ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 129 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2561 - 2580 จากข้อมูลทั้งหมด 6665 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2561 | สรุปผลการประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกอย่างไม่เป็นทางการ (วันที่ 29 มกราคม 2554) | พณ | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปผลการประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก (WTO) อย่างไม่เป็นทางการ ที่จัดขึ้นโดยรัฐบาลสวิส เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๔ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสรุปผลการเจรจารอบโดฮาให้ได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพราะประเทศสมาชิก WTO อาจพลาดโอกาสที่จะได้รับผลประโยชน์จากรอบโดฮา โดยรัฐมนตรีที่เข้าร่วมประชุมมีความเห็นร่วมกันว่าควรจะต้องเร่งหาข้อยุติเกี่ยวกับรูปแบบการเปิดตลาด และการปรับปรุงกฎเกณฑ์ทางการค้าต่าง ๆ ที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ให้เสร็จภายในเดือนเมษายนเป็นอย่างช้า เพื่อให้สมาชิกได้เริ่มจัดทำร่างตารางข้อผูกพันในเรื่องต่าง ๆ ได้ภายในสิ้นกรกฎาคมและเริ่มเจรจาปรับปรุงระดับการเปิดตลาดและตรวจสอบร่างตารางข้อผูกพันให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และเห็นว่าการเพิ่มระดับการเปิดตลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการผลักดันให้การเจรจาสามารถสรุปผลได้ โดยพยายามทำความเข้าใจในประเด็นที่แต่ละประเทศมีความอ่อนไหว และพร้อมที่จะเข้าร่วมการเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันอย่างเป็นรูปธรรม ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยได้กล่าวถ้อยแถลงโดยสรุปคือ ไทยพร้อมให้ความยืดหยุ่นในการเจรจารอบโดฮา เพื่อให้การเจรจาสามารถสรุปผลได้ โดยได้สั่งการให้ผู้เจรจาเพิ่มความพยายามในการเจรจาและเข้าไปมีส่วนร่วมในการเจรจาอย่างสร้างสรรค์ พร้อมทั้งได้เสนอให้สมาชิกเร่งรัดให้การเจรจาดำเนินไปโดยเร็ว โดยสมาคมควรจะต้องยุติการกล่าวถ้อยแถลงที่ยังคงยึดติดกับท่าทีเดิม และหันมาเจรจาอย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งได้เรียกร้องให้สมาชิกเร่งยื่นข้อเสนอในการเปิดตลาดของตนโดยเร็ว เพื่อให้แต่ละประเทศสามารถประเมินผลได้เสียของการเจรจา และเปิดโอกาสให้มีการเจรจาแลกเปลี่ยนการเปิดตลาดระหว่างกัน หรือที่เรียกว่า Request - Offer ได้โดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
2562 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2554 | นร | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของคณะกรรมการ กรอ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบตามมติคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ และส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพารา ที่เห็นว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นในการแก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ แต่เห็นควรให้มีแนวทาง/มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้ยางพารา เพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพารา และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) ดำเนินการตามแนวทาง/มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้ยางพารา ตามมติคณะทำงานร่วมฯ และแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการต่ออายุใบอนุญาตอุตสาหกรรมไม้ทุกประเภท (รวมถึงไม้ยางพารา) ที่ได้ปรับปรุงแล้วเสร็จ ไปปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันทั่วประเทศ และให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม้รับทราบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการต่ออายุใบอนุญาตดังกล่าว และนำไปปฏิบัติต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) เร่งรัดการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขยายระยะเวลาการจัดทำบัญชีไม้ การกำหนดค่ามาตรฐานในการแปลงค่าน้ำหนักเป็นปริมาตรเพื่อประกอบการจัดทำบัญชีไม้ และปรับปรุงการออกและต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานแปรรูปไม้ยางพารา ๑.๒ รับทราบผลการศึกษาการยกเลิกอัตราการนำเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยให้คงอัตราการนำเงินเข้ากองทุนฯ ๕ บาท ต่อกิโลกรัมจนกว่ากองทุนฯ จะชำระหนี้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย) แล้วเสร็จ รวมทั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรมศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ เห็นชอบตามข้อเสนอบทบาทการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย และให้ สศช. ประสานกับภาคเอกชนเพื่อพิจารณาในรายละเอียดการดำเนินงานต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อรับความเห็นของคณะกรรมการ กรอ. ไปพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เต็มตามศักยภาพ รวมทั้งการพัฒนาระบบข้อมูลการตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้าให้เป็นมาตรฐานสากล และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการใช้ประโยชน์และข้อเสนอด้านงบประมาณในการจัดพิมพ์บัตร ตม.๖ ให้เพียงพอ รวมทั้งการปรับปรุงกฎกระทรวงเพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบหนังสือเดินทางล่วงหน้าด้วย ๑.๕ รับทราบรายงานผลการศึกษาเบื้องต้นศักยภาพในการรองรับอุตสาหกรรมของพื้นที่มาบตาพุด และให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยทำหนังสือพร้อมหลักฐานการส่งข้อมูลแผนแม่บทการใช้ประโยชน์ที่ดินและการพัฒนาบนพื้นที่ถมทะเลให้กับคณะกรรมการ ๔ ฝ่าย (ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และนักวิชาการ) ด้วย ๑.๖ รับทราบผลการดำเนินการของกรมศุลกากร ตามมติคณะกรรมการ กรอ. ครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ แนวทางแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้าวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งนี้ ในเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้าวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่ประชุมได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นประธานการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหานำเข้าสินค้าวัตถุอันตรายตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการกำหนดหน่วยงานที่เป็น Contact Point ให้ชัดเจน โดยให้ สศช. ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ แล้วนำเสนอคณะกรรมการ กรอ. พิจารณาต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ กรณีการขอผ่อนปรนกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว หากผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นว่ามีประเด็นใดที่ต้องมีการทบทวนหรือปรับปรุงแก้ไข ก็ควรระบุให้ชัดเจน เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปปฏิบัติให้ถูกต้องตรงกันต่อไป ๒.๒ การใช้ประโยชน์จากข้อตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Economic Partnership Agreement : EPA) เนื่องจากปัจจุบันยังมีการใช้ประโยชน์จากความตกลงดังกล่าวค่อนข้างน้อย เช่น ความตกลงการค้าไทย - นิวซีแลนด์ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - อินเดีย เป็นต้น ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหาแนวทางเพื่อกระตุ้นให้นักลงทุนใช้ประโยชน์ของความตกลงการค้าและลงทุนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งควรขยายกรอบของความตกลงการค้าเพื่อให้สามารถขยายขอบเขตการลงทุน ฐานการผลิตในประเทศ และการส่งออก ให้มากยิ่งขึ้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2563 | การจัดทำแนวปฏิบัติการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร | พณ | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญโดยสรุปคือ ๑.๑ กำหนดให้มีคณะกรรมการการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นกรรมการและเลขานุการ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ รวมทั้งให้มีคณะอนุกรรมการการประกันรายได้เกษตรกรระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานอนุกรรมการ และให้มีสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ โดยกรมการค้าภายใน ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ และเป็นศูนย์กลางประสานงาน ๑.๒ กำหนดแนวทางดำเนินการประกันรายได้เกษตรกรในการพิจารณากำหนดชนิดของสินค้าเกษตรที่จะใช้มาตรการประกันรายได้เกษตรกร ๑.๓ กำหนดให้การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง และภายใน ๑๒๐ วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณทุกปี ให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงิน จัดทำงบการเงินส่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ ๑.๔ กำหนดให้การดำเนินการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว หรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ และวิธีการเดิมจนแล้วเสร็จต่อไปได้ และให้ถือว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับการกำหนดให้กรมส่งเสริมการเกษตรทำหน้าที่เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ประกันรายได้ การทำประชาคม และการออกหนังสือรับรองฯ แต่โดยที่คู่มือการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจได้กำหนดหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรครอบคลุมถึงการทำประชาคมและการออกหนังสือรับรองแล้ว จึงสมควรตัดการทำหน้าที่ “การทำประชาคม” และ “การออกหนังสือรับรอง” ในร่างระเบียบฯ ออก และความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเพิ่มผู้แทนกระทรวงการคลังและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓ เห็นชอบคู่มือการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ และคู่มือการจัดทำสัญญาประกันรายได้ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2564 | รายงานผลการจัดกิจกรรม "ความร่วมมือทางด้านธุรกิจลาว - ไทย เพื่อก้าวไปเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 1" (The 1st LAOS THAI Business - Cooperation To AEC) | พณ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการจัดกิจกรรม "ความร่วมมือทางด้านธุรกิจลาว - ไทย เพื่อก้าวไปเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๑" (The 1st LAOS THAI Business - Cooperation To AEC) ระหว่างวันที่ ๒๖ - ๓๐ มกราคม ๒๕๕๔ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว สรุปสาระสำคัญผลการจัดกิจกรรม ได้ดังนี้
