ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 126 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2501 - 2520 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2501 | ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 5 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วงระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 18 | พณ | 12/07/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๕ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๕ - ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๕ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมฯ รับทราบผลการดำเนินการตามแผนงานการดำเนินการไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) รอบที่ ๑ (ช่วงปี ๒๕๕๑ - ๒๕๕๒) ซึ่งสามารถดำเนินการตามแผนได้ ๘๓.๘% (ไทยดำเนินการได้ ๙๓.๖๓%) ของมาตรการทั้งหมดที่ต้องดำเนินการในช่วงเวลาดังกล่าว และเห็นพ้องกันที่จะเร่งและขยายการดำเนินการและความร่วมมือในการลดช่องว่างระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกตามวัตถุประสงค์ของการสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยไทยได้ให้ความเห็นว่าการจัดตั้งและบริหารกองทุนเพื่อการพัฒนา SME ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว จะช่วยให้การดำเนินการในเรื่องการพัฒนาและเสริมสร้างขีดความสามารถของ SMEs เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้หารือเรื่องความผันผวนของราคาอาหารและพลังงาน รวมทั้งแนวโน้มของราคาสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งสร้างแรงกดดันให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยไทยได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การทำงานในเรื่องนี้ต้องประสานทำงานร่วมกับสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตรและการคลัง ซึ่งต่างต้องมีบทบาทหลักในการดำเนินการแก้ปัญหาร่วมกันด้วย ๒. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุม ASEAN - EU Business Summit ครั้งที่ ๑ และการประชุม AEM - EU Trade Commissioner Consultations ได้พบหารือกับกรรมาธิการด้านการค้าสหภาพยุโรป รวมทั้งหารือกับประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยมีประเด็นข้อหารือเกี่ยวกับอัตราภาษีสรรพสามิตและการจำแนกประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของกรมสรรพสามิตของไทย แนวทางดำเนินการไปสู่การเตรียมจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทยและสหภาพยุโรป การผลักดันการจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์สินค้าข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ของไทยในสหภาพยุโรป การส่งออกสินค้าอุปกรณ์ทางการเกษตร ข้าวหอมมะลิ แป้งข้าวเจ้า และแป้งข้าวเหนียวของไทยไปยังอินโดนีเซีย การยืนยันเส้นทางในส่วนของมาเลเซียที่เกี่ยวข้องกับพิธีสารฉบับที่ ๑ ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกการค้าผ่านแดน และการผลักดันการเจรจาระหว่างกระทรวงคมนาคมของไทยและมาเลเซียในเรื่องการจัดทำความตกลงสองฝ่ายฉบับใหม่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าผ่านแดน
|
|||||||||||||||||||||
2502 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคครั้งที่ 17 และการประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีการค้าและรัฐมนตรีที่กำกับดูแล SMEs | พณ | 12/07/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ ๑๗ และการประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีการค้าและรัฐมนตรีที่กำกับดูแล SMEs ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ณ เมืองบิ๊กสกาย มลรัฐมอนทานา สหรัฐอเมริกา ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ ๑๗ ที่ประชุมได้มีการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดมากขึ้นในภูมิภาค (REI) และร่วมกันกำหนดประเด็นทางการค้าการลงทุนมิติใหม่ของเอเปค (Next Generation Trade and Investment Issues) เพื่อเป็นแนวทางให้เขตเศรษฐกิจเอเปคปฏิบัติบนพื้นที่ฐานของการมุ่งสู่การจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย - แปซิฟิก รวมถึงการส่งเสริมการเจริญเติบโตสีเขียวอันเป็นประเด็นสำคัญที่หลายประเทศให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการดำเนินการเพื่อลดอุปสรรคทางการค้าสินค้าและบริการสิ่งแวดล้อม การต่อสู้ การค้าสินค้าที่ได้จากป่าอย่างผิดกฎหมาย การพิจารณายกเลิกการอุดหนุนพลังงานฟอสซิลที่ไม่มีประสิทธิภาพ และการอำนวยความสะดวกต่อการค้าสินค้าใช้แล้วที่ผ่านกระบวนการผลิตใหม่ (Remanufactured Products) สำหรับท่าทีของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นเจ้าภาพการประชุมได้พยายามผลักดันท่าทีในทุกเรื่องของสหรัฐฯ ที่นำเสนอในเวทีการเจรจาต่าง ๆ ทั้งการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระดับทวิภาคี และระดับภูมิภาค เช่น การเจรจา Trans - Pacific Economic Partnership Agreement (TPP) รวมทั้งการเจรจาในกรอบพหุภาคีมาไว้ในความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเปคโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ Green Growth และการประสานด้านกฎระเบียบ เช่น เรื่องสินค้าและบริการสิ่งแวดล้อม สินค้าที่ใช้แล้วที่ผ่านกระบวนการผลิตใหม่ สินค้าและบริการที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูง ประเด็นเรื่องการส่งเสริม SMEs เป็นต้น ๒. ผลการประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีการค้าและรัฐมนตรีที่กำกับดูแล SMEs ที่ประชุมมีมติเห็นชอบต่ออุปสรรคทางการค้าที่ SMEs เผชิญในการดำเนินธุรกิจที่เสนอโดยสหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วย ๙ สาเหตุหลัก คือ (๑) การขาดแหล่งเงินทุน/ความยากลำบากในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน (๒) การขาดศักยภาพในการหาช่องทางขยายการค้าข้ามพรมแดนและทำธุรกิจข้ามชาติ (๓) ความไม่โปร่งใสของบริบทการค้าสากล (๔) ต้นทุนส่วนเกินซึ่งเกิดจากการขนส่งและโลจิสติกส์ที่เกี่ยวเนื่อง (๕) ความล่าช้าในการปล่อยของที่ศุลกากรและความซับซ้อนของขั้นตอนพิธีการศุลกากรรวมถึงความซ้ำซ้อนของเอกสารต่าง ๆ (๖) ความสนับสนุนของกฎหมาย กฎระเบียบและข้อบังคับทางเทคนิคที่เกี่ยวข้อง (๗) การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (๘) การขาดกรอบการทำงานทางกฎระเบียบ และความไม่เพียงพอของนโยบายที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน และ (๙) ความยุ่งยากในการใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางภาษี (Preferential tariff rates) และความตกลงทางการค้าต่าง ๆ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ร่วมกันวางแนวทางการแก้ไขปัญหา/อุปสรรคเพื่อเสนอให้ที่ประชุมผู้นำเอเปคพิจารณาระหว่างการประชุมผู้นำเอเปคในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ มลรัฐฮาวาย สหรัฐฯ
|
|||||||||||||||||||||
2503 | การรับชำระหนี้ค่าข้าวจากรัฐบาลรัสเซีย | พณ | 12/07/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการรับชำระหนี้ค่าข้าวจากรัฐบาลรัสเซีย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พร้อมคณะได้เดินทางไปยังประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย เพื่อลงนามในพิธีสารความตกลงการชำระหนี้ค่าข้าวระหว่างไทยกับรัสเซีย ณ กรุงมอสโก โดยพิธีลงนามได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ซึ่งตามพิธีสารฯ สหพันธรัฐรัสเซียจะต้องชำระเงินให้แก่ฝ่ายไทย จำนวน ๓๖,๔๔๑,๗๓๑.๙๘ ดอลลาร์สหรัฐ ภายในวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ๒. กระทรวงพาณิชย์ได้รับแจ้งว่ารัฐบาลรัสเซียได้โอนเงินชำระหนี้ค่าข้าวให้กับประเทศไทยแล้ว จำนวน ๓๖,๔๔๑,๗๓๑.๙๘ ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๔ และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยได้คำนวณเงินที่ได้รับเป็นเงินบาทและโอนเงินให้กระทรวงพาณิชย์เป็นเงินสุทธิ จำนวน ๑,๑๐๗,๘๒๘,๕๕๒.๑๙ บาท ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศได้รับการโอนเงินดังกล่าวไว้แล้ว
|
|||||||||||||||||||||
2504 | ความคืบหน้าการจัดทำตารางข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ 8 ของไทยภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน | พณ | 28/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการจัดทำตารางข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๘ ของไทยภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศอยู่ระหว่างการจัดทำข้อผูกพันชุดที่ ๘ โดยจัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ สัมมนาเวทีสาธารณะ และหารือกลุ่มย่อย (focus group) เพื่อชี้แจงข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจรายสาขาบริการ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนำเสนอขอนโยบายจากคณะอนุกรรมการว่าด้วยการค้าบริการภายใต้คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ซึ่งผลจากการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ ภาคเอกชนด้านธุรกิจบริการได้แจ้งข้อกังวลเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการของภาครัฐเพื่อป้องกันการเข้ามาประกอบธุรกิจในไทยของผู้ประกอบการนอกภาคีหรือนอกอาเซียน ซึ่งคณะอนุกรรมการว่าด้วยการค้าบริการภายใต้ กนศ. มีมติให้จัดตั้งคณะทำงานโดยมีประธานคณะผู้แทนการค้าไทยเป็นประธานเพื่อดำเนินการกำหนดมาตรการที่เหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ในการพิจารณาสาขาบริการที่จะผูกพันลด/ยกเลิกข้อจำกัดผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ ๘ มีหลักเกณฑ์เบื้องต้นในการพิจารณาสาขาบริการที่จะต้องเปิดตลาดก่อน คือ
๑. เป็นสาขาบริการที่ไม่มีกฎหมายห้ามต่างชาติเข้ามาลงทุนหรือให้บริการในประเทศไทยเป็นสาขาบริการที่ได้มีการเปิดเสรีไปแล้วในความตกลงการค้าเสรี (FTA) กรอบอื่น ๆ ๒. เป็นสาขาที่ไทยอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาดำเนินการได้ภายใต้การอนุญาตของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ ของกระทรวงพาณิชย์ เช่น สาขาค้าส่งค้าปลีกสินค้าที่ผู้จำหน่ายเป็นผู้ผลิตเอง ๓. สาขาบริการอื่น ๆ ที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการลงทุน มีความต้องการด้านเทคโนโลยีและการพัฒนา รวมทั้งสาขาที่สร้างประโยชน์ต่อการค้า และเศรษฐกิจในภาพรวม เช่น สาขาคอมพิวเตอร์
|
|||||||||||||||||||||
2505 | รายงานการแก้ไขปัญหาด้านราคาไข่ไก่ และสถานการณ์ปัจจุบัน | พณ | 28/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการแก้ไขปัญหาด้านราคาไข่ไก่ และสถานการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีผลการดำเนินการ ดังนี้
๑. ออกประกาศสำนักงานคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (ฉบับที่ ๔) โดยปรับราคาขายปลีกไข่ไก่แนะนำลงฟองละ ๐.๑๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๔ โดยกำหนดราคาจำหน่ายปลีกไข่ไก่ในตลาดสดไม่เกินระดับราคาแนะนำ ดังนี้ ๑.๑ ไข่ไก่เบอร์ ๐ จำหน่ายไม่เกินฟองละ ๓.๗๐ บาท ๑.๒ ไข่ไก่เบอร์ ๑ จำหน่ายไม่เกินฟองละ ๓.๕๐ บาท ๑.๓ ไข่ไก่เบอร์ ๒ จำหน่ายไม่เกินฟองละ ๓.๔๐ บาท ๑.๔ ไข่ไก่เบอร์ ๓ จำหน่ายไม่เกินฟองละ ๓.๓๐ บาท ๑.๕ ไข่ไก่เบอร์ ๔ จำหน่ายไม่เกินฟองละ ๓.๒๐ บาท ๑.๖ ไข่ไก่เบอร์ ๕ จำหน่ายไม่เกินฟองละ ๓.๐๐ บาท ๒. สำหรับราคาไข่ไก่คละที่เกษตรกรขายได้หน้าฟาร์ม เนื่องจากผลผลิตส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ ๖๐ เป็นไข่ไก่ขนาดกลางและเล็ก ซึ่งเป็นผลผลิตของแม่ไก่ไข่ยืนกรงรุ่นใหม่ที่มาจากพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ที่นำเข้าตามมาตรการเปิดนำเข้าพันธุ์ไก่ไข่เสรีเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๓ ทำให้จำหน่ายได้ในราคาที่ต่ำกว่าราคาประกาศ (ฉบับที่ ๓ วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔) ฟองละ ๒.๙๐ บาท ซึ่งเป็นราคาไข่ไก่คละใหญ่ จึงได้มีการประสานกับองค์กรผู้เลี้ยงไก่ไข่และบริษัทผู้เลี้ยงไก่ไข่รายใหญ่เพื่อขอความร่วมมือปรับลดราคาไข่ไก่ลง ซึ่งได้รับความร่วมมือปรับลดราคาไข่ไก่คละที่เกษตรกรขายได้หน้าฟาร์มในแต่ละขนาด ดังนี้ ๒.๑ ไข่ไก่คละใหญ่ ฟองละ ๒.๘๐ บาท (ร้อยละ ๔๐ ของผลผลิต) ๒.๒ ไข่ไก่คละกลาง ฟองละ ๒.๕๐ - ๒.๖๐ บาท (ร้อยละ ๔๐ ของผลผลิต) ๒.๓ ไข่ไก่คละเล็ก ฟองละ ๒.๒๐ - ๒.๓๐ บาท (ร้อยละ ๒๐ ของผลผลิต)
