ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 878 จากทั้งหมด 6236 หน้า แสดงรายการที่ 17541 - 17560 จากข้อมูลทั้งหมด 124707 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 17541 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 4/2560 : การเร่งรัดและขับเคลื่อนประเด็นการปฏิรูปเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจผู้สูงวัย เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และเชิงวัฒนธรรม เกษตรกรรมยั่งยืน ความมั่นคงทางอาหาร และการปฏิรูป ระบบบริหารราชการ : ระบบการตรวจราชการแบบบูรณาการ มุ่งผลสัมฤทธิ์ และการมีส่วนร่วม | นร04 | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นการปฏิรูปเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจผู้สูงวัย เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และเชิงวัฒนธรรม เกษตรยั่งยืน ความมั่นคงทางอาหาร และการปฏิรูประบบบริหารราชการ : ระบบการตรวจราชการแบบบูรณาการ มุ่งผลสัมฤทธิ์ และการมีส่วนร่วม โดยมีผลการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูปที่สำคัญ ๕ ประเด็น ได้แก่ (๑) การปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงชีวภาพ (๒) การปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และเชิงวัฒนธรรม (๓) การปฏิรูปเศรษฐกิจผู้สูงวัย (๔) ระบบเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน และความมั่นคงทางอาหาร และ (๕) การปฏิรูประบบบริหารราชการ : ระบบการตรวจราชการแบบบูรณาการมุ่งผลสัมฤทธิ์ และการมีส่วนร่วม รวมทั้งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการเพิ่มเติมในประเด็นการปฏิรูประบบราชการ ระบบบริหารราชการ และข้าราชการ ต้องดำเนินการให้สอดคล้องทั้งหน่วยงานและหัวหน้าส่วนราชการทุกระดับ โดยเฉพาะการจัดส่วนราชการที่มีหน้าที่ในการบูรณาการ/การปฏิรูปประเทศ/ยุทธศาสตร์ชาติ ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17542 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร01 | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งภาพรวมสถิติการยื่นเรื่องผ่านช่องทางร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๔๒,๖๐๗ ครั้ง รวมจำนวน ๒๖,๑๐๖ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ การเสนอและตรากฎหมาย การปฏิรูปประเทศ การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ และขอให้แก้ไขปัญหากระแสไฟฟ้าขัดข้อง ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๒๓,๑๕๘ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๘.๗๑ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒,๙๔๘ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๑๑.๒๙ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความสำคัญแก่การเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17543 | แนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (6 ตุลาคม 2558) ประจำเดือนกรกฎาคม 2560 | นร02 | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (๖ ตุลาคม ๒๕๕๘) ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ มีประเด็นการประชาสัมพันธ์ที่สำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ผลงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์ (๑) เดือนที่ผ่านมา (กรกฎาคม ๒๕๖๐) ได้แก่ การส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทย การดำเนินงานโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อาทิ การผลักดันการค้าชายแดนและการลงทุนจากต่างประเทศ และ (๒) เดือนต่อไป (กันยายน ๒๕๖๐) ได้แก่ การรายงานสถานการณ์การละเมิดสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนและการลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิ และการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ให้ทันสมัยและเป็นสากล ๑.๒ ผลงานตามประเด็นการปฏิรูป (๑) เดือนที่ผ่านมา (กรกฎาคม ๒๕๖๐) ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติการปฏิรูปประเทศ และนโยบายของรัฐบาล บทบาทการศึกษาเอกชนกับการพัฒนาประเทศไทย ๔.๐ และการเร่งจัดหาโควตาความต้องการจ้างคนพิการเพิ่ม และ (๒) เดือนต่อไป (กันยายน ๒๕๖๐) ได้แก่ การป้องกันและปราบปรามขบวนการตัดไม้ทำลายป่า การบุกรุกพื้นที่ป่าและที่ดินของรัฐ การวางระบบการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพเพื่อจัดการอุทกภัยอย่างบูรณาการ ๑.๓ ผลงานการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน (๑) เดือนที่ผ่านมา (กรกฎาคม ๒๕๖๐) ได้แก่ การแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย มาตรการแก้ปัญหาและส่งเสริมผู้ประกอบการยางพารา และมาตรการความช่วยเหลือผู้ประกอบการจากอุทกภัยและน้ำไหลหลาก และ (๒) เดือนต่อไป (กันยายน ๒๕๖๐) ได้แก่ การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและแชร์ลูกโซ่ การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว และการรายงานความคืบหน้าของโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ๒. ให้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติพิจารณาปรับปรุงการจัดข้อมูลเพื่อการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลให้ถูกต้อง ตรงตามกลุ่มผลงานที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ในส่วนผลงานสำคัญซึ่งไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มผลงานที่กำหนด ให้ปรับเพิ่มกลุ่มงานใหม่ได้ตามความเหมาะสม เช่น การจัดงานพระราชพิธีสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17544 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้ อาคารบางชนิดหรือบางประเภท รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภทในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดพังงา พ.