๑. งานแสดงสินค้า Lao - Thai Trade Exhibition มีผู้ประกอบการเข้าร่วมแสดงสินค้ารวม ๒๙๖ คูหา แบ่งเป็นผู้ประกอบการไทยจากส่วนกลาง ๑๗๒ คูหา ผู้ประกอบการจาก ๒๓ จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ๖๔ คูหา และผู้ประกอบการ สปป.ลาว ๕๐ คูหา มีผู้เยี่ยมชมงานรวม ๔๖๙,๘๒๓ คน มียอดสั่งซื้อทันทีทั้งสิ้น ๑๔,๕๐๒,๓๐๐ บาท และมียอดสั่งซื้อภายใน ๑ ปี ๖๐,๐๗๒,๓๐๐ บาท ๒. งานจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) มีผู้ประกอบการไทยทั้งจากส่วนกลางและจังหวัดในเขตตะวันออกเฉียงเหนือเข้าร่วมเจรจาธุรกิจจำนวน ๗๕ ราย โดยสาขาที่มีศักยภาพและมีโอกาสที่จะร่วมมือทางธุรกิจสูง ได้แก่ เครื่องจักรที่ใช้ในโรงสี และสำหรับทำปุ๋ย ในการนี้ผลของการเจรจาจับธุรกิจครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลให้เกิดการทำธุรกิจร่วมกันทั้งรูปแบบของการสั่งซื้อสินค้า ได้แก่ สินค้า OTOP การเกษตร และวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง ตลอดจนการลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ และการบริหารทางด้านโลจิสติกส์ โรงพยาบาล และการท่องเที่ยว ซึ่งโดยรวมแล้วคาดว่าจะสร้างมูลค่าทางการค้าระหว่างไทย - สปป.ลาว ในระยะ ๕ ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ ต่อปี ๓. การประชุมระหว่างภาคเอกชนไทยกับภาคเอกชน สปป.ลาว เพื่อปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทบทวนความสัมพันธ์ ตลอดจนร่วมกันเสนอโครงการความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ๖ กลุ่ม ได้แก่ การค้า การลงทุน การเกษตร โลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ระหว่างไทยกับ สปป.ลาว รวมทั้งการติดตามผลการดำเนินงานของโครงการความร่วมมือทางด้านธุรกิจลาว - ไทย เพื่อก้าวไปเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๑ และการจัดตั้งคณะทำงานโครงการความร่วมมือทางด้านธุรกิจลาว - ไทย เพื่อก้าวไปเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๖ สาขา เพื่อติดตามผลความคืบหน้าของโครงการต่าง ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2565 | รายงานผลการเดินทางโลจิสติกส์การค้าสัญจร ครั้งที่ 1/2554 เยือนจังหวัดระนอง และประจวบคีรีขันธ์ | พณ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการเดินทางสำรวจเส้นทางโลจิสติกส์ตามโครงการโลจิสติกส์การค้าสัญจร ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ ณ จังหวัดระนอง และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ของคณะกรรมการโลจิสติกส์การค้า ระหว่างวันที่ ๗ - ๘ มกราคม ๒๕๕๔ โดยคณะกรรมการฯ และผู้แทนระดับสูงจากกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ รวมทั้งผู้แทนหอการค้า และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ได้มอบนโยบายการพัฒนาโลจิสติกส์ของไทยจะต้องพัฒนาในลักษณะการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transportation) โดยใช้ประโยชน์จากข้อตกลงทางการค้า (FTA) ต่าง ๆ และจะพยายามดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเชื่อมประเทศในเอเชียใต้ กับกลุ่มประเทศ BIMSTEC และ IMT - GT โดยการผลักดันการสร้างเส้นทางเชื่อมโยง (Land Bridge) เชื่อมฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน ระหว่างจังหวัดระนอง - ชุมพร และประจวบคีรีขันธ์ และเป็นการเชื่อมโยงการขนส่งและการขนถ่ายสินค้าระหว่างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) สู่กลุ่มประเทศ IMT - GT, BIMSTEC, ยุโรป, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา รวมทั้งผลักดันการใช้ท่าเรือคู่แผด ท่าเรือระนอง - ท่าเรือประจวบ เพื่อเชื่อมฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน และการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดระนองในลักษณะเดียวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อส่งเสริมการลงทุนให้กับผู้ประกอบการใช้เป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาค ๒. การพัฒนาท่าเรือและผลักดันให้มีเรือรับขนส่งสินค้าที่จะให้บริการขนส่งสินค้าทั้งในอ่าวไทยและในอ่าวเบงกอล กระทรวงพาณิชย์จะได้หารือกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย ผู้บริหารท่าเรือเอกชน และบริษัทเรือทั้งของไทยและในภูมิภาค โดยมอบหมายให้รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายราเชนทร์ พจนสุนทร) เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการโดยจะหารือกับฝ่ายไทยก่อนที่จะเดินทางหารือกับผู้บริหารท่าเรือในภูมิภาค เช่น จิตตะกอง ย่างกุ้ง ปีนัง และเชนไน เป็นต้น ๓. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้เสนอยกระดับด่านสิงขรเป็นด่านถาวรผ่านกระทรวงมหาดไทยไปยังสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งสภาความมั่นคงแห่งชาติได้เห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และได้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศประสานการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - พม่า (JBC) เพื่อการจัดทำการสำรวจเขตแดนร่วมกันโดยเร่งประสานกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า โดยได้ตั้งเป้าหมายให้สามารถเปิดด่านสิงขรเป็นด่านถาวรได้ภายในปีนี้ ซึ่งจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้เตรียมความพร้อมวางแผนพัฒนาบริเวณด่านสิงขรเพื่อรองรับการพัฒนาการค้าชายแดนที่จะเกิดขึ้นโดยมีแผนงานพัฒนาพื้นที่เฉพาะด่านสิงขร นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ได้กำหนดเส้นทางการค้าสำหรับประตูตะวันตก ๖ ประตู ได้แก่ แม่ฮ่องสอน - เนปิดอร์ (พม่า), เชียงราย - ยูนนาน (จีน), ตาก (แม่สอด) - เมียวดี - ทามู (พม่า) - มอเร่ (รัฐมณีปุระ อินเดีย), กาญจนบุรี (พุน้ำร้อน) - ทวาย, ประจวบคีรีขันธ์ (สิงขร) - มูด่อง (พม่า) - มะริด และ ระนอง - เกาะสอง - ย่างกุ้ง (พม่า) -BIMSTEC
