ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 128 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2541 - 2560 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2541 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM retreat) ครั้งที่ 17 | พณ | 12/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM retreat) ครั้งที่ ๑๗ ระหว่างวันที่ ๒๕ - ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานของคณะทำงานระดับสูงด้านการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน (HLTF - EI) เกี่ยวกับการดำเนินการด้านต่าง ๆ เพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี ๒๐๑๕ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการตั้งเป้าหมาย (High Impact Target) และความคืบหน้าของการศึกษาของ ERIA ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะเสนอวิธีการแบบใหม่ (New Scoring System) สำหรับการวัดผลดำเนินการตามข้อผูกพันของประเทศสมาชิกอาเซียนที่กำหนดไว้ใน AEC Blueprint และเน้นย้ำความสำคัญเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการตามแผนงาน AEC Blueprint ฝ่ายไทยได้เสนอในการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจของอาเซียน (SEOM) ให้ปรับเปลี่ยน (transform) บทบาทของ AFTA Unit เป็น AEC Coordinating Unit เพื่อให้สอดคล้องกับพัฒนาการของการรวมกลุ่มภายในอาเซียน นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบให้จัดทำแผนงานรายสาขา (Sectoral Work Programme for Narrowing the Development Gap) เพื่อลดช่องว่างและสนับสนุนการพัฒนาของกลุ่มประเทศ CLMV (Cambodia-Laos-Myanmar-Vietnam) ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม โดยเบื้องต้นจะเน้น ๕ สาขาสำคัญ คือ สินค้าเกษตร การลงทุน การขนส่ง การอำนวยความสะดวกทางการค้า และการใช้ประโยชน์และดำเนินการตามความตกลง FTA ของอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ๒. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจของอาเซียนพิจารณาบทบาทและความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับภาคเอกชน รวมทั้งเห็นชอบแนวทางการประสานงานและหารือระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) กับองค์กรหรือสภาธุรกิจต่าง ๆ ของอาเซียน ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยให้คณะทำงานด้านกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดของสินค้า (SC - AROO และ AP - WGROO) วิเคราะห์โดยละเอียดเกี่ยวกับประเด็นปัญหาด้านกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดของสินค้าที่จะมีต่อการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน ๓. เห็นชอบรายการเอกสารผลงานของ AEM ในช่วงปี ๒๕๕๔ ที่ครอบคลุมเรื่องสำคัญ อาทิ การประกาศความสำเร็จและความคืบหน้าด้านการเปิดเสรีการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน และความคืบหน้าของ FTA ที่อาเซียนจัดทำกับประเทศคู่เจรจา ทั้งนี้ ในเรื่องการให้สัตยาบันความตกลงด้านการลงทุนของอาเซียน (ACIA) ซึ่งอินโดนีเซียและไทยยังต้องให้สัตยาบันนั้น ได้กำหนดเป้าหมายให้ทั้งสองประเทศดำเนินการโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ๔. ที่ประชุมฯ ได้หารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับ Trans Pacific Partnership (TPP) และมอบให้เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจของอาเซียน (SEOM) และสำนักเลขาธิการอาเซียนพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ของการเริ่มขั้นตอนการเจรจาในส่วนของสินค้า
|
||||||||||||||||||||||||
2542 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง | นร | 12/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง สรุปได้ ดังนี้
๑. กำหนดราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างซึ่งจะใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดราคากลาง ได้ว่าจ้างคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นที่ปรึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกำหนดราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้าง โดยทำการศึกษา พิจารณา วิเคราะห์ จัดกลุ่ม และกำหนดรหัสมาตรฐานรายการงานก่อสร้างเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งกำหนดรหัสมาตรฐานรายการวัสดุก่อสร้างขึ้นมาใหม่เชื่อมโยงกับราคาวัสดุก่อสร้างของกระทรวงพาณิชย์ และการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจัดทำและปรับปรุงบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้าง โดยพัฒนาโปรแกรมต้นแบบให้สอดคล้องกับระบบโครงสร้างรายการงาน และสามารถที่จะดึงข้อมูลราคาวัสดุจากกระทรวงพาณิชย์มาใช้ในการปรับปรุงราคาในบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ๒. ศึกษารายละเอียดรายการงานในบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้าง ได้ดำเนินการศึกษารายละเอียดรายการงานในบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างของสำนักงบประมาณ จำนวน ๒๓๐ รายการ เพื่อให้ทราบถึงรูปแบบปริมาณและลักษณะการถอดแบบของผู้ประมาณราคา ศึกษาฐานข้อมูลราคาวัสดุของกระทรวงพาณิชย์ และนำรายละเอียดมาจัดกลุ่ม กำหนดโครงสร้าง รหัสมาตรฐานรายการงาน ราคาต่อหน่วย รายการวัสดุก่อสร้างให้เป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐาน ๓. กำหนดราคากลางให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเป็นจริง ได้มีการเชื่อมโยงกับราคาวัสดุจากกระทรวงพาณิชย์เพื่อให้ปรับราคาได้โดยอัตโนมัติ โดยประสานงานกับสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และกำลังดำเนินการวางระบบเพื่อจัดกลุ่มวัสดุก่อสร้าง กำหนดรหัสมาตรฐานรายการวัสดุก่อสร้าง ซึ่งจะต้องตรวจสอบรวบรวมรายการวัสดุที่จะต้องใช้ในการก่อสร้างเพื่อกำหนดให้เป็นฐานข้อมูลที่มีมาตรฐานเดียวกัน |
||||||||||||||||||||||||
