ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 122 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2421 - 2440 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2421 | การค้ำประกันเงินกู้ โครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือกปี 2552/53 | กษ | 19/12/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติขยายระยะเวลาและการค้ำประกันเงินกู้ วงเงิน ๑๒๑,๖๑๙,๙๘๑.๑๘ บาท ออกไปจนกว่าสำนักงบประมาณจะสามารถจัดสรรงบประมาณให้แก่โครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือกปี ๒๕๕๒/๕๓ จนเสร็จสิ้น โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรรายงานผลการดำเนินโครงการฯ โดยเฉพาะจำนวนสต็อกข้าวคงเหลือ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ ให้คณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ได้รับทราบสถานการณ์เป็นระยะ ๆ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการและดำเนินการระบายข้าวได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และควรร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเร่งส่งเสริมการพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรให้เป็นศูนย์กลางในการซื้อขายสินค้าเกษตรอย่างจริงจังในแต่ละภูมิภาคของประเทศ เพื่อกระตุ้นให้กลไกตลาดมีการแข่งขันกันมากขึ้น และเป็นทางเลือกในการจำหน่ายสินค้าเกษตรของเกษตรกรในอนาคต นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและแปรรูปจากสินค้าข้าวอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดข้าวระดับบนมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2422 | การรณรงค์ซื้อสินค้าชุมชน หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) | มท | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการรณรงค์ให้ทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ซื้อสินค้าชุมชน หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เพื่อเป็นการเสริมสร้างรายได้เป็นการเร่งด่วนให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ที่ประสบปัญหาอุทกภัย สามารถพลิกฟื้นและเริ่มประกอบการได้อย่างมีศักยภาพ สามารถพึ่งพาตนเองได้อีกครั้งหนึ่ง อันเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ รวมทั้งเพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลที่มุ่งเน้นให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์แก่ผู้ได้รับความเดือดร้อนโดยเร่งด่วนและทั่วถึง โดยให้มีการดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑.๑ การรณรงค์ให้ซื้อสินค้าชุมชน หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ในการทำความสะอาด ซ่อมแซมสถานที่ราชการ สถานประกอบการ ที่พักอาศัย ๑.๑.๒ การรณรงค์ให้ซื้อสินค้าชุมชน หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ประเภทอาหาร และเครื่องดื่มในศูนย์พักพิงสำหรับผู้ประสบภัยน้ำท่วม รวมถึงในการจัดประชุมสัมมนาต่าง ๆ ของภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๓ การรณรงค์ให้หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชนซื้อสินค้าชุมชน หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เพื่อเป็นของขวัญในเทศกาลต่างๆ ๑.๒ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจให้ความร่วมมือ สนับสนุนในการซื้อสินค้าชุมชน หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ๑.๓ ให้กรมการพัฒนาชุมชนเป็นหน่วยงานหลักเพื่อดำเนินการและจัดการด้านการประชาสัมพันธ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำแผนประชาสัมพันธ์การรณรงค์ซื้อสินค้าชุมชน หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งจัดเตรียมระบบสนับสนุนการขาย และการกระจายสินค้า OTOP ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ที่ต้องการซื้อสินค้า ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยหารือร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ กระทรวงพลังงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชนเพื่อเร่งรัดการจัดงานหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ให้ทันก่อนเทศกาลวันขึ้นปีใหม่นี้ โดยบูรณาการกับการจัดงานอื่น ๆ เช่น โครงการสินค้าเบอร์ ๕ ช่วยเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ของกระทรวงพลังงาน และงานสินค้าธงฟ้า ของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งในรูปแบบของการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ การจัดนิทรรศการ และกิจกรรมต่าง ๆ โดยให้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การจัดงานนี้ทุกช่องทาง เช่น การแถลงข่าว และรายการโทรทัศน์เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ผลิตสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ได้มีโอกาสในการสร้างรายได้ รวมทั้งการให้องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดทำบรรจุภัณฑ์แก่ผู้ผลิต เพื่อพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการให้โดดเด่นและสวยงามสามารถแข่งขันได้ในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ |
|||||||||||||||||||||