|
|||||||||||||||||||||||||||
2566 | การลงนามในความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย | พณ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. ความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการประติบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง การปกป้องสิทธิในด้านทรัพย์สินทางปัญญา การส่งเสริมและอำนวยความสะดวก เพื่อเสริมสร้างการค้า และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้า รวมทั้งข้อยกเว้นทั่วไปและข้อจำกัดในการใช้มาตรการปกป้องดุลการชำระเงิน และการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้า ๒. นำเสนอความตกลงฯ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๓. เมื่อรัฐสภาเห็นชอบความตกลงฯ แล้ว ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สามารถลงนามในความตกลงฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีได้ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ และหลังจากลงนามแล้ว ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งผลการรับรองผูกพันความตกลงฯ ต่อประเทศอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2567 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า แทนตำแหน่งที่ว่าง (นายบุญมา เตชะวณิช) | พณ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายบุญมา เตชะวณิช ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า แทนพลตำรวจเอก ชาญชิต เพียรเลิศ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ มีนาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2568 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) (นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์) | พณ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2569 | การกำหนดมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปี 2553/54 และการชดเชยรายได้เกษตรกรโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 ช่วงวันที่ 1 - 7 มีนาคม 2553 | พณ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบ หลักเกณฑ์ และวิธีดำเนินการมาตรการโครงการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปี ๒๕๕๓/๕๔ โดยให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับการดำเนินการในปี ๒๕๕๒/๒๕๕๓ ซึ่งมีโครงการที่เสนอขอความเห็นชอบ ๕ โครงการ ได้แก่ โครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๓/๕๔ โครงการจัดตลาดนัดข้าวเปลือก โครงการเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าว โครงการรับฝากข้าวเปลือกในยุ้งฉางเกษตรกรเพื่อรอการจำหน่าย ปีการผลิต ๒๕๕๓/๕๔ และโครงการผลักดันการส่งออกข้าว ปี ๒๕๕๔ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นที่จะต้องขอใช้งบประมาณให้ดำเนินการเสนอ กขช. เป็นกรณีไป ๒. อนุมัติการชดเชยรายได้เกษตรกรโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๒/๕๓ ช่วงวันที่ ๑ - ๗ มีนาคม ๒๕๕๓ โดยให้ปรับเปลี่ยนการคำนวณเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้ฯ จากเดิมที่ใช้ราคาเฉลี่ยย้อนหลัง ๑๕ วัน เป็นการใช้ราคาเฉลี่ยย้อนหลัง ๗ วันแทน และให้จ่ายเงินชดเชยเพิ่มเติมให้เกษตรกรที่ใช้สิทธิในช่วงดังกล่าวเฉพาะข้าวเปลือกเจ้า ๕% ปริมาณข้าวเปลือก ๒๓,๐๐๐ ตัน เป็นเงินจำนวน ๒.๗๐ ล้านบาท |
|||||||||||||||||||||||||||
2570 | การบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำมันพืชขาดแคลน | พณ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานความคืบหน้าการดำเนินการบริหารการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบแยกไข (Crude Palm Olein : CPO) ตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) สรุปได้ ดังนี้
๑. การบริหารการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบแยกไข ๓๐,๐๐๐ ตัน ตามมติ กนป. เมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๔ ผลการดำเนินการ องค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้จัดซื้อน้ำมันปาล์มดิบแยกไขจากมาเลเซียในวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔ ในราคา CIF กก.ละ ๓๙.๕๗ บาท (๑,๒๘๙ USD/ตัน อัตราแลกเปลี่ยน ๓๐.๗๐ บาท/USD) ซึ่งสูงกว่าต้นทุนที่ใช้คำนวณราคาขายปลีก (กก.ละ ๓๖.๕๑ บาท) โดยขอให้ผู้ประกอบการรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น กก.ละ ๓ บาท (๓๙.๕๗ - ๓๖.๕๑ บาท) เป็นเงินประมาณ ๙๐ ล้านบาท และจากที่ อคส. ได้จัดสรรน้ำมันปาล์มให้สมาชิกโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม จำนวน ๑๐ ราย ผลิตบรรจุขวดฝาจุกสีฟ้า (กรณีบรรจุถุงให้ขายลิตรละ ๔๕ บาท) และกรมการค้าภายในได้กำหนดช่องทางการจำหน่ายผ่านช่องทางห้างค้าปลีกร้อยละ ๖๕ ผ่านโชวห่วย (ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว) ร้อยละ ๒๐ และผ่านสำนักงานการค้าภายในจังหวัดร้อยละ ๑๕ โดยมีการกระจายจำหน่ายครั้งแรกในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ นั้น ได้มีการปรับแผนการจำหน่ายน้ำมันปาล์มที่เหลือประมาณ ๙.