2543 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สผ | 12/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกต ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจ ควรดำเนินการประเมินการรายได้ของรัฐบาลให้มีความใกล้เคียงกับความเป็นจริง และปรับปรุงเกณฑ์การคำนวณเงินเฟ้อให้สามารถสะท้อนระดับราคาสินค้าและการบริการในตลาดได้อย่างเหมาะสม ๑.๒ รายจ่ายเพื่อการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยพิบัติ ควรมีการตรวจสอบข้อมูลเอกสารประกอบคำขอรับการสนับสนุนงบประมาณอย่างถูกต้องรอบคอบ และให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างคุ้มค่า รวมทั้งดำเนินโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณให้ถูกต้องตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยไม่สามารถแบ่งการดำเนินโครงการเป็นโครงการย่อยได้ ๑.๓ รายจ่ายเป็นเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ควรจัดสรรงบประมาณให้ อปท. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนผู้สูงอายุและผู้พิการหรือทุพพลภาพให้ได้รับเบี้ยยังชีพอย่างครบถ้วน ๑.๔ รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง ควรพิจารณาเรื่องการไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินก่อนครบกำหนดโดยวิเคราะห์ด้วยความรอบคอบและคำนึงถึงแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต เพื่อระมัดระวังมิให้เกิดการขาดทุนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ๒. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. .... ของวุฒิสภา ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกต ดังนี้ ๒.๑ ปรับลดงบประมาณในร่างมาตรา ๔ ร่างมาตรา ๗ และร่างมาตรา ๑๐ โดยแก้ไขเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ พ.ศ. .... เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับลดงบประมาณ รวมทั้งได้กำหนดแหล่งที่มาของรายได้เพื่อชดใช้จ่ายจ่ายที่ได้ใช้เงินคงคลังจ่ายไปก่อน ๒.๒ นโยบายและการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ควรคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศต่างๆ เนื่องจากเป็นปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการจัดเก็บภาษีไม่เป็นไปตามเป้าหมาย การจัดสรรงบประมาณควรดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส และกำหนดมาตรการป้องกันมิให้เกิดการทุจริต ๒.๓ การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำแนกตามรายการค่าใช้จ่าย ดังนี้ ๒.๓.๑ รายจ่ายเพื่อการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยพิบัติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรบูรณาการร่วมกันในการกำหนดแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๓.๒ รายจ่ายเพื่อเป็นเงินอุดหนุนให้ อปท. เพื่อจัดสรรเป็นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยยังชีพผู้พิการหรือทุพพลภาพ ควรกำหนดแนวทางและมาตรการที่ชัดเจนในการตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินตามโครงการสร้างหลักประกันด้านรายได้แก่ผู้สูงอายุและโครงการสนับสนุนการเสริมสร้างสวัสดิการทางสังคมให้แก่ผู้พิการหรือทุพพลภาพเพื่อให้เป็นไปอย่างโปร่งใส ๒.๓.๓ รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง ต้องมีการตรวจสอบเงินที่กระจัดกระจายในภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อนำเงินดังกล่าวมาใช้แทนการกู้เงินต่างประเทศ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2544 | การปรับราคาจำหน่ายสินค้านมสดพร้อมดื่มและน้ำมันพืชถั่วเหลือง | พณ | 12/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเรื่อง การปรับราคาจำหน่ายสินค้านมสดพร้อมดื่มและน้ำมันพืชถั่วเหลือง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นมสดพร้อมดื่ม คณะอนุกรรมการพิจารณาราคาสินค้าผลิตภัณฑ์นมได้มีมติอนุมัติให้ปรับราคาจำหน่ายนมสดพร้อมดื่มสูงขึ้น ในขนาดบรรจุต่าง ๆ กล่อง/ขวด/แกลลอน ละ ๐.๒๕ - ๘.๕๐ บาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ๒. น้ำมันพืชถั่วเหลือง คณะอนุกรรมการพิจารณาน้ำมันพืชบริโภคได้มีมติให้ปรับราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันพืชถั่วเหลือง จากขวดลิตรละ ๔๖.๐๐ บาท เป็น ๕๕.๐๐ บาท โดยให้ผู้ประกอบการรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นบางส่วน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๔ เป็นต้นไป จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ เป็นเวลา ๓ เดือน ซึ่งเท่ากับระยะเวลาที่กำหนดราคาจำหนายน้ำมันพืชปาล์ม ตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้ผู้ประกอบการเร่งผลิตและกระจายสินค้าออกสู่ตลาดโดยเร็วในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค ภายในระยะเวลา ๑ สัปดาห์ เพื่อให้มีปริมาณน้ำมันพืชถั่วเหลืองเข้าสู่ตลาดอย่างเต็มที่และทั่วถึง
|
||||||||||||||||||||||||
2545 | การกู้เงินสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือกปี 2553/54 | พณ | 12/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การคลังสินค้ากู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือกปี ๒๕๕๓/๕๔ ในวงเงิน ๒,๕๐๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน และให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว รวมทั้งให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณพิจารณาอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ตามความเหมาะสมและจำเป็น และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรให้ครบถ้วนจากงบประมาณแผ่นดินในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ (องค์การคลังสินค้า) ประสานงานกับหน่วยงาน/คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาจำหน่ายข้าวเปลือกหรือข้าวสารที่ได้จากการแปรสภาพข้าวเปลือกที่รับซื้อไว้ให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาวะทางการตลาด เพื่อประโยชน์ในการนำเงินที่ได้ไปชำระหนี้เงินกู้ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2546 | ร่างพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 04/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ โดยเพิ่มมาตรการในการควบคุมสิ่งเทียมอาวุธปืน