ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 130 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2581 - 2600 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2581 | ผลการเยือนสหราชอาณาจักรของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ระหว่างวันที่ 27 - 30 พฤศจิกายน 2553) | กต | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับผลการเยือนสหราชอาณาจักรของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ ๒๗ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ไปพิจารณาดำเนินการ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ตามกรอบอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานต่อไป ดังนี้
๑. ด้านการเมือง ๑.๑ การแบ่งปันประสบการณ์ของสหราชอาณาจักรด้านการพัฒนาการเมืองและระบอบประชาธิปไตย หน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรี/สำนักงานเลขาาธิการวุฒิสภา/สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร/สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี/กระทรวงศึกษาธิการ ๑.๒ ความร่วมมือระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติของไทยกับสหราชอาณาจักรเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ของสหราชอาณาจักรด้านการพัฒนาการเมือง หน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา/สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร/สำนักนายกรัฐมนตรี/กระทรวงการต่างประเทศ ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ การส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร หน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์/กระทรวงเกษตรและสหกรณ์/กระทรวงอุตสาหกรรม/กระทรวงการต่างประเทศ ๒.๒ ปัญหาและอุปสรรคในด้านการลงทุนของไทยในสหราชอาณาจักร (อาทิ ระเบียบการตรวจลงตรา การควบคุมจำนวนแรงงานนอกสหภาพยุโรป) หน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม/กระทรวงแรงงาน/กระทรวงการคลัง/สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน/กระทรวงการต่างประเทศ ๒.๓ มาตรการส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลสหราชอาณาจักร อาทิ อัตราภาษีนิติบุคคล อัตราดอกเบี้ย ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม สุขอนามัย หน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน/กระทรวงการคลัง/ธนาคารแห่งประเทศไทย/กระทรวงการต่างประเทศ ๒.๔ ข้อตกลงระหว่างบริษัทสหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) และบริษัท Corus UK ในการซื้อกิจการโรงถลุงเหล็กที่ Teesside ซึ่งรวมถึงการขอใบอนุญาตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการรับการสนับสนุนทุนฝึกอบรมให้แก่คนในท้องถิ่น หน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน/กระทรวงการต่างประเทศ ๒.๕ การสนับสนุนจากท้องถิ่นและสหภาพแรงงานที่ Teesside ในการซื้อกิจการโรงถลุงเหล็กของ บริษัทสหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน/กระทรวงการต่างประเทศ ๓. อื่น ๆ ๓.๑ ความร่วมมือด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้แก่เยาวชน หน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ/กระทรวงการต่างประเทศ ๓.๒ ความร่วมมือด้านการศึกษาเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาด้านการวิจัยและพัฒนา หน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ/กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี/กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม/กระทรวงการต่างประเทศ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2582 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... | พณ | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญคือ
๑. ให้ข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ตามพิกัดอัตราศุลกากรขาเข้าประเภทย่อย ๑๐๐๕.๙๐.๙๐ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองเพื่อแสดงต่อกรมศุลกากรในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อประกอบการใช้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากร ได้แก่ หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบฟอร์ม ดี (Form D) ที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจออกหนังสือรับรองดังกล่าวของประเทศที่ส่งออก หนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีทั้งหมดหรือบางส่วนที่ออกโดยกรมการค้าต่างประเทศ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมาย และหนังสือรับรอง ใบรับรอง หรือเอกสารหลักฐานอื่นใด ซึ่งแสดงว่าสินค้าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นสินค้าที่มีความปลอดภัยต่อชีวิต หรือสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ หรือพืช ที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานที่มีอำนาจออกหนังสือรับรองดังกล่าวของประเทศที่ส่งออก ๒. การนำเข้าสินค้าตามข้อ ๑ ที่มีมูลค่าตามราคา เอฟ โอ บี ไม่เกินสองร้อยดอลลาร์สหรัฐ ไม่ต้องแสดงหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบฟอร์มดี (From D) ที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานที่มีอำนาจออกหนังสือรับรองดังกล่าวของประเทศที่ส่งออก ๓. ต้องนำเข้าระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม ถึง วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ๔. ต้องนำเข้าทางด่านศุลกากรที่มีด่านตรวจพืชและด่านกักสัตว์ หรือมีเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจของด่านดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ ๕. การขอและการออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีทั้งหมดหรือบางสวนที่ออกโดยกรมการค้าต่างประเทศ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมาย ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามที่กรมการค้าต่างประเทศประกาศกำหนด ๖. กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ตามข้อ ๑ เข้ามาในราชอาณาจักรในอัตราน้ำหนักสุทธิเมตริกตันละศูนย์บาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2583 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ รวม 4 ฉบับ) | พณ | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศ จำนวน ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การห้ามส่งออกอาวุธและวัสดุที่เกี่ยวข้องกับอาวุธไปสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ และการห้ามนำเข้าเพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนจากสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ ให้อาวุธและวัสดุที่เกี่ยวข้องกับอาวุธเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการส่งออกไปสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ (ร่างข้อ ๔) เว้นแต่การส่งออกที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการสนับสนุน หรือใช้โดย United Nations Operation in Cote d’I Voire (UNOCI) การส่งออกอุปกรณ์ทางทหารที่ไม่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต ฯลฯ ๑.๒ ให้เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนทุกชนิดที่ส่งมาจากสาธารณรัฐโกตดิวัวร์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เว้นแต่การนำเข้ามาเพื่อการวิจัยและวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ ๒. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การห้ามส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์ไปสาธารณรัฐซูดาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการส่งออกไปสาธารณรัฐซูดาน เว้นแต่การส่งออกไปใช้ในการฝึกอบรมทางเทคนิคและการช่วยเหลือในการปฏิบัติการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการสร้างสันติภาพ ฯลฯ ๓. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การห้ามส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์ไปสาธารณรัฐไลบีเรีย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๓.๑ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งออกอาวุธและอุปกรณ์ทางทหารไปสาธารณรัฐไลบีเรีย พ.ศ. ๒๕๔๕ ๓.๒ ให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการส่งออกไปสาธารณรัฐไลบีเรีย เว้นแต่การส่งออกที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุน หรือใช้โดย The United Nations Mission in Liberia (UNMIL) การส่งออกเครื่องแต่งกายที่ใช้ในการป้องกัน ฯลฯ ๔. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๔๑) พ.ศ. ๒๕๔๔ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๔๑) พ.ศ. ๒๕๔๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2584 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคี ไทย - อุซเบกิสถาน ครั้งที่ 1 | กต | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย - อุซเบกิสถาน ครั้งที่ ๑ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ กรุงทาชเคนต์ สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน โดยที่ประชุมฯ ได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับสถานะความสัมพันธ์ทวิภาคี และการค้าระหว่างไทยกับอุซเบกิสถาน การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคม การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า รวมทั้งการร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ความร่วมมือด้านพลังงาน อุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมสิ่งทอ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อุตสาหกรรมไฟฟ้า เภสัชกรรม การท่องเที่ยว ความร่วมมือทางวิชาการ การศึกษา บริการสาธารณสุข ศุลกากร และความร่วมมือด้านกฎหมาย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ตามกรอบอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานต่อไป ดังนี้
๑. กระทรวงพาณิชย์ รับผิดชอบเรื่องการส่งเสริมการค้า การจัดทำความตกลงด้านการค้า และกลไกในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้า ๒. กระทรวงอุตสาหกรรม รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม การจัดทำความตกลงด้วยความร่วมมือด้านมาตรฐานอุตสาหกรรม ๓. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๔. กระทรวงสาธารณสุข / องค์การเภสัชกรรม รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือด้านสาธารณสุขและการผลิตเวชภัณฑ์และเภสัชภัณฑ์ ๕. กระทรวงการคลัง รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือด้านศุลกากรและการจัดทำความตกลงว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษี ๖. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือด้านการเกษตรและการจัดทำความตกลงว่าด้วยสุขอนามัยพืช และความร่วมมือด้านวิชาการสาขาการเกษตร ๗. กระทรวงวัฒนธรรม รับผิดชอบเรื่องความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมและกีฬา ๘. กระทรวงการต่างประเทศ / กระทรวงยุติธรรม รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ๙. กระทรวงศึกษาธิการ รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือด้านการส่งเสริมการศึกษา ๑๐. กระทรวงการต่างประเทศ โดยสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือด้านความช่วยเหลือทางวิชาการและพัฒนาในสาขาต่าง ๆ ๑๑. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและการจัดทำความตกลงว่าด้วยการท่องเที่ยว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2585 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 1961(ค.ศ. 2010) เกี่ยวกับการคว่ำบาตรไลบีเรีย | กต | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๑๙๖๑ (ค.ศ. ๒๐๑๐) เกี่ยวกับการคว่ำบาตรไลบีเรียเพิ่มเติม เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติต่อไป โดยสอดคล้องกับกฎหมายภายในของประเทศไทย รวมทั้งแจ้งผลการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2586 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 (จำนวน 39 รายการ) | พณ | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการกำหนดสินค้า จำนวน ๓๙ รายการ และบริการ จำนวน ๒ รายการ รวม ๔๑ รายการ เป็นสินค้าและบริการควบคุมในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. สินค้าควบคุม จำนวน ๓๙ รายการ ประกอบด้วย ๑.๑ หมวดอาหารสด จำนวน ๓ รายการ ได้แก่ สุกร เนื้อสุกร กระเทียม และไข่ไก่ ๑.