิติ
โดยดำเนินการในพื้นที่ที่อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนจัดทำต้นทุนทางการเงิน ความเสี่ยง และความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
รวมทั้งจัดให้มีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์
เพื่อกำหนดนโยบายหรือปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกันรายได้ที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป
และ (๒) ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมพิจารณากำหนดมาตรการหรือกลไกเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ได้ผลผลิตที่ปริมาณมาก และคุณภาพสูง ใช้ต้นทุนต่ำ
และการปลูกข้าวแต่ละชนิดตามความเหมาะสมของพื้นที่ (Zoning) และสอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่แท้จริง
โดยไม่ให้เกิดส่วนต่างที่เกินความจำเป็นของราคาที่รัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มมากขึ้น
และจะต้องคำนึงถึงศักยภาพและความสามารถของภาครัฐที่จะต้องรับภาระงบประมาณ
ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม ตามกฎหมายวินัยการคลัง
รวมทั้งพิจารณาดำเนินการตามข้อสั่งการของ นายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ มีนาคม ๒๕๖๔ อย่างเคร่งครัดด้วย (เช่น ให้มีการปฏิรูปภาคการเกษตร
พิจารณาการใช้จ่ายงบประมาณ ให้มีความเหมาะสม
ติดตามสถานการณ์การขึ้นทะเบียนเกษตรผู้ปลูกข้าวที่เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายทุกปี
และจัดระบบตรวจสอบกำกับดูแลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรให้มีความรัดกุม เป็นต้น) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
431 | ผลการศึกษาและข้อเสนอด้านกฎหมายในการพัฒนาตลาดคาร์บอนในประเทศไทย | นร15 | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการศึกษาและข้อเสนอด้านกฎหมายในการพัฒนาตลาดคาร์บอนในประเทศ ซึ่งได้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว
ในการประชุม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔
ที่ให้มีการศึกษาแนวทางการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและสอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศ
โดยได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ได้แก่ ข้อผูกพันตามพันธกรณีระหว่างประเทศ
การใช้กลไกทางตลาดในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
การดำเนินการที่ผ่านมาของไทย โดยไทยได้พัฒนาตลาดคาร์บอนรูปแบบความสมัครใจ ตามที่สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) เสนอ
และให้สำนักงาน ป.ย.ป.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่ายังไม่สมควรตรากฎหมายในเรื่องนี้ในชั้นนี้เพราะอาจทำให้การพัฒนาตลาดคาร์บอนไม่ทันต่อการพัฒนาตลาดคาร์บอนของต่างประเทศได้
ควรปล่อยให้กลไกตลาดพัฒนาจนมีความแน่นอนไปสักระยะหนึ่งก่อน
แต่หากว่าเห็นสมควรตรากฎหมายขึ้น ก็สมควรตรากฎหมายจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาตลาดคาร์บอนขึ้นก่อนเป็นลำดับแรก
ซึ่งต้องดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารทุนหมุนเวียน
และการพัฒนากฎหมายดังกล่าวจะต้องสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงานกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดเป้าหมายและมาตรการในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสาขาต่าง
ๆ เช่น สาขาพลังงาน สาขาเกษตร สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์
ให้ชัดเจนทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายภายในประเทศและพันธกรณีระหว่างประเทศ
เพื่อให้การพัฒนาตลาดคาร์บอนในประเทศไทยเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการในระยะสั้น
ให้พิจารณากำหนดเป้าหมายและมาตรการในการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วและทันการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค
ประจำปี ๒๕๖๕ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
432 | ขอความเห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลกสมัยสามัญครั้งที่ 12 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 23/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบข้อเสนอท่าทีไทยสำหรับการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก
(World Trade Organization : WTO) สมัยสามัญ ครั้งที่ ๑๒ (the Twelfth Ministerial Conference :
MC12) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓๐
พฤศจิกายน-๓ ธันวาคม ๒๕๖๔ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย พิจารณาใช้ดุลยพินิจตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสม
ในเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ของไทยต่อไป และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
ร่วมรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม MC12 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ร่วมรับรองแถลงการณ์ของการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์