และการกำหนดบุคคลให้มีหน้าที่ตามพระราชบัญญัติฯ รวมทั้งการควบคุมอานุภาพอาวุธปืนให้เหมาะสม มีความปลอดภัยไม่ให้มีการดัดแปลงจนเป็นอันตรายแก่ประชาชน และมิให้กระทำต่ออาวุธปืนนั้นโดยพลการ ตลอดจนกำหนดให้มีการควบคุมเกี่ยวกับดอกไม้เพลิงที่มีปริมาณหรือน้ำหนักมาก และกำหนดให้มีการควบคุมพื้นที่ในการใช้ดอกไม้เพลิง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มเติมสาระสำคัญบางประการ อาทิ เพิ่มนิยามคำว่า “นายทะเบียน” และ “นายทะเบียนท้องที่” ว่าหมายถึงผู้ใด ส่วนการสันนิษฐานว่าผู้รับอนุญาตเป็นผู้กระทำความผิดควรมีการพิสูจน์ให้ได้ความชัดเจนเสียก่อนว่าผู้รับอนุญาตเป็นผู้กระทำความผิด และให้ตัดข้อความ “บันดาลโทสะ” ใน (๑) ข. ออก เนื่องจากอาวุธปืนเป็นอาวุธที่มีอันตรายร้ายแรงสามารถทำลายชีวิตและทรัพย์สินได้ ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์จากการถูกยั่วยุหรือการบันดาลโทสะไม่ควรได้รับการยกเว้นให้ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง เป็นต้น และข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ให้ครอบคลุมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่เกิดขึ้นใหม่หลายหน่วยงานซึ่งมิได้มีสถานะเป็นหน่วยราชการหรือรัฐวิสาหกิจ เช่น องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ (สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯลฯ) และองค์การมหาชน แต่มีความจำเป็นต้องมีและใช้อาวุธปืนในการป้องกันและรักษาทรัพย์สินอันสำคัญของรัฐ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2547 | รายงานผลการศึกษาและขอความเห็นชอบในการเสนอตัวเพื่อประมูลสิทธิ์ให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลกเวิลด์ เอ็กซ์โป (World Expo 2020) | นร | 04/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการคัดเลือกพื้นที่ที่มีความเหมาะสมและมีศักยภาพสำหรับการจัดงานมหกรรมโลกเวิลด์ เอ็กซ์โป ตามผลการศึกษา (Feasibility Study) ความเป็นไปได้เชิงลึก และตามความเห็นของเลขาธิการสำนักงานมหกรรมโลก [Bureau of International Expositions (BIE)] ว่า จังหวัดที่มีศักยภาพมากที่สุดเพื่อเสนอเป็นพื้นที่จัดงาน คือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) ดำเนินการเสนอตัวเพื่อการประมูลสิทธิ์ให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานฯ ภายใต้หัวข้อหลักและการพัฒนาแนวคิดหลัก คือ Balanced Life, Sustainable Living โดยให้หารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ในการรณรงค์หาเสียงสนับสนุนประเทศไทย และให้ สสปน. ดำเนินการในเรื่องการพัฒนาแนวคิดภายใต้หัวข้อย่อย (sub - theme) ก่อนดำเนินการยื่นประมูลสิทธิ์ของประเทศไทยอย่างเป็นการถาวร รวมทั้งดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม ศึกษาวิเคราะห์ความคุ้มค่าและผลประโยชน์ที่จะได้รับ (Cost and Benefit Analysis) ก่อนดำเนินการยื่นประมูลสิทธิ์ในนามประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานคณะทำงานเตรียมการสำหรับโครงการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลก World Expo 2020 ของประเทศไทยเสนอ ๒. อนุมัติค่าใช้จ่ายสำหรับการเตรียมการดำเนินการสนับสนุนการประมูลสิทธิ์ และการรณรงค์หาเสียงสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดงานฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๔ แล้วในวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท และให้ สสปน. ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้ สสปน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อประมูลสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพจัดงานฯ ควรเตรียมการให้เห็นชัดถึงความพร้อมของทุกองค์ประกอบภายในประเทศ เพื่อโน้มน้าวให้คณะผู้แทนขององค์การมหกรรมโลก (BIE) เห็นว่าประเทศไทยมีความเหมาะสมและความพร้อมอย่างแท้จริง และเมื่อได้รับการพิจารณาจาก BIE ให้เป็นประเทศที่มีคุณสมบัติพร้อมที่จะแข่งขันเป็นเจ้าภาพจัดงานฯ กับประเทศผู้สมัครอื่น ๆ แล้ว (short - listed) หน่วยงานของไทยทุกหน่วยจะต้องร่วมมือกันดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างบูรณาการและเป็นเอกภาพ เพื่อโน้มน้าวให้ได้รับคะแนนเสียงจากรัฐบาลของประเทศสมาชิก BIE รวมทั้งกำหนดบุคคลที่สมควรเป็นหัวหน้าคณะหาเสียงหรือทูตพิเศษ (Special Envoy) ที่จะต้องเดินทางหาเสียงให้ประเทศไทย (Road Show) เพื่อนำเสนอความน่าสนใจและความพร้อมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2548 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2554 (ครั้งที่ 11) | กษ | 04/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๑) เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๔ เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลนและราคาผลปาล์มของเกษตรกร ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกมติ กนป. วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ที่ให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับการผลิตและจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์มชนิดบรรจุขวดขนาด ๐.๕ ลิตร และขนาด ๐.๒๕ ลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกไม่เกินลิตรละ ๔๗.๐๐ บาท ๑.๒ ให้ยกเลิกมติ กนป. วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ ที่ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน และสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ ๔๐,๐๐๐ ตัน จากสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ในราคามาเลเซีย บวก ๒.๕๐ บาทต่อกิโลกรัม และราคามาเลเซีย บวก ๓.๐๐ บาทต่อกิโลกรัม ในกรณีที่นำไปผลิตน้ำมันพืชเพื่อการบริโภค และผลิตไบโอดีเซล ตามลำดับ โดยรัฐชดเชยส่วนต่างราคาในอัตราลิตรละ ๙.๕๐ บาท บนพื้นฐานราคาน้ำมันปาล์มดิบกิโลกรัมละ ๔๔.๗๕ บาท ๑.๓ ให้คงราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันพืชปาล์มชนิดบรรจุขวดขนาด ๑ ลิตร ที่ ๔๗.๐๐ บาทต่อลิตร ต่อไปจนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ๑.๔ ให้โรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ในราคากิโลกรัมละ ๓๖.