๒ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน ๑๐ รายการ ได้แก่ กาแฟผงสำเร็จรูป ข้าวเปลือก ข้าวสาร ครีมเทียมข้นหวาน นมข้น นมคืนรูป นมแปลงไขมัน นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม โยเกิร์ต นมผง นมสด น้ำตาลทราย น้ำมันและไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ทั้งที่บริโภคได้หรือไม่ได้ แป้งสาลี อาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก และอาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท ๑.๓ หมวดของใช้ประจำวัน จำนวน ๖ รายการ ได้แก่ แชมพู น้ำยาซักฟอก ผงซักฟอก ผลิตภัณฑ์ล้างจาน ผ้าอนามัย และสบู่ ๑.๔ หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ จำนวน ๔ รายการ ได้แก่ กระดาษทำลูกฟูก กระดาษพิมพ์และเขียน กระดาษเหนียว (KRAFT PAPER) และเยื่อกระดาษ ๑.๕ หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง จำนวน ๓ รายการ ได้แก่ แบตเตอรี่รถยนต์ ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่ง รถยนต์บรรทุก ๑.๖ หมวดวัสดุก่อสร้าง จำนวน ๓ รายการ ได้แก่ ปูนซีเมนต์ สายไฟฟ้า และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่น เหล็กเส้น ๑.๗ หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม จำนวน ๓ รายการ ได้แก่ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง และเม็ดพลาสติก ๑.๘ หมวดยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ จำนวน ๑ รายการ ได้แก่ ยารักษาโรค ๑.๙ หมวดปัจจัยทางการเกษตร จำนวน ๕ รายการ ได้แก่ ปุ๋ย ข้าวโพด มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช และหัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์ ๑.๑๐ หมวดทั่วไป จำนวน ๑ รายการ ได้แก่ เครื่องแบบนักเรียน ๒. บริการควบคุม จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า และบริการรับฝากสินค้าหรือบริการให้เช่าสถานที่เก็บสินค้า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2587 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2553 | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กศส.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กศส. เสนอ โดยที่ประชุม ฯ ได้มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ตามข้อเสนอของกรมทรัพย์สินทางปัญญา และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำคำสั่งต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้มีการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่อง การแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย โดยให้แก้ไขคำว่า “ข้าราชการ” เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” และให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (สศส.) อีกตำแหน่งหนึ่ง จนกว่าจะมีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ที่ได้แก้ไขแล้ว และให้ สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำคำสั่งต่อไป ๑.๓ รับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กบศส.) โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เป็นประธานกรรมการเพื่อทำหน้าที่ควบคุมดูแลการดำเนินงานและการบริหารงานทั่วไป รวมทั้งออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินงานของ สศส. ๑.๔ รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเห็นชอบรูปแบบองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ โดยให้จัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ใน สศช. และให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธาน ๑.๕ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินโครงการสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในส่วนของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๖ รับทราบแนวทางการบริหารจัดการ สศส. ๒. เห็นชอบในหลักการตามผลการพิจารณาและมติของ กศส. ในเรื่อง การขอแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย โดยให้แก้คำว่า “ข้าราชการ” เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” เพื่อให้ครอบคลุมถึงข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นในกระทรวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ทั้งนี้ เพื่อเปิดกว้างสำหรับการสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ และให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีรับไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบฯ ให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขระเบียบฯ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย ดังกล่าว ควรต้องมีการพิจารณาเพิ่มเติมบทนิยามในข้อ ๓ คำว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” เพิ่มเติมขึ้นด้วย เพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติ ประกอบกับตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้มีการกำหนดนิยามคำว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ไว้ถึง ๑๖ ประเภท จึงเห็นควรกำหนดบทนิยามดังกล่าวเพื่อให้เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่และการสรรหาบุคคลมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการบริหารสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2588 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 14/2553 | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ และเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ รศก. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ รศก. เสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้
