ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 181 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 3601 - 3620 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3601 | รายงานการส่งออก - นำเข้าสินค้าระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน (1 ต.ค. 46 - 30 ธ.ค. 47) และระหว่างไทยกับอินเดีย (1 ก.ย. 47 - 30 ธ.ค. 47) | พณ | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานการส่งออก-นำเข้าสินค้าระหว่างไทย
กับจีน และระหว่างไทยกับอินเดีย โดยการส่งออกสินค้าระหว่างไทยกับจีน ไทยส่งสินค้าออกไปจีน พิกัด ฯ 01-08 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546-30 พฤศจิกายน 2547 ปริมาณ 3,216,716 ตัน มูลค่า 14,860.19 ล้านบาท โดยสินค้าที่ส่งออก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังชนิดเป็นชิ้น ลำไยแห้ง ลำไยสด กุ้งแช่แข็ง และ ปลาแช่แข็ง ส่วนการนำเข้า ไทยนำสินค้าจากจีน พิกัด ฯ 01-08 ปริมาณ 343,211 ตัน มูลค่า 7,459.65 ล้านบาท โดยสินค้าที่นำเข้า ได้แก่ แอปเปิ้ล ปลาแช่แข็ง แพร์และควินส์สด เห็ดแห้ง และแครอท เทอร์นิพ สด/แช่เย็น ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546-พฤศจิกายน 2547 ไทยได้ดุลการค้ากับจีน จำนวน 7,400.54 ล้านบาท เปรียบเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนไทยยังคงได้ดุลการค้าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 22 สำหรับการ ส่งออกสินค้าระหว่างไทยกับอินเดีย ไทยส่งออกสินค้าที่อยู่ในรายการสินค้าที่มีการเร่งลดภาษีระหว่างกัน จำนวน 82 รายการ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2547-30 พฤศจิกายน 2547 ปริมาณ 7,434 ตัน มูลค่า 2,028.14 ล้านบาท โดยสินค้าที่ส่งออก ได้แก่ เครื่องรับโทรทัศน์สี โพลิคาร์บอเนต ส่วนประกอบเครื่อง ยนต์ ฯ รัตนชาติไม่ได้ตกแต่ง ฯ หลอดภาพแคโทดเรย์ของเครื่องรับโทรทัศน์สี และอิพอกไซด์เซิน ส่วนการ นำเข้า ไทยนำเข้าสินค้าจากอินเดียในรายการสินค้าที่มีการเร่งลดภาษีระหว่างกัน จำนวน 82 รายการ ปริมาณ 7,424 ตัน มูลค่า 488.62 ล้านบาท โดยสินค้าที่นำเข้า ได้แก่ กระปุกเกียร์ หลอดภาพแคโทด เรย์ของเครื่องรับโทรทัศน์สี ส่วนประกอบเครื่องเพชรพลอยทำด้วยโลหะมีค่า และอะลูมิเนียมเจือ ทั้งนี้ ตั้ง แต่วันที่ 1 กันยายน-30 พฤศจิกายน 2547 ไทยได้ดุลการค้ากับอินเดีย จำนวน 1,539.52 ล้านบาท เปรียบเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนไทยยังคงได้ดุลการค้าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 769
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3602 | การรักษาคุณภาพข้าวหอมมะลิ | พณ | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานการดำเนินการรักษาคุณภาพข้าวหอมมะลิ
จากกรณีที่มีข่าวการตรวจพบและจับกุมโรงสีและฉางข้าวที่ปลอมปนข้าวปทุมธานีกับข้าวหอมมะลิในหลายจังหวัด เช่น ขอนแก่น ศรีสะเกษ เพื่อจะนำมาเข้าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2547/48 ในภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ โดยจุดที่มีการปลอมปนมากที่สุด คือ จังหวัดนครราชสีมา สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ มหาสาร คาม ร้อยเอ็ด และขอนแก่น และจากการที่เกษตรกรได้นำข้าวพันธุ์ปทุมธานี 1 ไปเพาะปลูกในภาคตะวันออก เฉียงเหนือ อาจส่งผลให้ผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นในคุณภาพข้าวหอมมะลิ กระทรวง พาณิชย์จึงได้ขอความร่วมมือกระทรวงมหาดไทยรักษาคุณภาพข้าวหอมมะลิ โดยมอบหมายให้จังหวัดที่เป็นแหล่ง ผลิตข้าวหอมมะลิในภาคตะวันออกเฉียงเหนือรณรงค์รักษาคุณภาพข้าวหอมมะลิในจังหวัด โดยกำกับดูแลการซื้อ ขายข้าวหอมมะลิ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการแปรสภาพข้าวหอมมะลิที่ได้มาตรฐานเป็นที่น่า เชื่อถือ โดยให้การรับรองโรงสีที่ผลิตและจำหน่ายข้าวหอมมะลิที่ได้มาตรฐาน รวม 5 จังหวัด จำนวน 31 ราย รวมทั้งกำหนดมาตรฐานข้าวหอมมะลิและตรวจสอบคุณภาพข้าวหอมมะลิเพื่อการส่งออกอย่างเข้มงวด โดยบริษัท ผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้า (Surveyor) ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการค้าต่างประเทศ และจะมีการ สุ่มตรวจสอบทางพันธุกรรม (DNA) อีกชั้นหนึ่ง รวมถึงการกำหนดมาตรฐานข้าวหอมปทุมธานีเพื่อให้สามารถ จำแนกข้าวหอมปทุมธานีออกจากข้าวหอมมะลิไทยได้อย่างชัดเจน ส่วนการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2547/48 ตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 - 18 มกราคม 2548 ปริมาณรับจำนำรวมทั้งสิ้น 2,620,662 ตัน ยังไม่ปรากฏว่ามีการนำข้าวชนิดอื่นมาผสมปลอมปนและนำมาจำนำเป็นข้าวเปลือกหอมมะลิ หากในระยะต่อไปพบว่า มีการนำข้าวชนิดอื่นผสมปลอมปน