๒๘ บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๔ เป็นต้นไป โดยรับซื้อผลปาล์มที่มีคุณภาพเท่านั้น พร้อมติดป้ายประกาศรับซื้อผลปาล์มน้ำมันในราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ ๖.๐๐ บาท ที่อัตราน้ำมันจากผลปาล์มน้ำมันขั้นต่ำ ๑๗% หากอัตราน้ำมันจากผลปาล์มเกิน ๑๗% ให้ปรับราคารับซื้อในสัดส่วนที่สอดคล้องกัน รวมทั้งให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มมีสิทธิปฏิเสธการรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน หากเกษตรกรเก็บเกี่ยวผลปาล์มน้ำมันไม่มีคุณภาพ ๑.๕ ให้กระทรวงพลังงานกำหนดนโยบายการใช้ไบโอดีเซล B3 - B5 เพื่อดูดซับน้ำมันปาล์มส่วนเกินจากการบริโภค และใช้ในอุตสาหกรรม โดยสัดส่วนการใช้ไบโอดีเซลให้ยืดหยุ่น และปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม บนพื้นฐานของสถานการณ์ ปริมาณผลผลิต และสต็อกคงเหลือ ๑.๖ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมการลักลอบการนำเข้าน้ำมันปาล์มตามแนวชายแดน ๒. การชดเชยส่วนต่างของราคาจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์มชนิดบรรจุขวด ๑ ลิตร (๔๗.๐๐ บาทต่อลิตร) กับต้นทุนการผลิตในอัตราลิตรละ ๑.๗๙ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ให้กับโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ในจำนวน ๔๐,๐๐๐ ตันน้ำมันปาล์มดิบต่อเดือน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๔ อนุมัติให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงินรวมประมาณ ๑๖๔.๔๗ ล้านบาท นั้น เมื่อกระทรวงพาณิชย์ขอตกลงในรายละเอียดของค่าใช้จ่ายดังกล่าวกับสำนักงบประมาณแล้ว ให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีก ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. เห็นชอบให้เพิ่มเติมกรรมการใน กนป. จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๔ ที่อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมเป็นรองประธานกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าว โดยให้เพิ่มผู้อำนวยการสำนักงบประมาณและนายกสมาคมผู้ผลิตไบโอดีเซลไทยเป็นกรรมการด้วย และให้ฝ่ายเลขานุการ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) เร่งดำเนินการแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2549 | ขออนุมัติมาตรการและงบประมาณเพื่อใช้ดำเนินการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปี 2553/54 | พณ | 04/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๓/๕๔ ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ และให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของกรอบวงเงินชดเชยดอกเบี้ยของโครงการเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวตามที่จ่ายจริง ในวงเงินไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท นั้น อนุมัติในหลักการให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้กระทรวงพาณิชย์ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2550 | การชุมนุมเรียกร้องของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว | พณ | 04/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๓/๕๔ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การกำหนดมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปี ๒๕๕๓/๕๔ และการชดเชยรายได้เกษตรกรโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๒/๕๓ ช่วงวันที่ ๑ - ๗ มีนาคม ๒๕๕๓) ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ ให้ถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงข้าวเปลือกและการจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้แก่เกษตรกร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการให้ถูกต้องและเกษตรกรได้รับเงินชดเชยโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||
2551 | เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมขอปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบ | กษ | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ปรับราคารับซื้อน้ำนมดิบเพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ ๑.๐๐ บาท (จากเดิมราคา ๑๗.๐๐ บาท/กิโลกรัม เพิ่มเป็น ๑๘.๐๐ บาท/กิโลกรัม) ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่กระทรวงพาณิชย์โดยคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการอนุญาตให้ผู้ประกอบการนมพาณิชย์ปรับราคาขายผลิตภัณฑ์นมในตลาดนมพาณิชย์ได้ ๑.๒. ให้มีการกำหนดราคากลางใหม่จากราคากลางตามมติคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒ โดยให้มีผลตั้งแต่ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.๒.๑ นมพาสเจอร์ไรส์ ราคากลางเดิม ๖.๒๖ บาท/ถุง เป็นราคากลางใหม่ ๖.๓๗ บาท/ถุง ๑.๒.๒ นม ยู.เอช.ที. ชนิดกล่อง จากราคากลางเดิม ๗.๕๕ บาท/กล่อง เป็นราคากลางใหม่ ๗.๖๑ บาท/กล่อง และชนิดซอง จากราคากลางเดิม ๗.๔๕ บาท/ซอง เป็นราคากลางใหม่ ๗.๕๑ บาท/ซอง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพัฒนาวิธีการเลี้ยง สูตรอาหาร ปรับปรุงพันธุ์โค และสนับสนุนการทดแทนแม่โคที่มีอายุมากเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำนมโคให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโค ซึ่งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจการเลี้ยงโคนมและเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนมากกว่าการปรับขึ้นราคาน้ำนมดิบอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2552 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2554 (ครั้งที่ 10) | กษ | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและอนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๐) วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธาน กนป. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้คงราคาน้ำมันพืชปาล์มชนิดบรรจุขวด ขนาด ๑ ลิตร ในราคาขายปลีกที่ ๔๗.๐๐ บาทต่อลิตร ๑.