ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 185 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 3681 - 3700 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3681 | การสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ | กค | 26/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ อนุมัติให้โรงงาน ยาสูบดำเนินโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ พร้อมเครื่องจักรที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยวิธีการจัด หาผู้รับจ้างแบบรัฐบาลต่อรัฐบาลระหว่างประเทศไทยกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมอบหมาย ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในสัญญาระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล และให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแจ้งประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อกำหนดตัวบุคคลและ มอบอำนาจลงนามในสัญญาทั้งระดับรัฐบาลและระดับผู้ดำเนินการ รวมทั้งอนุมัติวงเงินลงทุนในส่วนต่าง ๆ ได้แก่ การปรับเพิ่มวงเงินลงทุนสำหรับโครงการตามรายการที่ปรากฏใน TOR จากจำนวน 13,014.00 ล้านบาท เป็นจำนวน 14,733.50 ล้านบาท และวงเงินลงทุนเพิ่มเติมจำนวน 2,736.30 ล้านบาท ตาม ระบบในกระบวนการผลิตบางระบบ ซึ่งบริษัท China Yunnan Corporation for International Techno- Economic Cooperation (CYC) เสนอเพิ่มเติมจาก TOR, วงเงินค่าจ้างที่ปรึกษา จำนวน 200 ล้านบาท และ ให้โรงงานยาสูบขยายระยะเวลากันเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากการดำเนินงาน จากปี พ.ศ. 2545 - 2549 เป็นปี พ.ศ. 2545-2551 ตามกรอบวงเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณาวงเงินในแต่ละ ปีให้สอดคล้องกับภาระการลงทุนจริงและสถานะทางการเงินของโรงงานยาสูบ โดยในส่วนของการดำเนิน การการค้าต่างตอบแทน ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและโรง งานยาสูบรับความเห็นเพิ่มเติมของคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ การจัดหาผู้รับจ้างก่อ สร้างจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนควรเจรจาต่อรองให้โรงงานยาสูบสามารถส่งบุหรี่ที่ผลิตได้เข้าไป จำหน่ายในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ด้วย และการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ เมื่อมีการ นำเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นมาใช้ จะเป็นผลให้ปริมาณความต้องการใบยาสูบในประเทศ ลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ ประกอบกับเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบได้เรียกร้องขอ ให้มีการปรับราคาใบยาสูบให้สูงขึ้น โรงงานยาสูบจึงต้องกำหนดแนวทางและให้ความช่วยเหลือดูแลเกษตร กรดังกล่าวอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง โรงงานยาสูบ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินการตามกฎหมายและอำนาจหน้าที่ เช่น การดำเนินมาตรการ ทางภาษี (sin tax) และประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข่าวสารต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูก ต้องเกี่ยวกับโทษภัยของบุหรี่ รวมตลอดถึงสินค้าที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภคชนิด อื่น เช่น สุรา เป็นต้น โดยควรมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3682 | การดำเนินการรองรับการทำความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) | พณ | 26/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายเศรษฐ
กิจระหว่างประเทศเสนอการเตรียมการปรับตัวเพื่อรองรับผลกระทบในการทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย -ออสเตรเลีย (TAFTA) ซึ่งมีสินค้า/บริการ บางรายการที่ไทยจะได้ประโยชน์จากการเข้าตลาดออสเตรเลีย ได้แก่ โคนม โคเนื้อ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดประชุมเชิงปฏิบัติการระดับชาติ (Workshop) เพื่อจัด ทำยุทธศาสตร์โคนม โคเนื้อ รองรับการเปิดตลาดของไทยใน 15-20 ปี ไวน์และสุราไทย มอบหมายให้กระทรวง การคลังพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งระบบให้มีความเหมาะสม เพื่อให้ไวน์ไทย สามารถแข่งขันกับไวน์และสุรานำเข้าจากต่างประเทศได้ รวมทั้งด้านบริการ เช่น พ่อครัวไทย หมอนวด ช่าง ซ่อมรถยนต์ มอบให้กระทรวงแรงงานจัดอบรมฝีมือแรงงานไทยโดยให้วุฒิบัตรรับรองเพื่อสามารถเข้าไปประกอบ อาชีพในต่างประเทศได้สะดวกขึ้น