และนำมาจำนำเป็นข้าวหอมมะลิ หรือส่งมอบเข้า โกดังกลางขององค์การคลังสินค้า ก็สามารถเรียกรับค่าเสียหายได้ โดยหักออกจากวงเงินค้ำประกันที่โรงสีและ โกดังกลางนำมาเป็นหลักฐานวางค้ำประกันไว้ สำหรับภาวะราคาข้าวหอมมะลิ ณ วันที่ 18 มกราคม 2548 ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิซื้อขายในตลาดทั่วไปเฉลี่ยตันละ 7,700 - 8,400 บาทต่ำกว่าราคารับจำนำที่กำหนด ไว้ ตันละ 9,700 - 10,000 บาท ส่งผลให้เกษตรกรนำข้าวเปลือกหอมมะลิมาจำนำมากกว่าที่จะขายในตลาด ทั่วไป ดังนั้น จึงขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ระมัดระวังในการให้ข่าวเกี่ยวกับการปลอมปนข้าวหอมมะลิ เพื่อมิให้เกิด ผลกระทบต่อความเชื่อถือของผู้บริโภคและภาพลักษณ์ของข้าวหอมมะลิไทย รวมทั้งการส่งออกข้าวหอมมะลิไทย ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3603 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้า
และบริการ (กกร.) ในการประชุม กกร. ครั้งที่ 1/2548 วันที่ 17 มกราคม 2548 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติให้ ทบทวนรายการสินค้าและบริการควบคุม จากเดิม 21 รายการ เป็น 18 รายการ โดยเป็นสินค้า 16 ราย การ ได้แก่ (1) ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (2) คอมแพ็กดิสก์ แถบบันทึกภาพ แถบบันทึกเสียง (3) เครื่องจักรที่ สามารใช้เพื่อประโยชน์ในการละเมิดลิขสิทธิ์คอมแพ็กดิสก์ แถบบันทึกภาพและแถบบันทึกเสียง (4) เครื่อง แบบนักเรียน (5) นมผง นมสด (6) น้ำตาลทราย (7) น้ำมันและไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ทั้งที่บริโภคได้ หรือไม่ได้ (8) น้ำมันเชื้อเพลิง (9) ปุ๋ย (10) ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช (11) ยารักษาโรค (12) รถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่ง รถยนต์บรรทุก (13) หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์ (14) เหล็กเส้น เหล็ก โครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่น (15) อัญมณี (16) ข้าวเปลือก ข้าวสาร และบริการ 2 รายการ ได้แก่ (1) การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า และ (2) การรับจัดการการให้ใช้สิทธิในลิขสิทธิ์ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนผู้บริโภคสำหรับรายการสินค้าและบริการ ที่ยกเลิกการควบคุมต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3604 | ความคืบหน้ากรณีสหรัฐอเมริกาจะเปิดทบทวนผลการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้ากุ้งของไทย | พณ | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานความคืบหน้ากรณีสหรัฐอเมริกาจะเปิด
ทบทวนการไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้ากุ้งของไทย โดยสถานการณ์ล่าสุดจนถึงวันที่ 20 มกราคม 2548 คณะ กรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศ (International Trade Commission : ITC) ยังไม่ประกาศผลการตัดสิน ความเสียหายขั้นสุดท้ายอย่างเป็นทางการ คาดว่า จะประกาศสัปดาห์หน้า หลังจากนั้นกระทรวงพาณิชย์ สหรัฐ ฯ (DOC) จะประกาศบังคับใช้มาตรการการประกาศอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) กับกุ้งนำ เข้าอย่างเป็นทางการภายใน 1 สัปดาห์ แล้ว ITC จึงจะประกาศได้ว่าจะเปิดทบทวนผลการพิจารณาอีกครั้ง หรือไม่ และยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า ITC จะใช้ข้อมูลจากแหล่งใดในการประเมินการเปิดทบทวนเอง (Self- initiate) สำหรับการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ ได้รับแจ้งข้อมูลความเสียหายของอุตสาหกรรมกุ้งจาก คลื่นสึนามิจากภาคเอกชนทั้งด้านการผลิตและการส่งออกกุ้งแล้ว และอยู่ระหว่างรอข้อมูลประเมินความเสีย หายที่เป็นทางการจากกรมประมง และจะมีหนังสือแจ้งสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย และ แจ้ง ITC เพื่อพิจารณาการเปิดทบทวนกรณีสถานการณ์เปลี่ยนแปลง (Changed Circumstance Review : CCR) ดังกล่าว รวมทั้งประสานกับสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน และทนายของผู้ส่งออก รายใหญ่ของไทยเพื่อติดตามสถานการณ์การดำเนินการและท่าทีของสหรัฐ ฯ อย่างใกล้ชิด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3605 | ผลกระทบจากการประกาศอัตราภาษีทุ่มตลาดขั้นสุดท้ายต่อการส่งออกกุ้งของไทย | พณ | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลกระทบจากการประกาศอัตราภาษีทุ่ม
