ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 187 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 3721 - 3740 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3721 | รายงานผลการเยือนประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) | พณ | 24/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการเยือนประเทศสาธารณรัฐประชา
ชนจีนของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่าง ไทย-จีนว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจ (Joint Committee on Trade Investment and Economic Cooperation : JC) ณ กรุงปักกิ่ง ระหว่างวันที่ 14-17 กรกฎาคม 2547 และมอบให้หน่วย งานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุม ฯ ต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจ ยุทธ) เสนอ สำหรับผลการประชุม ฯ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะมีความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ดังนี้ (1) ความร่วม มือทางด้านการค้า ได้มีการกำหนดเป้าหมายการค้าระหว่างกันในปี พ.ศ. 2553 ไว้ที่มูลค่า 30,000 ล้าน เหรียญสหรัฐ ฯ และเห็นชอบให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการร่วมด้านการค้าและการลงทุนเพื่อศึกษาความเป็นไป ได้ในการเร่งรัดการเปิดเสรีระหว่างกัน และให้กระทรวงพาณิชย์ทั้งสองฝ่ายหารือเรื่องการแลกเปลี่ยนสินค้า ลำใยอบแห้งของไทยกับสินค้าอาวุธของจีน (2) ความร่วมมือทางด้านการลงทุน เห็นชอบที่จะให้มีการแลก เปลี่ยนการลงทุนระหว่างกัน ในการนี้ จีนขอให้ไทยสนับสนุนการลงทุนของจีนอย่างต่อเนื่องในโครงการจัด ซื้อเครื่องตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้า โครงการก่อสร้างโรงงานยาสูบที่เชียงใหม่ โครงการจัดซื้อหัวรถ จักรและหัวรถไฟ โครงการผลิตแร่โปแตซ และโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมของไทย (3) ความร่วม มือด้านการท่องเที่ยว ได้กำหนดเป้าหมายเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างกันในปี พ.ศ. 2553 เป็น 4 ล้าน คน และเห็นชอบให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการร่วมด้านการท่องเที่ยว เพื่อกำหนดมาตรการส่งเสริมและสนับ สนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวระหว่างกัน (4) ความร่วมมือด้านการเกษตร ได้เห็นชอบให้จัดตั้งคณะกรรมการ ร่วมด้านเทคนิค เพื่อขจัดปัญหาอุปสรรคทางการค้าสินค้าผักและผลไม้ พร้อมทั้งตกลงให้มีการแลกเปลี่ยน และส่งเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคการตรวจสอบและกักกันโรคและแมลงไปประจำในประเทศของอีกฝ่ายหนึ่ง กับ ให้มีช่องทางพิเศษ (Express Lane) ณ จุดนำเข้าเพื่อให้สินค้าเกษตรผ่านพิธีการรวดเร็วขึ้น และ (5) ความ ร่วมมือวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจทั้งสองฝ่ายจะได้มีความร่วมมือกันในด้านการวางแผนยุทธศาสตร์ความร่วม มือทางเศรษฐกิจไทย-จีน เพื่อเสริมสร้างและกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ ได้ครบวงจร |
|||||||||||||||||||||
3722 | มาตรการประหยัดพลังงานในภาวะราคาน้ำมันแพง | พน | 24/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอมาตรการประหยัดพลังงานในภาวะน้ำมัน
แพงตามผลการประชุมหารือร่วมกันของกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวง คมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยให้ยึดหลัก 4 ประการ คือ เป็นมาตรการ เพื่อประหยัดพลังงาน ไม่กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ไม่กระทบการจ้างงานของพนักงาน และ มีความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการ และให้กระทรวงพาณิชย์ประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการศูนย์ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โดยเฉพาะที่มีพื้นที่ขายขนาดตั้งแต่หนึ่งหมื่นตารางเมตร ขึ้นไป กำหนดเวลาเปิดให้บริการในวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 11.00-21.30 น. วันศุกร์เปิดเวลา 11.00- 22.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เปิดเวลา 10.00-22.00 น. สำหรับผู้ประกบการธุรกิจ ค้าส่งที่เน้นการขายสินค้าให้ร้านค้าย่อยที่มีสมาชิกเฉพาะ เช่น แม็คโคร เป็นต้น กำหนดเวลาเปิดให้บริการ ได้ตั้งแต่เวลา 06.00 น. และปิดในเวลาเดียวกับห้างสรรพสินค้า พร้อมทั้งขอให้ผู้ประกอบการดังกล่าว และกลุ่มผู้ประกอบการอื่น ๆ ที่มีพื้นที่ขายขนาดต่ำกว่าหนึ่งหมื่นตารางเมตร เช่น กลุ่มร้านสะดวกซื้อ (convenience store) เป็นต้น เสนอมาตรการประหยัดพลังงานภายในสถานประกอบการให้กระทรวงพลัง งานทราบเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการประหยัดพลังงานร่วมกัน และให้กระทรวงพลังงานติดตามประเมิน ผลลดการใช้ไฟฟ้าของแต่ละห้างร้านในแต่ละเดือนเพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งนี้ ให้เริ่มดำเนินการกำหนดเวลาเปิด-ปิดห้างสรรพสินค้า ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (24 สิงหาคม 2547) ให้สถานีบริการและร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิงปิดการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด ระหว่างเวลา 24.00-05.00 น. ของทุกวัน ยกเว้นการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (ก๊าซ LPG) และก๊าซ ธรรมชาติอัด (ก๊าซ CNG หรือก๊าซ NGV) รวมทั้งให้ใช้ไฟฟ้าสำหรับป้ายโฆษณากลางแจ้งขนาดใหญ่ที่ติดตั้ง ริมถนนหรือทางด่วนได้เฉพาะในช่วงเวลา 18.00-22.00 น. ของทุกวัน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2547 ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานดำเนินการออกเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี โดยอาศัย อำนาจตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 ต่อไป รวมทั้ง ให้มีอำนาจพิจารณาผ่อนผันได้ตามความจำเป็นเหมาะสม สำหรับมาตรการประยัดพลังงานในระยะกลาง และระยะยาว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมในรายละเอียดในแต่ละ มาตรการอีกครั้งหนึ่งก่อน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