ตามข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์ และให้หน่วยงานต่าง ๆ รับไปดำเนินการใน ส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความ ร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมยานยนต์ของทั้งสองประเทศโดยนำผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ของทั้งสอง ประเทศพบหารือกัน ซึ่งผลการหารือประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยนักธุรกิจออสเตรเลียได้แสดงความ สนใจที่จะร่วมลงทุนในลักษณะ Joint Venture ด้านการผลิตและสั่งซื้อสินค้าจากไทย และจะเดินทางมาไทยเพื่อ เยี่ยมชมโรงงานพร้อมทั้งหารือเพื่อวางแนวทางขยายการค้าการลงทุนเพิ่มเติม ส่วนอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่อง นุ่งห่ม กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นว่าการลดภาษีของออสเตรเลีย ภายใต้ความตกลง ฯ จากร้อยละ 25 เหลือร้อย ละ 12.5 จะเป็นโอกาสอันดีสำหรับสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมมียุทธศาสตร์ใน การพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตเพื่อให้อุตสาหกรรมดังกล่าวสามารถแข่งขันได้มากขึ้น ตามโครงการกรุงเทพ ฯ เมืองแฟชั่น และจะดำเนินการร่วมกับภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องผลักดันเพื่อให้การขยายการค้าสินค้าดังกล่าว เกิดขึ้นอย่างจริงจัง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3683 | การให้ความช่วยเหลือทางทหารแบบให้เปล่าของจีนแก่ประเทศไทย | กห | 26/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ เห็นชอบร่างพิธีสารระหว่างกระทรวงกลา
โหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เรื่อง การให้ความช่วยเหลือ ทางทหารแบบให้เปล่าแก่ประเทศไทย และเห็นชอบร่างข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐ ประชาชนจีนและกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือทางทหารแบบให้ เปล่าแก่ประเทศไทย และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสาร ฯ และร่างข้อตกลง ฯ ดังกล่าว กับผู้แทนกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างพิธี สาร ฯ และร่างข้อตกลง ฯ ดังกล่าว โดยมิได้มีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญซึ่งเป็นประโยชน์ต่อกระทรวง กลาโหม ให้สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหมประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ และ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในพิธีสาร ฯ ระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองฝ่ายให้ เหมาะสม ก่อนดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3684 | การดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภค | พณ | 26/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมหารือระหว่างกรมการค้า
ภายในกับผู้ประกอบการผลิตและนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคเกี่ยวกับเรื่องราคาสินค้า เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2547 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติให้ขยายระยะเวลาการตรึงราคาสินค้าออกไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2548 (จาก เดิมที่ครบวันที่ 31 ตุลาคม 2547) ภายใต้เงื่อนไขการค้าแบบเดิมที่ทำกันปกติ รวมทั้งศูนย์อาหารในห้าง สรรพสินค้าก็ให้ตรึงราคาเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม กรมการค้าภายในจะพิจารณาทยอยปรับราคาสินค้าที่ มีความจำเป็นต้องปรับราคาก่อนกำหนดเนื่องจากไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นได้หลังวันที่ 31 ธันวาคม 2547 เป็นต้นไป และให้ผู้ประกอบการมีการผลิตและระบายสินค้าออกสู่ตลาดอย่างเต็มที่ รวมทั้งดูแลเครือ ข่ายการจำหน่ายสินค้าอย่างใกล้ชิดมิให้มีการกักตุนสินค้า และจำหน่ายสินค้าในราคาที่เป็นธรรม สำหรับ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ และติดตามสถานการณ์ด้านปริมาณและ ราคาอย่างใกล้ชิด โดยสินค้าใดมีความผิดปกติด้านปริมาณและราคาโดยไม่เป็นไปตามกลไกตลาดจะกำหนด ให้เป็นสินค้าควบคุม และกำหนดมาตรการดูแลต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3685 | การจัดตั้ง SPV (Special Purpose Vehicle) (มีการปรับแก้ไขมติฯ) | นร | 19/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการจัดตั้งบริษัท จำกัด หรือนิติบุคคลเฉพาะ