ตลาดขั้นสุดท้ายต่อการส่งออกกุ้งของไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศผลอัตราภาษี ตอบโต้การทุ่มตลาดขั้นสุดท้ายของกุ้งที่นำเข้าจากไทย อินเดีย บราซิล และเอกวาดอร์ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2547 ในส่วนของไทย อัตราภาษีขั้นสุดท้าย 5.79-6.82 อัตราเฉลี่ย 6.03 โดยอัตราภาษีขั้นสุดท้ายนี้ได้ เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วภายหลังเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2548 คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศสหรัฐ ฯ (US ITC) ประกาศผลการพิจารณาขั้นสุดท้ายว่าอุตสาหกรรมกุ้งของสหรัฐ ฯ ได้รับความเสียหายจากการนำ เข้ากุ้งทั้ง 6 ประเทศผู้ส่งออก โดยอัตราค่าเฉลี่ยของภาษีขั้นสุดท้ายที่ประกาศออกมานี้ส่งผลให้ศักยภาพการ แข่งขันของไทยลดลงบ้าง แต่ไม่มีผลกระทบมากนัก แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกกุ้งของไทยโดยรวมใน ตลาดสหรัฐ ฯ และโดยที่ได้มีการกำหนดให้ผู้นำเข้าต้องวางเงินค้ำประกัน (Continuous bond) ซึ่งถือว่า เป็น cash bond ประเภทหนึ่ง โดยคำนวณจากอัตราภาษีทุ่มตลาดกับมูลค่านำเข้าของบริษัทจากประเทศที่ถูกฟ้อง ทุ่มตลาดตลอดทั้งปี เงื่อนไขดังกล่าวจะจำกัดให้เหลือผู้นำเข้าขนาดใหญ่เท่านั้น สำหรับสัดส่วนการนำเข้า สินค้ากุ้งในตลาดสหรัฐ ฯ คาดว่าไทยจะยังสามารถครองส่วนแบ่งในสหรัฐ ฯ ได้มากกว่าร้อยละ 20 และเป็น อันดับหนึ่งในสหรัฐ ฯ ต่อไป ทั้งนี้ ผลการเรียกเก็บภาษีทุ่มตลาดจะส่งผลให้การบริโภคกุ้งในสหรัฐ ฯ ลดลง เนื่องจากสินค้ากุ้งมีราคาสูงขึ้น ในส่วนของข้อคิดเห็น ผู้ส่งออกไทยจะต้องเตรียมความพร้อมในการทบทวน ภาษีทุ่มตลาดในแต่ละปีเพื่อให้ได้อัตราภาษีที่ต่ำลงต้องมีการพัฒนาพ่อแม่พันธุ์กุ้งโดยเฉพาะกุ้งกุลาดำ ขยาย ตลาดส่งออกสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการใช้กุ้งในอุตสาหกรรมแปรรูปเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มมูล ค่าการส่งออก โดยแนวโน้มการส่งออกตลาดหลักยังคงเป็นสหรัฐ ฯ ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป ที่คาดว่าโอกาส จะได้คืนจีเอสพีมีอยู่สูง อย่างไรก็ตาม ควรส่งเสริมให้มีการบริโภคกุ้งในประเทศเพิ่มขึ้นโดยขายตรงผ่านช่อง ทางตลาดตามห้างซุปเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ ประมาณร้อยละ 5-10 ของปริมาณกุ้งที่ผลิตทั้งหมด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3606 | การจำหน่ายข้าวสารจำนวน 1.7 ล้านตันให้แก่ผู้ส่งออก | พณ | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอเรื่อง การจำหน่ายข้าวสารจำนวน 1.7 ล้าน
ตัน ให้แก่ผู้ส่งออก สรุปดังนี้ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวได้อนุมัติ จำหน่ายข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาล จำนวน 1.7 ล้านตัน ให้แก่บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด เมื่อ วันที่ 6 พฤษภาคม 2547 นั้น บริษัท ฯ ได้จัดทำสัญญาซื้อขายข้าวสารดังกล่าวรวม 11 สัญญา ปริมาณรวมทั้ง สิ้น 1,688,800.07 ตัน มีกำหนดรับมอบภายใน 270 วันนับแต่วันทำสัญญา กล่าวคือ สิ้นสุดในเดือนกุมภา พันธ์และมีนาคม 2548 สาเหตุที่ทำสัญญาน้อยกว่าปริมาณที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากเกษตรกรได้ไถ่ถอนข้าวสาร ซึ่งผู้ซื้อจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การจำหน่ายข้าวสาร ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรับมอบและส่งออกข้าวสาร โดยจะต้องส่งออกข้าวสารไปต่างประเทศภายใน 30 วัน นับแต่วันครบกำหนดรับมอบข้าวสารจากคลังสินค้า และจะต้องแสดงหลักฐานเพื่อพิสูจน์การส่งออกข้าวภายใน 30 วันนับแต่ครบกำหนดรับมอบ กรณีผู้ซื้อขนย้าย ข้าวสารไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดตามสัญญาผู้ซื้อจะต้องชำระค่าปรับให้ผู้ขายเป็นรายวันในอัตรา ร้อยละ 0.2 ของมูลค่าข้าวสารที่ยังไม่ได้รับมอบ และต้องชำระค่าเช่าคลังสินค้าและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยบริษัท ฯ ได้ชำระเงินและรับข้าวสารตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2547 ถึงวันที่ 21 มกราคม 2548 ปริมาณรวม 951,659.91 ตัน คงเหลือปริมาณข้าวสารที่บริษัท ฯ ยังไม่ได้รับมอบอีก 726,951.23 ตัน ส่วนการตรวจสอบ ปริมาณข้าวสารในโกดังกลาง ระหว่างวันที่ 4-7 มกราคม 2548 ปรากฏตามบัญชี ณ วันที่ 3 มกราคม 2548 รวม 1,074,935.93 ตัน ปริมาณที่ตรวจสอบได้ 961,897.66 ตัน ปริมาณที่ไม่สามารถตรวจสอบได้จำนวน 106,457.21 ตัน เนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบอายัดไว้ และใน ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2547 บริษัทได้ชำระเงินและรับมอบข้าวสารรวม 588,440.364 ตัน และนำหลักฐานส่งออกมาแสดงต่อองค์การคลังสินค้า ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่ตกลงกับทางราชการครบ ถ้วนแล้ว ส่วนการตรวจสอบการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2547/48 คณะกรรมการแก้ไขปัญหา เกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตรระดับจังหวัด ได้ทำการตรวจสอบข้าวสารในโครงการรับจำนำข้าว เปลือกนาปี ปีการผลิต 2547/48 ในโกดังกลางขององค์การคลังสินค้า โดยใช้ปริมาณตามบัญชี ณ วันที่ 3 มกราคม 2548 ทำการตรวจสอบระหว่างวันที่ 4-7 มกราคม 2548 คณะกรรมการ ฯ ยืนยันว่าเป็นข้าวในฤดู การผลิตปี 2547/48 ทั้งหมด ซึ่งแสดงว่าข้าวสารโครงการ ฯ นาปี 2547/48 ในโกดังกลางขององค์การคลัง สินค้ามิได้มีการนำข้าวสารจากโครงการ ฯ อื่นมาส่งมอบ สำหรับข้าวสารที่ตรวจสอบพบว่ามีปริมาณมากกว่า ปริมาณข้าวสารในโกดังกลางตามบัญชี ณ วันที่ 3 มกราคม 2548 เนื่องจากในขณะที่คณะกรรมการ ฯ ทำ การตรวจสอบนั้น มีการรับมอบข้าวสารจากโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ ฯ เพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3607 | การจำหน่ายมันเส้นตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2547/48 | พณ | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการแทรก
แซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2547/48 เพิ่มเติม สรุปดังนี้ คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตร กร ได้ปรับเปลี่ยนการดำเนินโครงการ ฯ ใหม่เพื่อให้เกิดประโยชน์กับเกษตรกรสูงสุด โดยปรับเพิ่มปริมาณ รับจำนำ จาก 5 ล้านตันหัวมันสด เป็น 10 ล้านตันหัวมันสด ปรับราคารับจำนำจากกิโลกรัมละ 1.20 บาท เป็นกิโลกรัมละ 1.50 บาท ให้แปรสภาพหัวมันสดเป็นมันเส้นและแป้งมัน ฯ และจำหน่ายมันเส้นและแป้งมัน ฯ เพื่อการส่งออก เกษตรกรสามารถนำหัวมันสดมาจำนำกับโครงการฯ รายละไม่เกิน 500 ตัน หรือคิดเป็นมูล ค่าไม่เกิน 750,000 บาท รวมทั้งให้องค์การคลังสินค้าประกาศจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่แปรสภาพ จากหัวมันสำปะหลังสด จำนวน 5 ล้านตัน ด้วยวิธีการประมูล สำหรับปริมาณการจำหน่ายสามารถกำหนด แต่ละครั้งในปริมาณที่เหมาะสมกับภาวะตลาดภายในและการส่งออก นอกจากนี้ ได้จัดให้มีการประมูลเพื่อ จำหน่ายมันสำปะหลังเส้น จำนวน 210,000 ตัน ที่ได้จากการแปรสภาพหัวมันสดที่รับจำนำตามโครงการ แทรกแซงตลาดมันสำปะหลังฤดูการผลิต ปี 2547/48 มีผู้สนใจยื่นซองประมูลจำนวน 7 ราย ในปริมาณ ระหว่าง 32,400-210,000 ตัน ราคาระหว่าง 3,200-4,220 บาท/ตัน และได้อนุมัติให้ขายมันสำปะหลัง เส้นจำนวน 210,000 ตัน ให้กับบริษัทเยเนรัล มิลล์ จำกัด ในราคาตันละ 4,220 บาท มูลค่า 886.20 ล้าน บาท ตามที่คณะกรรมการระบายมันเส้น ปี 2547/48 เสนอ เนื่องจากบริษัทได้เสนอซื้อในปริมาณและราคา ที่สูงที่สุดจากผู้เสนอซื้อทั้ง 7 ราย และราคาที่บริษัท ฯ เสนอซื้อสูงกว่าราคามันเส้นในประเทศที่ซื้อขายกันอยู่ ระหว่างราคา 2,880-3,650 บาท/ตัน และสูงกว่าประมาณการต้นทุนมันเส้นที่แปรสภาพแล้ว คือ 4,183 บาท/ตัน ทำให้รัฐสามารถได้กำไรจากการขายประมาณ 8 ล้านบาท ทั้งนี้ องค์การคลังสินค้าจะได้แจ้งผลให้ ผู้ชนะการประมูลมาทำสัญญาซื้อขาย และวางหลักประกันสัญญา ร้อยละ 5 ของมูลค่า ภายใน 5 วันทำการ นับจากวันที่ได้รับทราบผล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3608 | การบริหารจัดการลำไยอบแห้ง ปี 2545-2547 | นร | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบให้รองนายก
รัฐมนตรี (นายพินิจ จารุสมบัติ) ประธานกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ไขปัญหากรณีลำไยปี 2545-2547 โดยให้ทำ ลายลำไยส่วนเน่าเสียทั้งหมดก่อนจำหน่าย และให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการจัดจำหน่ายและส่งออกลำไยที่มี คุณภาพดีไปต่างประเทศให้เสร็จสิ้นก่อนผลผลิตของลำไยฤดูกาลใหม่จะออกสู่ตลาด เนื่องจากการดำเนินการใน เรื่องนี้ยังมีความล่าช้าอยู่มาก จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพินิจ จารุสมบัติ) ประธานกรรมการนโยบาย และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร เร่งดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 นี้ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3609 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือด้านส่งเสริมและคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไทย - เวียดนาม | พณ | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอดังนี้ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความ
ร่วมมือด้านส่งเสริมและคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไทย-เวียดนาม และอนุมัติให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทาง ปัญญาเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทยในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3610 | รายงานเบื้องต้นการรับประกันภัยรถไฟฟ้าใต้ดิน | พณ | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานเบื้องต้นการรับประกันภัยรถไฟฟ้าใต้ดิน