|
|||||||||||||||||||||
2506 | ผลการเดินทางไปร่วมพิธีลงนามในพิธีสารความตกลงการชำระหนี้ค่าข้าวระหว่างไทยกับรัสเซีย ณ ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย | พณ | 28/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเดินทางไปร่วมพิธีลงนามในพิธีสารความตกลงการชำระหนี้ค่าข้าวระหว่างไทยกับรัสเซีย (Protocal to the Agreement between the Government of the Russian Federation and the Government of the Kingdom of Thailand on the settlement of the outstanding debts of the Russian Federation owed to the Kingdom of Thailand dated October 21, 2003) ณ ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤษภาคม - ๒ มิถุนายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และคณะได้พบหารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังสหพันธรัฐรัสเซียเพื่อลงนามร่วมในพิธีสารความตกลงฯ พร้อมทั้งได้แจ้งต่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังสหพันธรัฐรัสเซียว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มีนโยบายสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยเข้ามาทำธุรกิจในตลาดรัสเซียมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคสินค้าของชาวรัสเซีย และเพื่อแสวงหาทรัพยากรและวัตถุดิบที่มีจำนวนมากของรัสเซีย ๒. คณะผู้แทนไทยประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์และกรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) (นายคนิสร์ สุคนธมาน) ได้พบปะหารือกับรองกรรมการผู้จัดการ Vnesheconombank (Bank for Development and Foreign Economic) เกี่ยวกับการเตรียมการสำหรับชำระเงินจากรัฐบาลรัสเซียหลังจากการลงนามในพิธีสารฯ ตามที่ระบุในมาตรา ๓ ของร่างพิธีสารฯ ที่กำหนดให้ ธสน.เป็นตัวแทนฝ่ายไทย และ Vnesheconombank เป็นตัวแทนฝ่ายรัสเซียหาข้อสรุปในข้อแก้ไขความตกลงระหว่างธนาคารภายใน ๒๐ วันทำการนับแต่วันที่ได้มีการลงนามในพิธีสารฯ ซึ่งธนาคารทั้งสองได้จัดทำข้อแก้ไขความตกลงระหว่างธนาคาร เพื่อให้รัฐบาลรัสเซียสามารถชำระหนี้แก่รัฐบาลไทยได้ตามข้อตกลงตามพิธีสารฯ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2507 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มติสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ 1พ.ศ. 2554 เรื่อง ข้อเสนอการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ และเรื่อง รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ | นร | 28/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มติสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๔ เรื่อง ข้อเสนอการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ และเรื่อง รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีหน่วยงานให้ความเห็นใน ๔ ประเด็น สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่น สำนักงาน ก.พ.ร. กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่า ประเด็นการกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น โดยเฉพาะประเด็นการยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาค เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารราชการแผ่นดินโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ จึงควรมีการศึกษาผลกระทบจากข้อเสนอนี้ รวมทั้งให้มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมพิจารณาในเรื่องนี้ด้วย ส่วนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เห็นควรให้มีการกำหนดหน่วยงานเจ้าภาพเพื่อการบูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ๒. ประเด็นการปฏิรูปโครงสร้างการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้วไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอการยกเลิกแผนพัฒนาชายฝั่งทะเลทั่วทุกภาค ๓. ประเด็นศิลปวัฒนธรรมกับการสร้างสรรค์และเยียวยาสังคม สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) จะนำเรื่องการกำกับดูแลสื่อให้มีรายการเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมกับการสร้างสรรค์และเยียวยาสังคมอย่างน้อยร้อยละ ๒๕ ของการนำเสนอทั้งหมดไปประกอบการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลต่อไป ๔.ประเด็นการปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน กระทรวงคมนาคมเสนอให้เพิ่มผู้แทนจากกรมเจ้าท่าร่วมเป็นคณะกรรมการยกร่างพระราชบัญญัติโฉนดชุมชนด้วย |
|||||||||||||||||||||