๒ เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลน ปี ๒๕๕๔ เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร หลักฐานการผลิต การจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์มฝาสีชมพูที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มนำเข้า จำนวน ๓๐,๐๐๐ ตัน และน้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศ จำนวน ๑๕,๐๐๐ ตัน รวมถึงน้ำมันปาล์มดิบที่ผลิตภายในประเทศ จำนวน ๔๐,๐๐๐ ตัน ที่อยู่ระหว่างการทบวนของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ๑.๓ เนื่องจากสถานการณ์น้ำมันปาล์มเริ่มปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติ และเพื่อป้องกันมิให้ปัญหาการขาดแคลน้ำมันปาล์มเกิดขึ้น และเกษตรกรได้รับการดูแลเรื่องราคาผลปาล์มน้ำมัน จึงให้มีการดำเนินการ ดังนี้ ๑.๓.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มทบทวนการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลน ตามมติ กนป เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ให้โรงกลั่นน้ำมันปาล์มรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบที่ผลิตภายในประเทศ จำนวน ๔๐,๐๐๐ ตัน จากสมาคมโรงสกัดน้ำมันปาล์มในราคาน้ำมันปาล์มดิบตลาดมาเลเซีย บวก ๒.๕๐ บาทต่อกิโลกรัม และโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มรับซื้อผลปาล์มน้ำมันจากเกษตรกรในราคาที่สอดคล้องกับราคาน้ำมันปาล์มดิบ โดยรัฐชดเชยส่วนต่างราคาในอัตราลิตรละ ๙.๕๐ บาท ณ ฐานคำนวณราคาน้ำมันปาล์มดิบที่กิโลกรัมละ ๔๔.๗๕ บาท ทั้งนี้ ให้อัตราเงินชดเชยปรับเปลี่ยนตามราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณได้ตามราคาตลาดมาเลเซีย บวก ๒.๕๐ บาทต่อกิโลกรัม และเสนอ กนป. เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ๑.๓.๒ ให้กระทรวงพลังงานปรับอัตราการใช้ไบโอดีเซลจากอัตราร้อยละ ๒ (B2) เป็นอัตราร้อยละ ๓ (B3) หรือมากกว่า เพื่อดูดซับน้ำมันปาล์มดิบที่คาดว่าจะออกสู่ตลาดมาก ซึ่งมีผลต่อราคาเกษตรกรขายได้ โดยเบื้องต้นให้กำหนดราคารับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มในราคามาเลเซีย บวก ๓.๐๐ บาทต่อกิโลกรัม เป็นระยะเวลา ๓ เดือน (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๕๔) และเสนอ กนป. ในการประชุมครั้งต่อไป เพื่อพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๒. อนุมัติงบประมาณเพื่อจ่ายชดเชยส่วนต่างราคาและชดเชยต้นทุนการผลิตน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ให้แก่ผู้ประกอบการที่ให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลน จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงินรวมประมาณ ๑๖๔.๔๗ ล้านบาท และให้กระทรวงพาณิชย์ขอตกลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายดังกล่าวกับสำนักงบประมาณ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมเป็นรองประธานกรรมการใน กนป. รวมทั้งให้ฝ่ายเลขานุการ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) เร่งดำเนินการแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตีร (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธาน กนป. เสนอเพิ่มเติม
|
||||||||||||||||||||||||
2553 | รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย | พณ | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย ดังนี้
๑. โครงการสร้างเว็บไซต์ “ผู้ผลิตผู้บริโภคตื่นตัว (Produce & Consumer Alert) ได้รวบรวมข้อมูลด้านราคา ด้านปริมาณการผลิต ด้านปริมาณพ่อพันธุ์/แม่พันธุ์ และด้านการเคลื่อนย้ายของสินค้าหมู ไก่ ไข่ และกำหนดรูปแบบเว็บไซต์ซึ่งอยู่ระหว่างการร่างขอบเขตงาน (TOR) ๒. โครงการจัดจำหน่ายไข่ไก่เป็นกิโลกรัม เริ่มดำเนินการวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ในกรุงเทพมหานคร จุดจำหน่ายตลาดสด ๕ แห่ง ห้าง Modern Trade ๒ แห่ง ในภูมิภาค ๔ แห่ง ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี อ่างทอง เชียงใหม่ โดยสหกรณ์ไก่ไข่ขายตรงผู้บริโภค ๓. การทบทวนเกณฑ์ผู้มีอำนาจเหนือตลาดภายใต้พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า ได้ออกประกาศแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องการกำหนดเกณฑ์ผู้มีอำนาจเหนือตลาด เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เพื่อทำหน้าที่ทบทวนเกณฑ์ผู้มีอำนาจเหนือตลาดต่อไป ๔. การปรับปรุงกฎหมายการแข่งขันทางการค้า ได้มีการนำเสนอเรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายการแข่งขันทางการค้า อยู่ระหว่างรอเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๕. ศึกษารูปแบบองค์กรการกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าเป็นองค์กรอิสระ ได้จัดทำ TOR เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างรอการจัดสรรงบประมาณ ๖. จัดตั้งคณะทำงานติดตามข้อมูล - พฤติกรรม โดยออกคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงและพฤติกรรมทางการค้าของผู้ประกอบการสินค้าไข่ไก่ ไก่เนื้อ และสุกร เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๔ ๗. มาตรการแจ้งปริมาณ/สถานที่เก็บข้าวโพด คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ให้ออกประกาศกำหนดให้แจ้งปริมาณสถานที่เก็บและจัดทำบัญชีคุมสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๔ ประกาศเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ -๕๕๔ ๘. ประกาศไข่ไก่เป็นสินค้าควบคุม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ที่เห็นชอบให้ออกประกาศกำหนดไข่ไก่เป็นสินค้าควบคุม มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||