จากกรณีเกิดเหตุรถไฟฟ้าใต้ดินของบริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 2 ขบวนชนกันที่สถานีศูนย์วัฒน ธรรมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2548 มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 20 ราย กระทรวงพาณิชย์ได้ติดตาม การรับประกันภัยดังกล่าว มีบริษัทรับประกันภัย 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ศรีอยุธยาประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไพบูลย์ประกันภัย จำกัด และบริษัท ธนชาติประกันภัย จำกัด โดยมีสัดส่วนการรับประกันภัย 43% 25% 23% และ 9% ตามลำดับ ในส่วนของการประกันภัย ทรัพย์สินให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินต่าง ๆ รวมถึงตัวรถและความเสียหายเนื่องมาจากธุรกิจ หยุดชะงัก เป็นจำนวนเงินสูงสุด 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ หรือประมาณ 12,000 ล้านบาท ทั้งนี้ มีส่วนที่ผู้ เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบเองในจำนวนเงิน 100,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 4,000,000 บาท สำหรับการประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ซึ่งให้ความคุ้มครองการเสียชีวิต ความบาดเจ็บต่อร่าง กาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอก รวมถึงผู้โดยสารในจำนวนเงินสูงสุดไม่เกิน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ หรือประมาณ 800 ล้านบาทต่อครั้ง ตลอดระยะเวลาเอาประกันภัย โดยมีจำนวนเงินที่ผู้เอาประกันภัยจะ ต้องรับผิดชอบเองในส่วนของความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก 10,000 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือ ประมาณ 400,000 บาท ในการนี้กระทรวงพาณิชย์ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ไว้บริการและอำนวยความสะดวก ในการประสานกับบริษัทประกันภัย ในเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและค่าสินไหมทดแทนแล้ว โดย ประชาชนและผู้บาดเจ็บสามารถติดต่อได้ที่ โทรศัพท์หมายเลข 0-2547-4550 หรือสายด่วนประกันภัย 1186
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3611 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำน้ำมันปาล์มและ น้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มเข้ามาในราชอาณาจักร ตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... | พณ | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง การนำน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มเข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้า เสรีอาเซียน พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ ให้น้ำมันปาล์ม ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 15.11 และ น้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 15.13 ที่มีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากประเทศ ภาคีอาเซียนซึ่งนำเข้าโดยองค์การคลังสินค้าเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดแบบ ดี (Form D) ทั้งนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2548 และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3612 | การค้าระหว่างประเทศของไทย ในระยะ 11 เดือนแรกของปี 2547 (มกราคม - พฤศจิกายน) | พณ | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของ
ไทย ในระยะ 11 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2547 ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2547 โดยการส่งออกใน เดือนพฤศจิกายน 2547 มีมูลค่า 8,800.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปี พ.ศ. 2546 ร้อยละ 22.0 ส่วนการนำเข้าในเดือนพฤศจิกายน 2547 มีมูลค่า 8,649.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เพิ่มขึ้นจาก เดือนเดียวกันของปี พ.ศ. 2546 ร้อยละ 31.0 เป็นการนำเข้าเพิ่มขึ้นในทุกหมวดตามการขยายตัวของเศรษฐ กิจและการส่งออกของประเทศ รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก สำหรับดุลการค้าในเดือน พฤศจิกายน 2547 เกินดุลมูลค่า 151.