๖ ล้านลิตร โดยกระจายผ่านห้างค้าปลีกค้าส่งร้อยละ ๔๐ ตลาดสดในความส่งเสริมของกรมกาค้าภายในและแหล่งชุมชนร้อยละ ๒๐ และผ่านสำนักงานการค้าภายในจังหวัดทั่วประเทศเพื่อจำหน่าย ณ ศาลากลางจังหวัดและแหล่งชุมชน ร้อยละ ๔๐ ๒. การบริหารการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบแยกไข ๓๐,๐๐๐ ตัน ตามมติ กนป. เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ผลการดำเนินการ อคส. ได้จัดซื้อน้ำมันปาล์มดิบแยกไขจากมาเลเซีย ๓๐,๐๐๐ ตัน ในราคา CIF ๑,๒๕๘ USD/ตัน อัตราแลกเปลี่ยน ๓๐.๗๒ บาท/USD ส่งมอบวันที่ ๓ และ ๗ มีนาคม ๒๕๕๔ ซึ่งจากการที่ราคานำเข้าลดลง ทำให้จำนวนเงินชดเชยลดลงเหลือประมาณลิตรละ ๓ บาท จากจำนวนการนำเข้าดังกล่าวจะผลิตน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เพื่อบริโภคประมาณ ๒๒.๖๐ ล้านลิตร ซึ่งเมื่อนำเข้าแล้วจะเร่งให้เข้าสู่กระบวนการผลิตน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เพื่อบริโภคโดยเร็วต่อไป สำหรับการผลิตและการจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์มงวดที่ ๒ กรมการค้าภายในได้หารือกับสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันพืชปาล์ม และการกระจายจำหน่าย โดยเห็นควรให้ผลิตน้ำมันพืชทั้งชนิดขวด ถุง ปี๊บ ที่ภาชนะบรรจุมีสัญลักษณ์สีชมพู โดยให้โรงกลั่นน้ำมันปาล์มที่ผลิตน้ำมันพืชปาล์ม (สีฟ้า) เสร็จสิ้นแล้ว ให้เริ่มผลิตน้ำมันพืชปาล์ม (สีชมพู) ต่อไปได้ทันที โดยให้นำน้ำมันปาล์มดิบในสต็อกมาผลิตก่อน เพื่อจะออกสู่ตลาดได้ครั้งแรกในวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ส่วนภาคอุตสาหกรรมให้จำหน่ายไปตามช่องทางการค้าปกติที่ปฏิบัติอยู่
|
|||||||||||||||||||||||||||
2571 | รายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (ระหว่างวันที่ 1 - 31 ตุลาคม 2553) | พณ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ตามที่ได้รับรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างวันที่ ๑ - ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ สามารถจับกุมได้ ๒๘๓ คดี ยึดของกลางได้ ๘๐,๑๖๔ ชิ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
2572 | รายงานผลการเดินทางคณะผู้แทนการค้านำโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางพรทิวา นาคาศัย) เดินทางไปเจรจาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า ณ สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ระหว่างวันที่ 19 - 24 มกราคม 2554) | พณ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการเดินทางของคณะผู้แทนการค้านำโดยรัฐมนตรีว่ากากระทรวงพาณิชย์ (นางพรทิวา นาคาศัย) เพื่อเจรจาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า ณ สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเจรจากับสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ในเบื้องต้นฝ่ายบังกลาเทศได้แสดงความสนใจซื้อข้าวนึ่งจากไทยในปริมาณ ๒๐๐,๐๐๐ ตัน รวมทั้งจัดทำสัญญาระยะยาวเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงด้านอาหารของบังกลาเทศ เนื่องจากบังกลาเทศมีความจำเป็นต้องนำเข้าข้าวเฉลี่ยปีละ ๑ ล้านตัน ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอการซื้อขายข้าวในรูปแบบ CIF - LO (Liner out) หรือ FOB รวมทั้งการชำระเงินโดยการเปิด L/C เงินสดขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ โดยจะมอบหมายให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้เจรจาในนามของรัฐบาลไทย สำหรับการเจรจาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ ทั้งสองฝ่ายเห็นควรมีการขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศเป็น ๑,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ในการนี้ฝ่ายบังกลาเทศขอให้ไทยทบทวนรายการสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษี ๒๒๙ รายการที่ไทยได้ให้สิทธิการยกเว้นภาษีในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๗ - ๒๕๕๑ ให้มีผลอีกครั้ง ส่วนไทยได้เสนอให้มีการรื้อฟื้นการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทยบังกลาเทศ (Joint Trade Committee : JTC) หลังจากที่ได้ว่างเว้นมานานถึง ๒๑ ปี เพื่อเป็นเวทีในการหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูล ส่งเสริมความสัมพันธ์ และแก้ไขปัญหาอุปสรรคด้านการค้าการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งขอให้บังกลาเทศสนับสนุนการลงทุนของบริษัทไทยในสาขาอื่น ๆ ซึ่งฝ่ายบังกลาเทศแสดงความยินดีที่บริษัท อิตาเลียนไทยเดเวลอปเมนท์ จำกัด ที่เข้ามารับงานก่อสร้างสะพานและทางด่วนในกรุงธากา ๒. ผลการเจรจากับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฝ่ายไทยขอให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นำเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ไทยมีศักยภาพ และให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนของคณะผู้แทนทางการค้าทั้งภาครัฐและเอกชนระหว่างสองประเทศมากขึ้นเพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งสนับสนุนให้นักลงทุนของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น