2508 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 9/2554 (ครั้งที่ 14) | กษ | 28/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๙/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๔) เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธาน กนป. เสนอ โดยที่ประชุม กนป. มีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงาน ดำเนินการและนำเสนอที่ประชุม กนป. ในการประชุมครั้งต่อไป ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงพาณิชย์ศึกษาโครงสร้างราคาและการกำหนดราคาน้ำมันพืชปาล์มที่เหมาะสม และเป็นธรรมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาต้นทุนการผลิตปาล์มน้ำมัน ๑.๓ กระทรวงพลังงานกำหนดการใช้น้ำมันปาล์มในการผลิตไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นเพื่อดูดซับผลผลิตน้ำมันปาล์มส่วนเกินในปัจจุบัน ๒. เห็นชอบกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กนป. จำนวน ๑๐ ท่าน ได้แก่ นายกนก คติการ นาวาเอกสมัย ใจอินทร์ นายพลัฏฐ์ ฐิติณัฐชนน นายอเนก ลิ่มศรีวิไล นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ นายสัญญา ปานสวี นายสุคนธ์ เฉลิมพิพัฒน์ นายลือชา อุ่นยวง นายสมชาย ประชาบุตร และให้ฝ่ายเลขานุการ กนป. ดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2509 | ข้อมูลเตือนภัยสินค้าเกษตรประจำเดือน มิถุนายน 2554 | พณ | 28/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อมูลเตือนภัยสินค้าเกษตรประจำเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ โดยมีสินค้าที่อยู่ในกลุ่มที่ต้องดูแลและติดตามใกล้ชิด (monitor list) ๑๑ สินค้า ได้แก่ ข้าว ปาล์มน้ำมัน ไข่ไก่ สุกร ไก่เนื้อ มันสำปะหลัง สับปะรด และผลไม้ (ภาคตะวันออก : เงาะ ทุเรียน มังคุด ลองกอง) สินค้าที่ต้องมีการเฝ้าติดตามและประเมินสถานการณ์เพื่อการเตือนภัย (caution list) ๔ สินค้า ได้แก่ กุ้งขาวแวนนาไม มะนาว ลิ้นจี่ และปลาป่น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ในส่วนของราคาเนื้อสุกรที่จำหน่ายจริงในท้องตลาด ปัจจุบันยังคงมีราคาค่อนข้างสูงกว่าราคาตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เรื่อง ราคาสุกร เนื้อสุกรแนะนำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภค ดังนั้น จึงขอให้กระทรวงพาณิชย์เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อควบคุมราคาเนื้อสุกรให้เหมาะสม สอดคล้องกับราคาต้นทุนที่แท้จริงโดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||
2510 | การจัดซื้ออาหาร เครื่องบริโภคและวัสดุเพื่อการหุงหาอาหาร กระทรวงยุติธรรม | ยธ | 28/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการหารือร่วมระหว่างกระทรวงยุติธรรมกับผู้แทนจากองค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย องค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกี่ยวกับการจัดซื้ออาหาร เครื่องบริโภค และวัสดุเพื่อการหุงหาอาหาร ของกระทรวงยุติธรรม โดยจะทดลองจัดซื้อเนื้อสัตว์ประเภทหมูและไก่เป็นโครงการนำร่องด้วยวิธีกรณีพิเศษ ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ไปจนกว่าการเตรียมการประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์จะแล้วเสร็จ และคาดว่าจะสามารถดำเนินการวิธีดังกล่าวแล้วเสร็จได้ภายใน ๔๕ วัน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2511 | โครงการมหกรรมลดค่าครองชีพประชาชน | นร | 28/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักงบประมาณรับข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการจัดงานโครงการมหกรรมลดค่าครองชีพประชาชน ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๑๖๙,๔๒๐,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงพาณิชย์ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ยังไม่สามารถทำความตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ กับสำนักงบประมาณให้แล้วเสร็จได้ เนื่องจากการพิจารณาปรับลดวงเงินค่าใช้จ่ายในการจัดงานไปมากทำให้งบประมาณไม่เพียงพอ ในขณะที่กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดแนวทางว่าจะดำเนินการจัดงานนี้ทั้งในกรุงเทพมหานครและในส่วนภูมิภาคให้ทั่วถึงทุกจังหวัด ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปให้แล้วเสร็จ โดยให้ประสานงานในรายละเอียดกับกระทรวงพาณิชย์โดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||
2512 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 8/2554 (ครั้งที่ 13) | กษ | 20/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.)ครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๓) เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธาน กนป. เสนอ โดยที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้
๑. ให้คงมติ กนป. เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๔ ที่ให้โรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบที่กิโลกรัมละ ๓๖.๒๘ บาท และโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มรับซื้อผลปาล์มน้ำมันที่คุณภาพผลปาล์มน้ำมัน (อัตราน้ำมัน) ไม่ต่ำกว่า ๑๗% ในราคากิโลกรัมละ ๖.๐๐ บาท ณ หน้าโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ทั้งนี้ โดยภาครัฐจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันพืชปาล์มเพื่อการบริโภคในอัตราลิตรละ ๑.๗๙ บาท แก่โรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มปริมาณ ๔๐,๐๐๐ ตันต่อเดือน ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ถึง ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ โดยการชดเชยจะครอบคลุมการซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันพืชปาล์มในช่วงเวลาดังกล่าวในปริมาณที่สอดคล้องกันตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด สำหรับราคาจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์ม ยังคงราคาที่ ๔๗.๐๐ บาทต่อลิตร ๒. เพื่อให้มีการรับซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบราคาเดียวที่กิโลกรัมละ ๓๖.๒๘ บาท และราคารับซื้อผลปาล์มน้ำมันที่คุณภาพผลปาล์มน้ำมัน (อัตราน้ำมัน) ไม่ต่ำกว่า ๑๗% ในราคากิโลกรัมละ ๖.