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ทั้งนี้ ตลาดส่งออกสำคัญยังขยายตัวเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องทั้งในตลาดใหม่และตลาดหลัก ร้อยละ 27.0 และ 20.0 ตามลำดับ โดยตลาดที่ขยายตัวใน อัตราสูงอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อาเซียน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.4) แอฟริกา (ร้อยละ 59.7) อินโดจีนและพม่า (ร้อยละ 32.8) ตะวันออกกลาง (ร้อยละ 29.9) ลาตินอเมริกา (ร้อยละ 27.8) และตลาดที่ไทยจัดทำเขต การค้าเสรี คือ อินเดีย (ร้อยละ 43.7) จีน (ร้อยละ 26.5) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 12.7) และในด้านการ ส่งออกสินค้าที่สำคัญยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตร และ สินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 และ 24.1 ตามลำดับ โดยเฉพาะข้าว มันสำปะหลัง และยาง พารา ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราสูงอย่างต่อเนื่องถึงร้อยละ 52.2, 38.7 และ 25.8 ตามลำดับ นอกจากนี้ ไก่ แปรรูปซึ่งส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงร้อยละ 35.5 และกุ้งแช่แข็งและแปรรูปที่กลับมาส่งออกเพิ่มขึ้นในเดือน พฤศจิกายนถึงร้อยละ 31.2 และสินค้าสำคัญอื่น ๆ ที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องอิเล็ก ทรอนิกส์ ยานยนต์ และส่วนประกอบ สิ่งทอ พลาสติก วัสดุก่อสร้าง อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เภสัช
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3613 | สรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ที่ 5 เดือนธันวาคม 2547 (27 - 30 ธันวาคม 2547) | พณ | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
ประจำสัปดาห์ที่ 5 เดือนธันวาคม 2547 ตั้งแต่วันที่ 27-30 ธันวาคม 2547 โดยแนวโน้มราคาสินค้าใน ช่วงสัปดาห์นี้มีแนวโน้มลดลงตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง รวมทั้งราคาผลิตภัณฑ์เหล็ก มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากราคาวัตถุดิบต้นน้ำในตลาดโลกราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง และภาวะการจำหน่าย ในประเทศซบเซา ในด้านความเคลื่อนไหวราคาสินค้า มีสินค้าที่ราคาลดลง ได้แก่ เหล็กเส้นชนิดเส้นกลม (ขนาด 9 มม.) ราคาลดลงร้อยละ 0.87 ผักบุ้งจีน ราคาลดลงร้อยละ 16.67 ส่วนสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ไข่ไก่ ราคาสูงขึ้นร้อยละ 2 ส้มเขียวหวานและมะนาว ราคาสูงขึ้นร้อยละ 7.14 และร้อยละ 8 ตาม ลำดับ และสินค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงตามภาวะการแข่งขันและกลยุทธ์การขายในระยะสั้น เช่น ผลิตภัณฑ์ นม น้ำมันพืช น้ำส้มสายชู น้ำปลา น้ำซีอิ๊ว น้ำตาลทราย สบู่ ผงซักฟอก และแชมพู เป็นต้น สำหรับ การบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยพิบัติ 6 จังหวัดภาคใต้ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ได้จัดส่งเจ้า หน้าที่ทั้งในพื้นที่และส่วนกลาง (Mobile Unit) ออกตรวจสอบราคาสินค้า เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสทาง การ และได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้นำสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าไปจำหน่ายในพื้นที่ประสบภัยให้มี ปริมาณเพียงพอโดยเฉพาะวัสดุก่อสร้างได้ขอให้มีการจัดสรรสินค้าและจำหน่ายในราคาพิเศษ ตลอดจนจัด ถุงยังชีพ ประกอบด้วย ข้าวสารและอาหารแห้งไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนเพื่อเป็นการช่วยเหลือเฉพาะหน้า
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3614 | การบริหารจัดการลำไยอบแห้ง ปี 2545 - 2547 | นร | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการเกี่ยวกับลำไยอบแห้งปี 2545-2547 ตามหลักการดังนี้ ลำไย
อบแห้งปี 2545 ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพินิจ จารุสมบัติ) ประธานกรรมการนโยบายและมาตรการช่วย เหลือเกษตรกร เร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2547 เรื่อง การตรวจ สอบคุณภาพและความมีอยู่จริงของลำไย เพื่อป้องกันการปลอมปนทำให้ราคาตกต่ำ โดยให้ทำลายลำไยส่วนที่ เน่าเสียทั้งหมด ส่วนลำไยอบแห้งปี 2546 และ 2547 ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งจำหน่ายโดยเร็ว และประสาน กับกระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2548 เรื่อง ขอรับความเห็นชอบการ จัดซื้อรถจักรดีเซลไฟฟ้า จำนวน 7 คัน ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน ที่ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดหา รถจักรดีเซลไฟฟ้าด้วยวิธีแลกเปลี่ยนสินค้าที่มีมูลค่าเท่ากัน (Barter Trade) โดยให้นำลำไยอบแห้งแลกกับรถ จักรดีเซลไฟฟ้า สำหรับมูลค่าลำไยอบแห้งที่จำหน่ายให้รัฐบาลจีนส่วนที่เกินจากมูลค่ารถจักรดีเซลไฟฟ้า อาจ ขอให้ฝ่ายจีนชำระคืนเป็นเงินสด หรืออาจขอแลกเป็นสินค้าใดที่จำเป็นตามความต้องการของทางราชการไทย ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3615 | ความคืบหน้าการดำเนินการบริจาคข้าวให้รัฐบาลต่างประเทศตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.) | พณ | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานความคืบหน้าการดำเนินการบริจาคข้าว
