ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 2 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 39 จากข้อมูลทั้งหมด 39 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | ผลการพิจารณา ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ รวม 11 ญัตติ | กษ. | 09/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณา ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
รวม ๑๑ ญัตติ ซึ่งได้พิจารณารวมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑. สินค้าข้าว มีมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกปีการผลิต
๒๕๖๖/๖๗ เช่น โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี
และโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร
(คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร) ๒. สินค้ามันสำปะหลัง
มีมาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังปี ๒๕๖๖/๖๗ เช่น โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกมันสำปะหลัง
โดยสนับสนุนดอกเบี้ยแก่ผู้ประกอบการ ลานมัน โรงแป้ง
โรงงานเอทานอลที่กู้ยืมเงินจากธนาคาร เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการรับซื้อมันสำปะหลัง
โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร
โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกรใช้เป็นเงินทุนในการรับซื้อหัวมันสำปะหลังสด
มันเส้นจากเกษตรกร และ/หรือสถาบันเกษตรกรที่มีสมาชิกประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก ๓. สินค้าอ้อย มีกระทรวงอุตสาหกรรม
(สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย)
เป็นหน่วยงานกำกับดูแลมาตรการและการแก้ไขปัญหาสินค้าอ้อยทั้งระบบ ๔. สินค้ายางพารา ได้จัดทำมาตรการระยะสั้น เช่น
ช่วยเหลือค่าครองชีพให้เกษตรกรชาวสวนยางรายย่อย สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
ระยะปานกลาง เช่น
ส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการผลิตจากยางพาราขั้นต้นเป็นการแปรรูปขั้นกลาง
จัดหาช่องทางการจัดจำหน่ายให้เพิ่มมากขึ้น และระยะยาว เช่น
วิจัยและส่งเสริมการลงทุนแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา ๕.
สินค้าปาล์มน้ำมันได้กำหนดมาตรการเกี่ยวกับการรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน โดยกำหนด “ห้ามมิให้ผู้ประกอบการจุดรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน
(ลานเท) กระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อให้ผลปาล์มน้ำมันร่วงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะโดยใช้
ตะแกรง รางเทสำหรับลำเลียงทะลายปาล์มน้ำมันที่เป็นตะแกรง
อุปกรณ์หรือสิ่งอื่นใดสำหรับแยกผลปาล์มน้ำมันร่วง” อันเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิต
และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
และจัดทำโครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม เพื่อให้ราคาซื้อขายจะไม่ผันผวน
ทำให้เกษตรกรได้รับรายได้ที่เป็นธรรม ๖. สินค้าผลไม้ ได้มีแนวทางการบริหารจัดการ
แบ่งเป็น ระยะสั้น เช่น จัดตั้งศูนย์รวบรวม/กระจาย
ระดับพื้นที่เพื่อเร่งกระจายผลผลิต พัฒนาคุณภาพผลผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาด
ระยะปานกลาง เช่น จัดทำแผนบริหารจัดการ
เพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตกระจุกตัว ส่งเสริมและสนับสนุนการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
ระยะยาว เช่น ส่งเสริมการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ส่งเสริมให้ไทยเป็นแหล่งผลิตตลาดผลไม้เมืองร้อนที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ๗. สินค้าปศุสัตว์ ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าปศุสัตว์
เช่น ใช้กลไกกำกับดูแลของคณะกรรมการรายชนิดสัตว์ เช่น สินค้าสุกร
ขับเคลื่อนโดยคณะกรรมการนโยบายสุกรและผลิตภัณฑ์ สินค้าโคกระบือ ขับเคลื่อนโดยคณะกรรมการนโยบายพัฒนาโคเนื้อ - กระบือ ประกาศชะลอการนำเข้าหรือนำผ่านราชอาณาจักรซึ่งโคกระบือหรือซากโคซากกระบือและผลักดันการเปิดตลาดส่งออกโคและกระบือมีชีวิต
รวมทั้งซากโคและซากกระบือ ไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ๘. สินค้ากุ้ง ได้มีมาตรการที่เกี่ยวข้อง เช่น
โครงการลดต้นทุนการผลิตกุ้งทะเลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมกุ้งทะเลอย่างยั่งยืนโครงการส่งเสริมการใช้ระบบ
Solar Cell เพื่อลดต้นทุนการผลิต
กรมประมงได้ดำเนินการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ ปม.๑ (แบบผง) และ ปม.๒ (แบบน้ำ)
เพื่อแจกจ่ายให้กับเกษตรกร เพื่อช่วยให้ต้นทุนการผลิตลดลง
และได้ดำเนินการควบคุมการนำเข้ากุ้งทะเลจากต่างประเทศก่อนอนุญาตให้นำเข้ามาในราชอาณาจักร
ภายใต้พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ปี 2567 และกลไกการบริหารจัดการ | นร.12 | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ๑.๑
รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๖ ของสำนักงาน
ก.พ.ร.