๐๐ บาท ณ หน้าโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ให้ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑. กระทรวงพาณิชย์ กำกับ ดูแล และตรวจสอบผู้ประกอบการไบโอดีเซลให้มีการซื้อขายตามราคาที่กำหนด พร้อมประสานผู้ผลิตและผู้ค้าน้ำมันให้มีการซื้อขาย B100 ในราคาที่สอดคล้องกับราคาน้ำมันปาล์มดิบ และให้มีการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบจากระบบกรณีที่ผลผลิตมีเกินความต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มที่ดำเนินการตามมติ กนป. และให้รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ กนป. ทราบในการประชุมครั้งต่อไป ๒.๒ กระทรวงพาณิชย์ กำกับ ดูแลให้มีการซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบราคาเดียว และหากพบว่ามีการซื้อขายไม่เป็นไปตามมติ กนป. ให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๒.๓ คณะอนุกรรมการตรวจสอบการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลนปี ๒๕๕๔ มีหน้าที่ตรวจการการดำเนินการให้เป็นไปตามมติ กนป. ๒.๔ ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้ตรวจสอบ กำกับ ดูแล การซื้อขายผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มดิบให้เป็นไปตามมติ กนป. ตามข้อ ๑ และรายงานผลการดำเนินการให้ กนป. ทราบทุก ๗ วัน ๒.๕ กรณีการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบของโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์จังหวัดชุมพร ให้รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบได้ในราคาหักค่าขนส่งกิโลกรัมละ ๐.๕๐ บาท แต่ทั้งนี้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มจะต้องรับซื้อผลปาล์มน้ำมันจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ ๖.๐๐ บาท ตามมติ กนป. ข้อ ๑ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณามาตรการที่ควรดำเนินการหลังสิ้นสุดการดำเนินการตามมติ กนป. ในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ โดยให้เสนอข้อเท็จจริง ประเด็นปัญหา และอุปสรรคที่เกิดขึ้น รวมทั้งให้เร่งรัดการจายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาน้ำมันพืชปาล์มกับต้นทุนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำตุ้นทุนการผลิตผลปาล์มน้ำมัน และนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป และให้ผู้แทนเกษตรกรนำ ข้อมูลต้นทุนการผลิตผลปาล์มน้ำมันมาพิจารณาร่วมกันในการประชุมครั้งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2513 | ราคาสินค้าเกษตร | นร | 20/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ปัจจุบันราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดเริ่มมีความผันผวนและส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรและผู้บริโภค จึงขอให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญชนิดต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนในสัปดาห์หน้า
|
|||||||||||||||||||||
2514 | สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค | นร | 14/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดตรวจสอบราคาขายปลีกเนื้อสุกร และดำเนินการให้เป็นไปตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการเรื่อง ราคาสุกร เนื้อสุกรแนะนำ ปี ๒๕๕๔ ของกระทรวงพาณิชย์ โดยเร็วต่อไป ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2515 | ความคืบหน้าการดำเนินการโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย | พณ | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๓ - ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ มีผู้ยื่นขอกู้จำนวน ๑,๔๕๗ ราย วงเงิน ๔,๔๓๒.๐๘ ล้านบาท ธนาคารอนุมัติสินเชื่อจำนวน ๑,๐๓๔ ราย วงเงิน ๒,๙๘๘.๘๗ ล้านบาท และมีการเบิกจ่ายเงินกู้จำนวน ๙๓๕ ราย วงเงิน ๒,๗๓๐.๐๘ ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากวงเงินสินเชื่อโครงการช่วยเหลือด้านการเงินฯ จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ที่ยื่นขอกู้ ส่งผลให้ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเป้าหมายที่เพิ่มเติมในกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรง ๒. ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ ได้พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรง พร้อมทั้งจัดสรรวงเงินที่เหลือ และได้มีมติให้กันวงเงินไว้สำหรับกลุ่มธุรกิจดังกล่าว จำนวน ๒๑๕ ล้านบาท และให้ฝ่ายเลขานุการ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติวงเงินสินเชื่อสำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจแฟรนไชส์ และธุรกิจขายตรง เพิ่มเติมอีกจำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ อนุมัติวงเงินสินเชื่อ (เพิ่มเติม) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2516 | สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค | นร | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ (ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอธิบดีกรมการค้าภายใน) รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ราคาสินค้าเกษตร ๑.๑.๑ ราคาพืชผักคาดว่าจะปรับตัวลดลง เนื่องจากมีผลผลิตออกสู่ตลาดปริมาณมาก ๑.๑.๒ ราคาขายปลีกเนื้อสุกรยังคงตรึงราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ ๑๒๕ - ๑๓๕ บาท ยกเว้นเนื้อสันนอก - สันใน และเนื้อแต่ง จะมีราคาสูงกว่าเล็กน้อย สำหรับราคาหน้าฟาร์มสุกรทั้งตัวอยู่ที่กิโลกรัมละประมาณ ๗๐ บาท ทั้งนี้ ในช่วงนี้ได้เน้นให้ชะลอการส่งออกไว้ก่อน ๑.๑.๓ ราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มอยู่ที่กิโลกรัมละ ๒.๙๐ บาท โดยคิดจากราคาต้นทุนการผลิตที่ ๒.๒๐ บาท ๑.๑.