2423 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำแนกตามประเด็นสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีจำนวน ๑๒๙,๕๒๖ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมา คือ ช่องทางเว็บไซต์ (http://WWW.1111.go.th) ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประชาชนร้องทุกข์ในประเภทเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๘๖,๕๖๒ เรื่อง โดยร้องทุกข์ในประเภทเรื่องหลักด้านสังคมและสวัสดิการสังคมมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการเมือง - การปกครอง และด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามลำดับ สำหรับประเภทเรื่องรองที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ สาธารณูปโภค รองลงมาคือ กล่าวโทษหรือร้องเรียนเจ้าหน้าที่ของรัฐ และสังคมเสื่อมโทรม ตามลำดับ ส่วนประเภทเรื่องย่อยที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ ขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ ขอให้แก้ไขปัญหาอุทกภัยแบบครบวงจร และการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหตุเดือนร้อนรำคาญจากเสียงดัง กลิ่นเหม็น และฝุ่นละอองจากบ้านเรือนและผู้ประกอบการ การแจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ ตามลำดับ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการของหน่วยงาน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๗,๑๐๘ เรื่อง โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ บ่อนการพนัน ยาเสพติด และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการและการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ) รองลงมาคือ กระทรวงสาธารณสุข (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ การอำนวยความสะดวกในการให้บริการและการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ และการขอความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในส่วนที่อยู่นอกเหนือสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล) และกระทรวงพาณิชย์ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้แก้ไขปัญหาสินค้าเพื่อการอุปโภค - บริโภคขาดแคลนและมีราคาสูง และขอให้ปรับเพิ่มราคารับซื้อข้าวเปลือกและพืชผลทางการเกษตร) ๑.๔ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รัฐวิสาหกิจที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้ปรับปรุงการให้บริการของพนักงานรถโดยสารเอกชนร่วมบริการ และขอให้เพิ่มจำนวนรถโดยสารประจำทาง) รองลงมาคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้ปรับปรุงซ่อมแซมระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าปรับของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (ประเด็นที่มีการเสนอเรื่องมาก ได้แก่ ชมเชยการให้บริการของเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน การปรับปรุงซ่อมแซมโทรศัพท์สาธารณะ และขยายเขตการให้บริการโทรศัพท์ รวมทั้งแก้ไขปัญหาสัญญาณโทรศัพท์ขัดข้อง) ๑.๕ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับ อปท. และจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๐,๔๘๑ เรื่อง โดย อปท. และจังหวัดที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญจากเสียง/กลิ่นเหม็น และฝุ่นละอองจากร้านรับซื้อของเก่า และบ้านเรือน การปรับปรุงซ่อมแซมถนน และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่สำนักงานเขต และเทศกิจ) รองลงมาคือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอความช่วยเหลือในการจัดหาเครื่องอุปโภค - บริโภค เรือ กระสอบทราย ฯลฯ โดยเร่งด่วน และให้เร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและซ่อมแซมที่อยู่อาศัยภายหลังน้ำลด) และจังหวัดสงขลา (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ การเร่งรัดให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยและวาตภัย และการปรับปรุงซ่อมแซมและขยายถนน) ๒. เห็นชอบให้กระทรวงและจังหวัดนำข้อมูลเรื่องราวร้องทุกข์จากฐานข้อมูลในระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ของแต่ละหน่วยงานเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการกำหนดนโยบาย แผนงาน โครงการของกระทรวงและจังหวัดตามลำดับความสำคัญ จำเป็น และเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2424 | ขออนุมัติงบประมาณดำเนินโครงการตรวจสอบคุณภาพ/ปริมาณข้าวสารตามโครงการรับจำนำ ข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 | พณ | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) ดำเนินโครงการตรวจสอบคุณภาพ/ปริมาณข้าวสารตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ในกรอบวงเงิน ๕๘,๔๒๐,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการดูแลรักษาปริมาณและคุณภาพข้าวสารตามโครงการฯ ได้ทันต่อการเริ่มดำเนินการแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร เพื่อให้ได้คุณภาพข้าวสารที่สอดคล้องกับข้าวเปลือกที่รับจำนำ และข้าวสารที่ได้สามารถจำหน่ายได้ในประเทศและต่างประเทศ โดยให้กรมการค้าต่างประเทศขอตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหลักเกณฑ์และกรอบระยะเวลาในการคำนวณค่าใช้จ่ายของโครงการ โดยให้คำนึงถึงจำนวนคน ค่าใช้จ่ายต่อหัว และราคาต่อหน่วยให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาคัดเลือกและจัดจ้างบุคลากรผู้ช่วยปฏิบัติงานที่อยู่ในพื้นที่ มีการสุ่มตรวจสอบคุณภาพข้าวอย่างต่อเนื่อง และมีการตรวจสอบความสอดคล้องของปริมาณข้าวเปลือกที่รับจำนำและข้าวสารที่แปรสภาพเพื่อป้องกันการแจ้งปริมาณการรับจำนำที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง นอกจากนี้ ควรมีแผนการระบายข้าวที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รับไปกำกับดูแลและติดตามการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือก รวมทั้งจัดหาเครื่องมือในการตรวจสอบคุณภาพข้าว เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างถูกต้องและโปร่งใสในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับจำนำและการนำข้าวเปลือกของโครงการไปสีเป็นข้าวสารเพื่อจัดจำหน่ายต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2425 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้านการประกันภัย | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้านการประกันภัย ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. กรณีผู้ที่ทำประกันภัย ได้ดำเนินการเร่งรัดการชำระค่าสินไหมทดแทน โดยกำหนดอัตราชำระค่าสินไหมทดแทนและกำหนดระยะเวลาดำเนินการ โดยภาคอุตสาหกรรม อัตราชำระค่าสินไหมทดแทนอยู่ที่ร้อยละ ๗๕ กำหนดระยะเวลาให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน ส่วนภาคครัวเรือน อัตราชำระค่าสินไหมทดแทนเทียบเท่าร้อยละ ๑๐๐ คาดว่าจะดำเนินการได้เสร็จภายใน ๓ เดือน ๒. กรณีผู้ที่ไม่ได้ทำประกันภัย สำนักงาน คปภ. ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัย สมาคมสหมิตรการซ่อมรถยนต์แห่งประเทศไทย ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ไม่ได้ทำประกันภัยรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยจัดทำโครงการบูรณาการซ่อมรถประสบภัยน้ำท่วม กำหนดราคาค่าแรง ค่าซ่อมรถเป็นมาตรฐานตามระดับความเสียหาย และให้ส่วนลดอะไหล่ รวมทั้งให้บริการตรวจเช็ครถยนต์และรถจักรยานยนต์ ๒๐ รายการฟรี และให้บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสำหรับรถจักรยานยนต์ฟรี ๓. กรณีที่อยู่อาศัย เห็นควรให้มีการจัดมหกรรมสินค้าราคาพิเศษหรือราคาต้นทุน โดยให้กระทรวงพาณิชย์ขอความร่วมมือผู้ประกอบการธุรกิจก่อสร้างหรือจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยในการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย
|
|||||||||||||||||||||
2426 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า | พณ | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง พันตำรวจตรี ศราวุฒิ สกุลฃมีฤทธิ์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2427 | การดำเนินการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย โดยมอบผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐพิจารณาปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงเวลานี้จนถึงเทศกาลปีใหม่ โดยยึดหลักประหยัด หลีกเลี่ยงการจัดมหรสพและกิจกรรมรื่นเริง ตลอดจนงานโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ไม่จำเป็น แต่ให้เร่งรัดการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนผู้ประสบอุทกภัยที่ยังคงมีความเดือดร้อนให้เร็วขึ้นด้วย ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบในการกำกับติดตามการระดมเครื่องสูบน้ำ เพื่อเร่งสูบน้ำออกจากหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ยังคงมีน้ำท่วมขังในบริเวณจังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี รวมประมาณ ๘๐ - ๑๐๐ แห่ง โดยให้บูรณาการในการดำเนินการร่วมกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และเร่งรัดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมกับกรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการสูบน้ำออกจากหมู่บ้านเหล่านี้โดยเร็ว โดยให้ตั้งเป้าหมายที่จะสูบน้ำให้แห้งทั้งหมดภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ให้รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการตามแผนดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปจัดทำโครงการเกี่ยวกับการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยร่วมกับสำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ กองกิจการในพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โดยให้เรียนเชิญราชเลขานุการในพระองค์ฯ (พลอากาศเอก สถิตพงษ์ สุขวิมล) เป็นที่ปรึกษาในการดำเนินโครงการและมอบให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นฝ่ายเลขานุการ โดยจัดทำเป็นโครงการพัฒนาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ประสบภัยเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และในเบื้องต้นให้จัดสรรเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการ จากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามระเบียบว่าด้วยการใช้งบประมาณไปพลางก่อน ในวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยและยานพาหนะต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ โดยให้กระทรวงการคลังประสานงานกับส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น เพื่อดำเนินการให้ครบวงจร เริ่มตั้งแต่การเจรจากับบริษัทประกันภัยในเรื่องของการจ่ายสินไหมชดเชยให้ครอบคลุมความเสียหายมากที่สุด การประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ในการจัดหาวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการซ่อมแซมที่พักอาศัยและยานพาหนะและกลุ่มบุคคลผู้มีจิตอาสาเพื่อดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนดังกล่าว ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังประสานกับหน่วยงานดังกล่าว และจัดทำเป็นโครงการและแผนงานเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและสนับสนุนเงินงบประมาณโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2428 | การค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะ 10 เดือน ปี 2554 (มกราคม - ตุลาคม) | พณ | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะ ๑๐ เดือน ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ (มกราคม - ตุลาคม ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การส่งออกในระยะ ๑๐ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีมูลค่าการส่งออก ๑๙๖,๗๖๘.๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๘ ในรูปเงินบาท การส่งออกมีมูลค่า ๕,๙๑๑,๗๗๓.๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕.๑ สินค้าส่งออกยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกหมวดสินค้า โดยสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นร้อยละ ๔๕.๖ สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่า ได้แก่ ข้าว ยางพารา น้ำตาล สินค้าอาหารประเภท อาหารทะเล ผักผลไม้ ไก่แช่แข็งและแปรรูป และสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๔.