ในเรื่องเกษตรของ WTO โดยท่าทีไทยสำหรับการประชุม MC12
มีสาระสำคัญ เช่น การจัดทำความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมง
การปรับปรุงความตกลงเกษตร แผนการดำเนินการด้านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
การค้ากับการพัฒนา และการปฏิรูป WTO โดยยังไม่มีการทำความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างกัน
สำหรับร่างแถลงการณ์ฯ
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของสมาชิกเพื่อผลักดันให้มีข้อสรุปหรือมีความคืบหน้าในการเจรจาการเกษตรที่เป็นรูปธรรมภายในการประชุม
MC12 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์การประชุม MC12 และร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
433 | ร่างกฎกระทรวงการติดต่อหรือการแจ้งผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียงในการรังวัดสอบเขตโฉนดที่ดิน พ.ศ. .... | มท. | 23/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างกฎกระทรวงการติดต่อหรือการแจ้งผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียงในการรังวัดสอบเขตโฉนดที่ดิน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓๑ (พ.ศ. ๒๕๒๑)
ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ เรื่อง
การติดต่อหรือการแจ้งผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียงให้มาระวังแนวเขต
เพื่อแก้ไขวิธีการติดต่อหรือการแจ้งผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียงให้มาระวังแนวเขตที่ดินก่อนวันทำการรังวัด
การรับรองแนวเขตที่ดินและคัดค้านการรังวัดเมื่อได้ทำการรังวัดเสร็จแล้ว
และการกำหนดให้สามารถแจ้งผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียง โดยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศการสื่อสารได้
เพื่อให้ประชาชนผู้ยื่นขอรังวัดสอบเขตที่ดินได้รับความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการจากภาครัฐ
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์และกรุงเทพมหานคร ที่กำหนดให้การติดต่อหรือแจ้งผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียง
กรณีที่เจ้าของที่ดินข้างเคียงเป็นนิติบุคคลให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งไปยังที่ตรวจสอบจากระบบเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
อาจไม่ครอบคลุมนิติบุคคลที่มีกฎหมายอื่นกำหนดให้จัดตั้งขึ้น ซึ่งไม่ได้อยู่ในกำกับดูแลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
และแก้ไขร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ ๒ วรรคสอง จาก “ในกรณีที่ไม่สามารถติดต่อผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียงนั้นมาลงชื่อรับรองแนวเขตหรือคัดค้านรังวัดไว้ในที่เปิดเผย
ณ สำนักงานที่ดินและที่ทำการผู้ใหญ่บ้านแห่งท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่....”
ควรแก้ไขเป็น
“ในกรณีที่ไม่สามารถติดต่อผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียงให้มาระวังแนวเขตได้
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ติดต่อโดยวิธีปิดประกาศเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่เดินข้างเคียงนั้นมาลงชื่อรับรองแนวเขตหรือคัดค้านการรังวัดไว้ในที่เปิดเผย
ณ สำนักงานที่ดิน รวมทั้งที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน
หรือสำนักงานเขตแห่งท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่....”
เนื่องจากได้มีประกาศกรุงเทพมหานครยกเลิกตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านในเขตกรุงเทพมหานครแล้วทั้งหมด
และแก้ไขคำว่า “เจ้าของที่ดินข้างเคียง” เป็น ผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียง”
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
434 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายกีรติ รัชโน ฯลฯ จำนวน 3 ราย) | พณ. | 16/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง
จำนวน ๓ ราย เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑. นายกีรติ รัชโย ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายพิทักษ์
อุดมวิชัยวัฒน์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ๓. นายวันชัย วราวิทย์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
435 | ขออนุมัติกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 เพิ่มเติม | พณ. | 09/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวภายใต้โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปี ๒๕๖๔/๖๕ เพิ่มเติม ของกระทรวงพาณิชย์
เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้จาการจำหน่ายข้าวเปลือกในราคาที่เหมาะสมและสามารถป้องกันความเสี่ยงในการจำหน่ายผลผลิต
และช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากผลกระทบของสถานการณ์ Covid-19 ๒.
มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาจัดหาแหล่งเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปี ๒๕๖๔/๖๕ เพิ่มเติม ภายใต้กรอบวงเงินจำนวน ๗๖,๐๘๐.๙๕ ล้านบาท โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ตลอดจนกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่ควรเร่งดำเนินการพิจารณาแหล่งเงินภายใต้อัตราชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรัฐ
สัดส่วนวงเงินตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังภาครัฐ
และปรับปรุงคุณภาพข้าวให้ได้มาตรฐานซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำในเบื้องต้นและไม่ส่งผลต่อราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง
รวมทั้งพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและการยกระดับมูลค่าข้าวจากคุณภาพมาตรฐาน
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
436 | การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากของเกษตรกร | นร. | 09/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า
ปัจจุบันมีเกษตรกรจำนวนมากที่ประสบความเดือดร้อนและมีความยากลำบากในการประกอบอาชีพอันเนื่องมาจากปัญหาต่าง
ๆ หลายประการ เช่น ต้นทุนทางการผลิตสูง ราคาผลผลิตตกต่ำ
ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง
ขาดแคลนปัจจัยการผลิตและอุปกรณ์เครื่องมือทางการเกษตร
ขาดความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัยทั้งในด้านของการผลิตและการตลาด เป็นต้น ดังนั้น
เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าว
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ)
เป็นประธานในการบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงมหาดไทย เพื่อกำกับ
ติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในภาพรวม
ให้สามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างเป็นระบบและเกิดผลเป็นรูปธรรมได้อย่างรวดเร็วภายในฤดูการผลิตครั้งต่อไป
ทั้งนี้ ให้รายงานผลให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
437 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านภาพยนตร์ระหว่างทบวงกิจการภาพยนตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย | วธ. | 19/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านภาพยนตร์ระหว่างทบวงกิจการภาพยนตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย (Memorandum of Understanding on Film Cooperation between the China Film Administration of the People’s Republic of China And the Ministry of Culture of the Kingdom of Thailand) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระดับทวิภาคีในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระหว่างจีนและไทย
เช่น (๑) ผู้เข้าร่วมแต่ละฝ่ายจะเป็นเจ้าภาพจัดนิทรรศการภาพยนตร์หนึ่งครั้ง
สำหรับผู้เข้าร่วมอีกฝ่าย
และส่งคณะผู้แทนภาพยนตร์ไปร่วมกิจกรรมตามหลักการต่างตอบแทนในช่วงระยะเวลาที่มีผลของบันทึกความเข้าใจ
(๒) ผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนการร่วมผลิตภาพยนตร์ในประเด็นความสนใจร่วมกัน
สถานที่ถ่ายทำ และการผลิตในอาณาเขตของแต่ละฝ่าย (๓)
ผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนให้ช่องโทรทัศน์/ภาพยนตร์ของทั้งสองประเทศนำเข้าและออกอากาศภาพยนตร์ของกันและกัน
(๔) ผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนให้การจัดทำข้อตกลงในการร่วมผลิตภาพยนตร์ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ
เป็นต้น ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านภาพยนตร์ระหว่างทบวงกิจการภาพยนตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ เป็นต้น
พิจารณากำหนดแนวทางในการส่งเสริมและขยายความร่วมมือด้านการผลิตภาพยนตร์ไปยังภาคเอกชนของทั้ง
๒ ประเทศให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งแนวทางในการส่งเสริมอุตสาหกรรมบันเทิงในรูปแบบออนไลน์หรือดิจิทัล
และการส่งเสริมการตลาดของไทยให้มีความพร้อมในด้านต่าง ๆ เช่น
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการผลิต การส่งออกผลิตภัณฑ์
และการให้บริการด้านบันเทิงในรูปแบบออนไลน์หรือดิจิทัลของไทยให้แพร่หลายต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
438 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหอการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ. | 19/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหอการค้า
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหอการค้า
พ.ศ. ๒๕๐๙
โดยแก้ไขเพิ่มเติมหน้าที่ของหอการค้าให้ดำเนินภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการค้า
การเพิ่มข้อยกเว้นเพื่อให้หอการค้าสามารถประกอบวิสาหกิจเพื่อส่งเสริมการค้าได้มากขึ้น
และแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การเลิกหอการค้าเพื่อให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งยกเลิกการกำหนดเพดานอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ของสภาผู้แทนราษฎรดังกล่าว
ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว
และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
439 | การร่วมรับรองเอกสารกรอบความร่วมมืออาเซียนด้านการสร้างความเข้มแข็งของนโยบายส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ (ASEAN Collaboration Framework towards Strengthening Evidence-Based MSME Policies) | นร.53 | 12/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการร่วมรับรองเอกสารกรอบความร่วมมืออาเซียนด้านการสร้างความเข้มแข็งของนโยบายส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง
ขนาดย่อม และรายย่อย ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ (ASEAN
Collaboration Framework towards Strengthening Evidence-Based
MSME Policies) โดยให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(AEC Council) หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองเอกสาร
ในการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญ
คือ เป็นกรอบความร่วมมือที่กำหนดวัตถุประสงค์ ขอบเขต
และเสนอแผนปฏิบัติการเพื่อแนะนำประเทศสมาชิกอาเซียนในการเก็บข้อมูลของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้มแข็งของกลไกในการเก็บข้อมูลทางธุรกิจของผู้ประกอบการและการยกระดับขีดความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวแก่ประเทศสมาชิกอาเซียน
สร้างความทันสมัยให้แก่ระบบการจดทะเบียนธุรกิจด้วยการนำเลขทะเบียนนิติบุคคลเดียวมาใช้ร่วมกันทั้งสิบประเทศสมาชิก
และอำนวยความสะดวกแก่การค้าภายในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นต้น ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารกรอบความร่วมมืออาเซียนด้านการสร้างความเข้มแข็งของนโยบายส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง
ขนาดย่อม และรายย่อย ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
440 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 35/2564 | นร.11 สศช | 05/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓๕/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติให้กรมการแพทย์
สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมสนับสนุนการบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และมหาวิทยาลัยมหิดล เปลี่ยนแปลงรายละเอียดสาระสำคัญของโครงการ
จำนวน ๗ โครงการ โดยขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๔
รับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการ และข้อเสนอแนวทางการดำเนินโครงการรถ Mobile พาณิชย์... ลดราคา! ช่วยประชาชน
กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก พร้อมทั้งอนุมัติให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ Mobile พาณิชย์...
ลดราคา! ช่วยประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก อนุมัติให้สวนพุทธชาติ
ศูนย์เรียนรู้บริหารจัดการขยะอย่างยั่งยืน/สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการสร้างต้นแบบศูนย์เรียนรู้การบริหารจัดการขยะอย่างยั่งยืนและครบวงจร
เพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และสร้างต้นแบบ ๑ อำเภอ
๑ ตำบล ของสุพรรณบุรี เพื่อการบริหารจัดการขยะอย่างยั่งยืน พร้อม “ร้านรวยน้ำใจ”
สู้วิกฤติการระบาดของไวรัสโควิด-๑๙ โดยขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ
เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๔ และเปลี่ยนพื้นที่ดำเนินการ ๑ พื้นที่ จากเดิม
พื้นที่เทศบาล ต.องค์พระ อ.ด่านช้าง เป็นพื้นที่เทศบาล ต.สองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง
เห็นชอบให้จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดนครปฐม จังหวัดลำพูน
และจังหวัดยโสธร เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ หรือยกเลิกโครงการ
เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ทำให้การดำเนินโครงการล่าช้ากว่าแผนที่ได้รับอนุมัติไว้
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้กระทรวงต้นสังกัด
หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์
ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด ให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการทั้งในช่วงระหว่างดำเนินโครงการและภายหลังสิ้นสุดโครงการ
เพื่อประกอบการจัดทำรายงานตามข้อ ๑๙ และข้อ ๒๐ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ พ.ศ.
๒๕๖๓ ตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้
หากหน่วยงานเจ้าของโครงการได้ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีกแต่ยังมีเงินกู้เหลือจ่าย
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งดำเนินการส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายตามความเห็นของกระทรวงการคลังอย่างเคร่งครัดด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |