ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 27 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 521 - 540 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
521 | ขออนุมัติงบประมาณโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก | พณ. | 09/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกจากงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้แก่กระทรวงพาณิชย์ จำนวน ๑๘๘.๙๕
ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับ ดูแล
และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งควรพิจารณาความครบถ้วนและความถูกต้องของเอกสารหลักฐานที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการเก็บสต็อกภายใต้โครงการชดเชยดอกเบี้ยฯ
เพื่อให้การเบิกจ่ายค่าชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกมีความถูกต้อง
โปร่งใส และสามารถใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบการดำเนินโครงการชดเชยดอกเบี้ยฯ
ในภายหลังได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
522 | มาตรการการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ | ทส. | 02/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. การแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ
เช่น (๑) จัดสถานที่รับคืนขยะอิเล็กทรอนิกส์จากประชาชน และนำไปจัดการอย่างถูกต้อง
(๒) เฝ้าระวังสุขภาพอนามัยของประชาชนที่เกิดจากการประกอบกิจกรรมถอดแยกและรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างไม่ถูกต้อง
และเฝ้าระวังการปนเปื้อนมลพิษและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (๓) ออกกฎ/ระเบียบ เช่น
กฎกระทรวงการจัดการมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน พ.ศ. ๒๕๖๓ และ (๔)
พัฒนาเทคโนโลยี/นวัตกรรม ด้านการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ๒. การแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ
เช่น (๑) ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
กำหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๖๓
(๒) จัดให้มีระบบการตรวจสอบตู้บรรทุกสินค้าอย่างเข้มงวด และ (๓)
เฝ้าระวังสุขภาพอนามัยประชาชนจากการประกอบกิจกรรมถอดแยกและรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างไม่ถูกต้อง
และเฝ้าระวังการปนเปื้อนมลพิษที่เกิดจากการถอดแยกและรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างไม่ถูกต้อง
เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
523 | ผลการสรรหากรรมการในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (1. นายกฤษฎา เปี่ยมพงศ์สานต์) | สขค | 26/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า จำนวน ๓ คน แทนรองประธานกรรมการและกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่งโดยวิธีจับฉลาก
(ตามมาตรา ๑๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า
พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการสรรหาได้คัดเลือกแล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
ดังนี้ ๑. นายกฤษฎา เปี่ยมพงศ์สานต์ ๒. นางปัทมา
เธียรวิศิษฎ์สกุล ๓ นายรักษเกชา แฉ่ฉาย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
524 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 (เพิ่มเติม) | กษ. | 26/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบค่าบริหารจัดการโครงการสำหรับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ครัวเรือนละ ๗ บาท
กรณีถ้ามีครัวเรือนเกษตรกรเพิ่มเติมจากที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว ๒๐๐,๐๐๐
ครัวเรือน เพื่อให้ครอบคลุมการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างทั่วถึง
โดยเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณเดิมจากโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย
ปี ๒๕๖๓ ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๓
วงเงินงบประมาณ จำนวน ๓,๔๔๐.๐๕ ล้านบาท ๑.๒ มอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรดำเนินการโอนเงินให้เกษตรกรได้ตั้งแต่วันถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ๑.๓
เห็นชอบขยายระยะเวลาโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี ๒๕๖๓ จากเดิมสิ้นสุดวันที่
๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๔ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงบประมาณ เข่น เห็นควรจัดทำรายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่เกษตรกรชาวสวนลำไยได้รับจากการดำเนินโครงการฯ
เพื่อให้มีข้อมูลประกอบการกำหนดแนวทางการพัฒนาและบริหารจัดการลำไยที่เหมาะสม
เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการบริหารจัดการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
525 | รายงานผลการดำเนินการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2563 ของกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานผลการดำเนินการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดศรีสะเกษ
เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๓ ของกระทรวงพาณิชย์
รวมทั้งเสนอประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาของจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดศรีสะเกษ
เช่น การแก้ปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย การสร้างถนนเชื่อมเส้นทางการค้าชายแดน
และการแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตร เป็นต้น
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และความเห็นของกระทรวงมหาดไทยที่เห็นควรส่งเสริมด้านการตลาด
โดยจัดหาแหล่งจำหน่ายผลผลิตและผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น
เพื่อช่วยสร้างรายได้ให้กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและผลกระทบในสภาวะวิกฤตอื่น
ๆ ได้มากขึ้น
รวมทั้งพิจารณาทบทวนการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรับประเด็นไปพิจารณาดำเนินการให้ครอบคลุมทุกมิติและภารกิจ
ตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยการบูรณาการความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน
เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนครอบคลุมทุกมิติ เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม
และรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
526 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 26 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) | นร.11 | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๖ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT)
ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ และเห็นชอบการมอบหมายหน่วยงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๖ แผนงาน IMT-GT และผลการประชุมอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๖ แผนงาน IMT-GT ได้มีการพิจารณารายงานของที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส
ครั้งที่ ๒๖ รายงานของที่ประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๑๗
และรายงานของธนาคารพัฒนาเอเชีย
รวมทั้งเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๖
โดยมีการปรับปรุงเพิ่มเติมให้มีเนื้อหาที่มีความถูกต้องและแม่นยำยิ่งขึ้น
แต่ยังคงไว้ซึ่งเนื้อหาและสาระสำคัญตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๓
พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ เช่น
การให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙
และสอดคล้องกับกรอบการฟื้นฟูที่ครอบคลุมของอาเซียน (ASEAN Comprehensive
Recovery Framework) และแผนการดำเนินการตามกรอบการฟื้นฟู (Implementation
Plan) เพื่อให้การดำเนินการรับมือโควิด-๑๙ ของภูมิภาคเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
รวมทั้งให้ปรับปรุงตารางมอบหมายภารกิจหน่วยงานดำเนินงานตามผลการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๖ แผนงาน IMT-GT ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ก่อนดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
527 | การกำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าควบคุมปี
๒๕๖๔ จำนวน ๔ รายการ ได้แก่ (๑) หน้ากากอนามัย (๒) ใยสังเคราะห์ Polypropylene
(Spunbond) เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย
(๓) ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ และ (๔)
เศษกระดาษ และกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามสถานการณ์การผลิตและความต้องการใช้ภายในประเทศอย่างใกล้ชิด
และการกระจายสินค้าดังกล่าวอย่างทั่วถึงแก่ประชาชน นอกจากนี้
ควรเร่งรัดประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจให้ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง
รวมทั้งกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างจริงจัง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
528 | ยุทธศาสตร์ข้าวไทย ปี 2563-2567 | พณ. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบยุทธศาสตร์ข้าวไทย
ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๗ ซี่งคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่
๔/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์ดังกล่าวแล้ว
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. วิสัยทัศน์
“ไทยเป็นผู้นำการผลิต การตลาดข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพโลก” ภายใต้ยุทธศาสตร์
“ตลาดนำการผลิต” โดยแบ่งข้าวออกเป็น ๗ ชนิด ตามความต้องการของตลาด ๓ ประเภท ดังนี้
(๑) ตลาดพรีเมียม ได้แก่ ข้าวหอมมะลิและช้าวหอมไทย (๒) ตลาดทั่วไป ได้แก่
ข้าวขาวพื้นนุ่ม ข้าวขาวพื้นแข็ง และข้าวนึ่ง และ (๓) ตลาดเฉพาะ ได้แก่
ข้าวเหนียวและข้าวสีหรือข้าวคุณลักษณะพิเศษ ๒. พันธกิจ ๔ ด้าน ๒.๑ ด้านการตลาดต่างประเทศ ได้แก่
พัฒนาสินค้าข้าวให้มีความหลากหลายและตรงกับความต้องการของตลาด
สร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัย สร้างทีมนักขาย ขยายตลาด