๕ สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นสูงกว่าร้อยละ ๒๐ ได้แก่ สิ่งพิมพ์ นาฬิกาและส่วนประกอบ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีที่หักทองคำออกแล้วส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๐.๑ (การส่งออกอัญมณีรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๓ ทองคำส่งออกลดลงร้อยละ ๑.๘) เป็นต้น สำหรับตลาดส่งออก เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกกลุ่มตลาด โดยตลาดหลัก ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๒ ตลาดศักยภาพสูง ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๙.๘ และตลาดศักยภาพระดับรอง ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑.๘ ๒. การนำเข้าในระยะ ๑๐ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีมูลค่าการนำเข้า ๑๙๒,๔๙๘.๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๙.๑ ในรูปเงินบาท การนำเข้ามีมูลค่า ๕,๘๕๔,๕๓๘.๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๑.๐ สินค้านำเข้าสำคัญเพิ่มขึ้นทุกหมวดสินค้า ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้นร้อยละ ๔๕.๙ สินค้าทุน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๓.๐ สินค้าวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๙.๕ สินค้าอุปโภคบริโภค เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๑.๙ และสินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๕
|
|||||||||||||||||||||
2429 | ความคืบหน้าการดำเนินการโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย | พณ | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ของคณะกรรมการบริหารโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงาน วงเงิน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๓ - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ เพื่อให้การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ มีผู้ขอกู้ จำนวน ๑,๔๘๓ ราย วงเงิน ๔,๕๓๔.๘๘ ล้านบาท ธนาคารอนุมัติสินเชื่อ จำนวน ๑,๐๓๒ ราย วงเงิน ๒,๙๙๘.๓๒ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายเงินกู้ จำนวน ๑,๐๐๘ ราย วงเงิน ๒,๙๑๓.๗๒ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงาน วงเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ ๖ มิถุนายน - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ เพื่อช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรง มีดังนี้ ๒.๑ การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย มีผู้ยื่นขอกู้จำนวน ๗๒๓ ราย วงเงิน ๒,๒๓๖.๓๐ ล้านบาท ธนาคารอนุมัติสินเชื่อ จำนวน ๕๑๑ ราย วงเงิน ๑,๔๙๙.๓๔ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายเงินกู้ จำนวน ๔๗๐ ราย วงเงิน ๑,๓๗๕.๗๕ ล้านบาท ๒.๒ การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรง มีผู้ยื่นขอกู้ จำนวน ๑๐๑ ราย วงเงิน ๗๙.๘๑ ล้านบาท ธนาคารอนุมัติสินเชื่อ จำนวน ๔๖ ราย วงเงิน ๓๐.๙๑ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายเงินกู้ จำนวน ๓๖ ราย วงเงิน ๒๓.๖๓ ล้านบาท ๒.๓ การช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรง มีผู้ประกอบการสนใจขอใช้วงเงิน แต่มีข้อจำกัดในเงื่อนไขการขอกู้ของธนาคาร จึงทำให้มีผู้ประกอบการได้รับอนุมัติวงเงินไม่มาก
|
|||||||||||||||||||||
2430 | ร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2555 - 2559) | วธ | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ซึ่งเป็นการจัดทำยุทธศาสตร์ฯ ให้มีความต่อเนื่องจากยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔) เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของไทยใหม่มีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน มีกลไกการบริหารจัดการในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม และพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของเอเชีย และเป็นแหล่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ที่สำคัญในตลาดโลก โดยมียุทธศาสตร์ที่สำคัญคือ การพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ การปรับโครงสร้างการบริหารจัดการอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พัฒนาตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ เสริมสร้างให้ประเทศไทยเป็นเขตปลอดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ในงานภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เสริมสร้างค่านิยมที่เหมาะสมในการบริโภคภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ส่งเสริมธุรกิจการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และส่งเสริมความร่วมมือในการลงทุนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์กับต่างประเทศ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการให้บริการของภาครัฐเพื่อลดต้นทุนให้กับภาคธุรกิจ เช่น การให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ การอำนวยความสะดวกหรือประสานงานด้านโลจิสติกส์ต่าง ๆ ให้กับธุรกิจในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เป็นต้น ส่วนข้อจำกัดหรืออุปสรรคจากโครงสร้างระบบภาษีต่อการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กระทรวงการคลังจะพิจารณาตามความเหมาะสมในแต่ละกรณี นอกจากนี้ ในร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ฯ ควรมีความชัดเจนในด้านกลไกการดำเนินงาน กระบวนการทำงาน และแผนปฏิบัติการเพื่อให้สามารถบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับการระดมความร่วมมือจากผู้ประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องให้เข้ามามีส่วนร่วมดำเนินการตามยุทธศาสตร์มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ตามร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ฯ ได้กำหนดให้มีการจัดตั้งองค์การมหาชนขึ้นใหม่ และเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓) ให้กระทรวงวัฒนธรรมนำเรื่องนี้ไปพิจารณารวมกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาหน่วยงานของกระทรวงเพื่อจะได้พิจารณาในภาพรวมและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. |