กิจ (Special Purpose Vehicle : SPV) ทำหน้าที่ระดมเงินจากสถาบันการเงิน เพื่อให้เกษตรกรกู้ต่อในรูป ปศุสัตว์ที่จะเลี้ยง โดยให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2547 เรื่อง การจัดตั้งธนาคารโค กระบือ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ การจัดตั้งหน่วยงานกลางดังกล่าวอาจ ดำเนินการโดยธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เป็นต้น โดยแนวทางการสนับสนุนให้ ครอบคลุมไปถึงการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดต่าง ๆ เช่น ปาล์ม และยางพารา เป็นต้น และให้สำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) เข้าร่วมการพิจารณาหารือเพื่อกำหนดรูปแบบ วิธี การ โครงสร้าง และอัตรากำลังของ SPV ที่จะจัดตั้งขึ้นด้วย นอกจากนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงาน ร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางและเร่งดำเนินการส่งเสริมและ พัฒนาผลผลิตของการเลี้ยงปศุสัตว์ ข้าว ยางพารา และปาล์ม รวมทั้งจัดหาช่องทางการตลาดสำหรับสินค้า ดังกล่าวให้มากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3686 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. .... | สผ | 19/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอข้อสังเกตของคณะ
กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. .... สภาผู้แทนราษฎร โดยคณะกรรมาธิการ วิสามัญ ฯ มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการกำหนดให้มีคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานบัญชีตามมาตรา 7(3) แต่ยังไม่ ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการมาตรฐานการสอบบัญชี และคณะกรรมการมาตรฐานอื่นที่เกี่ยวกับการบัญชี รวม ทั้งการแต่งตั้งผู้แทนเพื่อเป็นกรรมการกำหนดมาตรฐานการบัญชี ตามมาตรา 32 และการพิจารณาลักษณะ ต้องห้ามของผู้รับใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตามมาตรา 38(4) ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงพาณิชย์รับ ไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และ เห็นชอบให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ ของสภาผู้แทนราษฎรแก้ไขเป็นเหตุ ผลของร่างพระราชบัญญัติในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3687 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายพินิจ จารุสมบัติ) | พณ | 19/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอการแต่งตั้ง นายพินิจ จารุสมบัติ รองนายก
รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไม่อยู่ หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3688 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายประเชิญ ติยะปัญจนิตย์ และนายสมเจตน์ ลิมปะพันธุ์) | พณ | 19/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง นายประเชิญ ติยะปัญจนิตย์ ดำรง
ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายสมเจตน์ ลิมปะพันธุ์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นข้าราชการการเมือง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2547 เป็นต้นไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3689 | การขยายตลาดส่งออกผลไม้ | พณ | 12/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติเกี่ยวกับเรื่อง การขยายตลาดส่งออกผลไม้ โดยเห็น ชอบให้กระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพดำเนินการจัดทำแผนยุทธศาสตร์จังหวัดและการขยายตลาดสินค้าผลไม้ ไทย โดยร่วมดำเนินการกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และจังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตผล ไม้ 10 จังหวัด รวมทั้งให้หน่วยงาน/องค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน และกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้มี ส่วนร่วมกำหนดแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ส่วนการปรับโครงสร้างการผลิตผลไม้ของเกษตร กร โดยปรับเปลี่ยนพันธุ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น นั้น ข้อเท็จจริงอาจมิใช่เกิดจากพันธุ์ที่ ปลูก แต่อาจเกิดจากคุณภาพของสินค้าเป็นหลัก โดยเฉพาะในเรื่องความสด ความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ราคา ของผลผลิต การประชาสัมพันธ์ การคิดเพิ่มมูลค่าสินค้าแทนการขายสด เทคนิคการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม นอก จากนั้นการจะปรับเปลี่ยนพันธุ์ยังต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของสภาพภูมิประเทศและอากาศจึงเห็นควรมอบ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาดำเนินการ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3690 | การโอนภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปให้ส่วนราชการอื่นตามมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 | นร | 12/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 8 (ฝ่าย