๔ ราคาเนื้อไก่มีการขยับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมีปริมาณการส่งออกมาก โดยราคาไก่หน้าฟาร์มอยู่ที่กิโลกรัมละ ๕๕ บาท ส่วนราคาขายปลีกเนื้อไก่ ไก่สดทั้งตัว (ไม่รวมเครื่องใน) อยู่ที่กิโลกรัมละ ๗๔ - ๗๕ บาท ๑.๒ ราคาสินค้าอุปกรณ์บริโภค ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีการแจ้งขอปรับราคาสินค้า รวม ๑๑ รายการ โดยกรมการค้าภายในได้เห็นชอบปรับราคาไปแล้วตามต้นทุนวัตถุดิบสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น จำนวน ๔ รายการ ได้แก่ น้ำมันปาล์ม น้ำมันพืชถั่วเหลือง นมสด และปุ๋ยเคมี สำหรับสินค้าที่ส่อแววว่าอาจจะมีปัญหา คือ เหล็ก สายไฟฟ้า (ราคาทองแดงสูงขึ้น) และแบตเตอรี่ (ราคาตะกั่วสูงขึ้น) ทั้งนี้ สถานการณ์ภาพรวมของราคาสินค้าภายในประเทศ โดยเฉลี่ยอยู่ในเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดไว้ โดยในเดือนมกราคม - เมษายน ๒๕๕๔ ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index - CPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๒๕ ๒. คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ๒.๑ เนื่องจากขณะนี้หลายฝ่ายยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับราคาน้ำมันปาล์มว่ารัฐบาลสั่งให้ตรึงราคาจำหน่ายไว้ที่ขวดลิตรละ ๔๗ บาท กระทรวงพาณิชย์จึงควรเร่งทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงกันว่าราคาดังกล่าวนั้นเป็นเพียงราคาเพดานสูงสุดเท่านั้น ราคาจำหน่ายจริงต้องเป็นไปตามภาวะตลาดและต้นทุนการผลิต ซึ่งในขณะนี้มีแนวโน้มลดลงโดยลำดับ จึงควรติดตามและกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการพิจารณาปรับลดราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์มให้ลดลงจากปัจจุบัน ๒.๒ ในส่วนของราคาสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะไข่ไก่ เนื้อหมู และลูกไก่ ราคาจำหน่ายในปัจจุบันยังคงมีราคาค่อนข้างสูงกว่าที่ควรจะเป็น กระทรวงพาณิชย์จึงควรเร่งตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงและประสานงานกับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาปรับลดราคาสินค้าดังกล่าวให้เหมาะสม สอดคล้องกับราคาต้นทุนที่แท้จริงของสินค้าแต่ละประเภท แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
2517 | โครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรและโครงการเงินกู้ให้เกษตรกรจัดหาปุ๋ยของ ธ.ก.ส. | นร | 10/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมเรื่อง โครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรและโครงการเงินกู้ให้เกษตรกรจัดหาปุ๋ยของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (นัดพิเศษ) เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวและมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กำหนดราคาปุ๋ยเคมี ๖ สูตร (สูตร ๔๖ - ๐ - ๐ สูตร ๑๖ - ๒๐ - ๐ สูตร ๑๖ - ๘ - ๘ สูตร ๑๖ - ๑๖ - ๘ สูตร ๑๘ - ๑๒ - ๖ และสูตร ๑๕ - ๑๕ - ๑๕) โดยมีราคาในแต่ละสูตรเป็นขั้นต่ำ - ขั้นสูง ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ โดยให้ยืนราคาดังกล่าวเป็นเวลา ๓ เดือน หากราคาปุ๋ยเคมีในตลาดโลกมีความผันผวนแตกต่างไปจากที่เสนอเป็นมูลค่า ? ๑,๐๐๐ บาท/ตัน ก็ให้มีการพิจารณาราคาปุ๋ยเคมีดังกล่าวอีกครั้ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ควบคุมราคาขายปุ๋ยในแต่ละสูตรของผู้ประกอบการแต่ละรายให้เป็นตามข้อเท็จจริงของต้นทุนและสต็อกปุ๋ยที่มีอยู่ และให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาตินำประเด็นการปรับราคาปุ๋ยเคมีดังกล่าวไปพิจารณาทบทวนการกำหนดราคาประกันตามโครงการประกันรายได้เพื่อให้สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริงของเกษตรกรด้วย ๒. เห็นชอบให้ปรับปรุงชื่อ “โครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร” เป็น “โครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร” ๓. เห็นชอบแนวทางการชดเชยส่วนต่างของราคาปุ๋ยเคมีให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร โดยครอบคลุมถึงพืชเกษตร ได้แก่ ข้าวนาปี ข้าวโพด และมันสำปะหลัง ในอัตรากิโลกรัมละ ๑.๕๐ บาท (ตันละ ๑,๕๐๐ บาท) โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเป็นเกษตรกรตามโครงการประกันรายได้กับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยจะได้รับการชดเชยตามจำนวนพื้นที่เพาะปลูกที่มีสิทธิตามโครงการประกันรายได้และตามปริมาณปุ๋ยเคมีต่อไร่ที่เท่ากันทุกภาค ตามที่คณะกรรมการปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรพิจารณากำหนด ๔. อนุมัติกรอบวงเงินในการดำเนินโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ในวงเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ ๓,๙๐๑ ล้านบาท ประกอบด้วย วงเงินชดเชยส่วนต่างราคาปุ๋ยเคมี วงเงินจำนวนประมาณ ๓,๔๕๐ ล้านบาท วงเงินชดเชยต้นทุนเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวนประมาณ ๑๑๕ ล้านบาท (อัตรา FDR+1) วงเงินค่าอำนวยการสินเชื่อของ ธ.ก.ส. จำนวน ๔๘ ล้านบาท และวงเงินค่าดำเนินโครงการ (ค่าอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เจ้าหน้าที่และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ) เป็นเงินรวมประมาณ ๒๘๘ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องและเป็นไปตามจำนวนเงินที่จ่ายจริงต่อไป โดยในส่วนของวงเงินค่าอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เจ้าหน้าที่และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวนเงิน ๒๘๘ ล้านบาท นั้น ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๕. เห็นชอบให้ดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อการจัดหาปุ๋ยเคมีของเกษตรกร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2518 | โครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร และเรื่อง โครงการเงินกู้ให้เกษตรกรจัดหาปุ๋ยของ ธ.ก.ส. (นัดพิเศษ) | นร | 06/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กำหนดราคาปุ๋ยเคมี ๖ สูตร (สูตร ๔๖ - ๐ - ๐ สูตร ๑๖ - ๒๐ - ๐ สูตร ๑๖ - ๘ - ๘ สูตร ๑๖ - ๑๖ - ๘ สูตร ๑๘ - ๑๒ - ๖ และสูตร ๑๕ - ๑๕ - ๑๕) โดยมีราคาในแต่ละสูตรเป็นขั้นต่ำ - ขั้นสูง ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ โดยให้ยืนราคาดังกล่าวเป็นเวลา ๓ เดือน หากราคาปุ๋ยเคมีในตลาดโลกมีความผันผวนแตกต่างไปจากที่เสนอเป็นมูลค่า ? ๑,๐๐๐ บาท/ตัน ก็ให้มีการพิจารณาราคาปุ๋ยเคมีดังกล่าวอีกครั้ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ควบคุมราคาขายปุ๋ยในแต่ละสูตรของผู้ประกอบการแต่ละรายให้เป็นตามข้อเท็จจริงของต้นทุนและสต็อกปุ๋ยที่มีอยู่ และให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาตินำประเด็นการปรับราคาปุ๋ยเคมีดังกล่าวไปพิจารณาทบทวนการกำหนดราคาประกันตามโครงการประกันรายได้เพื่อให้สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริงของเกษตรกรด้วย ๒. เห็นชอบให้ปรับปรุงชื่อ “โครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร” เป็น “โครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร” ๓. เห็นชอบแนวทางการชดเชยส่วนต่างของราคาปุ๋ยเคมีให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร โดยครอบคลุมถึงพืชเกษตร ได้แก่ ข้าวนาปี ข้าวโพด และมันสำปะหลัง ในอัตรากิโลกรัมละ ๑.๕๐ บาท (ตันละ ๑,๕๐๐ บาท) โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเป็นเกษตรกรตามโครงการประกันรายได้กับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยจะได้รับการชดเชยตามจำนวนพื้นที่เพาะปลูกที่มีสิทธิตามโครงการประกันรายได้และตามปริมาณปุ๋ยเคมีต่อไร่ที่เท่ากันทุกภาค ตามที่คณะกรรมการปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรพิจารณากำหนด ๔. อนุมัติกรอบวงเงินในการดำเนินโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ในวงเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ ๓,๙๐๑ ล้านบาท ประกอบด้วย วงเงินชดเชยส่วนต่างราคาปุ๋ยเคมี วงเงินจำนวนประมาณ ๓,๔๕๐ ล้านบาท วงเงินชดเชยต้นทุนเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวนประมาณ ๑๑๕ ล้านบาท (อัตรา FDR+1) วงเงินค่าอำนวยการสินเชื่อของ ธ.ก.ส. จำนวน ๔๘ ล้านบาท และวงเงินค่าดำเนินโครงการ (ค่าอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เจ้าหน้าที่และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ) เป็นเงินรวมประมาณ ๒๘๘ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องและเป็นไปตามจำนวนเงินที่จ่ายจริงต่อไป โดยในส่วนของวงเงินค่าอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เจ้าหน้าที่และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวนเงิน ๒๘๘ ล้านบาท นั้น ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๕. เห็นชอบให้ดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อการจัดหาปุ๋ยเคมีของเกษตรกร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ |
|||||||||||||||||||||
2519 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2554 (ครั้งที่ 12) | กษ | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๒) เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๔ เกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลนและราคาผลปาล์มของเกษตรกร ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธาน กนป. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เพิ่มเติมวิธีการปฏิบัติในการดำเนินการรับซื้อผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มดิบตามมติ กนป. เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๔ ดังนี้ ๑.๑ ให้โรงงานกลั่นน้ำมันปาล์ม และโรงงานผลิตไบโอดีเซล รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มในราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ ๓๖.๒๘ บาท และให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มต้องรับซื้อผลปาล์มน้ำมันไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ ๖.๐๐ บาท ณ หน้าโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ที่คุณภาพผลปาล์มน้ำมัน (อัตราน้ำมัน) ไม่ต่ำกว่า ๑๗% โดยรัฐชดเชยส่วนต่างของราคาจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์มเพื่อการบริโภคทั้งชนิดบรรจุ ขวด ถุง และปี๊บ กับต้นทุนการผลิตในอัตราลิตรละ ๑.๗๙ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ให้โรงงานกลั่นน้ำมันปาล์ม ปริมาณ ๔๐,๐๐๐ ตันน้ำมันปาล์มดิบต่อเดือน ทั้งนี้ ไม่นับรวมน้ำมันพืชปาล์มที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม ๑.๒ ให้ลานเทต้องติดป้ายแสดงราคารับซื้อผลปาล์มน้ำมันที่คุณภาพผลปาล์มน้ำมัน (อัตราน้ำมัน) ไม่ต่ำกว่า ๑๗% สำหรับราคารับซื้อผลปาล์มน้ำมันให้เป็นไปตามกลไกตลาด และสอดคล้องกับราคาผลปาล์มน้ำมัน ณ หน้าโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ทั้งนี้ ห้ามมิให้ลานเทกระทำการใด ๆ อันมีผลให้ผลปาล์มน้ำมันเสื่อมคุณภาพ หากตรวจสอบพบการกระทำผิดให้คณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกร อันเนื่องมาจากผลิตผลทางการเกษตร ระดับจังหวัด ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ให้คณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกร อันเนื่องมาจากผลิตผลทางการเกษตร ระดับจังหวัด กำกับ ดูแลให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ลานเท ปฏิบัติตามมติ กนป. ในการรับซื้อผลปาล์มน้ำมันจากเกษตรกร หากมีการกระทำผิดให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด ๑.๔ กรณีที่โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบได้ในราคาต่ำกว่ากิโลกรัมละ ๓๖.