|||||||||||||||||||||
2431 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ยุทธศาสตร์หุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย - ลาว | กค | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ยุทธศาสตร์หุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย - ลาว ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ให้หน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่มีอยู่แล้ว เข้ามาทำหน้าที่ กำกับดูแลและติดตามผลการปฏิบัติงาน ได้แก่ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ให้เป็นหน่วยงานกำกับและดูแลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์หุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย - ลาว และสำนักงานประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ สังกัดกรมทรัพยากรน้ำให้เป็นหน่วยงานประเมินผลและติดตามการปฏิบัติงาน ๒. ให้ สพพ. และสำนักงานประสานความร่วมมือระหว่างประเทศร่วมกับหน่วยงานหลักที่ได้รับการเสนอแนะให้ดูแลการดำเนินงานตามยุทธศาตร์ต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๑ ยุทธศาสตร์การเป็นศูนย์กลางการผลิตและกระจายสินค้าเกษตร โดยให้หน่วยงานทั้งสองมีการประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง ๕ ได้แก่ หนองคาย มุกดาหาร เชียงราย อุบลราชธานี และนครพนมที่รับผิดชอบ เสนอแนะแผนของแต่ละจังหวัดเข้ามา และกำหนดแนวทางการกำกับดูแลการปฏิบัติงาน ตลอดจนการตรวจสอบการทำงานให้สอดคล้องกับแผนงานของกระทวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่มีการค้าขายข้ามชายแดน ไทย - ลาว ๒.๒ ยุทธศาสตร์การสนับสนุนการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรที่มีศักยภาพ มีทั้งสิ้น ๕ ชนิดสินค้า ได้แก่ อุตสาหกรรมไม้และเฟอร์นิเจอร์ อุตสาหกรรมยางพารา อุตสาหกรรมมันสำปะหลังและแปรรูป อุตสาหกรรมแปรรูปข้าวโพด อุตสาหกรรมข้าวเหนียวและแปรรูป เสนอแนะให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรและกรมเจรจาการค้า สังกัดกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการให้ข้อมูลด้านเศรษฐกิจเกี่ยวกับทิศทางความต้องการของตลาดสินค้าระหว่างประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการวางแผนการผลิตและกระจายสินค้า ๒.๓ ยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย และ สปป.ลาว ควบคู่กัน โดยให้หน่วยงานทั้งสองมีการประสานงานและดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ให้สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างไทย - ลาว ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และให้มีการศึกษาถึงทิศทางที่เป็นไปได้ในการอำนวยความสะดวกของการผ่านแดนให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้าน Visa ของกระทรวงการต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
2432 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... | พณ | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... โดยให้ประกาศนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้ข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ตามพิกัดอัตราศุลกากรขาเข้าประเภทย่อย ๑๐๐๕.๙๐.๙๐ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองตามที่กำหนดในประกาศนี้ แสดงต่อกรมศุลกากรในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อประกอบการใช้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากร ๒. กรณีองค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้า ต้องนำเข้าระหว่างวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ และกรณีผู้นำเข้าทั่วไป ต้องนำเข้าระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓. กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักร ในอัตราน้ำหนักสุทธิเมตริกตันละศูนย์บาท
|
|||||||||||||||||||||
2433 | การขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์โดยคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ | นร | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานและปัญหาการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ที่ผ่านมา สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ ๑.๑.๑.๑ การจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔ โดยมอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนปฏิบัติการและงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ต่อไป ๑.๑.๑.๒ การศึกษาวิจัย การประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง การถ่ายทอดความรู้และพัฒนาศักยภาพบุคลากร และการรวบรวมและเผยแพร่องค์ความรู้และนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ ๑.๑.๑.๓ การส่งเสริมการผลิตและสร้างเครือข่ายสู่การพึ่งตนเองตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การสนับสนุนให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตไปสู่การทำเกษตรที่มีความมั่นคงและยั่งยืน การผลักดันโครงการนำร่องเพื่อขับเคลื่อนการบูรณาการการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ ปี ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔ การดำเนินโครงการบูรณาการพัฒนาการผลิตและการตลาดเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๕ เพื่อผลักดันให้เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกัน และการสนับสนุนแผนพัฒนาและส่งเสริมตลาดสินค้าอินทรีย์ปี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ ของกระทรวงพาณิชย์ ๑.