สำหรับการหารือในเรื่องความร่วมมือด้านการค้าข้าว ฝ่ายไทยขอให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สนับสนุนภาคเอกชนนำเข้าข้าวจากไทยมากขึ้นโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิไทยและข้าวนึ่ง ซึ่งฝ่ายสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้เสนอให้ฝ่ายไทยพิจารณาการลงทุนร่วมกับกลุ่ม Jumeriah Group ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในการก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าข้าว (Rice Distribution Center) ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ ยังได้หารือกับผู้นำเข้าข้าวในตะวันออกกลาง (Platinum Corporation) ซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกา เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์การค้าข้าวโลก และแนวทางการผลักดันการส่งออกข้าวไทยไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ บริษัท Platinum Corporation ส่งออกข้าวนึ่งไปยังประเทศในแอฟริกาประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ ตัน โดยนำเข้าข้าวนึ่งจากไทยในสัดส่วนร้อยละ ๗๐ จากปริมาณข้าวนึ่งที่นำเข้าทั้งหมด และมีแผนการที่จะเพิ่มปริมาณการนำเข้าข้าวขาวจากไทยเนื่องจากมีแผนงานขยายตลาดข้าวขาวในกลุ่มประเทศลูกค้า
|
|||||||||||||||||||||||||||
2573 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาต และการต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทำ ประกอบ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนลักษณะอาวุธ พ.ศ. .... | กห | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทำ ประกอบ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนลักษณะอาวุธ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทำ ประกอบ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนลักษณะอาวุธ ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนด ๑.๒ กำหนดให้การขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาต และการขอรับใบแทนใบอนุญาตและการออกใบแทนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทำ ประกอบ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนลักษณะอาวุธ ให้ยื่นคำขอต่อกรมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ตามแบบและระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งกำหนดวิธีพิจารณาและตรวจสอบในเรื่องคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอเอกสาร และหลักฐานต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาต หากเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ ไม่ต้องการให้คนต่างด้าวประกอบกิจการโรงานทำ ประกอบ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนลักษณะอาวุธ ควรแก้ไขคุณสมบัติ ดังนี้ “มีบุคคลซึ่งไม่ใช่คนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวถือหุ้นมากกว่ากึ่งหนึ่งของคนต่างด้าวของนิติบุคคลนั้น และมีสิทธิออกเสียงรวมกันไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสิทธิออกเสียงทั้งหมด” และควรพิจารณากระบวนการควบคุมผู้ได้รับใบอนุญาตและผู้บริหารโรงงานให้ดำเนินการเป็นไปอย่างเข้มงวดรัดกุมและตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหากระทบต่อความมั่นคงในอนาคต ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปศึกษาว่าในกรณีที่กระทรวงกลาโหมจะประกอบอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยการจัดตั้งโรงงานผลิตอาวุธจะสามารถดำเนินการหรือมีแนวทางในการดำเนินการได้หรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้ อาจเปรียบเทียบกับกฎหมายของต่างประเทศเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย แล้วแจ้งผลการศึกษาและคำแนะนำให้กระทรวงกลาโหมเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2574 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 1/2554 | นร | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔ ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ รวม ๓ เรื่อง ได้แก่ รายงานโลจิสติกส์ของประเทศไทยประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ การเตรียมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับประเทศเพื่อนบ้าน และการศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับธุรกิจบริการจัดส่งด่วน (Express Delivery Service : EDS) ๒. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการ กบส. รวม ๒ เรื่อง ดังนี้ ๒.๑ การเตรียมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๒.๑.๑ เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของไทยเกี่ยวกับเตรียมความพร้อมของการสร้างความเชื่อมโยงกับพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกเมืองทวาย โดยการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วนเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินการโครงการดังกล่าวในระดับประเทศอย่างมีเอกภาพ ยึดหลักความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือที่ดีระหว่างภาครัฐและเอกชน (Strategic Partnership) รวมทั้งพัฒนาระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ สิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้าการลงทุน และพื้นที่เศรษฐกิจ โดยในระยะเร่งด่วน มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเตรียมความพร้อมของด่านศุลกากรที่บ้านพุน้ำร้อนและหาข้อยุติในประเด็นเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยและสหภาพพม่าโดยเร็ว ๒.