โดยจังหวัดเป้าหมายที่สามารถกำหนดให้มีการประเมินตัวชี้วัดค่าเฉลี่ยรายปีของปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน
๒.๕ ไมครอน (PM2.5) ตามตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน
(Joint KPIs) ประเด็นที่ ๕ การลดปริมาณฝุ่นละออง PM2.5
ได้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ จำนวนทั้งสิ้น ๓๙ จังหวัด
และจังหวัดเป้าหมายที่ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะนำมากำหนดเป็นค่าเป้าหมาย
เนื่องจากมีการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศในระหว่างปี
หรือยังไม่มีการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ
ซึ่งจะนำมากำหนดให้มีการประเมินตัวชี้วัดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ จำนวน ๑๕ จังหวัด ๑.๒
เห็นชอบข้อเสนอแนะโดยมอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศเพิ่มเติม
สำหรับจังหวัดที่ยังไม่มีการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศให้แล้วเสร็จในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ เพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดค่าเป้าหมายสำหรับใช้ประเมินในปีถัดไป ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงาน ก.พ.ร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสั่งการและสนับสนุนงบประมาณ
เครื่องมือ และบุคลากรสำหรับการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่อย่างเต็มขีดความสามารถ
ควรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มกลไกการบริหารจัดการเชิงรุก
รวมทั้งกำหนดหน่วยงานหลักและหน่วยงานสนับสนุนอย่างชัดเจน เพื่อการบูรณาการทำงานร่วมกันแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศได้ในระยะยาว
และควรคำนึงถึงสถานที่ติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งานโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนที่ได้รับเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
23 | การแต่งตั้งคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า (1. พันตำรวจเอก อดิศร บุญประทีป ฯลฯ รวม 7 คน) | พณ. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ
และกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า จำนวน ๗ คน แทนประธานกรรมการ
รองประธานกรรมการ และกรรมการอื่นเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑. พันตำรวจเอก อดิศร บุญประทีป ประธานกรรมการ ๒. นายฉัตรชัย ศักดิ์ศิลปชัย รองประธานกรรมการ ๓. นายกฤษณ์ กระแสเวส กรรมการ ๔. นายจิระเสกข์ ตรีเมธสุนทร กรรมการ ๕. นางสาวณัชชารีย์ ทินกร ณ อยุธยา กรรมการ ๖. นางปิยะนุช สัมฤทธิ์ กรรมการ ๗. นายมณเฑียร อินทร์น้อย กรรมการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
24 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ | นร. | 14/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
(๙ มกราคม ๒๕๖๗) เรื่อง การบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล (National Cloud) ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีการจัดตั้งงบประมาณเพื่อจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์
(Cloud) ชะลอการดำเนินการดังกล่าวไว้ก่อน
เพื่อรอความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล (National
Cloud) ของประเทศไทยจากสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
นั้น อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินงาน
จึงขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้น
โดยให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีโครงการดังต่อไปนี้
สามารถดำเนินการต่อไปได้ ๑.