๑.๒ ปัญหาการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ ได้แก่ การที่ผู้บริโภคยังขาดความตระหนักและความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าอินทรีย์ ส่งผลให้ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศยังมีขนาดเล็ก เกษตรกรขาดแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนมาสู่วิถีการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ การปรับเปลี่ยนจากเกษตรเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์มีขั้นตอนการจัดการและกระบวนการผลิตที่ยุ่งยาก ช่องทางการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ยังมีน้อย ราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์ไม่จูงใจในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต และการรวมกลุ่มของเกษตรในลักษณะเครือข่ายเพื่อให้เข้าถึงแหล่งข้อมูลด้านการตลาดมีจำกัด ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในระยะต่อไป โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานและขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการฯ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ โดยให้มีความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันดำเนินการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินงานจัดทำแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการโดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน เกษตรกรและเครือข่ายเกษตรกรต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เห็นควรมีการจัดเก็บข้อมูลภาคการผลิตภายในประเทศตลอดทั้งวงจรเพื่อนำไปวิเคราะห์เปรียบเทียบกับข้อมูลการดำเนินการในเรื่องเดียวกันของต่างประเทศ เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและจัดทำแผนการดำเนินงานพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศ การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับขั้นตอนและแนวทางดำเนินการเกษตรอินทรีย์แก่เกษตรกร การระดมความคิดเพื่อตั้งโจทย์วิจัยเกษตรอินทรีย์ในระดับชาติ โดยอาศัยที่ประชุม ๕ ส. ๑ ว. เป็นเวทีขับเคลื่อนหลัก รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง (Thailand Advanced Institute of Science and Technology : THAIST) ในการขับเคลื่อนความร่วมมือและสร้างบุคลากรเสริมจากกลไกเดิมที่อิงกับคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอเพิ่มเติมว่า จากการเกิดอุทกภัยในครั้งนี้ทำให้เกิดการสะสมของหน้าดินที่สมบูรณ์ไปด้วยสารอินทรีย์เป็นจำนวนมากในพื้นที่ภาคกลางซึ่งจะเป็นประโยชน์กับการเพาะปลูก จึงเห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษา วิเคราะห์ และประเมินปริมาณสารอินทรีย์เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์ให้กับเกษตรกร และพิจารณากำหนดปีเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2434 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เรื่อง การแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจ : ด้านโครงข่ายระบบขนส่งและการอำนวยความสะดวกทางการค้า | สว | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เรื่อง การแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจ : ด้านโครงข่ายระบบขนส่งและการอำนวยความสะดวกทางการค้า ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยกระทรวงพาณิชย์ได้รวบรวมผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ ดังนี้
๑. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการขนส่งทางราง ๑.๑ กระทรวงคมนาคมกำหนดแผนพัฒนาระบบขนส่งจราจร (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓) ๑๐ ปี เพื่อเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางราง ๑.๒ การรถไฟแห่งประเทศไทยมีแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระยะเร่งด่วน (พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗) ประกอบด้วย งานโยธา งานอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม งานรถจักร และก่อสร้างทางคู่ ๑.๓ โครงการก่อสร้างสถานีขนส่งสินค้า ICD ๑.๔ ริเริ่มพัฒนาโครงการระบบรถไฟความเร็วสูง ๕ เส้นทาง จากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ หนองคาย ปาดังเบซาร์ อุบลราชธานี และระยอง และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มีแผนงานเตรียมการก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ๑.๕ กระทรวงคมนาคมมีแผนงานการลงทุนแบบ PPPs จำนวน ๒๐ โครงการ เช่น โครงการก่อสร้างทางหลวง (บางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา) โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล โครงการทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอก และโครงการรถไฟฟ้าสีม่วง สีน้ำเงิน เป็นต้น ๑.๖ กระทรวงคมนาคมจัดทำหน่วยงาน จำนวน ๓ หน่วยงาน ได้แก่ ธุรกิจการเดินรถ ธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน ธุรกิจซ่อมบำรุง และบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ดำเนินโครงการ Airport Rail Link ๒. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และบริการขนส่งทางน้ำ ๒.๑ กระทรวงคมนาคมได้พัฒนาท่าเรือทางลำน้ำและท่าเรือชายฝั่งสำหรับการขนส่งสินค้า ได้แก่ โครงการก่อสร้างท่าเรือ อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สถานีขนส่งสินค้าทางน้ำ จังหวัดอ่างทอง โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือ A แหลมฉบัง และโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ๒.