ให้รัฐบาลต่างประเทศตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.) ในคราวประชุม ครั้งที่ 6/2547 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2547 ได้อนุมัติการบริจาคข้าวขาวชนิด 25 เปอร์เซ็นต์ ให้รัฐบาลต่างประเทศเพื่อช่วยเหลือทาง ด้านมนุษยธรรมแก่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังคลาเทศ สาธารณรัฐมาดากัสการ์ และสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ปริมาณรวม 11,000 ตัน โดยให้กระทรวงพาณิชย์นำข้าวสารจากโครงการ รับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี พ.ศ. 2547 ที่หลุดจำนำไปส่งมอบให้ทั้งสามประเทศ ในการนี้กระทรวงพาณิชย์ โดยองค์การคลังสินค้า ได้ส่งมอบข้าวให้แก่รัฐบาลสาธารณรัฐบังคลาเทศ เป็นข้าวขาวชนิด 25 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 3 ตู้คอนเทนเนอร์ รวมปริมาณ 989 ตัน ซึ่งส่งมอบแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 21 และ 28 ธันวาคม 2547 และส่งมอบข้าวให้แก่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี เป็นข้าวชนิด 25 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณ 5,000 ตัน ส่งมอบแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2547 สำหรับการส่งมอบข้าวให้แก่รัฐบาลสาธารณรัฐ มาดากัสการ์ เป็นข้าวขาวชนิด 25 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณ 5,000 ตัน อยู่ระหว่างดำเนินการจัดหาเรือเพื่อส่ง มอบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3616 | ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนธันวาคม 2547 และปี 2547 | พณ | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานความเคลื่อนไหวดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป
และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนธันวาคม 2547 และปี พ.ศ. 2547 สรุปได้ดังนี้ ดัชนีราคาผู้ บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนธันวาคม 2547 เท่ากับ 109.7 เทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2547 โดยเฉลี่ย ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่อพิจารณารายหมวดของดัชนีราคามีการเปลี่ยนแปลง คือ ดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหาร และเครื่องดื่ม ดัชนีราคาสูงขึ้นร้อยละ 0.9 โดยสินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ เนื้อสุกร ไก่สด ปลาและสัตว์ น้ำ ไข่ไก่ ผักสด (ผักคะน้า ผักบุ้งจีน แตงกวา มะเขือเจ้าพระยา ถั่วฝักยาว ฟักเขียว ฟักทอง และมะนาว) และผลไม้สด (เงาะ มะม่วง และแตงโม) ในขณะที่ดัชนีราคาสินค้าหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มลดลง ร้อยละ 0.6 โดยสินค้าและบริการสำคัญที่ราคาลดลง ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของ ประเทศปี พ.ศ. 2547 เท่ากับ 109.0 เทียบกับดัชนีราคาเฉลี่ยปี พ.ศ. 2546 (106.1) สูงขึ้นร้อยละ 2.7 จาก การสูงขึ้นของดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มร้อยละ 4.5 ได้แก่ ราคาข้าวสารเจ้าหอมมะลิ เนื้อสุกร ปลา และสัตว์น้ำ ไข่ไก่ ผักและผลไม้ และเครื่องปรุงอาหาร (น้ำมันถั่วเหลือง น้ำปลา และซีอิ๊ว) ในขณะที่ ดัชนีราคาหมวดสินค้าอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ 1.7 ได้แก่ ราคาค่ากระแสไฟฟ้าก๊าซหุงต้ม น้ำมันเชื้อเพลิง ค่าโดยสารสาธารณะ ค่าตรวจรักษาและค่ายา ค่าการอ่านและการศึกษา (วารสารรายปักษ์ และค่าธรรมเนียมการศึกษาภาคเอกชน) สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศปี พ.ศ. 2547 เท่า กับ 105.0 เทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2547 ไม่เปลี่ยนแปลง เดือนธันวาคม 2546 สูงขึ้นร้อยละ 0.6 และ เฉลี่ยทั้งปี พ.ศ. 2547 เทียบกับปี พ.ศ. 2546 สูงขึ้นร้อยละ 0.4
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3617 | สรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ที่ 4 เดือนธันวาคม 2547 (20 - 24 ธันวาคม 2547) | พณ | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
ประจำสัปดาห์ที่ 4 เดือนธันวาคม 2547 ตั้งแต่วันที่ 20-24 ธันวาคม 2547 โดยแนวโน้มราคาสินค้า ในช่วงสัปดาห์นี้ สินค้าที่เกี่ยวพันกับผลิตภัณฑ์น้ำมันมีราคาลดลงตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ได้ ปรับตัวลดลง และราคาจำหน่ายปุ๋ยเคมีในประเทศปรับตัวลดลง เนื่องจากราคาวัตถุดิบประเภทแม่ปุ๋ยไน โตรเจนในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลงตามภาวะราคาน้ำมันดิบ และก๊าซในตลาดโลก ในด้านความเคลื่อน ไหวราคาสินค้า มีสินค้าที่ราคาลดลง ได้แก่ เหล็กเส้นชนิดเส้นกลม (ขนาด 9 มม.) เม็ดพลาสติก ผักบุ้ง จีน และส้มเขียวหวาน ส่วนสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ไข่ไก่ และมะนาว รวมทั้งสินค้าที่มีการเปลี่ยน แปลงตามภาวะการแข่งขันและกลยุทธ์การขายในระยะสั้น เช่น ผลิตภัณฑ์นม น้ำมันพืช น้ำซีอิ๊ว น้ำตาล ทราย สบู่ และผงซักฟอก เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3618 | ขอรับความเห็นชอบการจัดซื้อรถจักรดีเซลไฟฟ้า จำนวน 7 คัน ด้วยวิธี Counter Tradeระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน | คค | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการจัดซื้อรถจักรดีเซลไฟฟ้า จำนวน 7 คัน ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาล
สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟ แห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า จำนวน 7 คัน ด้วยวิธีแลกเปลี่ยนสินค้าที่มีมูล ค่าเท่ากัน (BarterTrade) ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยให้กระทรวงคมนาคม ประสานการดำเนินการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ต่อไป ทั้งนี้ สินค้าของไทยที่สมควรจะนำไปแลกเปลี่ยนกับ ฝ่ายจีนในเรื่องนี้ ได้แก่ ลำไยอบแห้ง เป็นต้น และเห็นชอบให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ยกเลิกโครงการ จัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า โดยวิธีการค้าแบบหักบัญชีกับประเทศอินโดนีเซียตามบันทึกข้อตกลงลงวันที่ 7 มิถุนายน 2545 ดังนั้น กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. จึงสามารถจัดหารถโบกี้ดังกล่าวตามวิธีการปกติต่อไป ได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3619 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าไฮโดรเจนเปอรอกไซด์ ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศอินเดีย พ.ศ. .... | พณ | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
ยกเลิกการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าไฮโดรเจนเปอรอกไซด์ที่มีแหล่งกำเนิดจาก ประเทศอินเดีย พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาใน ราชอาณาจักร (ฉบับที่ 139) พ.ศ. 2543 ลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 และให้ประกาศที่เสนอใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3620 | รายงานความเสียหายจากธรณีพิบัติในส่วนของธุรกิจประกันภัย (6 มกราคม 2548) | พณ | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานความเสียจากธรพิบัติในส่วนของธุรกิจ
ประกันภัย จากกรณีเกิดแผ่นดินไหวในตอนเหนือของเกาะสุมาตรา และทำให้เกิดเหตุการณ์ธรณีพิบัติจาก คลื่นใต้น้ำ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 เป็นผลให้ประชาชนทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวเสียชีวิตและบาดเจ็บ รวมทั้งทรัพย์สินตลอดจนธรรมชาติในจังหวัดพังงา กระบี่ ภูเก็ต ระนอง สตูล และตรัง ได้รับความเสียหาย เป็นจำนวนมาก กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการประกันภัย ได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยเพิ่มเติมใน เรื่องการจ่ายเงินผลประโยชน์ และค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัย ณ วันที่ 6 มกราคม 2548 มีจำนวน ทรัพย์สิน/คนที่ได้รับความคุ้มครอง 21,057 กรมธรรม์ จำนวน 34,115 ราย จำนวนเงินเอาประกันภัย 63,056 ล้านบาท ในส่วนของการประกันชีวิต มีผู้เอาประกันภัยที่เสียชีวิตซึ่งสามารถระบุรายชื่อได้ จำนวน 124 ราย จำนวนเงินเอาประกันภัย 67 ล้านบาท จำนวนบริษัทประกันชีวิตที่รับประกันภัยมี 11 บริษัท และ ได้จ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ทั้งหมดแล้ว กรณีการประกันวินาศภัย จำแนกเป็น การประกันภัยบุคคล จำนวนกรมธรรม์ประกันภัยรวมทั้งสิ้น 643 กรมธรรม์ จำนวนคนที่ได้รับความคุ้มครอง 17,219 ราย และ จำนวนเงินเอาประกันภัย 1,750 ล้านบาท และการประกันภัยทรัพย์สิน จำนวนกรมธรรม์ประกันภัยรวม ทั้งสิ้น 20,290 กรมธรรม์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 61,240 ล้านบาท สำหรับค่าสินไหมทดแทนในส่วน ความคุ้มครองทรัพย์สินที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมีทั้งสิ้น 2,478 ล้านบาท ค่าสินไหมทดแทนที่ได้ทำการจ่ายแล้ว มีทั้งสิ้น 186 ล้านบาท โดยบริษัทประกันวินาศภัยที่ได้รับประกันภัยบุคคลและทรัพย์สินดังกล่าว มีจำนวน ทั้งสิ้น 51 บริษัท คิดเป็นจำนวนเงินเอาประกันภัยทั้งสิ้น 62,990 ล้านบาท แต่บริษัทประกันภัยมีการจัดทำ ประกันภัยต่อไว้กับบริษัทประกันภัยต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ คงเหลือการรับเสี่ยงภัยไว้เองประมาณไม่เกิน 3,000 ล้านบาท และกระทรวงพาณิชย์จะได้รายงานความเสียหายที่ประสบภัยจะได้รับการจ่ายเงินผลประ โยชน์หรือค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกัน และผลความคืบหน้าในด้านการรับประกันภัยเป็นระยะ ๆ ต่อไป
|
.....