ส่งออกข้าวที่มีคุณภาพและแข่งขันได้ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ๒.๒ ด้านการตลาดภายในประเทศ ได้แก่
รักษาคุณภาพข้าวและสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
รักษาสมดุลและสร้างเสถียรภาพราคา พัฒนากลไกการซื้อขายข้าวให้ได้มาตรฐาน
และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายและความต้องการบริโภค ๒.๓ ด้านการผลิต ได้แก่ พัฒนาชาวนาให้มีความเข้มแข็ง
พึ่งพาตนเองได้ อยู่ดีมีสุข บริหารจัดการด้านการผลิตข้าวให้มีประสิทธิภาพ
ตรงตามความต้องการของตลาด
วิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวและการผลิตข้าวให้สามารถแข่งขันได้
และส่งเสริมสนับสนุนการแปรรูปและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงตามความต้องการของตลาด ๒.๔
ด้านการผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าว ได้แก่
สนับสนุนการวิจัยและการพัฒนาเพื่อสร้างงานวิจัย
เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการแปรรูปข้าวให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าสูง
ส่งเสริมการใช้ระบบสารสนเทศตลอดจนห่วงโซ่อุปทานของผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าว
ส่งเสริมการขายช่องทางการตลาดและประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าวทั้งในประเทศและต่างประเทศ
และเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากข้าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
529 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | พณ. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย
(องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ
(องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเปลี่ยนชื่อองค์กรจาก
“ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน)” เป็น
“สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน”
ปรับปรุงวัตถุประสงค์หน้าที่และอำนาจของสถาบัน
องค์ประกอบของคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย ตลอดจนบทบัญญัติต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของสถาบัน
และเพื่อให้สถาบันเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลส่งเสริมและสนับสนุนศิลปหัตถกรรมไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะกำกับดูแลศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ
(องค์การมหาชน) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง เช่น (๑)
การดำเนินงานของสถาบันควรได้รับการพิจารณาสนับสนุนด้านงบประมาณจากรัฐบาลผ่านกระบวนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี
และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มอำนาจให้สถาบันสามารถกู้ยืมเงินเองได้
จึงเห็นควรตัดความในร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มาตรา ๑๐ (๕)
เรื่องอำนาจในการกู้ยืมเงินของสถาบันออก (๒) แก้ไขถ้อยคำตามร่างมาตรา ๑๒
ที่กำหนดให้บรรดารายได้ของสถาบันไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง
และกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ เป็น “มาตรา ๑๒ บรรดารายได้ของสถาบันไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ”
และ (๓) ตัดความในร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มาตรา ๒๑ (๓) (จ)
ในส่วนที่เกี่ยวกับการพัสดุออก เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.
เกี่ยวกับค่าตอบแทนการเลิกจ้างแก่เจ้าหน้าที่ผู้ไม่ประสงค์จะทำงานต่อไป
หรือไม่ได้รับการคัดเลือกและบรรจุ เห็นควรให้ใช้จ่ายเงินสะสมของสถาบันที่ได้รับโอนตามนัยมาตรา
๔๖ ของร่างพระราชกฤษฎีกาฯ
โดยการเบิกจ่ายจากแหล่งเงินดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และไม่มีความซ้ำซ้อน
รวมทั้งการคัดเลือกเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ
(องค์การมหาชน) เพื่อบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของสถาบัน ตามร่างมาตรา ๔๙
ควรดำเนินการตามระบบคุณธรรมและคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรม
เพื่อให้ได้ทรัพยากรที่มีศักยภาพสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และภารกิจขององค์กร
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
530 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (นายวิชัย โภชนกิจ และ นายเติมศักดิ์ บุญชื่น) | พณ. | 12/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร
ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ(๑๒
มกราคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑. นายวิชัย โภชนกิจ ด้านการตลาด ๒. นายเติมศักดิ์ บุญชื่น ด้านการผลิต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
531 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง | กต. | 12/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน
ครั้งที่ ๓๗ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง รวม ๑๔ การประชุม
ซี่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในฐานะประธานอาเซียน ปี ๒๕๖๓