กฎหมาย ฯ) ที่มีมติดังนี้ เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอการโอนภารกิจของกองทะเบียน กองบัญชา การตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปให้ส่วนราชการอื่น ตามมาตรา 56 แห่งพระราช บัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ได้แก่ การโอนภารกิจตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่อง กระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 พระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ. 2478 และพระราชบัญญัติควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า พ.ศ. 2474 การโอนภารกิจตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 การโอนภารกิจตามพระราชบัญญัติ โรงแรม พ.ศ. 2478 การโอนภารกิจตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. 2473 และพระราชบัญญัติควบคุม กิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 รวมทั้งการโอนอัตรากำลังและอาคารสถานที่ของกองทะเบียน กอง บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติปรับบทบาทและภารกิจของกองทะเบียน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้สอดคล้องกับบทบาทและภารกิจใหม่ต่อไป และเห็นชอบตามที่รอง นายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การโอนภารกิจดังกล่าวมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านความพร้อมของหน่วยงานที่จะให้บริการแก่ประชาชนด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น และมีเอกภาพ ในลักษณะ one stop service เห็นควรปรับปรุงการโอนภารกิจเสียใหม่ โดยโอนภารกิจตามพระราชบัญญัติ โรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 ไปให้กระทรวงมหาดไทยแทนการโอนให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ และโอนภารกิจตามพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2478 ไปให้กระทรวงมหาดไทยแทนการโอน ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงวัฒน ธรรม ซึ่งได้รับโอนภารกิจไปประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และร่วมกันปฏิบัติงานในลักษณะทีมงาม โดยมีกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงวัฒนธรรม ตามแต่กรณี เป็นผู้รับผิดชอบหลัก รวมทั้งมอบให้รอง นายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) หารือและประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีแนวทางปฏิบัติ ในระยะเปลี่ยนถ่ายเป็นไปด้วยความราบรื่นและเหมาะสมต่อไป เช่น กรณีของการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ ควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3691 | สรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ที่ 4 เดือนกันยายน 2547 | พณ | 12/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
ประจำสัปดาห์ที่ 4 เดือนกันยายน 2547 ตั้งแต่วันที่ 20-25 กันยายน 2547 ซึ่งมีความเคลื่อนไหวราคา สินค้าในกลุ่มสินค้าที่ใช้วัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ และกลุ่มสินค้าที่มีการผลิตเป็นฤดูกาล โดยสินค้าที่ มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิดเหล็กฉาก (ขนาด 40x40x3 มม./6 ม.) ราคาสูงขึ้นจาก 266-289 บาท/ท่อน เป็น 270-289 บาท/ท่อน ผักชี ราคาสูงขึ้นจาก 4-5 บาท/ขีด เป็น 4-6 บาท/ ขีด ส่วนสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ ผักบุ้งจีน ราคาลดลงจาก 12-25 บาท/กก. เป็น 12-18 บาท/ กก. เงาะ ราคาลดลงจาก 15-20 บาท/กก. เป็น 12-20 บาท/กก. และกล้วยหอม ราคาลดลงจาก 3-4 บาท/ผล เป็น 2.50-3 บาท/ผล สำหรับสินค้าในกลุ่มอื่น ๆ ราคายังทรงตัว ยกเว้นสินค้าบางรายการ ที่มีราคาเปลี่ยนแปลงตามกลยุทธ์การส่งเสริมการขายและภาวะการแข่งขัน เช่น ผลิตภัณฑ์นม น้ำมันพืช และน้ำสัมสายชู เป็นต้น ในส่วนของการตรวจสอบผู้ค้าเหล็กในเขตกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย ผู้แทน จำหน่ายเหล็กแผ่นเหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ รวมทั้งผู้ค้าปลีกไม่พบการกระทำผิดกฎหมาย