3723 | สรุปผลการหารือมาตรการประหยัดพลังงานในส่วนที่เกี่ยวกับเวลาปิดห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์สโตร์และดิสเคานท์สโตร์ | พณ | 24/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอมาตรการประหยัดพลังงานในภาวะน้ำมัน
แพงตามผลการประชุมหารือร่วมกันของกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวง คมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยให้ยึดหลัก 4 ประการ คือ เป็นมาตรการ เพื่อประหยัดพลังงาน ไม่กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ไม่กระทบการจ้างงานของพนักงาน และ มีความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการ และให้กระทรวงพาณิชย์ประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการศูนย์ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โดยเฉพาะที่มีพื้นที่ขายขนาดตั้งแต่หนึ่งหมื่นตารางเมตร ขึ้นไป กำหนดเวลาเปิดให้บริการในวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 11.00-21.30 น. วันศุกร์เปิดเวลา 11.00- 22.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เปิดเวลา 10.00-22.00 น. สำหรับผู้ประกบการธุรกิจ ค้าส่งที่เน้นการขายสินค้าให้ร้านค้าย่อยที่มีสมาชิกเฉพาะ เช่น แม็คโคร เป็นต้น กำหนดเวลาเปิดให้บริการ ได้ตั้งแต่เวลา 06.00 น. และปิดในเวลาเดียวกับห้างสรรพสินค้า พร้อมทั้งขอให้ผู้ประกอบการดังกล่าว และกลุ่มผู้ประกอบการอื่น ๆ ที่มีพื้นที่ขายขนาดต่ำกว่าหนึ่งหมื่นตารางเมตร เช่น กลุ่มร้านสะดวกซื้อ (convenience store) เป็นต้น เสนอมาตรการประหยัดพลังงานภายในสถานประกอบการให้กระทรวงพลัง งานทราบเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการประหยัดพลังงานร่วมกัน และให้กระทรวงพลังงานติดตามประเมิน ผลลดการใช้ไฟฟ้าของแต่ละห้างร้านในแต่ละเดือนเพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งนี้ ให้เริ่มดำเนินการกำหนดเวลาเปิด-ปิดห้างสรรพสินค้า ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (24 สิงหาคม 2547) ให้สถานีบริการและร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิงปิดการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด ระหว่างเวลา 24.00-05.00 น. ของทุกวัน ยกเว้นการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (ก๊าซ LPG) และก๊าซ ธรรมชาติอัด (ก๊าซ CNG หรือก๊าซ NGV) รวมทั้งให้ใช้ไฟฟ้าสำหรับป้ายโฆษณากลางแจ้งขนาดใหญ่ที่ติดตั้ง ริมถนนหรือทางด่วนได้เฉพาะในช่วงเวลา 18.00-22.00 น. ของทุกวัน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2547 ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานดำเนินการออกเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี โดยอาศัย อำนาจตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 ต่อไป รวมทั้ง ให้มีอำนาจพิจารณาผ่อนผันได้ตามความจำเป็นเหมาะสม สำหรับมาตรการประยัดพลังงานในระยะกลาง และระยะยาว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมในรายละเอียดในแต่ละ มาตรการอีกครั้งหนึ่งก่อน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
3724 | แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ระดับ 10 (นางไพเราะ สุดสว่าง) | พณ | 24/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง นางไพเราะ สุดสว่าง
ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ 10 ชช) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวง พาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2547 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ |
|||||||||||||||||||||
3725 | การจัดสร้างแหล่งจำหน่ายและศูนย์แสดงสินค้าไทย | นร | 17/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการจัดสร้างแหล่งจำหน่ายและศูนย์แสดงสินค้า
ไทย โดยไทยควรเร่งส่งเสริมการผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีตราสินค้าของไทยอย่างจริงจัง และหาแนวทางเพิ่ม แหล่งจำหน่ายสินค้าหรือศูนย์แสดงสินค้าทั้งภายในประเทศและในต่างประเทศให้แพร่หลาย และมีการกระจาย ตัวอย่างเหมาะสม การจัดตั้งแหล่งจำหน่ายสินค้าหรือศูนย์แสดงสินค้าไทยควรเป็นแหล่งรวบรวมสินค้าและผลิต ภัณธ์ของไทยทุกชนิด เช่น สินค้าจากโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ และวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อมต่าง ๆ กรณีสินค้าและผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ควรจัดสร้างเป็นพิพิธ ภัณฑ์ของมูลนิธิ ฯ ซึ่งจะใช้ประโยชน์เป็นศูนย์แสดงสินค้าถาวรและเป็นแหล่งท่องเที่ยวในประเทศสำหรับประชา ชน และนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การจัดตั้งแหล่งจำหน่ายสินค้าดังกล่าวอาจใช้พื้นที่ของหน่วย งานของรัฐที่ยังว่างอยู่ เช่น ที่ดินของกรมธนารักษ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นต้น และอาจพิจารณาความ เหมาะสมในการดำเนินการในพื้นที่ตำบลบางกระเจ้า จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมและทางราช การได้ดำเนินการเวนคืนให้เป็นพื้นที่สีเขียวไว้แล้ว สำหรับการออกแบบตราสินค้าไทยและการสร้างภาพลักษณ์ ให้ตราสินค้าดังกล่าวเป็นที่รู้จักแพร่หลายและติดตลาด ควรพิจารณาจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาที่เป็นมืออาชีพด้าน นี้โดยเฉพาะเข้ามาร่วมดำเนินการ จึงขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รับแนวทางดังกล่าวไปพิจารณาร่วม กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเร่งรัด ดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