๑. รับทราบภาพรวมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคของประเทศ และให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามและกำกับดูแลการปรับราคาสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่มีแนวโน้มปรับราคาเพิ่มขึ้น ได้แก่ น้ำมันพืช ผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรซ์ และเครื่องแบบนักเรียน และเร่งพิจารณาราคาที่เหมาะสมต่อไป ๒. รับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการจำหน่ายกิจการโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card : TPC) และเห็นชอบในหลักการการจำหน่ายกิจการโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดยยกเลิกสิทธิการยกเว้นค่าธรรมเนียมต่าง ๆ สำหรับสมาชิกใหม่ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารอผลการพิจารณาข้อกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนดำเนินการต่อไป เพื่อให้การดำเนินการจำหน่ายกิจการโครงการบัตรสมาชิกพิเศษเป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๓. รับทราบรายงานผลการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Doing Business 2011) โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. ศึกษาวิจัยแนวทางการดำเนินงานของประเทศต้นแบบที่ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับต้น ๆ แล้วนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของไทย และจัดส่งข้อมูลดัชนีชี้วัดของการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลกให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นข้อมูลในการจัดทำแนวทางการปรับปรุงการดำเนินการ และจัดส่งให้สำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อรวบรวมและนำเสนอคณะกรรมการ รศก. เพื่อพิจารณาต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางการปรับปรุงอายุสัญญาการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2589 | การจัดเก็บภาษีโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ | นร | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีจากโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดเก็บภาษีจากโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจและดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้เหมาะสมสอดคล้อง ๑.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณากำหนดให้มีระเบียบข้อบังคับในการตรวจสอบและปรับปรุงในเรื่องความปลอดภัยของอาคารสถานที่ก่อนการอนุมัติอนุญาตให้ใช้เป็นสถานที่สำหรับการเรียนกวดวิชาของโรงเรียนสอนกวดวิชา ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาแนวทางดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับโรงเรียนสอนกวดวิชาในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ การกำหนดแนวทางการควบคุมดูแลโรงเรียนสอนกวดวิชาไม่ให้มีการดำเนินการในลักษณะที่แสวงหากำไรจนเกินควร และให้ดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ การกำหนดมาตรการดำเนินการเพื่อกำกับดูแลครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาของรัฐให้ปฏิบัติหน้าที่ในการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนอย่างเต็มตามหลักสูตรเพื่อนักเรียนจะไม่ต้องไปเรียนเพิ่มเติมในโรงเรียนสอนกวดวิชา ๒.๓ การพิจารณาออกระเบียบข้อบังคับในเรื่องการตรวจสอบและปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยของอาคารสถานที่ก่อนการอนุมัติอนุญาตให้ใช้เป็นสถานที่สำหรับการเรียนกวดวิชาของโรงเรียนสอนกวดวิชา ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2590 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (จำนวน 8 คน 1. นายนพปฎล เมฆเมฆา ฯลฯ) | พณ | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ จำนวน ๘ คน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ดังนี้
๑. ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคราชการ ๑.๑ นายนพปฎล เมฆเมฆา ๑.๒ นางสาวจิตรา เศรษฐอุดม ๑.๓ รองศาสตราจารย์ปรียานุช อภิบุณโยภาส ๑.๔ นายวิบูลพงศ์ พูนประสิทธิ์ ๒. ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน ๒.๑ นายอุตตม สาวนายน ๒.๒ นายวาชิต รัตนเพียร ๒.๓ นายวิชัย อัศรัสกร ๒.๔ นายกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2591 | สถานการณ์และราคาจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์ม | พณ | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสถานการณ์และราคาจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์ม สรุปได้ดังนี้ ๑.๑ ราคาผลปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มดิบในเดือนธันวาคม ๒๕๕๓ อยู่ที่กิโลกรัมละ ๗.๖๐ บาท และ ๔๗.๓๕ บาท เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูการผลิต ประกอบกับเกิดภาวะภัยแล้งในช่วงต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๓ และน้ำท่วมในช่วงปลายปี ทำให้ผลผลิตปาล์มลดลง ในขณะที่ความต้องการใช้ในภาคการบริโภค ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมทั้งการใช้ในภาคพลังงานทดแทนเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้สต็อคคงเหลือน้ำมันปาล์มดิบของเดือนธันวาคม ๒๕๕๓ ลดลงอยู่ที่ประมาณ ๘๐,๐๐๐ ตัน จากปกติที่ควรอยู่ในระดับ ๑๒๐,๐๐๐ - ๑๕๐,๐๐๐ ตัน ๑.๒ ราคาจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์ม กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดราคาจำหน่ายปลีกแนะนำน้ำมันพืชปาล์มไว้ที่ขวดลิตรละ ๓๘.๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๑ แต่จากการที่ราคาวัตถุดิบในปัจจุบันสูบขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์มได้ในราคาที่กำหนดขวดลิตรละ ๓๘.๐๐ บาท ๑.๓ การแก้ไขปัญหา กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์มที่ขวดลิตรละ ๔๗.๐๐ บาท โดยใช้ราคาน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ตลาดมาเลเซียที่จะมีการนำเข้ามาเป็นฐานในการคำนวณที่ประมาณกิโลกรัมละ ๓๖.๕๑ บาท รวมค่าใช้จ่ายในการนำเข้ากิโลกรัมละ ๑.๕๐ บาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป รวมทั้งเจรจากับห้างค้าส่งค้าปลีกขนาดใหญ่พิจารณาลดค่าใช้จ่ายในการกระจายน้ำมันพืชปาล์มเพื่อให้สามารถจำหน่ายในราคาไม่เกินขวดลิตรละ ๔๗.๐๐ บาท ๒. เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำมันพืชปาล์มทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเป็นไปอย่างเป็นระบบ ให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเสนอคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติพิจารณาโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2592 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 04/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๖ ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ ยกเลิกระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับศพข้าราชการและลูกจ้างประจำของทางราชการซึ่งถึงแก่ความตายในระหว่างเดินทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๐๙ ๑.