โครงการที่มีการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างเสร็จไปแล้ว และมีการดำเนินการต่อเนื่อง รวมทั้งต้องมีการบำรุงรักษา
(Maintenance) ด้วย ๒.
โครงการที่มีการลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างไปแล้วก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๙ มกราคม ๒๕๖๗ ๓.
โครงการที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการและมีแหล่งเงินรองรับที่ชัดเจนแล้ว
และหากไม่ดำเนินการจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ทั้งนี้
กรณีตามข้อ ๓
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเสนอต่อคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณากลั่นกรองก่อนดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25 | แนวทางการสร้างมูลค่าที่ดินที่รัฐจัดให้กับประชาชน | สคทช | 14/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการสร้างมูลค่าที่ดินที่รัฐจัดให้กับประชาชนของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายละเอียดและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้อง
เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เห็นว่าควรมีแนวทางบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานด้านระบบฐานมูลที่ดินหนึ่งเดียวที่มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
เพื่อประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาและสร้างมูลค่าที่ดิน และพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นว่าการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ป่าไม้ ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26 | การจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2567 | นร.04 | 07/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่
ครั้งที่ ๓/๒๕๖๗ ณ จังหวัดเพชรบุรี
และติดตามการตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๒ (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เพชรบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร) ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๗
และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
27 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกันความเสียหายทื่เกิดแก่ชีวิตและร่างกายของคนโดยสาร พ.ศ. .... | คค. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการประกันความเสียหายที่เกิดแก่ชีวิตและร่างกายของคนโดยสาร พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกันความเสียหายที่เกิดแก่ชีวิตและร่างกายของคนโดยสารให้ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการให้บริการรถไฟฟ้า
โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการใช้ตั๋วโดยสารให้ได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
ที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข
และวงเงินความคุ้มครองสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิตและร่างกายของคนโดยสาร
เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎกระทรวงกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในมิติของผู้ที่ได้รับความคุ้มครอง
ผู้บังคับใช้และผู้ที่มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายลำดับรองฉบับดังกล่าว รวมถึงต้องพิจารณาทั้งในรายละเอียดข้อมูล
จำนวนเบี้ยประกันภัยและเงื่อนไขการรับประกันภัยของบริษัทประกันภัย
จึงอาจต้องประชุมร่วมกันเพื่อหารือในรายละเอียดของแนวทางการจัดให้มีการประกันภัยที่เหมาะสมกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยต่อไป
ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ เงื่อนไข
และวงเงินความคุ้มครองสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิตและร่างกายของคนโดยสาร
เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎกระทรวงกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งในมิติของผู้ที่ได้รับความคุ้มครอง ผู้บังคับใช้และผู้ที่มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายลำดับรองฉบับดังกล่าว
ควรเร่งเสนอร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนโดยเร็ว
เพื่อให้กรมการขนส่งทางรางมีอำนาจและหน้าที่ในการควบคุมและกำกับดูแลการประกอบกิจการขนส่งทางรางโดยเฉพาะมาตรฐานความปลอดภัยและระดับการให้บริการ
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด และร่างข้อ ๒
เห็นควรแก้ไขปรับปรุงนิยามคำว่า “ผู้รับประกันภัย” หมายความว่า
บริษัทตามกฎหมายว่าด้วยประกันวินาศภัย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28 | ร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน พ.ศ. .... | นร.12 | 02/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ
เพื่อลดขั้นตอนการอนุญาตที่ไม่จำเป็น ปรับปรุงระบบและขั้นตอนการอนุญาตให้สะดวกและทันสมัยยิ่งขึ้น
รวมทั้งลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานในการอนุมัติ อนุญาต อันจะนำไปสู่การลดการทุจริตและประพฤติมิชอบ
ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า
ต้นทุน ผลประโยชน์ เสถียรภาพ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติ มาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ควรกำหนดให้มีการตรวจสอบ
ทบทวน และปรับปรุงกระบวนการ
ขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตตามที่กำหนดในคู่มือประชาชนเป็นประจำอย่างน้อย
๒ ปี ตามร่างมาตรา ๘ วรรคสี่ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป
โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นร่างกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด
๑๖ การปฏิรูปประเทศของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ๓.