๑.๒ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจฝั่งตะวันตกกับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้คณะกรรมการ กบส. ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยเพิ่มเติมผู้แทนจากกระทรวงศึกษาธิการเข้าร่วมเป็นอนุกรรมการ ทั้งนี้ ให้คณะอนุกรรมการฯ ทำหน้าที่กำหนดกรอบทิศทาง ยุทธศาสตร์ แผนการพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ สิ่งอำนวยความสะดวก และการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ทวายกับพื้นที่อุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลตะวันออกของไทย ๒.๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ ในการพิจารณาศึกษาทบทวนรูปแบบการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอันดามันที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพพื้นที่และปริมาณการขนส่งสินค้าที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่ ๒.๒ การศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับธุรกิจบริการจัดส่งด่วน (Express Delivery Service : EDS) ที่ประชุมมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาโครงสร้างธุรกิจ EDS และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง สภาพการแข่งขันในภาพรวม กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และประเมินผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีในสาขาบริการดังกล่าว เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดท่าทีการเจรจาและนโยบายการเปิดเสรีภาคบริการของประเทศไทยในอนาคต ทั้งนี้ ให้รายงานผลการศึกษาดังกล่าวเสนอคณะกรรมการ กบส. พิจารณาภายใน ๖ เดือน
|
|||||||||||||||||||||||||||
2575 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสนับสนุนการสร้างความปรองดอง | สสป | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อใช้เป็นแนวทางในการสนับสนุนการสร้างความปรองดอง ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง องค์การสวนยาง กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ และสภาที่ปรึกษาฯ เกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการปลูกยางพาราต้องถึงเกษตรกรที่ยากจนโดยตรง ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๒๑ ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๐ ๒. ตรวจสอบคุณภาพกล้ายางให้ตรงสายพันธุ์ ๓. สนับสนุนเงินและปัจจัยการผลิตไม่น้อยกว่าไร่ละ ๑๑,๐๐๐ บาท ในระยะเวลา ๗ ปี จนเปิดกรีดยาง ซึ่งจะให้ผลผลิตเฉลี่ย ๓๐๐ กิโลกรัม/ไร่/ปี จะทำรายได้เฉลี่ย ๑๕,๖๐๐ บาท/ไร่/ปี (ประมาณการรายได้ถึงปีที่ ๑๐ กรณีที่ราคายางกิโลกรัมละ ๘๐ บาท) ๔. สนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ในการปลูกและแปรรูปยางพาราร่วมกัน และส่งเสริมให้เกษตรกรเรียนรู้วิธีการเพาะพันธุ์กล้ายางเพื่อให้เกษตรกรมีอาชีพเสริม โดยให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินงานโดยบูรณาการทำงานร่วมกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
2576 | มาตรการและการบริหารจัดการน้ำมันปาล์มนำเข้า | พณ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้เพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ รับเรื่อง มาตรการและการบริหารจัดการน้ำมันปาล์มนำเข้า ไปพิจารณาในคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติโดยด่วน ในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เข้าร่วมประชุมด้วยเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับนโยบายการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มอย่างเป็นระบบและครบวงจร รวมถึงแนวทางการดำเนินการรองรับผลกระทบในด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากปัญหาสถานการณ์ขาดแคลนน้ำมันปาล์ม แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้นำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2577 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 08/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ( ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ดังนี้
๑. เพิ่มเติมให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นรองประธานกรรมการคนที่ ๒ เนื่องจากมีภารกิจรับผิดชอบด้านกิจการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศในภาพรวม ๒. เพิ่มเติมกรรมการโดยตำแหน่งอีกห้าตำแหน่ง คือ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และปลัดกรุงเทพมหานคร เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามภารกิจที่เกี่ยวข้องของแต่ละหน่วยงาน ๓. เพิ่มเติมให้ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคนที่ ๒
|
|||||||||||||||||||||||||||