2554 | การดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดของคณะกรรมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด | พณ | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ของคณะกรรมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีความคืบหน้าการดำเนินงาน ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการที่ผ่านมา ได้แก่ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจ เพื่อพิจารณาและศึกษากฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับและสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ การจัดทำโครงการจัดจ้างออกแบบการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดเพื่อจ้างผู้เชี่ยวชาญภาคเอกชนออกแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่และเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ รวมถึงการทำการตลาด เพื่อจูงใจภาคเอกชนในการลงทุน และการขอใช้พื้นที่ป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี โดยสำนักงานพัฒนาที่ดินจังหวัดตากได้ดำเนินการยื่นเรื่องเข้าสู่คณะอนุกรรมการพัฒนาที่ดินประจำจังหวัด เพื่อตั้งคณะทำงาน ๒ คณะ ดำเนินการจัดทำประชาพิจารณ์กับประชาชนในพื้นที่คณะหนึ่ง และสำรวจพื้นที่ ๕,๖๐๓ ไร่ ๕๖ งาน ระหว่างตำบลแม่ปะ - ตำบลท่าสายลวด ที่จะใช้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดอีกคณะหนึ่ง ๑.๒ การดำเนินงานขั้นต่อไป ได้แก่ การจัดจ้างผู้เชี่ยวชาญภาคเอกชนออกแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่ เพื่อให้ได้พื้นที่ที่ชัดเจนในการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง ศูนย์บริการนำเข้า - ส่งออกแบบเบ็ดเสร็จ วนอุทยานนิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้าทัณฑ์บน โลจิสติกส์พาร์ค ศูนย์ขนถ่ายกระจายสินค้า จุดตรวจปล่อยจุดเดียว พื้นที่สำหรับหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่อยู่อาศัย และสวนสาธารณะ รวมทั้งการกำหนดรูปแบบการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด องค์กร และกฎระเบียบต่าง ๆ ที่จำเป็น ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นผลมาจากการศึกษาวิเคราะห์ของคณะอนุกรรมการฯ ๒. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๔๐,๐๔๔,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการจัดจ้างออกแบบการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด โดยให้หน่วยงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินเพื่อขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรกำหนดขอบเขตของการดำเนินโครงการให้มีความชัดเจน โดยเน้นถึงผลที่จะได้รับการดำเนินโครงการ ๓ ด้านสำคัญ ได้แก่ การออกแบบการใช้พื้นที่เบื้องต้นของโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ลักษณะการลงทุนและการวิเคราะห์ความคุ้มค่าด้านการเงิน และรูปแบบการบริหารจัดการในส่วนของงบประมาณที่เห็นควรให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งเห็นควรเพิ่มเติมขอบเขตของการดำเนินโครงการครอบคลุมถึงการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment) เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และการเตรียมการรองรับผลกระทบดังกล่าว พร้อมทั้งจัดทำข้อเสนอทางเลือกในการพัฒนาที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ ในการจัดตั้งองค์กรเพื่อบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จะต้องกำหนดขอบเขตภารกิจและอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบให้มีความชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๔. ให้โครงการจัดจ้างออกแบบการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดดำเนินการเมื่อได้ข้อยุติในเรื่องของพื้นที่ป่าไม้ที่จะใช้ดำเนินการแล้ว โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรม (การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) เร่งรัดการพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
2555 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ 1970 (ค.ศ. 2011) เรื่อง การคว่ำบาตรลิเบีย | กต | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๑๙๗๐ (ค.ศ. ๒๐๑๑) เกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรต่อลิเบีย และให้กระทรวงการกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาในรายละเอียด แล้วแจ้งแนวทางหรือมาตรการที่จะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องไปยังกระทรวงการต่างประเทศโดยด่วน เพื่อให้กระทรวงการต่างประเทศรวบรวมข้อมูลดังกล่าวเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2556 | รายงานสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่ | พณ | 22/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสถานการณ์และการดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่ ดังนี้
๑. การผลิต ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ได้สรุปสถานการณ์การผลิตปัจจุบัน มีแม่ไก่ไข่ยืนกรง จำนวน ๓๘ - ๓๙ ล้านตัว ปัญหาโรคระบาดที่เกิดขึ้นในระบบการเลี้ยงไก่ไข่ ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นมา ทำให้อัตราการให้ไข่โดยรวมลดลงร้อยละ ๒๐ ส่งผลให้ผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดลดลงจากวันละ ๓๐ - ๓๑ ล้านฟอง เหลือวันละ ๒๔ - ๒๕ ล้านฟอง ๒. การตลาด ปริมาณไข่ไก่ที่เข้าสู่ระบบตลาดมีจำนวนลดลง ผู้ประกอบการค้าส่งไข่ไก่ได้รับไข่ไก่ลดลงกว่าปกติ ปริมาณที่ขาดไปเฉลี่ยตั้งแต่ร้อยละ ๑๐ - ๓๐ สำหรับด้านการส่งออกไข่ไก่ ในเดือนมกราคม ๒๕๕๔ มีการส่งออกไข่ไก่ จำนวน ๗ ล้านฟอง ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ ๗๕ (มกราคม ๒๕๕๓ ส่งออกไข่ไก่ จำนวน ๒๘ ล้านฟอง) โดยมีสาเหตุมาจากปริมาณไข่ไก่ที่ลดลง ไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ และข้อเสียเปรียบประเทศคู่แข่งในด้านราคา ๓. การดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่ มีดังนี้ ๓.๑ กำกับดูแลราคาขายส่งขายปลีก และการเปิดป้ายแสดงราคาขายปลีก โดยติดตามตรวจสอบภาวะการค้า และขอความร่วมมือผู้ค้ากำหนดราคาขายส่งขายปลีกให้สอดคล้องกับภาวะอุปสงค์อุปทานและต้นทุนที่แท้จริง รวมทั้งเผยแพร่ราคาขายปลีกไข่ไก่แนะนำเพื่อเป็นข้อมูลด้านการตลาดให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคทราบ โดยราคาขายปลีกแนะนำสำหรับไข่ไก่ เบอร์ ๒ อยู่ที่ฟองละ ๓.๕๐ บาท และเบอร์ ๓ อยู่ที่ฟองละ ๓.๔๐ บาท และได้ประสานเชื่อมโยงผู้เลี้ยงไก่ไข่นำไข่ไก่ไปจำหน่ายในราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ภายในงานธงฟ้าที่จัดขึ้นทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ ๓.