3726 | การดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย [การจัดเก็บค่าธรรมเนียมส่งออก (Premium) สินค้าไก่ปรุงสุก เพื่อชดเชยภาระของรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกร] | พณ | 17/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมเกี่ยวกับการจัดเก็บค่า
ธรรมเนียม (Premium) สินค้าไก่ปรุงสุก เพื่อชดเชยภาระของรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรที่ ได้รับผลกระทบจากภาวะโรคระบาดสัตว์ปีก เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2547 โดยที่ประชุมพิจารณาเรื่องดัง กล่าวแล้วเห็นว่า ไม่ควรมีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว เนื่องจากการจัดเก็บค่าธรรมเนียม (Premium) เป็นการเพิ่มต้นทุนและภาระให้แก่ผู้ประกอบการส่งออก รวมทั้งค่าธรรมเนียมที่ได้รับไม่คุ้มกับความเสีย หายจากการที่ทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ เนื่องจากการทำให้ราคา ส่งออกสูงขึ้นจะส่งผลให้ปริมาณส่งออกลดลง ประกอบกับประเทศที่มีการผลิตและส่งออกสินค้าไก่หลาย ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป เป็นต้น ภาครัฐได้ให้การสนับสนุน (Subsidy) ทั้งทางตรง และทางอ้อมแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ และผู้ส่งออกไก่ เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้ ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่ควรสร้างภาระให้ผู้ส่งออกเพิ่มขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการส่ง ออกผลิตภัณฑ์ไก่ปรุงสุกให้มากขึ้น กระทรวงพาณิชย์มีมาตรการในด้านตลาดต่างประเทศรองรับอยู่แล้ว โดยจะได้ประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้ต่อไป |
|||||||||||||||||||||
3727 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า (จำนวน 11 ราย) | พณ | 17/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรม
การเครื่องหมายการค้า ประกอบด้วย นายมานิต รัตนสุวรรณ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน นายสมยศ เชื้อ ไทย ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคราชการ พลตำรวจตรี รัฐวิทย์ แสนทวีสุข ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคราชการ นายสงวน ลิ่วมโนมนต์ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน นายชาญวิทย์ สุวรรณะบุณย์ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน นาย สุวรรณ สุขประเสริฐ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน นายปอ อนาวิล ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน นายจักก พงศ์ ณ บางช้าง ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน นายบุญมา เตชะวณิช ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน นายสุชาติ ธรรมา พิทักษ์กุล ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน และนายรุจิระ บุนนาค ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน โดยให้ แต่งตั้งตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (17 สิงหาคม 2547) เป็นต้นไป |
|||||||||||||||||||||
3728 | โครงการพัฒนาผ้าหม้อห้อมไทย ก้าวไกลสู่สากล | มท | 17/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอโครงการพัฒนาผ้าหม้อห้อม
ไทย ก้าวไกลสู่สากล โดยมียุทธศาสตร์การพัฒนาผ้าหม้อห้อมคือ ดำเนินการโดยใช้แนวทางคู่ขนานส่วนหนึ่ง จะต้องคำนึงถึงการรักษาเอกลักษณ์และความโดดเด่นของงานหัตถกรรมที่สืบทอดกันมาจากกระบวนการผลิต แบบดั้งเดิม ในขณะเดียวกันก็จะต้องประยุกต์แนวทางการผลิตแบบอุตสาหกรรมมาใช้เพื่อสามารถตอบสนอง ความต้องการของตลาดได้ทั่วถึงในด้านปริมาณการผลิต รูปแบบ และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ เป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินการ ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาผ้าหม้อห้อมและการบูรณาการแผนงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้ รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นว่า การพัฒนาผ้าหม้อห้อมสู่สากล ควรดำเนินการโดยเริ่มจากความ ต้องการของตลาด และนำมาพัฒนาเทคนิคการผลิตและรูปแบบสินค้า ซึ่งในส่วนนี้กระทรวงพาณิชย์ได้จัดจ้าง ผู้เชี่ยวชาญจากอิตาลีที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่น ด้านการตลาด และการพัฒนากลุ่มผู้ประกอบการในชุมชน (Cluster) มาดำเนินการวิจัยตลาดและแนวโน้มความต้องการสินค้า เพื่อเสนอแนวคิด (Concept) ของสินค้า รวมทั้งคัดเลือกแหล่งผลิตเพื่อพัฒนาสินค้า และวางแผนการตลาดอย่างครบวงจร ตลอดจนให้คำแนะนำเป็น รายบริษัท/ชุมชน เพื่อเป็นแนวทางให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในด้านการผลิตสามารถดำเนินการให้สอด คล้องกันต่อไป และความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรมีการบูรณาการแผนงานของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแล้วจัดทำแผนรวมเพื่อให้การดำเนินงานมีความสอดคล้องกันและควรกำหนดเป้า หมาย ผลผลิต หรือผลลัพธ์ของโครงการให้เป็นช่วง ๆ เพื่อติดตามผลสำเร็จของโครงการได้อย่างมีประสิทธิ ภาพ ในส่วนของจังหวัดที่ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ควรแต่งตั้งผู้รับผิดชอบเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่ง จะทำให้ได้รับข้อมูลประกอบการดำเนินการที่ถูกต้องและครบถ้วน สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาจทำทั้ง 2 รูปแบบคือ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิม และผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการดัดแปลงให้เหมาะสมกับตลาด โดย ผลิตภัณฑ์ทุกรูปแบบต้องมุ่งเน้นให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน โดยสามารถนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้า ไปช่วยพัฒนากระบวนการผลิตและการควบคุมคุณภาพได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
3729 | การแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 10/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบ
ภัยจากรถ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่กระทรวงพาณิชย์ได้แก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้ ยกเลิกเครื่องหมายแสดงการมีประกัน ภัยรถภาคบังคับ และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องหมายดังกล่าว รวมทั้งกำหนดให้เจ้าของรถจะต้องเก็บ สำเนาภาพถ่ายกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับไว้ที่รถเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการมีประกันภัย และ ยกเลิกบทบัญญัติ เกี่ยวกับการปลอมแปลงเครื่องหมายการใช้เครื่องหมายปลอมไม่ทำให้บุคคลผู้กระทำความ ผิดอยู่ก่อนพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิด และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
3730 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำเครื่องเล่นเกมเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 10/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
การนำเครื่องเล่นเกมเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญดังนี้ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวง พาณิชย์ ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 122) พ.ศ. 2540 ลงวันที่ 19 กันยายน 2540 และกำหนดประเภทของเครื่องเล่นเกม ประเภทเครื่องเล่นการพนันและอุปกรณ์การพนันเป็นสินค้า ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร รวมทั้งกรณีที่กำหนดในร่างข้อ 5 มิให้ใช้บังคับแก่กรณีการ นำเข้าชิ้นส่วนเครื่องเล่นเกมที่ผู้นำเข้าเป็นผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุน และได้รับความเห็นชอบจากสำนัก งานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้นำชิ้นส่วนเครื่องเล่นเกมเข้ามาผลิตประกอบ เป็นสินค้าเพื่อการส่ง ออกไปนอกราชอาณาจักรเท่านั้น หรือในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้นำเข้าสินค้าดังกล่าวเป็นกรณีเฉพาะ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยรับความเห็นบางประเด็นของส่วนราชการ ที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณา พร้อมทั้งรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า เทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทำให้เกิดความคาบเกี่ยวกันระหว่างการศึกษาและนวัตกรรมกับการนำไปใช้ โดยผิดวัตถุประสงค์ ดังนั้น หากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีความเห็นเพิ่มเติมประการใด ก็ให้แจ้งไปยังสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยตรง แล้วดำเนินการต่อไปได้ นอกจากนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนัก งานตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบ ดูแล และดำเนินการอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันมิให้นำเครื่องเล่นเกมไปใช้ใน การเล่นการพนัน หรือในทางที่มีผลกระทบกับศีลธรรมอันดีของประชาชนด้วย |
|||||||||||||||||||||
3731 | สรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ที่ 4 เดือนกรกฎาคม 2547 | พณ | 10/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำ
สัปดาห์ที่ 4 เดือนกรกฎาคม 2547 (19-23 กรกฎาคม 2547) ดังนี้ สินค้าที่ต้องติดตามใกล้ชิดพิเศษ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เหล็ก ที่ราคากลับมาสูงขึ้นอีก โดยเหล็กเส้น (ขนาด 9 มม.) ราคาสูงขึ้นเป็น 100-102 บาท/เส้น และ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิดรูปตัวซี (75x45x15x2.3 มม.) ราคาสูงขึ้นเป็น 440-471 บาท/ท่อน สินค้าที่ต้อง ติดตามใกล้ชิด ได้แก่ สินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี โดยเม็ดพลาสติกราคาสูงขึ้นเป็น 40.50 บาท/กก. และถุง พลาสติก เช่น ถุงชนิดร้อนราคาสูงขึ้นเป็น 52-54 บาท/กก. สินค้าที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ ไก่สดราคาลดลงเป็น 40-45 บาท/กก. และสินค้าที่เคลื่อนไหวขึ้น-ลงตามฤดูกาลและภาวะตลาดช่วงสั้น ๆ ได้แก่ ส้มเขียวหวาน ราคา สูงขึ้นเป็น 35-40 บาท/กก. ผักคะน้า และผักบุ้งจีน ราคาสูงขึ้นเป็น 18-20 บาท/กก. และ 8-12 บาท/กก. สำหรับสินค้าอื่น ๆ ส่วนใหญ่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านราคา ยกเว้นสินค้าบางรายการที่ราคาปรับขึ้น-ลงเล็ก น้อยตามกลยุทธ์การส่งเสริมการขาย เช่น ปูนซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์นม น้ำมันพืช น้ำปลา สบู่ แชมพู และถ่านไฟฉาย เป็นต้น และจากผลการตรวจสอบตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ในเขตกรุงเทพ มหานคร พบการกระทำผิด 2 ราย ภูมิภาค 26 ราย และผลการตรวจสอบตามพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 ในเขตกรุงเทพมหานคร ไม่พบการกระทำผิด ส่วนภูมิภาค พบการกระทำผิด 1 ราย |