๒ แก้ไขการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับค่าพาหนะในการเดินทางเพื่อไปปลงศพหรือพาหนะ และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวกับการส่งศพกลับของข้าราชการและลูกจ้างประจำของทางราชการ จากเดิมที่ให้จ่ายได้เฉพาะข้าราชการและลูกจ้างประจำ เปลี่ยนเป็นให้จ่ายแก่ผู้เดินทางไปราชการซึ่งมีทั้งข้าราชการ ลูกจ้างประจำของส่วนราชการ และพนักงานราชการ ๑.๓ กำหนดหลักเกณฑ์การเบิกค่าเช่าที่พักในลักษณะเหมาจ่ายและลักษณะจ่ายจริง โดยอัตราค่าเช่าที่พักให้เบิกตามบัญชี ๓ ท้ายระเบียบ ๑.๔ แก้ไขชื่อตำแหน่งให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ สำหรับการเบิกจ่ายค่าพาหนะเดินทางโดยรถไฟ ๑.๕ แก้ไขชื่อตำแหน่งให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ สำหรับการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศกรณีเดินทางไปปฏิบัติภารกิจร่วมกับหัวหน้าคณะ ๑.๖ แก้ไขให้ผู้เดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราวสามารถเบิกค่าเครื่องแต่งตัวได้ทุก ๒ ปี นับจากปีที่ได้รับค่าเครื่องแต่งตัว ๑.๗ แก้ไขตำแหน่งข้าราชการในบัญชีหมายเลข ๒, ๓, ๖, ๗, ๘ และ ๑๐ ท้ายระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ (ร่างข้อ ๙) ทั้งนี้ ปรับเพิ่มอัตราเบี้ยเลี้ยงเดินทางในราชอาณาจักร (บัญชีหมายเลข ๒) และปรับอัตราค่าเช่าที่พักในราชอาณาจักร (บัญชีหมายเลข ๓) ให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เกี่ยวกับกรณีการเดินทางไปราชการเป็นหมู่คณะ โดยเฉพาะในการเดินทางไปราชการในต่างประเทศต้องพักแรมรวมกันสองคนต่อหนึ่งห้อง โดยให้เบิกค่าเช่าที่พักได้เท่าที่จ่ายจริงในอัตราค่าเช่าห้องพักคู่คนละไม่เกินร้อยละเจ็ดสิบของอัตราค่าเช่าห้องพักคนเดียว เนื่องจากโรงแรมในต่างประเทศส่วนใหญ่มีห้องพักขนาดเล็กและจัดห้องพักในลักษณะเตียงเดี่ยว โดยห้องพักซึ่งเป็นเตียงเดี่ยวสองเตียงมีจำนวนน้อยหรือแทบไม่มีเลย การกำหนดให้ข้าราชการดังกล่าวต้องพักรวมกันสองคนจะไม่สะดวกในทางปฏิบัติ นอกจากนี้ การกำหนดหลักเกณฑ์การเบิกเบี้ยเลี้ยงเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราวและค่าใช้จ่ายอื่น ควรปรับปรุงแก้ไขให้สามารถใช้บริการของเอกชนในการอำนวยความสะดวก เช่น จัดหายานพาหนะและที่พักให้แก่ข้าราชการที่เดินทางไปราชการในต่างประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาความเหมาะสมจำเป็นในการปรับปรุง แก้ไข กฎหมายในเรื่องนี้ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2593 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับการคว่ำบาตรสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (ขยายเวลาออกไปจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2554) | กต | 04/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๑๙๕๒ (ค.ศ. ๒๐๑๐) เกี่ยวกับการคว่ำบาตรสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก โดยขยายมาตรการคว่ำบาตรสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ออกไปจนถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ เพื่อสนับสนุนการเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติต่อไป โดยสอดคล้องกับกฎหมายภายในของไทย และแจ้งผลการดำเนินงานให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักข่าวกรองแห่งชาติและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการเพิ่มการตรวจสอบตู้สินค้าที่มีปลายทางหรือส่งมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกผ่านท่าเรือคลองเตย และท่าเรือแหลมฉบังของไทย เนื่องจากมีรายงานการลักลอบขนส่งอาวุธจากประเทศในเอเชียไปยังประเทศในแอฟริกาตะวันออก นอกจากนี้ ควรระมัดระวังและเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพและเสถียรภาพ รวมถึงการเสริมสร้างความร่วมมือและประสานงานในการแลกเปลี่ยนข่าวสารและการข่าวกรองกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในระดับภูมิภาคเกี่ยวกับกิจกรรมและความเคลื่อนไหวของบุคคลและกลุ่มบุคคลที่ปรากฏอยู่ตามข้อมติดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2594 | ผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ครั้งที่ 10/2553) | นร | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย)
ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยรายงานสรุปผลการประชุมของคณะ กรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๓ ซึ่งที่ประชุมได้มี มติเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑. ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และธนาคารออมสินเร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือให้ แก่ผู้ประสบภัยทุกรายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๓ และให้ ปภ. พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ การให้ความช่วยเหลือครัวเรือนที่ขอรับเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท สำหรับจังหวัดที่จะแจ้งจำนวนครัว เรือนเพิ่มเติมภายหลังวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ และหาก ปภ. พิจารณาเห็นว่าพื้นที่ใดมีข้อสงสัยในเรื่องความ ถูกต้องของข้อมูล ให้แจ้งคณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ (อปท.) เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป รวมทั้งให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสน เทศ (GISTDA) ช่วยตรวจสอบข้อมูลจากแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศประกอบการตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วย ๒. ให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรองแผนงาน/โครงการของ ส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาและพื้นฟูบูรณะภายหลังอุทกภัย โดยมีรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธาน คชอ. เป็นประธานอนุกรรมการ และให้ฝ่าย เลขานุการ คชอ. มีหนังสือเร่งรัดให้ส่วนราชการต่าง ๆ จัดทำรายละเอียดและแผนการดำเนินงานของแผนงาน/ โครงการ ส่งให้ คชอ. ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ เพื่อ คชอ. จะได้พิจารณากลั่นกรองและจัดลำดับความ สำคัญของแผนงาน/โครงการ เพื่อจัดทำเป็นแผนการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูภายหลังอุทกภัยในภาพรวมเสนอ คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. ให้สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) พิจารณากำหนดแนวทางการให้ความช่วย เหลือเกษตรกรที่สวนยางได้รับความเสียหายแต่ไม่เสียสภาพสวน เสนอให้ คชอ. พิจารณาในการประชุมครั้งต่อ ไป รวมทั้งสำรวจว่าจำนวนต้นยางที่ได้รับความเสียหายแต่ไม่เสียสภาพสวนมีจำนวนเท่าใด และจำนวนสวนยาง ที่อยู่ในเขตห้ามล่า ในอำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง มีจำนวนเท่าใด เพื่อรายงานให้ คชอ. ทราบด้วย ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อร้องเรียนของเกษตรกรชาวสวนทุเรียนในพื้นที่ที่ประสบอุทก ภัยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือในราคาต้นทุนของสวนทุเรียนที่สูงกว่าพืชอื่น ๆ เพื่อพิจารณาแนวทางการให้ ความช่วยเหลือที่เหมาะสมต่อไป รวมทั้งหากมีกรณีร้องเรียนในทำนองเดียวกันนี้อีก ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับ ไปพิจารณาเป็นรายกรณีไป ๕. ให้รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยประสานงานกับสำนัก เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อขอทราบรายละเอียดของประเภทสินค้า/สิ่งของ ที่รัฐบาลจีนจะให้ความช่วยเหลือ เพื่อ คชอ. จะได้พิจารณามอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ รับสิ่งของไปดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๖. ให้กระทรวงพาณิชย์ระงับการดำเนินการจัดทำข้าวสารบรรจุถุง ขนาด ๒๕ กิโลกรัม เพื่อแจกจ่าย ประชาชนผู้ประสบภัย ครอบครัวละ ๑ ถุง ไปก่อน ทั้งนี้ หากโครงการดังกล่าวบรรจุอยู่ในยุทธศาสตร์การ ระบายข้าวของรัฐบาลและการชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้ข้อยุติแล้ว จึง ค่อยเสนอโครงการให้ คชอ. เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2595 | รายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐเปรู และสหรัฐเม็กซิโก (ระหว่างวันที่ 21 - 30 กันยายน พ.ศ. 2553) | นร | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐเปรู และสหรัฐเม็กซิโก ระหว่างวันที่ ๒๑ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ ของผู้แทนการค้าไทย (นายวัชระ พรรณเชษฐ์) และคณะผู้แทนจากส่วนราชการ ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานส่งเสริมการลงทุน และภาคเอกชนไทย ได้แก่ หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาธุรกิจไทย-ลาตินอเมริกา กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร อุตสาหกรรมไหมไทย กลุ่มผู้ค้าอะไหล่วรจักร และกลุ่มเครื่องจักรและอุตสาหกรรมหนัก สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเยือนสาธารณรัฐเปรู ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๖ กันยายน ๒๕๕๓ ผู้แทนการค้าไทยและคณะได้เข้าพบและหารือข้อราชการกับผู้บริหารระดับสูงของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีข้อหารือเกี่ยวกับการยืนยันถึงเจตนารมณ์ในการกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี และส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ตลอดจนความร่วมมือต่าง ๆ โดยฝ่ายเปรูได้เชิญไทยไปลงทุนด้านประมงน้ำลึก อุตสาหกรรมการสกัดสารจากทรัพยากรทางทะเล อุตสาหกรรมเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมการเกษตร รวมทั้งการผลักดันให้กระบวนการแก้ไขพิธีสารเพื่อเร่งเปิดเสรีทางการค้าแล้วเสร็จโดยเร็ว โดยฝ่ายเปรูแสดงความสนใจและเสนอจัดทำความตกลงเพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านการศุลกากร (Agreement on Customs Cooperation) กับไทยเพื่อส่งเสริมและรองรับปริมาณการค้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ในส่วนของการหารือของภาคเอกชนได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างภาคเอกชนทั้งสองประเทศ ได้แก่ การลงนามบันทึกความเข้าใจของสภาธุรกิจไทย-ลาตินอเมริกากับสมาคมผู้ประกอบการค้าต่างประเทศเปรู (COMEXPERU) การลงนามบันทึกความเข้าใจของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับหอการค้าแห่งกรุงลิมา (Chamber of Commerce in Lima) การลงนามบันทึกความเข้าใจของสภาธุรกิจไทย-ลาตินอเมริกา กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารภายใต้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับบริษัท แม็คโคร ซุปเปอร์มายอริสต้า จำกัด (Makro Supermayorista S.A.) และการลงนามบันทึกความเข้าใจของกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กับบริษัท แม็คโคร ซุปเปอร์มายอริสต้า จำกัด (Makro Supermayorista S.A.) และบริษัท Perufarma จำกัด ๒. ผลการเยือนสหรัฐเม็กซิโก ระหว่างวันที่ ๒๖ - ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ ผู้แทนการค้าไทยและคณะได้เข้าพบและหารือข้อราชการกับผู้บริหารระดับสูงของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีข้อหารือเกี่ยวกับการพัฒนาการในภูมิภาคที่กลุ่มประเทศลาตินอเมริกาฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ๑๑ ประเทศในกรอบ Pacific Cast Initiative เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับภูมิภาคเอเชีย การเชิญไทยเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ การเสนอให้มีความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและช่วยเหลือด้านศุลกากรระหว่างกัน และการพัฒนาความร่วมมือเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและการอำนวยความสะดวกด้านศุลกากรกับประเทศคู่ค้าสำคัญของเม็กซิโก ในส่วนของการหารือของภาคเอกชนได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างภาคเอกชนทั้งสองประเทศ ได้แก่ การลงนามบันทึกความเข้าใจของหอการค้าไทยกับสภาหอการค้าแห่งชาติประจำเมืองเม็กซิโก (Mexico City National Chamber of Commerce) การลงนามบันทึกความเข้าใจของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับหอการค้าแห่งรัฐนูโวลีออน (Camara de la Industria de la Transformacion de Nuevo Leon : CAINTRA) การลงนามบันทึกความเข้าใจของสภาธุรกิจไทย - ลาตินอเมริกากับสภาธุรกิจเม็กซิโกด้านการค้าต่างประเทศ การลงทุน และเทคโนโลยี (COMCE) การลงนามบันทึกความเข้าใจของกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับบริษัท คูเม่ (KUME) ผู้นำเข้าอาหารชั้นนำของเม็กซิโก และการลงนามบันทึกความเข้าใจของกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมสปาลาติน (Asociacion Latinoamericana de Spa)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2596 | การแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบร้านสหกรณ์ | พณ | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบร้านสหกรณ์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานกรรมการ หัวหน้าหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ และอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นกรรมการและเลขานุการ รวมกรรมการทั้งสิ้น ๑๑ คน มีอำนาจหน้าที่กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบร้านสหกรณ์ และอำนาจหน้าที่อื่นอีก ๓ ประการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้เพิ่มผู้อำนวยการสำนักพัฒนาธุรกิจสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2597 | รายงานผลการเดินทางเยือนเอเชียใต้ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) (ระหว่างวันที่ 19 - 23 ธันวาคม 2553) | พณ | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอรายงานผลการเดินทางเยือนประเทศบังกลาเทศ อินเดีย และศรีลังกา ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุน และเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมทั้งผลักดันการเจรจา BIMSTEC FTA สรุปผลการเยือนได้ ดังนี้
๑. การเยือนบังกลาเทศ มีข้อหารือเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายการค้าระหว่างไทยกับบังกลาเทศเป็น ๑ พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ปัญหาอุปสรรคการค้าในการส่งออกไปบังกลาเทศ การรื้อฟื้นการประชุม JTC ที่ว่างเว้นมานาน ๒๑ ปี การผลักดันการจัดทำ BIMSTEC FTA เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิกภายในภูมิภาค การร่วมลงทุนและร่วมโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม โดยเฉพาะโครงการทางหลวงระยะทาง ๓๐๐ กิโลเมตรจากธากาถึงจิตตะกอง การร่วมมือกันพัฒนาระบบขนส่งที่เชื่อมโยงเอเชียใต้และอาเซียนเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะระบบคมนาคมทางถนนระหว่างอินเดีย-บังกลาเทศ-พม่า และไทย เพื่ออำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าให้มีความคล่องตัวและรวดเร็วขึ้น รวมทั้งความร่วมมือในการพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ทางบกระหว่างอินเดีย-บังกลาเทศ-พม่า-ไทย และทางน้ำในอ่าวเบงกอล ๒. การเยือนอินเดีย มีข้อหารือเกี่ยวกับการร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาสาขาก่อสร้างในอินเดีย เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองธุรกิจในรัฐต่าง ๆ การอำนวยความสะดวกการเข้ามาลงทุนของนักธุรกิจไทยในสาขาก่อสร้าง การพัฒนาความร่วมมือด้านระบบโลจิสติกส์การค้าระหว่างไทยกับอินเดีย ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ การกำหนดการประชุม BIMSTEC Business Forum และ BIMSTEC Economic Forum ที่ไทยมีกำหนดเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมทางบก ไทย-พม่า-อินเดีย ผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย รวมทั้งความร่วมมือเพื่อให้ภาคเอกชนไทยในสาขาก่อสร้างซึ่งมีศักยภาพสูงได้เข้าไปรับเหมางานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียซึ่งเป็นเขตพัฒนาพิเศษ ๓. การเยือนศรีลังกา มีข้อหารือเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายการค้าของไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้มากกว่า ๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การเร่งผลักดันการเจรจาจัดทำ BIMSTEC FTA เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว การเสนอให้มีการจัดการประชุม Sub-Committee on Trade Related Matters ครั้งที่ ๒ ที่ได้ว่างเว้นมาเป็นเวลา ๖ ปี การร่วมกันผลักดันความร่วมมือเชื่อมโยงโลจิสติกส์รอบอ่าวเบงกอล เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนในภูมิภาคให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการเชิญศรีลังกาเข้าร่วมการประชุม BIMSTEC Business Forum และ BIMSTEC Economic Forum ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และการหารือกับภาคเอกชนศรีลังกาเรื่องความร่วมมือระหว่างกันในสาขาใหม่ ๆ เช่น การก่อสร้าง อัญมณีและเครื่องประดับ ประมง เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2598 | ยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศในช่วงการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง พ.ศ. 2552 - 2561 | ศธ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศในช่วงการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๖๑ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปจัดทำแผนปฏิบัติการให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) สำนักงาน ก.พ.