2578 | ขอความเห็นชอบแผนพัฒนาศักยภาพที่ยั่งยืนในประเทศไทยในเรื่อง WHO Pre-qualification Scheme และแผนองค์รวมของการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการวิจัยพัฒนาและการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ | สธ | 08/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของแผนพัฒนาศักยภาพที่ยั่งยืนในประเทศไทยในเรื่อง WHO Pre-qualification Scheme และแผนองค์รวมของการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการวิจัยพัฒนาและการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างศักยภาพของประเทศและพัฒนาไปสู่โรงงานที่ได้มาตรฐานสากล เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ และสามารถขยายศักยภาพให้เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในอนาคต โดยแผนพัฒนาศักยภาพที่ยั่งยืนในประเทศไทยในเรื่อง WHO Pre-qualification Scheme มีระยะเวลาดำเนินการทั้งสิ้น ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๖๓) ประกอบด้วยโครงการ/แผนงานทั้งหมด ๑๖ โครงการ/แผนงาน ส่วนแผนองค์รวมของการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการวิจัยพัฒนาและการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ มีระยะเวลาดำเนินการทั้งสิ้น ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๐) โดยมีการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการวิจัยพัฒนาและการผลิตวัคซีนไข้หวัดในองค์รวม ๕ ด้าน เพื่อนำไปสู่โรงงานที่ได้มาตรฐาน WHO Pre-qualificaiton Scheme ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการอนุมัติให้องค์การเภสัชใช้เงินงบประมาณที่มาจากรายได้ของตนเอง และการอนุมัติจัดสรรเงินงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐสำหรับแผนพัฒนาศักยภาพที่ยั่งยืนในประเทศไทยในเรื่อง WHO Pre-qualification Scheme และแผนองค์รวมของการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการวิจัยพัฒนาและการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ จะต้องไม่รวมงบประมาณที่องค์การเภสัชกรรมและหน่วยงานภาครัฐได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการไปแล้ว และให้มีการติดตาม ประเมินผล และทบทวนแผนการดำเนินงานซึ่งมีระยะเวลา ๑๐ ปี เป็นระยะ ๆ เพื่อให้สามารถปรับแผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายเงินให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินงานดังกล่าวเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการ นอกจากนี้ ควรเพิ่มเติมแผนงานเฉพาะในเรื่องการวิเคราะห์อุปสงค์ของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ภายใต้แผนองค์รวมของการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการวิจัยและพัฒนาและการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพื่อบูรณาการการผลิตวัคซีนให้เกิดประสิทธิภาพ รวมทั้งประสานความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศเพื่อหากลุ่มประเทศคู่ค้าเพื่อรองรับตลาดในอนาคตและเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาศักยภาพที่ยั่งยืนในประเทศในเรื่อง WHO Pre-qualification Scheme และมีมาตรการควบคุมราคายาที่ผลิตได้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมทั้งทบทวนแผนงบประมาณเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการที่ซ้ำซ้อน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. เห็นชอบให้องค์การเภสัชกรรมใช้งบประมาณซึ่งได้มาจากรายได้ขององค์การเภสัชกรรมเอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๖๓ เป็นเงิน ๒,๒๑๖ ล้านบาท สำหรับแผนพัฒนาศักยภาพที่ยั่งยืนในประเทศไทยในเรื่อง WHO Pre-qualification Scheme และตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ เป็นเงิน ๑๓๕.๑๕ ล้านบาท สำหรับแผนองค์รวมของการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการวิจัยพัฒนาและการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ |
|||||||||||||||||||||||||||
2579 | การแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวถูกหลอกลวงในประเทศไทย | กต | 08/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวถูกหลอกลวงในประเทศไทย โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) เป็นประธานกรรมการ รวมทั้งอนุมัติองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะกรรมการฯ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ตรวจสอบคุณสมบัติ องค์ประกอบ อำนาจหน้าที่แล้วมีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) พิจารณาปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้เพิ่มองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ จำนวน ๒ ราย คือ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นกรรมการ และผู้กำกับการ ๑ กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ตามความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
|
|||||||||||||||||||||||||||
2580 | มาตรการแก้ปัญหาการขาดแคลนผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มดิบ | กษ | 08/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้นำเข้าน้ำมันปาล์มดิบแยกไข (Crude Palm Olein) ปริมาณ ๑๒๐,๐๐๐ ตัน โดยนำเข้าให้แล้วเสร็จสิ้นภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ๒. ให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้าและจัดสรรให้สมาชิกสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์บริหารจัดการการนำเข้าน้ำมันปาล์ม ติดตามและรายงานผลการนำเข้าให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติทราบทุก ๑๕ วัน
|
.....