|||||||||||||||||||||
3732 | ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกรกฎาคม 2547 | พณ | 10/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคา
ผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกรกฎาคม 2547 โดยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนกรกฎาคม 2547 เท่ากับ 109.2 เทียบกับเดือนมิถุนายน 2547 สูงขึ้นร้อยละ 0.1 จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาสินค้า หมวดไม่รวมอาหารและเครื่องดื่มร้อยละ 0.3 โดยสินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง (น้ำมันเบน ซิน) ส่วนสินค้าสำคัญที่ราคาลดลง ได้แก่ ค่าของใช้ส่วนบุคคล (ผ้าอนามัย สบู่ถูตัว แป้งทาผิว) และ สุรา ใน ขณะที่สินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มดัชนีราคาโดยเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีสินค้าบางชนิดมีราคาเปลี่ยน แปลง โดยสินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ ไข่ไก่ ผลไม้ (ส้มเขียวหวาน เงาะ มะม่วง มะละกอสุก กล้วยน้ำว้า ทุเรียน) ปลาและสัตว์น้ำ (ปลาช่อน ปลาดุก ปลานิล ปลาจะละเม็ดดำ ปลาทู) ส่วนสินค้าที่ราคาลดลง ได้แก่ เนื้อสุกร ไก่สด ผักสด (ผักคะน้า ผักชี ผักกาดขาว แตงกวา กะหล่ำปี ถั่วฝักยาว มะนาว ต้นหอม และ หัวผักกาดขาว) สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศปี พ.ศ. 2547 (คำนวณจากรายการสินค้าและ บริการ 235 รายการ) คือ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศที่หักรายการสินค้ากลุ่มอาหารสด และสิน ค้ากลุ่มพลังงาน จำนวน 91 รายการ ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 25 ของสัดส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมด และในส่วน ของดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกรกฎาคม 2547 เท่ากับ 105.0 เทียบกับเดือนมิถุนายน 2547 สูงขึ้นร้อยละ 0.1 เดือนกรกฎาคม 2546 สูงขึ้นร้อยละ 0.7 และเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2547 เทียบกับช่วงเดือนเดียวกันของปี พ.ศ. 2546 สูงขึ้นร้อยละ 0.3 |
|||||||||||||||||||||
3733 | แผนงานการเจรจารอบโดฮา | พณ | 10/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอสาระสำคัญของแผนงานและกรอบการ
เจรจาโดฮา ซึ่งที่ประชุมคณะมนตรีใหญ่ขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) เมื่อ วันที่ 1 สิงหาคม 2547 ได้มีฉันทามติรับรองแผนงานและกรอบการเจรจารอบโดฮา เช่ น การกำหนดให้ ยกเลิกการอุดหนุนการส่งออกทุกรูปแบบ และลดการอุดหนุนภายในลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน โดย การอุดหนุนที่บิดเบือนการค้าจะลดลงร้อยละ 20 ในปีแรก รวมทั้งเปิดตลาดโดยการลดภาษีสินค้าเกษตร ทุกรายการลงมาให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน และขยายปริมาณการนำเข้าภายใต้ระบบโควตาภาษี เป็น ต้น ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการ คลัง เป็นต้น เตรียมดำเนินการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้พร้อมเพื่อรองรับผลกระทบจากการเจรจา ฯ โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องตื่นตัวในการส่งเสริมและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรที่เป็น สินค้าส่งออกและแข่งขันได้ให้เพิ่มมากขึ้น และให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการในเชิงรุกเพื่อแสวงหาตลาด ใหม่ ๆ สำหรับสินค้าส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นโดยอาจนำระบบการให้สินเชื่อ (credit line) การค้าแบบหัก บัญชี (account trade) หรือการค้าแบบแลกเปลี่ยนสินค้า (barter trade) มาใช้ในการเจรจาการค้ากับ ประเทศคู่ค้าได้ตามแต่กรณีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
3734 | ผลการประชุมติดตามความก้าวหน้ายุทธศาสตร์ความร่วมมือเศรษฐกิจตามแนวชายแดนไทย - สปป.ลาว และไทย - กัมพูชา | นร | 03/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เสนอเพิ่ม
เติมเกี่ยวกับการขอแก้ไขข้อความในเอกสารเรื่อง ผลการประชุมติดตามความก้าวหน้ายุทธศาสตร์ความร่วมมือ เศรษฐกิจตามแนวชายแดนไทย-สปป.ลาว และไทย-กัมพูชา ลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2547 หน้า 2 ข้อ 2 เป็น ดังนี้ "ความร่วมมือเพื่อรับซื้อสินค้าเกษตร 8 รายการ ภายใต้กรอบ AISP ยังมีปัญหาในทางปฏิบัติเรื่องการ ออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าส่งผลให้ยังไม่สามารถนำเข้าสินค้าเกษตร 8 รายการ จากประเทศเพื่อนบ้าน ได้จริง โดยในปัจจุบันมีสินค้าเกษตรในกรอบ AISP นำเข้าได้เพียง 1 รายการเท่านั้น จึงขอให้หน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งรัดดำเนินการแก้ไข ปัญหาอุปสรรคในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไปด้วย"
|
|||||||||||||||||||||
3735 | การจัดตั้งสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ | นร | 03/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.)