แต่อย่างใด และจากการตรวจสอบผู้ประกอบการทั่วไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 พบการกระทำผิดไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้า 1 7 ราย และราคาจำหน่ายไม่ตรงกับป้าย แสดงราคา 2 ราย สำหรับการตรวจสอบตามพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 ไม่พบการ กระทำผิด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3692 | ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกันยายน 2547 และระยะ 9 เดือนแรกของปี 2547 | พณ | 12/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานความเคลื่อนไหวดัชนีราคาผู้บริโภคทั่ว
ไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกันยายน 2547 และระยะ 9 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2547 สรุปได้ดังนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนกันยายน 2547 เท่ากับ 110.1 เทียบกับเดือนสิงหา คม 2547 สูงขึ้นร้อยละ 0.4 จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาสินค้าหมวดไม่รวมอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ 0.5 โดยสินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง ค่าของใช้ส่วนบุคคล ค่าตรวจรักษาและค่ายา ใน ขณะที่สินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มมีราคาโดยเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีสินค้าบางชนิดที่มีราคาเปลี่ยน แปลง ได้แก่ ไก่สด ปลาและสัตว์น้ำ ผักสด สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศระยะ 9 เดือนแรก ของปี พ.ศ. 2547 เท่ากับ 108.7 เทียบกับดัชนีราคาเฉลี่ยช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. 2546 ซึ่งเท่ากับ 105.9 สูงขึ้นร้อยละ 2.6 โดยสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ดัชนีราคาสูงขึ้นร้อยละ 4.8 จากการสูงขึ้นของราคา ข้าวสารเจ้าหอมมะลิ เนื้อสุกกร ไก่สด ไข่ไก่ ปลาและสัตว์น้ำ ผักและผลไม้ และเครื่องปรุงอาหาร ในขณะ ที่สินค้าหมวดอื่น ๆ ไม่รวมอาหารและเครื่องดื่ม ดัชนีราคาสูงขึ้นร้อยละ 1.4 จากการสูงขึ้นของราคาค่า กระแสไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม น้ำมันเชื้อเพลิง ค่าโดยสารสาธารณะ และค่าตรวจรักษา และค่ายา ค่าการบันเทิง และการศึกษา ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศปี พ.ศ. 2547 เท่ากับ 104.9 เทียบกับเดือน สิงหาคม 2547 สูงขึ้นร้อยละ 0.1 เดือนกันยายน 2546 สูงขึ้นร้อยละ 0.6 และเดือนมกราคม-กันยายน 2547 เทียบกับช่วงเดือนเดียวกันของปี พ.ศ. 2546 สูงขึ้นร้อยละ 0.3 |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3693 | การค้าระหว่างประเทศของไทย ในระยะ 8 เดือนแรกของปี 2547 (มกราคม - สิงหาคม) | พณ | 12/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของ
ไทยในระยะ 8 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2547 ตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2547 สรุปได้ดังนี้ การส่งออกของ ไทยเดือนสิงหาคม 2547 มีมูลค่า 8,285 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปี พ.ศ. 2546 ร้อยละ 27.7 ส่วนการนำเข้าเดือนสิงหาคม 2547 มีมูลค่า 8,501 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เพิ่มขึ้นจากเดือน เดียวกันของปี พ.ศ. 2546 ร้อยละ 35.4 ซึ่งทำให้ในเดือนสิงหาคม 2547 ไทยขาดดุลมูลค่า 216 ล้านเหรียญ สหรัฐ ฯ ในด้านตลาดส่งออกสำคัญ ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งในตลาดหลักและตลาดใหม่ โดยตลาดที่ยัง ขยายตัวในอัตราสูงอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อาเซียน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.3) แอฟริกา (ร้อยละ 57.3) ตะวันออก กลาง (ร้อยละ 33.5) อินโดจีนและพม่า (ร้อยละ 30.0) และลาตินอเมริกา (ร้อยละ 29.2) รวมทั้งตลาดที่ ไทยจัดทำเขตการค้าเสรีคือ อินเดีย (ร้อยละ 40.8) จีน (ร้อยละ 24.4) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 15.7) สำหรับ การสินค้าส่งออกสำคัญ ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตร และสินค้า อุตสาหกรรม โดยเฉพาะข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราสูงอย่างต่อเนื่องถึงร้อยละ 64.8, 44.3 และ 28.5 ตามลำดับ รวมไปถึงไก่แปรรูปซึ่งส่งออกเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20.0 นอกจากนี้ ยังมี สินค้าสำคัญอื่นๆ ที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และส่วนประกอบ สิ่งทอ พลาสติก วัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณี เฟอร์นิเจอร์ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เภสัช |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3694 | สรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ที่ 1 เดือนตุลาคม 2547 | พณ | 12/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
ประจำสัปดาห์ที่ 1 เดือนตุลาคม 2547 ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน - 1 ตุลาคม 2547 โดยภาพรวมราคา สินค้า กลุ่มสินค้าที่นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบจาก ต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิดเหล็กรูปตัวซี (ขนาด 75x45x15x2.3 มม.) ราคา สูงขึ้นจาก 508-520 บาท/ท่อน เป็น 520-546 บาท/ท่อน ตะปู ราคาสูงขึ้นจาก 560-600 บาท/ลัง เป็น 560-720 บาท/ลัง กลุ่มสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ มีราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากได้รับผลกระทบจาก ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยถุงพลาสติก ราคาสูงขึ้นจาก 65-72 บาท/กก. เป็น 65-74 บาท/กก. กลุ่มพืชผักและผลไม้ มีการเคลื่อนไหวของราคาเป็นไปตามฤดูกาลและภาวะตลาดในช่วงสั้น ๆ โดยสินค้า ที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ผักคะน้า ราคาสูงขึ้นจาก 20-25 บาท/กก. เป็น 20-28 บาท/กก. ผักบุ้งจีน ราคา สูงขึ้นจาก 12-18 บาท/กก. เป็น 18-20 บาท/กก. ผักชี ราคาสูงขึ้นจาก 4-6 บาท/ขีด เป็น 8-12 บาท/ขีด และมะนาว ราคาสูงขึ้นจาก 0.75 บาท/ผล เป็น 0.75-1.25 บาท/ผล ส่วนสินค้าที่มีราคาลด ลง ได้แก่ เงาะ ราคาลดลงจาก 12-20 บาท/กก. เป็น 12-18 บาท/กก. และส้มเขียวหวาน ราคาลดลง จาก 20-25 บาท/กก. เป็น 18-22 บาท/กก. สำหรับกลุ่มสินค้าอื่น ๆ ราคายังทรงตัว ยกเว้นสินค้า บางรายการที่มีราคาเปลี่ยนแปลงตามกลยุทธ์การส่งเสริมการขายและภาวะการแข่งขัน เช่น ผลิตภัณฑ์ นม น้ำมันพืช น้ำปลา และน้ำตาลทราย เป็นต้น ในส่วนของการตรวจสอบผู้ค้าเหล็กในเขตกรุงเทพมหา นครประกอบด้วย ผู้แทนผลิต และผู้แทนจำหน่าย พบว่า ปริมาณเหล็กมีเพียงพอต่อการจำหน่ายและไม่ มีพฤติกรรมการกักตุนสินค้า และจากการตรวจสอบผู้ประกอบการทั่วไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคา สินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 พบการกระทำผิดไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้า 2 ราย สำหรับการตรวจ สอบตามพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 พบการกระทำผิดมาตรวัดน้ำมันไม่ได้มาตรฐาน 2 ราย น้ำหนักก๊าซหุงต้มต่ำกว่าที่แสดงไว้ 1 ราย และเครื่องชั่งไม่เที่ยงตรง 1 ราย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3695 | มาตรการประหยัดพลังงานในภาวะน้ำมันแพง | พณ | 12/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอการปรับเวลาเปิด-ปิดบริการ
ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน-8 พฤศจิกายน 2547 ของผู้ประกอบธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีก และห้างสรรพสินค้าที่ มีพื้นที่ขายตั้งแต่ 10,000 ตารางเมตรขึ้นไปได้ โดยให้คำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และความจำเป็นในการประหยัดพลังงานในภาวะน้ำมันแพง ทั้งนี้ มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานร่วมปรึกษาหารือกับผู้ประกอบการในการกำหนดเวลาเปิด-ปิด โดย ให้ผู้ประกอบการจัดทำมาตรการประหยัดพลังงานตามนโยบายของรัฐบาลด้วย โดยในระหว่างนี้ให้กำหนด เวลาเปิด-ปิดบริการ เป็นดังนี้ สถานที่ตั้งทั่วไป ให้เปิด-ปิดเวลา 10.00-22.00 น. ทุกวัน สำหรับ Hyper mart ให้เปิดเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง ในวันศุกร์-วันอาทิตย์ โดยเปิด-ปิดเวลา 09.00-22.00 น. และสถานที่ตั้ง ในแหล่งท่องเที่ยว ให้เปิด-ปิดเวลา 09.00-23.00 น. ทุกวัน ส่วนกรณีวันหยุดนักขัตฤกษ์หรือช่วงเทศกาล พิเศษให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณา เพื่อกำหนดเวลาเปิด-ปิดบริการเป็นครั้งคราวได้ตามความเหมาะ สม สำหรับช่วงเวลาหลังจากวันที่ 8 พฤศจิกายน 2547 ไปแล้ว ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงพลัง งานเพื่อกำหนดเวลาเปิด-ปิดบริการ ให้เหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3696 | การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการปนเปื้อนของสารแคดเมี่ยมบริเวณลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตาก | นร | 05/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ เห็นชอบแผนงานระยะสั้นใน
การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการปนเปื้อนของสารแคดเมี่ยมบริเวณลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตาก และอนุมัติ ในหลักการวงเงินค่าใช้จ่ายเพื่อการดำเนินงานตามแผนงาน ฯ จำนวน 92,135,600 บาท ประกอบด้วย แผนงานจัดการข้าวที่ปนเปื้อน จำนวน 83,533,122 บาท แผนการตรวจสอบและจัดการข้าวผลผลิตใหม่ จำนวน 580,480 บาท แผนการกำหนดเขตควบคุมการเพาะปลูกและพัฒนาอาชีพ จำนวน 4,322,000 บาท แผนการติดตามเฝ้าระวังสุขภาพพลานามัยของประชาชน จำนวน 3,200,000 บาท และแผนการ ประชาสัมพันธ์ จำนวน 500,000 บาท โดยให้จังหวัดตากจัดทำรายละเอียดโครงการและประมาณการ ค่าใช้จ่ายผ่านสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการดำเนินการในส่วนของแผนงานจัดการข้าวที่ปนเปื้อน โดยอนุมัติใน หลักการให้เบิกจ่ายตามความจำเป็นเท่าที่ต้องจ่ายจริง และให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ หลักในการประสานการดำเนินการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จครบถ้วนโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3697 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 36 และการประชุม AEM กับประเทศคู่เจรจา | พณ | 05/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน
(ASEAN Economic Ministers Meeting : AEM) ครั้งที่ 36 และการประชุม AEM กับประเทศคู่เจรจา ระหว่างวัน ที่ 3-5 กันยายน 2547 ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยผลการประชุมสรุปได้ดังนี้ ที่ประชุม AEM ได้พิจารณาการจัดทำแผนการรวมกลุ่มสินค้าและบริการ (Roadmaps) 10 สาขา ได้แก่ สินค้าเกษตร สินค้า ประมง ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีสารสนเทศ ผลิตภัณฑ์ และบริการ ด้านสุขภาพ การท่องเที่ยว สำหรับสาขาการบิน (Air Travel) รัฐมนตรีคมนาคมของอาเซียนจะ พิจารณาและนำเสนอต่อผู้นำโดยตรง ส่วนความคืบหน้าการเจรจาเปิดเสรีการค้าระหว่างอาเซียนกับประเทศ คู่เจรจาต่าง ๆ ได้แก่ อาเซียน-จีน ทั้งสองฝ่ายได้ให้นโยบายในประเด็นที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้เพื่อให้คณะ เจรจาใช้เป็นแนวทางในการเจรจาต่อไป อาเซียน-ญี่ปุ่น ได้เห็นชอบที่จะเสนอผู้นำอาเซียนในการประชุมสุด ยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น (ASEAN-Japan Summit) เดือนพฤศจิกายน 2547 ประกาศเจรจาในเดือนเมษายน 2548 และกำหนดระยะเวลาการเจรจาให้เสร็จสิ้นภายใน 2 ปี อาเซียน-เกาหลี ได้เห็นชอบผลการศึกษา ของคณะทำงานร่วมอาเซียน-เกาหลี ที่จะนำเสนอผู้นำในการประกาศแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับการเปิดการ เจรจาเขตการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลีในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน-เกาหลี ที่กำหนดจะมีขึ้นในเดือน พฤศจิกายน 2547 อาเซียน-อินเดีย ทั้งสองฝ่ายได้ข้อสรุปเรื่องวิธีลดภาษีแล้ว และอยู่ระหว่างการเจรจา กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า และอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ที่ประชุมเห็นชอบที่จะเสนอผู้นำให้มีการ แถลงการณ์เกี่ยวกับการเปิดเจรจาเขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ในระหว่างการประชุมสุด ยอดอาเซียน และออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (CER) ในเดือนพฤศจิกายน 2547 สำหรับการหารือทวิภาคีกับ กรรมาธิการด้านการค้าสหภาพยุโรป ฝ่ายสหภาพยุโรปแสดงความกังวล เกี่ยวกับความล่าช้าของไทยในการ แก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการในวาระ ที่ 2 และนโยบายการนำเข้าของไทย โดยเห็นว่าเป็นมาตรการกีดกันการค้า ส่วนฝ่ายไทยขอให้สหภาพยุโรป พิจารณาวิธีการให้สิทธิ GSP ภายใต้โครงการใหม่ด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม ส่วนการหารือทวิภาคีกับ รัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์ ฝ่ายนิวซีแลนด์ได้แสดงความยินดีเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจาจัดทำเขตการ ค้าเสรีไทย-นิวซีแลนด์และได้ขอให้ไทยมีความยืดหยุ่นในการเปิดเสรีตลาดสินค้านมมากกว่าที่กำหนดไว้ โดย ไทยจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ส่วนการหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา ฝ่ายกัม พูชาได้ขอให้ไทยพิจารณาให้ความช่วยเหลือในการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมที่ปอย เปต และเปิดด่านชายแดนเพิ่มเติมที่ Ban Palai-Phum O''Neang และไทยยินดีที่ส่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยตรงพิจารณาข้อเสนอฝ่ายกัมพูชา และจะแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3698 | การจัดตั้งกองทุนคุ้มครองนักท่องเที่ยวใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (agenda based ) | พณ | 05/10/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอขอถอนเรื่อง การจัดตั้งกองทุนคุ้มครองนัก