ร. และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เกี่ยวกับการปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาให้ใช้ไอซีทีมาเป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนเพิ่มมากขึ้น การเพิ่มศักยภาพบุคลากรครูในสถาบันการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง อบรม/พัฒนาทักษะด้านไอซีทีให้กับครู การพัฒนาทักษะและความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Literacy) และการรู้เท่าทันและใช้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสารอย่างสร้างสรรค์ (Information Literacy) ของประชาชนให้สามารถใช้ประโยชน์จากบริการบรอดแบนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกระตุ้นความสนใจและสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเป็นฐานในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กและเยาวชนในการเลือกสายวิทยาศาสตร์ ตลอดจนเลือกที่จะประกอบอาชีพนักวิจัยในอนาคต รวมทั้งการปรับแก้ไขกฎระเบียบและจัดทำมาตรการส่งเสริมให้มีการเคลื่อนย้าย (mobility) หรือแลกเปลี่ยนบุคลากรวิจัยระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อบุคลากรวิจัยได้พัฒนาศักยภาพของตนเองและเกิดเครือข่ายการวิจัยและพัฒนาที่เข้มแข็ง การจัดทำแผนกำลังคนเพื่อให้ใช้อัตรากำลังที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การผลิตและพัฒนากำลังคนด้านอาชีวศึกษาและพัฒนาสมรรถนะและขีดความสามารถของกำลังแรงงานโดยเน้นความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและสถานประกอบการเอกชนซึ่งเป็นผู้ใช้กำลังแรงงานส่วนใหญ่ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของธุรกิจได้อย่างแท้จริงและสอดคล้องกับการปรับบทบาทภารกิจของรัฐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า การผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศ ควรมีความชัดเจนทั้งในด้านจำนวนและกลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกับความต้องการในการพัฒนาประเทศ ทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชน โดยหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการบูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทยเข้าร่วมด้วย เพื่อให้สำนักงบประมาณสามารถใช้เป็นกรอบในการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้อย่างสอดคล้องเหมาะสมต่อไป โดยประเด็นการปฏิรูปการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการควรให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ควรครอบคลุมถึงทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษและการปรับเปลี่ยนทัศนคติและค่านิยมในการศึกษาสายอาชีวศึกษาของนักเรียนนักศึกษา เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2599 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการแทรกแซงตลาดข้าวของรัฐบาล | กษ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการแทรกแซงตลาดข้าวของรัฐบาล ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ๑.๑ กรณีข้าวที่ค้างอยู่ในโกดังกลางของรัฐบาล ซึ่งมีผลสืบเนื่องมาจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือก จำนวน ๕.๖๐๔ ล้านตัน ให้รัฐบาลออกคำสั่งให้กระทรวงพาณิชย์ กองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินโครงการรับจำนำเร่งรัดจัดทำรายงานการเงินและปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทุกโครงการเป็นรายโครงการให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปี ๑.๒ กรณีการสำรวจผลผลิตของครัวเรือนที่ทำประกันและข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกจริงอันเนื่องมาจากการดำเนินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ให้รัฐบาลมีมาตรการเสริมเพื่อป้องกันปัญหาการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ และผลผลิตเกินความเป็นจริงหรือเป็นเท็จ และเพื่อป้องกันปัญหาการทุจริตของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ๒.ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีประสานกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการระบายข้าวของรัฐบาลให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจปริมาณและคุณภาพของข้าวเปลือกตกค้าง (Stock) รวมตลอดถึงสถานะของบัญชีของทุกโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วรายงานต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔. กรณีที่ผลการศึกษาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีข้อมูลบ่งชี้ว่า อาจมีเจ้าหน้าที่ไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับการระบายข้าวเปลือกด้วย มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2600 | การปรับปรุงกรอบยุทธศาสตร์การระบายข้าวสารตามโครงการแทรกแซงของรัฐบาล (ครั้งที่ 12/2553) | พณ | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงกรอบยุทธศาสตร์การระบายข้าวสารตามโครงการแทรกแซงของรัฐบาล กรณีการเจรจาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๓ โดยกำหนดหลักการเพิ่มเติมในส่วนของเกณฑ์ราคาสำหรับกรณีเจรจาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐตามกรอบยุทธศาสตร์การระบายข้าวสารตามโครงการแทรกแซงของรัฐบาล ให้สามารถเจรจาขายข้าวได้ทั้งในเทอม FOB (Free on Board) และ CFR (Cost & Freight) เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการเจรจาให้บรรลุผลสำเร็จ สำหรับการขายข้าวในราคาแบบ CFR ให้ขายให้กับรัฐบาลต่างประเทศในกรณีที่เป็นความประสงค์ของผู้ซื้อ ทั้งนี้ การขออนุมัติขายให้แยกเป็นราคา FOB และค่าระวางเรือ (Freight) ให้เห็นชัดเจนเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจะส่งผลให้ราคาเทอม CFR สูงขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องประสานงานกันอย่างบูรณาการเพื่อให้ราคา CFR ของไทยสามารถแข่งขันด้านราคาได้ โดยเพิ่มปัจจัยด้านความแน่นอนในการได้รับสินค้าคุณภาพดี (guaranteed supply and quality) และในการบริหารจัดการของฝ่ายไทยควรดำเนินการอย่างรอบคอบและทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสถานการณ์การค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งการคัดเลือกผู้ประกอบการเข้ามาดำเนินการระวางและขนส่งสินค้าจะต้องรัดกุม ถี่ถ้วน และโปร่งใสเพื่อป้องกันช่องทางการทุจริตต่าง ๆ นอกจากนี้ ควรพิจารณาเลือกบริษัทเดินเรือที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในเส้นทางขนส่งสินค้า และควรเจรจาให้ประเทศผู้ซื้อทำประกันภัยการขนส่งสินค้าด้วย โดยอาจนำแนวทางที่ไทยเคยดำเนินการแบบ CFR แล้วในอดีต (คณะกรรมการจัดหาเรือขนส่งข้าวให้รัฐบาลต่างประเทศ แต่งตั้งเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๒๗) มาพิจารณาปรับปรุงและประกอบการพิจารณาในโอกาสนี้ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า การเจรจาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐในราคาเทอม CFR จะต้องไม่กระทบกับราคาข้าวที่พึงขายได้ในราคาเทอม FOB |
.....