เสนอ มติคณะกรรมการ ก.พ.ร. เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2547 ที่เห็นชอบให้จัดตั้งสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยนำส่วนราชการที่ทำหน้าที่ เกี่ยวกับหม่อนและไหมในกรมวิชาการเกษตร และกรมส่งเสริมการเกษตร ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มา กำหนดเป็นสถาบันหม่อนไหม ฯ ดังกล่าว และให้คณะกรรมการหม่อนไหมแห่งชาติ มีปลัดกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ ที่ เห็นว่า เมื่อมีการจัดตั้งสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติ ฯ แล้ว ควรจัดให้มีการระดมความเห็นจากหน่วยงานและผู้ เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาหม่อนไหม อันเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้มีการกำหนดแนวทางที่ชัด เจนในการพัฒนาหม่อนไหมอย่างเป็นระบบและสามารถสนับสนุนการส่งออกผลิตภัณฑ์จากไหม ซึ่งต้องใช้เส้น ไหมเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิต และความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรมีการบูรณาการงานของส่วน ราชการต่าง ๆ ด้านหม่อนไหมทั้งหมดให้รวมอยู่ด้วยกันเพื่อทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการหม่อน ไหมแห่งชาติ ซึ่งมีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ ในการรับนโยบาย ทิศทาง และยุทธศาสตร์ด้านหม่อนไหมจากคณะกรรมการ ฯ ไปปฏิบัติให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยรับผิดชอบ งานหม่อนไหมทั้งระบบและครบวงจรตั้งแต่การศึกษา วิจัยด้านพันธุ์หม่อนและไหม มาตรฐานการผลิต การ แปรรูปและบรรจุภัณฑ์ การตลาด การอนุรักษ์ และคุ้มครองพันธุ์หม่อนและไหมไทย ตลอดจนการจดสิทธิ บัตร ในการนี้ สำนักงาน ก.พ. จะดำเนินการจัดโครงสร้างการแบ่งงานภายในของสถาบันหม่อนไหมแห่ง ชาติ ฯ โดยการเกลี่ยอัตรากำลังจากหน่วยงานภายในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อกำหนดเป็นตำแหน่ง และสายงานที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบทบาทภารกิจต่อไป นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตเกี่ยวกับสังกัดของ สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติ ฯ ควรเป็นหน่วยงานในสังกัดกรมวิชาการเกษตรซึ่งมีภารกิจหลักด้านการวิจัยและ พัฒนาพืช ไหม เครื่องจักรกลการเกษตรและการบริการตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร โดยปรับบทบาท ภารกิจใหม่ให้เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) รับ ไปประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการขอพระราชทานชื่ออย่างเป็นทาง การของสถาบันหม่อนไหม ฯ ที่จะจัดตั้งขึ้นนี้จากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถต่อไป และให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมมือและประสานการ ดำเนินการต่าง ๆ กันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการดำเนินการส่งเสริมและอนุรักษ์หม่อนไหม ไทย ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมนับตั้งแต่การเพาะปลูก/การผลิตหม่อนไหมไทย การแปรรูป/ผลิตเป็นสินค้า การ จำหน่าย/การตลาด เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||
3736 | แนวทางการเปิดตลาดสินค้าไปยังตลาดสินค้าใหม่ | นร | 03/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอแนวทางการเปิดตลาดสินค้าไปยังตลาดสินค้า
ใหม่ โดยการเปิดตลาดสินค้าของไทยในประเทศใหม่ ๆ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาที่ยังมิได้เป็นคู่ค้าของ ไทย และนำระบบการให้สินเชื่อ (credit line) การค้าแบบหักบัญชี (account trade) หรือการค้าต่างตอบแทน (barter trade) มาใช้ในการเจรจาการค้า เพื่อเป็นการขยายโอกาสและสร้างความคล่องตัวในการจำหน่ายสิน ค้าระหว่างกันตามความเหมาะสม จึงมอบให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และ หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นระบบครบวงจร และดำเนินการโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