๒ กำกับดูแล รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ประกอบการอาหารสัตว์ให้จำหน่ายอาหารสัตว์ในราคาที่สอดคล้องกับราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ๓.๓ การติดตามพฤติกรรมทางการค้า ภายใต้พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ และการติดตามกำกับดูแลด้านราคา ภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการกำหนดราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๔๒ รวมทั้งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประชาวิวัฒน์ ด้านการลดค่าครองชีพสินค้า สุกร ไก่เนื้อ และไข่ไก่ ของรัฐบาล ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๔ โดยการกำหนดให้ไข่ไก่เป็นสินค้าควบคุม การกำหนดมาตรการให้ผู้ครอบครองข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีปริมาณตั้งแต่ ๕๐ ตันขึ้นไปต้องแจ้งปริมาณ สถานที่เก็บ และจัดทำบัญชีคุมสินค้า และการจัดจำหน่ายไข่ไก่เป็นกิโลกรัม
|
||||||||||||||||||||||||
2557 | สรุปผลการจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ (Thailand International Creative Economy Forum : TICEF) | พณ | 14/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ (Thailand International Creative Economy : TICEF) ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ กรุงเทพฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปผลการจัดงานได้ ดังนี้
๑. การจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติประสบความสำเร็จด้วยดี โดยมีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายวิชาชีพทั้งภาครัฐ และเอกชนจากในประเทศ และต่างประเทศ ตลอดจนผู้แทนระดับสูงจากองค์กรระหว่างประเทศ รวมประมาณ ๑,๕๐๐ คน จากกว่า ๕๐ ประเทศ เช่น อาเซียน อินเดีย จีน ศรีลังกา เนปาล บังคลาเทศ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เป็นต้น สำหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย งานเทศกาลออกแบบนานาชาติ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ การประชุมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ และงานเทศกาลกระจายภาพและเสียงกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ ๒๘ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ รวมทั้งการจัดนิทรรศการแสดงพระอัจฉริยภาพด้านการสร้างสรรค์และทรัพย์สินทางปัญญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ (Creative King) นิทรรศการจำลองประเทศไทยเสมือนจริง (Thailand Planet) นิทรรศการการ์ตูนแอนิเมชั่นเชลดอน (Shelldon) นิทรรศการอัญมณี และผลิตภัณฑ์จากศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศ นิทรรศการของ WIPO UNDP และนิทรรศการของนายแกรม ทอมส์ ผู้สร้างอุปกรณ์ประกอบภาพยนตร์แอนิเมชั่นอวตาร เป็นต้น ๒. ในส่วนของการจัดประชุมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานชาติ ระหว่างวันที่ ๒๘ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งประกอบด้วยการเสวนาห้องใหญ่ (Plenary Session) และการเสวนากลุ่มย่อยใน ๔ หัวข้อ คือ (๑) เมืองและสังคมสร้างสรรค์ (๒) แบรนด์และการออกแบบที่สร้างสรรค์ (๓) เนื้อหาและสื่อสร้างสรรค์ และ (๔) ภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยมีประเด็นสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ การพัฒนาประเทศไทยไปสู่เมืองสร้างสรรค์ จำเป็นที่รัฐและประชาชนจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างถูกต้อง นำไปสู่การกำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจร่วมกัน รัฐควรให้การสนับสนุนด้านนโยบาย และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่าง ๆ เช่น ระบบการศึกษา ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การสร้างห้องสมุด ศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์วิจัยและพัฒนา การฝึกอบรมบุคลากร การจัดแสดงผลงาน การสนับสนุนการตลาด การจัดช่องทางให้นักสร้างสรรค์ได้พบกับผู้บริโภค การสนับสนุนด้านการเงิน การพัฒนากฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกฎระเบียบด้านทรัพย์สินทางปัญญาให้เหมาะสมและทันสมัย เป็นต้น ๒.๒ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี สังคม สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ เป็นพื้นฐานสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ แต่การพัฒนาผลงานความคิดสร้างสรรค์ให้มีความโดดเด่นดึงดูดใจผู้บริโภค จำเป็นที่จะต้องอาศัยการศึกษาวิจัย การทำการตลาด และการพึ่งพาเทคโนโลยีซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและตลอดเวลา มาเป็นองค์ประกอบในการสร้างสรรค์งาน ๒.๓ การนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาช่วยในการสร้างสรรค์งาน จะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนและลดช่องว่างรายได้ของประเทศได้ โดยมีการจัดการองค์ความรู้ของท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ มีฐานข้อมูลเพื่อสะดวกในการต่อยอด และให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลงาน ๒.๔ การสร้างสรรค์อย่างแท้จริง ควรจะต้องช่วยสร้างงาน และการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และที่สำคัญควรจะต้องเรียนรู้ที่จะคงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และวิวัฒนาการต่าง ๆ ของโลก
|
||||||||||||||||||||||||