ได้จัดการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
โดยภาพรวมของการประชุมฯ
ประเด็นสำคัญที่มีการหารือกันอย่างกว้างขวางและทุกประเทศให้ความสำคัญ ได้แก่
การขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน
การรับมือกับการแพร่ระบาดและผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙)
การฟื้นฟูและสร้างอนาคตที่เข้มแข็งและยั่งยืนในยุคหลังโควิด-๑๙ และสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศ
โดยมีเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมในครั้งนี้รวมทั้งสิ้น ๒๐ ฉบับ
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมฯ
ไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เสนอขอปรับปรุงตารางติดตามผลการประชุมฯ
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
532 | การพิจารณกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางเรือ | นร. | 12/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางเรือ
ซี่งได้รับผลกระทบการประกอบกิจการในช่วงภาวะวิกฤตจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) เช่น การอนุญาตให้เรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่กว่าที่กำหนดไว้เดิมสามารถเข้าเทียบท่าได้เพื่อขนส่งสินค้าในปริมาณที่มากขึ้น
การผ่อนปรนการเรียกเก็บค่าบริการท่าเทียบเรือ เป็นต้น ทั้งนี้
ให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
533 | ผลการประชุมด้านเศรษฐกิจในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 | พณ. | 05/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมด้านเศรษฐกิจในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน
ครั้งที่ ๓๗ ซี่งประกอบด้วยการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๑๙
การประชุมหารือระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนไตรภาคีแบบเปิดกับสวิตเซอร์แลนด์
และการประชุมเตรียมการรัฐมนตรีความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
เมื่อวันที่ ๑๐-๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์
(นายสรรเสริญ สมะลาภา) เข้าร่วมการประชุม
และการประชุมสุดยอดความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ครั้งที่ ๔
เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
การประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๑๙
ที่ประชุมได้รับทราบประเด็นสำคัญ เช่น
รับทราบการทบทวนแผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ ระยะกลางฉบับเบื้องต้น
โดยมีข้อเสนอแนะสำคัญ เช่น การสนับสนุนยุทธศาสตร์อาเซียนในประเด็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่
๔ การส่งเสริมวาระการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าโลกแบบองค์รวม
และการมีกลยุทธ์ความสัมพันธ์กับภายนอกภูมิภาคเชิงรุกและเชิงยุทธศาสตร์มากขึ้น
และรับทราบความคืบหน้าการจัดทำแผนยุทธศาสตร์อาเซียนในประเด็นการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ครั้งที่ ๔
โดยจะดำเนินการแล้วเสร็จและเสนอผู้นำอาเซียนพิจารณาให้การรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียนช่วงเดือนพฤศจิกายน
๒๕๖๔ เป็นต้น ๒.
การประชุมหารือระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนไตรภาคีแบบเปิดกับสวิตเซอร์แลนด์
ที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองและข้อมูลในประเด็นด้านเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์
เช่น การเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการระบาดใหญ่ของโควิด-๑๙
การส่งเสริมความร่วมมือด้านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล
และการให้ภาคธุรกิจโดยเฉพาะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม
และรายย่อยมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศและระบบการค้าดิจิทัลมากขึ้น
เป็นต้น ๓. การประชุมเตรียมการรัฐมนตรีความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและการประชุมสุดยอดความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
ครั้งที่ ๔ ที่ประชุมได้เห็นชอบการแปลงสถานะของคณะกรรมการเจรจาจัดทำความตกลง Regional
Comprehensive Economic Partnership (RCEP) เป็นคณะกรรมการร่วม
RCEP ชั่วคราว
เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการเตรียมการสำหรับการมีผลใช้บังคับของความตกลง และปฏิญญาของรัฐมนตรี
RCEP เรื่องการเข้าร่วมความตกลง RCEP ของอินเดีย
โดยมีสาระสำคัญ คือ สมาชิก RCEP จะเริ่มการเจรจากับอินเดียเมื่ออินเดียยื่นแสดงเจตนารมณ์เป็นลายลักษณ์อักษรหลังการลงนามโดยสามารถเข้าร่วมความตกลงได้ทันทีที่ความตกลงมีผลใช้บังคับและเปิดให้อินเดียเข้าร่วมการประชุม
RCEP ในฐานะผู้สังเกตการณ์และเข้าร่วมกิจกรรมความร่วมมือทางเศรษฐกิจตามเงื่อนไขที่รัฐผู้ลงนามความตกลงกำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
534 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ รัฐเตลังคานา สาธารณรัฐอินเดีย | พณ. | 05/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์