เห็นชอบข้อเสนอการทดลองดำเนินการตามหลักการสำคัญของร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน
พ.ศ. .... และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาคัดเลือกและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทดลองดำเนินการตามหลักการสำคัญต่อไป
ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 11 | กค. | 02/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน
ครั้งที่ ๑๑ (Joint Statement of the 11th ASEAN
Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน
ครั้งที่ ๑๑ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๗ ณ เมืองหลวงพระบาง
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในประเด็นทางด้านเศรษฐกิจและการเงินในเรื่องต่าง
ๆ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
30 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน 14 ตอน และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพิ่มเติม โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน 10 ตอน ของกรมทางหลวง | คค. | 19/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมทางหลวงเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน ๑๔
ตอน วงเงินรวม ๑,๗๔๐,๙๘๘,๒๐๔ บาท ตามปริมาณงานและวงเงินค่างานจริง
ซึ่งไม่เกินกรอบวงเงินที่สำนักงบประมาณได้พิจารณาให้ความเห็นชอบไว้แล้ว
เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๕ และอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
จำนวน ๑๐ ตอน ตามนัย ข้อ ๗ (๓) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ ทั้งนี้ ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยการดำเนินการจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุและกรมบัญชีกลาง ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
รวมทั้งข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น เมื่อกรมทางหลวงได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณแล้ว
กรมทางหลวงจะต้องดำเนินการแก้ไขสัญญาให้เป็นไปตามหลักการของระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๓๖ ให้ถูกต้อง ให้กรมทางหลวงพิจารณาถอดบทเรียนจากกรณีความล่าช้าของการก่อสร้างโครงการฯ
โดยเฉพาะความเหมาะสมของรูปแบบการบริหารจัดการโครงการ พร้อมทั้งติดตามและตรวจสอบผลการดำเนินโครงการว่าสอดคล้องกับผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการที่บริษัทที่ปรึกษาศึกษาไว้หรือไม่
โดยในกรณีที่พบว่าผลการดำเนินโครงการไม่เป็นไปตามผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ
อันเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของบริษัทที่ปรึกษา ให้กรมทางหลวงรายงานผลการประเมินดังกล่าวให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
เพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมกับบริษัทดังกล่าว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค. | 20/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่
..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง
พ.ศ. ๒๕๖๑
โดยกำหนดให้กรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เกี่ยวกับการจัดประชุมระดับผู้นำประเทศ
หรือระดับรัฐมนตรีขึ้นไปที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ และการประชุมที่เกี่ยวข้องทุกระดับ
รวมทั้งการเตรียมการ
การประชาสัมพันธ์หรือการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว
สามารถกระทำได้โดยวิธีเฉพาะเจาะจง
เพื่อให้การจัดงานดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเหมาะสมกับการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมผู้นำความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ
(Bay of Bengal Initiative for
Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation-BIMSTEC) ครั้งที่
๖ ในปี ๒๕๖๗ และการประชุมอื่น ๆ ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
32 | การปรับบทบาทภารกิจ หน้าที่และอำนาจของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต และข้อเสนอแนะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต | นร.09 | 13/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑ รับทราบ ๑.๑
ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวง
ส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
และส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงหรือทบวงในส่วนของหน้าที่และอำนาจของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต
รวม ๓๕ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหน้าที่และอำนาจของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต
เพื่อปรับปรุงบทบาทภารกิจให้ครอบคลุมงานด้านส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม
การเสริมสร้างวินัย การส่งเสริมธรรมาภิบาล และการต่อต้านการทุจริต ๑.๒
ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... รวม
๓๖ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและหน้าที่และอำนาจของสำนักงานปลัดกระทรวง
กระทรวงสาธารณสุข โดยการจัดตั้งส่วนราชการเพิ่มใหม่ ได้แก่
กองสนับสนุนระบบสุขภาพปฐมภูมิ (ยกฐานะของ “สำนักสนับสนุนระบบปฐมภูมิ”
ซึ่งเป็นหน่วยงานจัดตั้งภายใน) ปรับปรุงหน้าที่และอำนาจกองกฎหมาย ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
และศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต รวมทั้งตัดสถาบันพระบรมราชชนกออกจากส่วนราชการของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่
๒) เกี่ยวกับบทบาทภารกิจ หน้าที่และอำนาจของ ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต
เพื่อให้การขับเคลื่อนการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ และการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของจีนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | กต. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของจีนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
และให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศหรือผู้แทนที่กระทรวงการต่างประเทศมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างความบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ จัดทำขึ้นระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ
กระทรวงการต่างประเทศ
กับองค์การความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของจีนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ มีสาระสำคัญเป็นการดำเนินความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
การสนับสนุนการแลกเปลี่ยนบุคลากร และการส่งเสริมมิตรภาพระหว่างสองประเทศ
โดยฝ่ายจีนจะจัดให้มีการดำเนินการด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ผ่านการฝึกอบรม
มอบทุนการศึกษา และจะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
ส่วนฝ่ายไทยจะรับผิดชอบการจัดส่งข้อเสนอสำหรับความร่วมมือที่ครอบคลุมถึงรูปแบบการฝึกอบรม
สาขา และระยะเวลาดำเนินงาน ตลอดจนการคัดเลือกผู้สมัครเข้ารับการอบรม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงบประมาณที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานของไทยรับทราบอย่างทั่วถึง
เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากบันทึกความเข้าใจฯ
ที่ครอบคลุมและเป็นรูปธรรมมากที่สุด
และหากมีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเห็นควรใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-สหภาพยุโรป ครั้งที่ 24 | กต. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-สหภาพยุโรป
(ASEAN-EU Ministerial Meeting-AEMM) ครั้งที่ ๒๔ มีสาระสำคัญเพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างกันภายใต้ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์
และส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ อาทิ การส่งเสริมความเชื่อมโยงอย่างยั่งยืน
การเพิ่มพูนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การส่งเสริมการค้าการลงทุน
การจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปกับอาเซียน การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การส่งเสริมความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางไซเบอร์
รวมถึงการแสดงท่าทีร่วมกันในประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานภายใต้ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
35 | ขออนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม | อว. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป
ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โครงการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ภูเก็ต (พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗๑)
ในวงเงินงบประมาณ ๓,๑๔๐,๓๑๓,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗๑) และโครงการผลิตนักฉุกเฉินการแพทย์ด้วยการจัดการศึกษาที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษา
ระยะที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗๒ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ในวงเงินงบประมาณ ๒,๙๘๐ ล้านบาท และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด พิจารณาถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงานของรัฐที่ขอรับจัดสรรงบประมาณ
ฐานะเงินนอกงบประมาณของหน่วยงานของรัฐที่สามารถใช้จ่ายได้
รวมตลอดถึงรายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้
และความสามารถในการใช้จ่าย และการก่อหนี้ผูกพันของหน่วยงานของรัฐภายในปีงบประมาณนั้น
รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน
ศักยภาพในการดำเนินการตลอดจนสถานะการเงินการคลังของประเทศ
และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36 | การรับโอนข้าราชการตำรวจมาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (พลตำรวจเอก รอย อิงคไพโรจน์) | นร.08 | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน พลตำรวจเอก รอย อิงคไพโรจน์ ข้าราชการตำรวจ
ตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
37 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารสุดท้าย (Draft Final Document) ของการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM Summit) ครั้งที่ 19 | กต. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติต่อร่างเอกสารสุดท้าย (Draft Final Document) ของการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
(NAM Summit) ครั้งที่ ๑๙ โดยร่างเอกสารสุดท้ายฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับท่าที พัฒนาการ และการดำเนินการของ NAM ในประเด็นระดับโลกและภูมิภาค เช่น
การเมือง ความมั่นคงระหว่างประเทศ
เศรษฐกิจ สิทธิมนุษยชนและการพัฒนาที่ยั่งยืน และการปฏิรูปสหประชาชาติ โดยแบ่งเป็น
๓ บท ได้แก่ บทที่ ๑ ประเด็นระหว่างประเทศ บทที่ ๒ ประเด็นการเมืองภูมิภาคและอนุภูมิภาค
และบทที่ ๓ ประเด็นด้านการพัฒนา สังคม
และสิทธิมนุษยชน และให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยและผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) ของนายกรัฐมนตรีร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว
หากอาเซียนเห็นพ้องให้รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนร่วมลงนามในหนังสือแจ้งข้อสงวน (reservation)
หรือหนังสืออื่น ๆ
ที่เป็นการแจ้งท่าทีของอาเซียนต่อถ้อยคำในเอกสารสุดท้ายฯ ตามแนวปฏิบัติที่ผ่านมาของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนต่อเอกสารสุดท้ายของการประชุม
NAM Summit ครั้งที่ ๑๘ ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน
เมื่อปี ๒๕๖๒
ขออนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมลงนามในหนังสือแจ้งข้อสงวนดังกล่าวเช่นเดียวกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอื่น
ๆ และหากปรากฏว่า เนื้อหาหรือถ้อยคำของเอกสารสุดท้ายฯ
ไม่สอดคล้องกับนโยบายผลประโยชน์ และท่าทีประเทศไทยในสาระสำคัญ แสดงท่าทีเชิงลบ
หรือมีถ้อยคำรุนแรงประณามประเทศอื่นใด ขออนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งข้อสงวน
(reservation) หรือแสดงท่าที่อธิบายอย่างระมัดระวังถึงเหตุผลของประเทศไทยซึ่งทำให้ไม่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือถ้อยคำดังกล่าวได้
ทั้งนี้ การแจ้งข้อสงวนเป็นแนวทางที่ประเทศไทยปฏิบัติมาโดยตลอด ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารสุดท้ายของการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ครั้งที่ ๑๙ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
38 | ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ รวม 11 ญัตติ | สผ. | 02/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบญัตติ เรื่อง
ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ รวม ๑๑
ญัตติ ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
39 | มาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย | กค. | 02/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อปรับอัตราภาษีสำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ
และปรับโครงสร้างภาษีและอัตราภาษีสำหรับสินค้าสุรา และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากร ตามมาตรา ๑๒
แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ลงวันที่ ๒๘
ธันวาคม ๒๕๖๔ เพื่อปรับโครงสร้างภาษีศุลกากรสินค้าไวน์ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสำหรับกลุ่มสินค้าดังกล่าว
รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการของกระทรวงการคลัง เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ การตรวจสินค้าเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
(VAT Refund for Tourists) ของนักท่องเที่ยว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ที่เห็นว่าควรติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเป็นระยะอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้อย่างแท้จริง
และควรติดตามประเมินผลการดำเนินมาตรการดังกล่าวเพื่อประเมินความคุ้มค่าของมาตรการต่าง
ๆ ทั้งในมิติเศรษฐกิจและสังคม
โดยให้รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง
และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาควรดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ภาคประชาชนและภาคธุรกิจทราบเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวได้
และสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว รวมถึงสถานการณ์
ความจำเป็น และประโยชน์ที่จะได้รับ ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้
เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ และรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|