2558 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2554 (ครั้งที่ 9) | กษ | 14/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๙) เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธาน กนป. เสนอ โดยที่ประชุม กนป. มีมติ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดราคาขายปลีกน้ำมันพืชชนิดบรรจุขวดขนาด ๕๐๐ ซีซี. ขนาด ๒๕๐ ซีซี. และอัตราเงินชดเชยที่สอดคล้องกับการกำหนดราคาน้ำมันพืชชนิดบรรจุขวดขนาด ๑ ลิตร ที่ ๔๗.๐๐ บาท ๑.๒ ให้สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบที่ผลิตภายในประเทศ จำนวน ๔๐,๐๐๐ ตัน จากสมาคมโรงสกัดน้ำมันปาล์ม ในราคาน้ำมันปาล์มดิบตลาดมาเลเซีย บวก ๒.๕๐ บาท ต่อกิโลกรัม และรับซื้อผลปาล์มน้ำมันจากเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันในราคาที่สอดคล้องกับราคาน้ำมันปาล์มดิบ ที่อัตราน้ำมันร้อยละ ๑๗ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๔ จนครบตามจำนวน ๔๐,๐๐๐ ตัน ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ๑.๓ ให้คงอัตราการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิต และราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ (ที่ ๔๗.๐๐ บาทต่อลิตร) ให้สมาชิกสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มที่ใช้น้ำมันปาล์มดิบที่ผลิตภายในประเทศ ลิตรละ ๙.๕๐ บาท ณ ฐานคำนวณราคาน้ำมันปาล์มดิบที่ ๔๔.๗๕ บาท ทั้งนี้ ให้อัตราเงินชดเชยปรับเปลี่ยนตามราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณตามข้อ ๑.๒ ๑.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับ ดูแล และควบคุมให้สมาชิกสมาคมโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม และโรงกลั่นน้ำมันปาล์มปฏิบัติตามข้อ ๑.๒ และกำหนดราคารับซื้อผลปาล์มน้ำมัน ราคาน้ำมันปาล์มดิบ และอัตราชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิต และราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคาให้สมาชิกสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ในการผลิตน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เพื่อจำหน่ายจากน้ำมันปาล์มนำเข้า ๓๐,๐๐๐ ตัน และจากน้ำมันปาล์มดิบที่ผลิตได้ภายในประเทศ ๕๕,๐๐๐ ตัน โดยให้เบิกจ่ายครอบคลุมการดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ๑.๕ ให้กระทรวงพลังงานกำกับ ดูแล และควบคุมให้ผู้ประกอบการผลิตไบโอดีเซลซื้อน้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศปริมาณ ๑๖,๕๐๐ ตัน ตั้งแต่วันที่ ๘ มีนาคม - ๑ เมษายน ๒๕๕๔ ในราคาน้ำมันปาล์มดิบตลาดมาเลเซีย บวก ๒.๕๐ บาท ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอเพิ่มเติมขอขยายเวลาการปรับลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตามมติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๓๔) เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ออกไปอีกระยะหนึ่งตามความเหมาะสม และให้กระทรวงพลังงานรับไปดำเนินการการตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2559 | การให้ความช่วยเหลือแก่ญี่ปุ่นต่อกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหว | กต | 14/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๐๐ ล้านบาท สำหรับการให้ความช่วยเหลือแก่ญี่ปุ่นต่อกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหว (นอกเหนือจากเงิน จำนวน ๕ ล้านบาท ที่กระทรวงการต่างประเทศได้อนุมัติให้ความช่วยเหลือไปก่อนแล้วตามหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือแก่มิตรประเทศที่ประสบภัยพิบัติ) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามแผนการให้ความช่วยเหลือของกระทรวงการต่างประเทศ รวมตลอดถึงเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการขนส่งความช่วยเหลือ การจัดหาอาหารสำเร็จรูป เครื่องอุปโภคบริโภค และอุปกรณ์ยังชีพที่จำเป็น ที่เป็นสินค้าที่ประเทศไทยมีศักยภาพและสอดคล้องกับความต้องการของชาวญี่ปุ่น เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น ๒. เห็นชอบในหลักการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศญี่ปุ่นเพิ่มเติม เป็นข้าวหอมมะลิ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ตัน และข้าวเหนียวขาว (๑๐ %) จำนวน ๕,๐๐๐ ตัน และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) รับไปดำเนินการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ โดยให้ประสานงานในรายละเอียดกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2560 | ขออนุมัติเงินงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจ่ายชดเชยส่วนต่างราคา | พณ | 14/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำแห่งชาติ (กปน.) ในการประชุมเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุม กปน. มีมติ ดังนี้ ๑.๑ ให้สมาชิกสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มซื้อน้ำมันปาล์มดิบในประเทศ จำนวน ๔๐,๐๐๐ ตัน ในราคาน้ำมันปาล์มดิบประเทศมาเลเซียบวกด้วยส่วนต่างที่เกิดจากต้นทุนการผลิตในอัตรากิโลกรัมละ ๒.๕๐ บาท เพื่อผลิตเป็นน้ำมันพืชปาล์มจำหน่ายปลีกในราคาลิตรละ ๔๗ บาท โดยภาครัฐจะจ่ายชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตและราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ลิตรละไม่เกิน ๙.๕๐ บาท โดยคำนวณอัตราเงินชดเชยให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันปาล์มดิบที่รับซื้อ ทั้งนี้ ให้สมาชิกสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มดำเนินการผลิตได้ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๔ จบครบตามจำนวน ๔๐,๐๐๐ ตัน ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับการผลิตและจำหน่ายน้ำมันพืชขนาดบรรจุ ๐.๕ ลิตร และขนาด ๐.๒๕ ลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกไม่เกินลิตรละ ๔๗ บาท โดยรัฐจะจ่ายเงินชดเชยที่สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตและจำหน่าย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปขอตกลงรายละเอียดของค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคา และชดเชยต้นทุนการผลิตน้ำมันพืชขนาดบรรจุ ๐.๕ ลิตร และขนาด ๐.๒๕ ลิตร จากเงินรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นกับสำนักงบประมาณ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเร่งรัดการจัดทำรายงานสภาพปัญหาราคาสินค้าจำเป็นพื้นฐานชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่อยู่ในบัญชีสินค้าควบคุม เช่น ไข่ไก่ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำตาลทราย (ซึ่งไม่มีปัญหาการขาดแคลนแต่อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการบรรจุภัณฑ์) และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน
|
.....