3737 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 (การปรับปรุงการประกันภัยสำหรับผู้โดยสารเรือ) | คค | 03/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 โดยมีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เจ้าของเรือใด ๆ ที่สามารถบรรทุกคนโดยสารได้จัดให้มีประกันภัยสำหรับผู้โดยสารและให้ยื่น สัญญาประกันภัยและกรมธรรม์ประกันภัยเป็นเอกสารหลักฐานประกอบในการขอรับใบอนุญาตใช้เรือ และ กำหนดจำนวนเงินความคุ้มครองผู้โดยสารตามกรมธรรม์ประกันภัยให้เพิ่มสูงขึ้น และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นว่า คำว่า "คนโดยสาร" และ "ผู้โดยสาร" ในร่างกฎกระทรวง ข้อ 2 และข้อ 3 หากมีความหมายเช่นเดียวกันควรใช้คำเดียวกัน เพื่อ ไม่ให้เกิดปัญหาการตีความ และร่างข้อ 3 ควรแก้ไขคำว่า "ผู้เอาประกัน" เป็น "ผู้เอาประกันภัย" และ "จำนวนเงินที่ได้เอาประกันภัย" เป็น "จำนวนเงินเอาประกันภัย" ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนิน การต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
3738 | รายงานผลความคืบหน้าในโครงการออกแบบและคุมงานก่อสร้างหมู่บ้านนักกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ประเทศกาตาร์ | พณ | 03/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลความคืบหน้าในโครงการออกแบบและ
คุมงานก่อสร้างหมู่บ้านนักกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ประเทศกาตาร์ โดยผลการดำเนินงานในภาพรวม ในส่วนของการ ส่งมอบงาน สหพันธ์ธุรกิจบริการออกแบบและก่อสร้างแห่งประเทศไทย (FEDCON) ได้ส่งมอบงานออกแบบก่อ สร้างในทุกส่วนที่รับผิดชอบแล้ว ส่วนการตกแต่งภายในอาคารโรงพยาบาล (Hospital Fit-out) รัฐบาลกาตาร์ ได้ตกลงที่จะให้ FEDCON ดำเนินงานออกแบบแทน พร้อมขยายวงเงินค่าจ้างออกแบบเพิ่มขึ้น สำหรับการขอรับ ค่าบริการจากงานในส่วนที่เพิ่มเติมและงานที่แก้ไข (Additional and Variation Work) รัฐบาลกาตาร์ได้ให้ความ เห็นชอบในหลักการ ซึ่ง FEDCON จะได้ยื่นหลักฐานอย่างเป็นทางการและเจรจากับผู้แทนรัฐบาลกาตาร์ในราย ละเอียดต่อไป และจากการดำเนินการดังกล่าว ทำให้วิศวกรไทยและแรงงานฝีมือไทยได้ทำงานอยู่ที่กรุงโดฮาใน ขณะนี้ 200 คน ขณะเดียวกันบริษัทเอกชนของไทยยังได้รับงานรับเหมาช่วงติดตั้งระบบไฟฟ้าของโครงการมูล ค่าประมาณ 1,660 ล้านบาท (138 ล้านกาตาร์เรียล) ซึ่งทำให้สามารถส่งออกวิศวกรและแรงงานฝีมือชาว ไทยได้อีกกว่า 300 คน และยังคาดว่าจะสามารถส่งออกวัสดุก่อสร้างได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท ในการนี้ กระทรวงพาณิชย์ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้กำหนดแผนที่จะดำเนินการต่อไป ดังนี้ ติดตามการ ดำเนินงานของ FEDCON ต่อไปอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 15 ของประเทศกาตาร์สำเร็จลุล่วงตามที่กำหนดไว้ รวมทั้งจัดคณะผู้แทนการค้าสินค้าวัสดุก่อสร้างของไทยไปเจรจา กับผู้นำเข้าในกาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศในตะวันออกกลางอื่น ๆ เพื่อรองรับการขยายตัวของ ธุรกิจก่อสร้างในตะวันออกกลางระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน ศกนี้ต่อไป |
|||||||||||||||||||||
3739 | สรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ที่ 2 เดือนกรกฎาคม 2547 | พณ | 27/07/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
ประจำสัปดาห์ที่ 2 เดือนกรกฎาคม 2547 ระหว่างวันที่ 5 - 9 กรกฎาคม 2547 โดยสถานการณ์ราคา สินค้าในเขตกรุงเทพมหานครอยู่ในภาวะปกติ มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงด้านราคาเพียงเล็กน้อย โดย สินค้าที่มีความเคลื่อนไหวในหมวดอาหารสด/ผักและผลไม้ ได้แก่ สุกรชำแหละราคาลดลงจาก 80 - 90 บาท/กก. เป็น 80-85 บาท/กก. ผักคะน้าราคาลดลงจาก 20-28 บาท/กก. เป็น 15-20 บาท/กก. ผัก บุ้งจีนราคาลดลงจาก 12 - 18 บาท/กก. เป็น 8 - 12 บาท/กก. เงาะราคาเพิ่มขึ้นจาก 15 - 25 บาท/ กก. เป็น 20 - 25 บาท/กก. ส้มเขียวหวานราคาเพิ่มขึ้นจาก 25 - 32 บาท/กก. เป็น 30 - 35 บาท/ กก. ส่วนหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหาร ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ส่วนใหญ่ราคาทรงตัว ยกเว้นเม็ดพลาสติก