รัฐเตลังคานา สาธารณรัฐอินเดีย (Memorandum of Understanding between
Ministry of Commerce, Royal Thai Government and Department of Industries and
Commerce, Government of Telangana, Republic of India) และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
(จะมีการจัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจฯ รูปแบบออนไลน์ในช่วงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔)
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน
รวมทั้งแลกเปลี่ยนด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีภายใต้ขอบเขตความร่วมมือ ได้แก่
การแลกเปลี่ยนข้อมูลการตลาด การสนับสนุนเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของภาคธุรกิจ
การส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงทางธุรกิจระหว่างกัน
การอำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมทางธุรกิจประเภทต่าง ๆ
การเชื่อมโยงแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสในการเจรจาการค้า การแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านสตาร์ทอัพผ่านศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ
การให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนต่าง ๆ
และการให้สิทธิประโยชน์หรือสิทธิพิเศษทางภาษีแก่นักลงทุนที่ใช้ไม้ยางพาราจากไทย
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า (๑)
หากในอนาคตมีการดำเนินงานส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกทางการค้าให้แก่สินค้าจากอินเดีย
ฝ่ายไทยก็ควรพิจารณาขอรับการอำนวยความสะดวกดังกล่าวเช่นกัน (๒) กระทรวงพาณิชย์ควรเน้นย้ำความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมในการแลกเปลี่ยนสตาร์ทอัพระหว่างกันเพื่อเป็นการสร้างประสบการณ์และทักษะด้านการบริหารจัดการให้กับสตาร์ทอัพไทย
รวมทั้งการเชื่อมโยงนักลงทุนและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่อินเดียมีศักยภาพและใช้เทคโนโลยีสูงเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้กับบุคลากรไทย
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและอุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ และ (๓)
กระทรวงพาณิชย์ควรประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเร่งรัดการอำนวยความสะดวกและสงเสริมให้ผู้ประกอบการไทยใช้สิทธิประโยชน์จากความร่วมมือดังกล่าว
โดยเฉพาะการขยายตลาดการค้าและการลงทุนในกลุ่มสินค้าเกษตรที่ไทยมีศักยภาพ อาทิ
ไม้ยางพารา และสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งรวมถึงอาหารและผลิตภัณฑ์ฮาลาล
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
535 | การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษและการกำหนดวันหยุดราชการประจำภูมิภาค รวมทั้งการเลื่อนวันหยุดชดเชยวันหยุดราชการ ประจำปี 2564 | นร 05 | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่อง
การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษและการกำหนดวันหยุดราชการประจำภูมิภาค
รวมทั้งการเลื่อนวันหยุดชดเชยวันหยุดราชการ ประจำปี ๒๕๖๔ แล้ว ลงมติว่า ๑. เห็นชอบการกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษและวันหยุดราชการประจำภูมิภาค
ประจำปี ๒๕๖๔ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้วันศุกร์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
วันจันทร์ที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๔ วันอังคารที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔ และวันศุกร์ที่ ๒๔
กันยายน ๒๕๖๔ เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ๑.๒ กำหนดให้วันศุกร์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๔ เป็นวันหยุดราชการประจำภาคเหนือ
(ประเพณีไหว้พระธาตุประจำปี) วันจันทร์ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เป็นวันหยุดราชการประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(ประเพณีงานบุญบั้งไฟ) วันพุธที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๔ เป็นวันหยุดราชการประจำภาคใต้ (ประเพณีสารทเดือนสิบ)
และวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ เป็นวันหยุดราชการประจำภาคกลาง (เทศกาลออกพรรษา) ๑.๓
ให้เลื่อนวันหยุดชดเชยวันปิยมหาราชจากวันจันทร์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๔ เป็นวันศุกร์ที่
๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๔ ๑.๔
ในกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนหรือมีความจำเป็นหรือราชการสำคัญในวันหยุดดังกล่าวที่ได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว
ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน
ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร
โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและกระทบต่อการให้บริการและการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ๑.๕ ในส่วนของรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน
และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงานพิจารณาความเหมาะสมของการกำหนดเป็นวันหยุดให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องในแต่ละกรณีต่อไป
๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม
และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการจูงใจให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวและบริโภคสินค้าภายในประเทศมากขึ้น
เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก
รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
536 | การยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมในโครงการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของภูมิภาค โครงการที่ 2 เพื่อยุติโครงการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง โครงการที่ 2 ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน | พณ. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมในโครงการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของภูมิภาค
โครงการที่ ๒ เพื่อยุติโครงการดังกล่าวภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN
Trade In Goods Agreement : ATIGA) โดยมอบหมายให้กรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อยุติโครงการนำร่องฯ
โครงการที่ ๒ และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือทางการทูต (Diplomatic
Note) แจ้งต่อเลขาธิการอาเซียน
เพื่อที่ประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการนำร่องฯ โครงการที่ ๒ ได้แก่ ฟิลิปปินส์
อินโดนีเซีย สปป.ลาว ไทย และเวียดนาม
จะได้ยุติการดำเนินการที่เกี่ยวข้องภายใต้โครงการนำร่องฯ โครงการที่ ๒
และเปลี่ยนผ่านไปใช้ระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน (ASEAN
Wide Self-Certification : AWSC) ซึ่งเป็นระบบเดียวกันทั้ง ๑๐ ประเทศในอาเซียน โดยระบบ AWSC มีผลใช้บังคับแล้วเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการยุติโครงการนำร่องฯ
โครงการที่ ๒ ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ทำให้ผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกที่ได้รับการรับรองอีกครั้งเมื่อปรับเปลี่ยนจากโครงการนำร่องฯ
โครงการที่ ๒ เป็นระบบ AWSC ดังนั้น
กระทรวงพาณิชย์ควรเร่งประชาสัมพันธ์แนวทางการขึ้นทะเบียนและการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองตามความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนในวงกว้าง
เพื่อให้ผู้ประกอบการรับทราบและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
537 | การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2564 - 2566 สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป | กษ. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี ๒๕๖๔-๒๕๖๖ สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง
และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปตามมติคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ ประกอบด้วย (๑)
เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ปริมาณในโควตา ปีละ ๓.๑๕ ตัน อัตราภาษีในโควตา ร้อยละ ๐
และนอกโควตา ร้อยละ ๒๑๘ (๒) หอมหัวใหญ่ ปริมาณในโควตาปีละ ๗๖๔ ตัน
(แห้งเป็นผงและไม่เป็นผง) อัตราภาษีในโควตา ร้อยละ ๒๗ และนอกโควตาร้อยละ ๑๔๒ (๓)
หัวพันธุ์มันฝรั่ง ปริมาณในโควตาไม่จำกัดจำนวน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐
และนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ และ (๔) หัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป มีปริมาณในโควตาปี ๒๕๖๔
จำนวน ๖๓,๐๐๐ ตัน ปี ๒๕๖๕ จำนวน ๗๑,๐๐๐ ตัน ปี ๒๕๖๖ จำนวน ๘๐,๐๐๐ ตัน
อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕
ตามที่คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
หากมีการส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบเกษตรแปลงใหญ่และระบบเกษตรพันธสัญญา (Contract
Farming) ควบคู่ไปด้วย ก็จะสามารถลดการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศและทำให้การบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรของไทยเกิดความยั่งยืนได้ต่อไป
และควรมีการติดตามสถานการณ์ด้านการผลิต การตลาด
และความเคลื่อนไหวของราคาของสินค้าหอมหัวใหญ่ เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่
หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป อย่างต่อเนื่องด้วย
รวมทั้งควรมีการพิจารณาแนวทางในการลดต้นทุนการผลิตและยกระดับประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรในการปลูกหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งให้มีความเหมาะสม
และสอดคล้องกับสภาพพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกร
เพื่อให้การผลิตหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งภายในประเทศมีปริมาณและคุณภาพที่เหมาะสม
เพียงพอต่อความต้องการใช้ และไม่กระทบต่อตลาดในประเทศ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๒.
มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการเพิ่มปริมาณผลผลิตหัวมันฝรั่งสดภายในประเทศทดแทนการนำเข้า
เช่น การส่งเสริมการเพาะปลูกมันฝรั่งสดทดแทนพืชชนิดอื่น
เพื่อให้มีผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศมากยิ่งขึ้น
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง
การขอขยายปริมาณในโควตาการนำเข้าสินค้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปภายใต้ความตกลงองค์การการค้าโลก
(WTO) ปี ๒๕๖๓ เพิ่มเติม] ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
538 | การขยายระยะเวลาการลดค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (ร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ พ.ศ. ....) | พณ. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเพื่อขยายระยะเวลาและลดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน
การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสาร พร้อมคำรับรอง
และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด พ.ศ. ๒๕๖๓ ลงกึ่งหนึ่ง
สำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในห้องที่จังหวัดนราธิวาส
จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลา เฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพา
อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย และจังหวัดสตูล เป็นระยะเวลา ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑
มกราคม ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงการจดทะเบียนนิติบุคคลผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและลดภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจ
และสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งแจ้งกระทรวงการคลังจัดทำประมาณการรายได้ เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนรายงานและติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ
เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.
๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
๓.
ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
539 | การดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2564 ให้แก่ประชาชน | พณ. | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่
พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้แก่ประชาชน โดยมีกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ (๑) พาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน “New
Year Grand Sale 2021” (๒) มหกรรมธงฟ้าต้อนรับเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๔ (๓)
ขยายเวลาการให้บริการประชาชนนอกเวลาทำการ (๔) ลดค่าธรรมเนียมและขั้นตอนเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า
(๕) มอบส่วนลดให้ผู้ประกอบการและประชาชน (๖) งานแสดงและจำหน่ายสินค้า และ (๗)
กิจกรรมส่งเสริมความรู้ในการประกอบธุรกิจ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
540 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์ | 22/12/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์ จำนวน ๑๒ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ดังนี้ ๑. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิม จำนวน ๕ คน ๑.๑ นายพิเศษ จียาศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๒ นางมรกต กุลธรรมโยธิน ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๓ นางสาวอรพรรณ พนัสพัฒนา ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๔ นางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๕ นายสรณันท์ จิวะสุรัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๒. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเสนอแต่งตั้งใหม่ จำนวน
๗ คน ๒.๑ นางเขมนรินทร์ รัตนาอัมพวัลย์ ผู้แทนสมาคมอีเลิร์นนิงแห่งประเทศไทย ๒.๒ นายกฤษณ์ ณ ลำเลียง ผู้แทนสมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย ๒.๓ นายเอกนรินทร์ ชูเลี่ยง ผู้แทนสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ๒.๔
นางสาวชญาภัช แสงทับทิม ผู้แทนสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจ บันเทิงไทย ๒.๕ นายเรืองกิจ
จึงทวีศิลป์ ผู้แทนสมาคมธุรกิจการถ่ายภาพ ๒.๖ นายสุพจน์
รัตนาพันธุ์ ผู้แทนสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่าย หนังสือแห่งประเทศไทย ๒.๗ นายจาฤก กัลย์จาฤก ผู้ทรงคุณวุฒิ
|