๒ พัฒนาท่าเรือเพื่อการขนส่งและ Logistics เช่น การก่อสร้างท่าเรือปากบารา จังหวัดสตูล ท่าเรือสงขลาแห่งที่ ๒ และท่าเรือเชียงแสน ๓. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการขนส่งทางอากาศ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้พัฒนาเขตปลอดอากร ณ สนามบินสุวรรณภูมิ พื้นที่ ๔๑๓ ไร่ เพื่อให้บริการขนส่งสินค้าแบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว (One Stop Services) ๔. การบริหารจัดการระบบขนส่ง ๔.๑ มีคณะทำงานจัดทำแผนยุทธศาสตร์กระทรวงคมนาคม (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโลจิสติกส์ของประเทศ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ๔.๒ มีแผนพัฒนาระบบขนส่งจราจร (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓) เพื่อบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ และเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาระบบขนส่งและจราจรในอนาคต ๑๐ ปี
|
|||||||||||||||||||||
2435 | ข้อตกลงให้บริการสืบค้นและตรวจสอบเบื้องต้นระหว่างประเทศตามสนธิสัญญา PCT ของสำนักงาน IP Australia | พณ | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการลงนามระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาออสเตรเลีย (IP Australia) เรื่อง ข้อตกลงว่าด้วยการให้บริการสืบค้นและตรวจสอบเบื้องต้นระหว่างประเทศตามสนธิสัญญา (Patent Cooperation Treaty - PCT) ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ในการลงนามข้อตกลงดังกล่าว เพื่อให้สำนักงานสิทธิบัตรออสเตรเลียเป็นผู้ให้บริการสืบค้นและตรวจสอบคำขอจดสิทธิบัตรระหว่างประเทศเบื้องต้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรของไทยตามระบบ PCT โดยเฉพาะผู้ที่ประสงค์จะจดสิทธิบัตรในประเทศออสเตรเลีย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2436 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เรื่อง การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง | สว | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เรื่อง การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์มี ดังนี้
๑. เร่งออกพระราชบัญญัติธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเสร็จแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทบทวนก่อนส่งให้กระทรวงพาณิชย์ยืนยันเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. การนำกฎหมายในความรับผิดชอบของกรมที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่งมาใช้บังคับให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ได้แก่ พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยติดตามความเคลื่อนไหว ตรวจสอบและกำกับดูแลพฤติกรรมทางการค้าของผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ตามกฎหมายอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การแข่งขันเป็นไปอย่างเสรีและเป็นธรรม และพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค โดยให้ผู้บริโภคมีโอกาสเปรียบเทียบราคาสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า มีการวิเคราะห์ต้นทุนของราคาสินค้าว่าราคาสินค้าเหมาะสมและสอดคล้องกับต้นทุนหรือไม่ และมีปริมาณสินค้าเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
2437 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อให้จังหวัดและส่วนราชการใช้จ่ายในการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย | มท | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้แก่จังหวัดและส่วนราชการใช้ในการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ประสบอุทกภัย ไปพลางก่อน วงเงินงบประมาณรวม ๒,๖๕๐ ล้านบาท โดยมีหลักเกณฑ์รวม ๖ ข้อ ตามมติคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) เสนอ โดยในส่วนของหลักเกณฑ์มีรายละเอียด ดังนี้
๑. จัดสรรให้จังหวัดที่กระทรวงมหาดไทยมอบหมายให้สนับสนุนช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ๑ จังหวัด ๑ เขต กรุงเทพมหานคร + จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และนครปฐม รวม ๒๕ จังหวัด จังหวัดละ ๕๐ ล้านบาท เป็นเงิน ๑,๒๕๐ ล้านบาท (เพื่อใช้จ่ายสำหรับการให้ความช่วยเหลือประชาชน ๑ จังหวัด ต่อ ๑ เขต ใน ๒๒ เขตของกรุงเทพมหานคร ได้แก่ เขตบางพลัด ตลิ่งชัน ทวีวัฒนา บางแค บางกอกน้อย ภาษีเจริญ หนองแขม บางบอน จอมทอง บางกอกใหญ่ บางขุนเทียน บางเขน หลักสี่ จตุจักร ลาดพร้าว ดอนเมือง สายไหม หนองจอก คลองสามวา มีนบุรี คันนายาว และบึงกุ่ม และ อีก ๓ จังหวัด สำหรับจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และนครปฐม) ๒. จัดสรรให้ส่วนราชการที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แห่งละ ๑๐๐ ล้านบาท กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แห่งละ ๕๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินงบประมาณ ๑,๔๐๐ ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายสำหรับการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย ๓. ให้จังหวัดและส่วนราชการใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในเหตุเฉพาะหน้าก่อน และจะต้องควบคุมดูแลการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับงบประมาณอื่นใดของทางราชการ โดยให้กระทรวงที่ได้รับอนุมัติงบประมาณทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๔. การเบิกจ่ายงบประมาณให้จังหวัดและส่วนราชการดำเนินการ ดังนี้ ๔.๑ การจัดซื้อจัดจ้างให้ปฏิบัติตามหนังสือคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ กรมบัญชีกลางที่ กค (กวพ) ๐๔๒๑.๓/ว ๓๘๒ ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ ๔.๒ ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หรือผู้ปฏิบัติงาน ให้ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ ๔.๓ ค่าใช้จ่ายในการบริหารของส่วนราชการ ให้ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๕๓ ๕. ระยะเวลาในการดำเนินงานและการเบิกจ่าย ให้จังหวัดและส่วนราชการที่ได้รับงบประมาณดำเนินการได้ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติจนกว่าสถานการณ์อุทกภัยจะคลี่คลายเข้าสู่สภาวะปกติ ๖. ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณควบคุม กำกับดูแลการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และรายงานการใช้จ่ายเงินงบประมาณตามที่สำนักงบประมาณกำหนด