๒๘ บาท ให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มแจ้งสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เพื่อประสานกระทรวงพลังงานเพื่อแจ้งโรงงานผลิตไบโอดีเซลเข้ารับซื้อ หากตรวจพบว่าโรงงานผลิตไบโอดีเซลไม่ดำเนินการตามมติ กนป. ในการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ ให้กระทรวงพลังงานพิจารณาเรื่องสิทธิการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของน้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของน้ำมันไบโอดีเซลจากโรงงานผลิตไบโอดีเซลดังกล่าว ๑.๕ ให้กระทรวงพลังงาน และโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์ม หาแนวทางในการรับซื้อสเตียริน เพื่อผลิตไบโอดีเซล และรายงาน กนป. ในการประชุมครั้งต่อไป ๑.๖ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดดำเนินการจ่ายเงินชดเชยแก่โรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มในการแก้ไขปัญหาน้ำมันพืชปาล์มขาดแคลน (ฝาสีชมพู) วงเงิน ๑๖๔.๔๗ ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่โรงงาน โดยเอกสารหลักฐานให้ครอบคลุมถึงเอกสารการรับซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบที่มีการรับรองความถูกต้องของเอกสารหลักฐานอย่างชัดเจน ยกเว้นกรณีที่โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม และโรงงานกลั่นปาล์มน้ำมัน เป็นบุคคลเดียวกัน ให้ใช้หลักฐานการซื้อผลปาล์มน้ำมันประกอบการรับเงินชดเชย ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิใน กนป. ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ เรื่อง คุณสมบัติของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ วิธีการคัดเลือก และให้คณะกรรมการโดยตำแหน่งเสนอรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิให้ฝ่ายเลขานุการ กนป. ทราบภายในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||
2520 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3/2554 (เพิ่มเติม) | นร | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ (เพิ่มเติม) เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติคณะกรรมการ กรอ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยไตรมาส ๑/๒๕๕๔ และทิศทางในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเสนอ พร้อมทั้งให้หน่วยงานรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามข้อเสนอแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ได้แก่ การเร่งแก้ไขข้อขัดแย้งในการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวในการเดินทางเข้าถึงและการเดินทางภายในพื้นที่ท่องเที่ยว การศึกษาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการท่องเที่ยวของไทยเพื่อนำไปสู่ “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ (High Value Tourism)” โดยใช้ตลาดนำ (Market - led) การจัดทำ “บัญชีประชาชาติด้านการท่องเที่ยว (Tourism Satellite Account : TSA)” ให้ครอบคลุมสาขาสำคัญ ๆ ด้านการท่องเที่ยว การปรับกลยุทธ์ทางการท่องเที่ยวทั้งในระดับภาพรวมและระดับพื้นที่ให้มีจุดขายที่ชัดเจนและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการท่องเที่ยวที่เหมาะสม การเร่งกระบวนการทำงานของรัฐเพื่อรองรับการเปิดเสรีอาเซียนด้านการท่องเที่ยวให้มีความเป็นบูรณาการมากขึ้นในระดับปฏิบัติ และเร่งรัดการถ่ายโอนอำนาจการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานด้านการท่องเที่ยวให้องค์กรภาคเอกชน ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำยุทธศาสตร์ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยทั้ง ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในแนวทางการสร้างคุณค่าด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างครบวงจร และสามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมให้อยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างยั่งยืน ยุทธศาสตร์การพัฒนาการดำเนินธุรกิจในรูปแบบคลัสเตอร์ ยุทธศาสตร์มาตรการเชิงรุกสำหรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และการเตรียมความพร้อมสำหรับเขตการค้าเสรี ยุทธศาสตร์การสนับสนุนปัจจัยเอื้อต่อการประกอบอุตสาหกรรม และยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สู่ความยั่งยืนของอุตสาหกรรม ไปพิจารณาประกอบการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชนในการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของยุทธศาสตร์และแนวทางที่ต้องดำเนินการให้ชัดเจน รวมทั้งพิจารณาเสนอแนะรูปแบบกลไกในการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน ๓. รับทราบความคืบหน้าการพิจารณาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างในเขตจังหวัดที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งออกตามความในพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้เร่งนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในสัปดาห์หน้า ๔. รับทราบผลการสัมมนาเรื่อง “การจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยโดย IMD” ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของที่ประชุมไปพิจารณาวิเคราะห์การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยให้มีความชัดเจนมากขึ้น ๕. รับทราบผลการจัดงาน “Thailand Focus 2011 - Enhancing Thailand’s Competitiveness Through the Next Decade” ตามที่สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับเรื่องการเจรจากับประเทศจีนเพื่อดำเนินการจัดทำ MOU ระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ของจีนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ของไทย เพื่อส่งเสริมให้ผู้ลงทุนจีนมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
.....