ท่องเที่ยวใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คืน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3699 | รายงานการส่งออก - นำเข้าสินค้าระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ครั้งที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 - วันที่ 31 สิงหาคม 2547 | พณ | 28/09/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานการส่งออก-นำเข้าสินค้าระหว่างไทยกับ
สาธารณรัฐประชาชนจีน ครั้งที่ 2 ดังนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ออกหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (FORM C/O และ FORM E) สำหรับการส่งสินค้าพิกัด ฯ 01-08 ออกไปจีน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2546-31 สิงหาคม 2547 จำนวน 12,396 ฉบับ ปริมาณ 2,792,663 ตัน มูลค่า 12,611.67 ล้านบาท โดยสินค้าที่ขอหนังสือรับรอง ฯ การส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังชนิดเป็นชิ้น ลำไยสด ทุเรียนสด และลำไยอบแห้ง สำหรับ ของการส่งออก ไทยส่งสินค้าออกไปจีนพิกัด 01-08 ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2546-1 กรกฎาคม 2547 ปริมาณ 2,330,085 ตัน มูลค่า 10,439.80 ล้านบาท สินค้าที่ส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังชนิดเป็น ชิ้น ลำไยแห้ง ปลาแช่แข็ง ลำไยสด และทุเรียนสด ส่วนการนำเข้า ไทยนำเข้าสินค้าจากจีน พิกัด ฯ 01-08 ปริมาณ 223,443 ตัน มูลค่า 4,925.32 ล้านบาท โดยสินค้าที่นำเข้ามากที่สุด ได้แก่ แอปเปิ้ลสด กระเทียม สด/แช่เย็น แพร์และควินส์สด ปลาแช่แข็ง และแครอท เทอร์นิพสด/แช่เย็น ทั้งนี้ จากการส่งสินค้าออกและนำ เข้าสินค้าจากจีนในช่วงระยะดังกล่าว ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ากับจีน จำนวน 5,514.48 ล้านบาท |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3700 | สรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ที่ 3 เดือนกันยายน 2547 | พณ | 28/09/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
ประจำสัปดาห์ที่ 3 เดือนกันยายน 2547 ตั้งแต่วันที่ 13-17 กันยายน 2547 โดยภาพรวมราคาสินค้าใน ช่วงดังกล่าวมีสินค้าที่ราคาเปลี่ยนแปลง ได้แก่ เม็ดพลาสติก และผักคะน้า มีราคาสูงขึ้น ในขณะที่ผักบุ้งจีน และส้มเขียวหวาน มีราคาลดลง สำหรับกลุ่มสินค้าที่นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ราคาไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากที่ได้การปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์ กลุ่มสินค้าที่ผลิต/ใช้วัตถุดิบในประเทศ ได้แก่ เม็ดพลาสติกประเภท HDPE ราคาสูงขึ้นจาก 55 บาท/กก. เป็น 56 บาท/กก. กลุ่มอาหารสดผักและผล ไม้ ได้แก่ ผักคะน้า ราคาสูงขึ้นจาก 15-18 บาท/กก. เป็น 20-25 บาท/กก. และส้มเขียวหวาน ราคา ลดลง รวมทั้งยังมีสินค้าบางรายการที่มีราคาเปลี่ยนแปลงตามกลยุทธ์การส่งเสริมการขายและภาวะการ แข่งขันเช่น ผลิตภัณฑ์นม น้ำมันพืช น้ำซีอิ๊ว สบู่ และแชมพู เป็นต้น ส่วนผลการตรวจสอบตามพระราช บัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 พบการกระทำผิดไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้า 1 ราย และผลการตรวจสอบตามพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 พบการกระทำผิดมาตรวัดน้ำมัน ไม่ได้มาตรฐาน 1 ราย นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความ ร่วมมือการรับประกันคุณภาพสินค้าและบริการกับผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่ จำนวน 20 ราย เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2547 โดยผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าจากผู้ค้าดังกล่าว แล้วคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน สามารถส่งคืน สินค้าได้ภายใน 7 วัน หรือตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ผู้ค้าแต่ละรายกำหนด |