|
|||||||||||||||||||||
2438 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ รวม 4 ฉบับ (เรื่อง การส่งออกข้าว ช้าง และไม้ออกไปนอกราชอาณาจักร ฯลฯ) | พณ | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ รวม ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งข้าวออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ทั้งที่เป็นข้าวเปลือก ข้าวกล้อง ข้าวสาร ปลายข้าว ข้าวนึ่ง และรำ ยกเว้นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากข้าวทุกชนิด เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร เว้นแต่กรณีที่นำออกไปใช้เฉพาะตัว หรือในกรณีที่นำออกไปเพื่อเป็นตัวอย่าง ทั้งนี้ ในปริมาณเท่าที่จำเป็น ๒. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งช้างออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ช้างชนิดพันธุ์ Elephas maximus และให้รวมถึงงาช้าง น้ำเชื้อ เอ็มบริโอ ขน เนื้อ หนัง ฟัน งา ขนาย เล็บ กระดูก เลือด สารพันธุกรรม หรือส่วนต่าง ๆ ที่ได้จากช้างที่มีชีวิตหรือตายแล้ว ตลอดจนผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากส่วนต่าง ๆ ที่ได้มาจากช้างดังกล่าว เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ๓. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งไม้ออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ไม้และไม้แปรรูปตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ยกเว้นหวาย ไผ่และไม้รวกทุกชนิด ปาล์ม รากไม้ เถาไม้ ไม้วีเนียร์ พันธุ์ไม้ ขี้เลื่อยหรือเศษไม้ไม่ว่าจะเกาะหรือติดรวมกันเป็นท่อน ก้อน เพลเลต หรือลักษณะที่คล้ายกันหรือไม่ก็ตาม และไม้ที่ได้จัดทำเป็นของสำเร็จรูป ซึ่งไม่เหมาะสมที่จะนำไปแปรรูปเป็นอย่างอื่น เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร เว้นแต่กรณีนำออกไปใช้เฉพาะตัว หรือในกรณีที่นำออกไปเพื่อเป็นตัวอย่าง ทั้งนี้ ในปริมาณเท่าที่จำเป็น ๔. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งข้าว ช้าง และไม้ ออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๔๙ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งข้าว ช้าง และไม้ ออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๔๙ ลงวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
|
|||||||||||||||||||||
2439 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับโกตดิวัวร์ | กต | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๑๙๔๖ (ค.ศ. ๒๐๑๐) ที่ ๑๙๗๕ (ค.ศ. ๒๐๑๑) และที่ ๑๙๘๐ (ค.ศ. ๒๐๑๑) เกี่ยวกับโกตดิวัวร์เพิ่มเติม เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีที่ไทยมีต่อสหประชาชาติโดยสอดคล้องกับกฎหมายภายในของไทย ดังนี้ ๑.๑ ข้อมติ ที่ ๑๙๔๖ (ค.ศ. ๒๐๑๐) ข้อ (๕) ให้ยกเว้นมาตรการคว่ำบาตรทางอาวุธสำหรับอุปกรณ์ทางทหารที่ไม่ใช่อาวุธสังหาร เพื่อใช้สนับสนุนปฏิบัติการของกองกำลังรักษาความมั่นคงของโกตดิวัวร์ในการรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งจะต้องได้รับการอนุมัติล่วงหน้าจากคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้น เพื่อติดตามการดำเนินการตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงฯ ๑.๒ ข้อมติ ที่ ๑๙๗๕ (ค.ศ. ๒๐๑๑) ข้อ (๑๒) กำหนดรายชื่อบุคคลเพิ่มเติม จำนวน ๕ คน ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อกระบวนการสันติภาพและการปรองดองของโกตดิวัวร์ และละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ได้แก่ อดีตประธานาธิบดีโกตดิวัวร์ ญาติสนิท และบุคคลใกล้ชิด ๑.๓ ข้อมติ ที่ ๑๙๘๐ (ค.ศ. ๒๐๑๑) ข้อ (๑) ให้ขยายมาตรการคว่ำบาตรทางอาวุธการห้ามนำเข้าเพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนจากโกตดิวัวร์ การห้ามเดินทางผ่านหรือเข้ามาในดินแดน และการอายัดทรัพย์สินของบุคคลหรือองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้งในโกตดิวัวร์ออกไปจนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ข้อ (๘) ให้มาตรการคว่ำบาตรทางอาวุธครอบคลุมถึงการจัดหายานพาหนะให้แก่กองกำลังรักษาความมั่นคงของโกตดิวัวร์ (เพื่อป้องกันมิให้มีการใช้ยานพาหนะดังกล่าวในกิจกรรมทางทหาร) ข้อ (๙) ให้ยกเว้นการคว่ำบาตรทางอาวุธเฉพาะกรณีที่เป็นอาวุธวัสดุที่เกี่ยวข้อง ยานพาหนะ การจัดฝึกอบรม และการให้ความช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนกระบวนการปฏิรูปหน่วยงานด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นไปตามคำร้องขออย่างเป็นทางการของรัฐบาลโกตดิวัวร์และได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อติดตามการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรต่อโกตดิวัวร์ ล่วงหน้าแล้วเท่านั้น ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าวของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2440 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย - ปากีสถาน | พณ | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย - ปากีสถาน และให้สามารถแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ |
.....