ชนิด HDPE ราคาเพิ่มขึ้นจาก 38.50 บาท/กก. เป็น 39.50 บาท/กก. ผลิตภัณฑ์เหล็ก เหล็กโครงสร้าง รูปพรรณชนิดรูปตัวซี (ขนาด 75x45x15x2.3 มม.) ราคาสูงขึ้นจาก 430 - 440 บาท/ท่อน เป็น 430 - 453 บาท/ท่อน เหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิดเหล็กฉาก (ขนาด 40x40x3 มม./6 ม.) ราคาสูงขึ้นจาก 225 - 240 บาท/ท่อน เป็น 235 - 252 บาท/ท่อน และผลิตภัณฑ์ปัจจัยการเกษตร สินค้าที่มีการปรับ ราคาสูงขึ้น ได้แก่อาหารสัตว์ เช่น อาหารไก่เนื้อราคาสูงขึ้นจาก 364 บาท/ถุง เป็น 372 บาท/ถุง และ อาหารหมูเล็กราคาสูงขึ้นจาก 328 บาท/ถุง เป็น 339 บาท/ถุง สำหรับสินค้ากลุ่มอื่น ๆ ราคาสินค้า เคลื่อนไหวขึ้น - ลงเล็กน้อยตามภาวะการแข่งขันและการส่งเสริมการขายของห้างสรรพสินค้า เช่น ผลิต ภัณฑ์นม น้ำมันพืช น้ำส้มสายชู น้ำปลา น้ำตาลทราย แป้งโรยตัว และถ่านไฟฉาย ในส่วนของสถาน การณ์ราคาสินค้าในภูมิภาค ส่วนใหญ่ราคาทรงตัว ยกเว้นอาหารสัตว์ได้ปรับตัวสูงขึ้นในบางจังหวัด ตาม ราคาโรงงานที่ปรับสูงขึ้น และจากการตรวจสอบพฤติกรรมการจำหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 โดยในเขตกรุงเทพมหานคร พบผู้กระทำผิดไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้า จำนวน 4 ราย ภูมิภาค พบผู้ กระทำผิด เครื่องชั่งไม่เที่ยงตรง จำนวน 1 ราย |
|||||||||||||||||||||
3740 | รายงานความก้าวหน้าการสร้างงานและอาชีพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ครั้งที่ 3) | พณ | 27/07/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานความก้าวหน้าการสร้างงานและอาชีพใน
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 5 โดยกรมการค้าภายในได้ส่งเสริม พัฒนาอาชีพ และสร้างรายได้ ให้แก่ ประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจัดจ้างอาสาสมัครในท้องถิ่นจำนวน 33 อัตรา เป็นระยะเวลา 3 เดือน (1 กรกฎาคม-30 กันยายน 2547) เพื่อช่วยงานด้านการตรวจสอบพฤติกรรมผู้ประกอบการค้า และ เป็นแนวร่วมในการดำเนินงานให้ผู้บริโภคในพื้นที่ได้รับความเป็นธรรม ด้านการส่งเสริมการประกอบธุรกิจ การค้า ได้จัดสัมมนาเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในด้านการประกอบธุรกิจการค้าชายแดน และการรักษาระดับ ราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคแก่ผู้ประกอบการในจังหวัดสงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ด้านการส่งเสริม การค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน ได้จัดคณะผู้แทนนำผู้ประกอบการของ 3 จังหวัด เดินทางไปเจรจาการค้ากับนัก ธุรกิจจากสมาคมธุรกิจขนาดย่อมของมาเลเซีย (SMI ASSOCIATION OF MALASIA) ณ สถานทูตไทยกรุงกัวลา ลัมเปอร์ ด้านการให้ความคุ้มครองผู้บริโภคและประชาชน ได้จัดกิจกรรมจำหน่ายสินค้าราคาถูกในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อช่วยลดค่าครองชีพและเป็นการแสดงความห่วงใยของภาครัฐต่อประชาชนในเรื่องความเป็นอยู่และความสงบ สุข นอกจากนี้หน่วยงานในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้ดำเนินโครงการจัดหาสินค้าจำเป็นราคาถูกไปจำหน่ายให้ ประชาชนที่อยู่ห่างไกลร่วมกับจังหวัดตามโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าและ พัฒนาตามศักยภาพของจังหวัด ได้ดำเนินโครงการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามมติ ของคณะกรรมการกำหนดนโยบายของกองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขขายแดนภาคใต้ (กอ.สสส.จชต.) และ โครงการตามข้อเสนอของประชาคม 3 จังหวัด รวมทั้งหมด 7 โครงการ โดยในส่วนของการเบิกเงินงบประมาณ ได้จัดทำรายละเอียดและส่งให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรแล้ว และการจัดทำรายละเอียดแผนปฏิบัติงาน และจัดเจ้าหน้าที่เพื่อไปชี้แจงให้หน่วยปฏิบัติในพื้นที่เตรียมการและดำเนินการในส่วนที่สามารถดำเนินการล่วง หน้าได้ ส่วนโครงการอื่น ๆ ที่มีความจำเป็นต้องจัดหาสถานที่และพิจารณาความเหมาะสมอยู่ระหว่างการจัด ทำรายละเอียด เพื่อชี้แจงผู้ปฏิบัติดำเนินการต่อไป รวมทั้งโครงการที่เป็นความต้องการของประชาชน อยู่ระหว่าง การประสานกับท้องถิ่น |
.....