ศ. ....) | มท | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท รวม ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดพังงา จังหวัดอุตรดิตถ์ และจังหวัดปัตตานี เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดพังงา พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดปัตตานี พ.ศ. .... ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดควบคุมการอนุญาตก่อสร้างอาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าวอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17545 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนท่าโขลง จังหวัดลพบุรี พ.ศ. .... | มท | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนท่าโขลง จังหวัดลพบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่ตำบลบางขาม ตำบลบ้านชี อำเภอบ้านหมี่ และตำบลโคกสลุด ตำบลเขาสมอคอน ตำบลมุจลินท์ อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม โดยให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนดำเนินการ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรให้เพิ่มประเภทและขนาดโรงงานในร่างกฎกระทรวงฯ เช่น โรงงานประเภท ๑๐๑ ปรับคุณภาพของเสียรวม โรงงานประเภท ๑๐๕ โรงงานคัดแยก ฝังกลบสิ่งปฏิกูล และโรงงานประเภท ๑๐๖ โรงงานนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม รวมทั้งโรงงานประเภท ๘๘ โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ชีวภาพ และขยะชุมชน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการตรวจสอบแนวเขตพื้นที่ การให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมือง การควบคุมการก่อสร้างต่าง ๆ การพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ การพิจารณาเพิ่มเติมการปลูกต้นไม้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของที่ว่างของแปลงที่ดินที่ขออนุญาตก่อสร้างอาคาร เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง การจัดทำฐานข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นปัจจุบัน และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมือง นอกจากนี้กรมโยธาธิการและผังเมืองควรพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับดูแลและควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17546 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมมาตรฐานผู้ฝึกสอนกีฬาและผู้ตัดสินกีฬา พ.ศ. .... | กก | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมมาตรฐานผู้ฝึกสอนกีฬาและผู้ตัดสินกีฬา พ.ศ. .... ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมมาตรฐานผู้ฝึกสอนกีฬาและผู้ตัดสินกีฬาเพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพควบคุมมาตรฐานในการทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนกีฬาและผู้ตัดสินกีฬาให้มีคุณภาพ มาตรฐาน อยู่ในกรอบของจรรยาบรรณ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบสาระสำคัญและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17547 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4367 สายโคกเจียก - ไสเสียด ตอนบ้านวังจา - บ้านนาเหนือ พ.ศ. .... | คค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๓๖๗ สายโคกเจียก-ไสเสียด ตอนบ้านวังจา-บ้านนาเหนือ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๓๖๗ สายโคกเจียก-ไสเสียด ตอนบ้านวังจา-บ้านนาเหนือ ในท้องที่อำเภอปลายพระยา และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้างด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17548 | ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร02 | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ระดับกระทรวงและจังหวัด ประกอบด้วย ๖ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านความมั่นคง (๒) ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน (๓) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน (๔) ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม (๕) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ (๖) ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ นอกจากนี้ ได้ดำเนินการสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการขับเคลื่อนการประชาสัมพันธ์โดยการสร้างเครือข่ายระหว่างโฆษกกระทรวง รวมทั้งมีการติดตามผลการดำเนินการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ๒. ให้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประเมินผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ตามนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อให้เห็นภาพรวมของผลการดำเนินงานทั้งระบบ รวมถึงการจัดทำแผนปฏิบัติงานของหน่วยงาน และกำหนดประเด็นการประชาสัมพันธ์และเร่งรัดดำเนินงานโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จ ตลอดจนเร่งรัดการสร้างเครือข่ายประชาสัมพันธ์ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนให้เพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้หน่วยงานระดับกระทรวงนำนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ไปใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ระดับกระทรวง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเชื่อมโยงให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) รวมทั้งส่งแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ดังกล่าวและรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ให้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติทราบด้วย ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนตามนโยบายของรัฐบาลที่เป็นรูปธรรม เช่น ผลการดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรม เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17549 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเห็นว่า กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการวางระเบียบเกี่ยวกับการส่งข้อมูลให้แก่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ตามมาตรา ๓๗ ตรี แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับการสร้างความสมัครใจในการเสียภาษี กรมสรรพากรได้ตราพระราชกำหนดยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อสนับสนุนให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดทำบัญชีและงบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงของกิจการ โดยยกเว้นการตรวจสอบภาษีอากรย้อนหลังให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จัดทำบัญชีและงบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ และยังมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางหรือขนาดย่อม สามารถหักรายจ่ายค่าจ้างนักเรียนหรือนักศึกษาที่อยู่ระหว่างศึกษาในแผนกหรือสาขาวิชาบัญชีปฏิบัติงานได้เป็นจำนวน ๒ เท่า โดยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปแบบบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมากขึ้นซึ่งจะมีการแสดงผลประกอบการที่แท้จริง มีความโปร่งใส และเป็นการสร้างฐานภาษีที่ยั่งยืนในระยะยาว ทำให้ผู้เสียภาษีสมัครใจที่จะเสียภาษี และกรมสรรพากรสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น ส่วนการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารการจัดเก็บภาษี กรมสรรพากรได้จัดทำ Roadmap "Digital RD 2020" ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในการบริหารการจัดเก็บภาษีและการให้บริการแก่ผู้เสียภาษี นอกจากนั้น ยังได้ดำเนินโครงการระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment master Plan) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17550 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายวิโรจน์ นรารักษ์) | นร11 | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. นายเอนก มีมงคล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๐ ๒. นายวิโรจน์ นรารักษ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17551 | รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี 2558 และรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2558 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ | สม | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี ๒๕๕๘ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี ๒๕๕๘ แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนหลัก ได้แก่ (๑) สถานการณ์สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เช่น สิทธิในกระบวนการยุติธรรม เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (๒) สถานการณ์สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เช่น การบริหารจัดการพลังงาน สิทธิทางการศึกษา สิทธิด้านสุขภาพ และ (๓) สถานการณ์สิทธิของกลุ่มเปราะบาง เช่น กลุ่มเด็ก กลุ่มคนพิการ กลุ่มชาติพันธุ์ชนเผ่าและชนพื้นเมือง ๑.๒ รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๕๘ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประกอบด้วย ๓ ส่วนหลัก ได้แก่ (๑) ผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีผลการเบิกจ่ายงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑๙๖,๗๓๙,๙๙๕ ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ ๘๙.๑๑) (๒) ผลการดำเนินงานตามภารกิจอำนาจหน้าที่ เช่น การตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน การเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน การศึกษาวิจัยด้านสิทธิมนุษยชน การดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และ (๓) รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรดำเนินการให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์และบริบทของสังคมไทย สภาวะแวดล้อมและสถานการณ์ในทุกมิติ โดยจัดทำรายงานฯ ให้รวดเร็วและเป็นปัจจุบัน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ประโยชน์ ปรับปรุง แก้ไข กฎระเบียบให้เท่าทันสถานการณ์ และควรบรรจุข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางมาตรการสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาตามนโยบายรัฐบาล เช่น การสร้างความเสมอภาคและคุณภาพการศึกษาให้กับผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมาย เป็นต้น ทั้งนี้ ขอให้เพิ่มเติมสาระสำคัญตามมาตรา ๖๗ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ และตรวจสอบข้อความในมาตรา ๖๗ วรรคหนึ่ง เพื่อให้เกิดความถูกต้องและสมบูรณ์ของเอกสาร ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับประเด็นข้อเสนอของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในรายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ปี ๒๕๕๘ ในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการแล้วให้รายงานผลการดำเนินการไปยังรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17552 | นโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 - 2564 | พม | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบนโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ซึ่งมีวิสัยทัศน์ คือ “ประชารัฐร่วมใจ ประเทศไทยไร้การค้ามนุษย์” ประกอบด้วยประเด็นยุทธศาสตร์ ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านพัฒนากลไกเชิงนโยบายและการขับเคลื่อน (๒) ด้านดำเนินคดี (๓) ด้านคุ้มครองช่วยเหลือ (๔) ด้านป้องกัน และ (๕) ด้านพัฒนาความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย และให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการให้เป็นไปตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นว่า ในด้านการพัฒนากลไกเชิงนโยบายและการขับเคลื่อนจำเป็นต้องเร่งเสริมบทบาทศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในระดับจังหวัด รวมทั้งการเฝ้าระวังและการแจ้งเบาะแสจากประชาชนและเครือข่าย การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีส่วนร่วมและมีการประชาสัมพันธ์เพื่อขยายผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง การดำเนินการเชิงรุกในการเข้าถึงผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์และพิจารณาออกกฎระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติโดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาคประชาชนและภาคธุรกิจ นอกจากนี้ ในขั้นของการจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการดำเนินงานควรให้ความสำคัญกับการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดในลักษณะบูรณาการที่สะท้อนผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานที่ชัดเจน เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความตระหนักรู้และเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอย่างกว้างขวาง รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. สำหรับภาระงบประมาณที่อาจจะเกิดขึ้นเห็นควรให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อดำเนินการในโอกาสแรกก่อน ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลา นโยบาย ยุทธศาสตร์ดังกล่าว เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. เมื่อมียุทธศาสตร์ชาติแล้ว ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาทบทวนและปรับปรุงนโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ อีกครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย ๕. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) จัดตั้งคณะกรรมการภายใต้การกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อติดตามการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ตามกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการติดตามการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ประกอบการ ๖. ให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงการดำเนินการของไทยเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะความก้าวหน้าในการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดให้ประเทศผู้ประเมินและจัดอันดับการค้ามนุษย์ทราบอย่างต่อเนื่องด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17553 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติ เห็นชอบ และรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ วงเงินรวม ๑,๕๐๒,๙๗๗.๐๖ ล้านบาท ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน ๕๘๒,๐๒๖.๒๘ ล้านบาท และแผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน ๙๒๐,๙๕๐.๗๘ ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ วงเงิน ๑๖๑,๔๓๓.๔๕ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๑.๕ มอบหมายให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ เพื่อชำระคืนค่าดอกเบี้ยเงินกู้ปี ๒๕๖๑ วงเงิน ๓,๔๔๗.๒๓ ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจริง และค่าดอกเบี้ยเงินกู้ที่ครบกำหนดในปี ๒๕๖๒ เพื่อรักษาวินัยทางการคลังและไม่ให้เกิดภาระหนี้สะสมจากการกู้เงิน ๑.๖ เห็นชอบแนวทางการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจเพื่อให้รัฐวิสาหกิจนำไปใช้บริหารต้นทุนและความเสี่ยงในการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจเร่งรัดบริหารต้นทุนและความเสี่ยงในการบริหารหนี้ตามแนวทางดังกล่าวต่อไป ๒. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานเจ้าของวงเงินกู้กำกับติดตามการดำเนินแผนงาน/โครงการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรติดตามและผลักดันให้การเบิกจ่ายเงินเป็นไปตามแผนงานและแผนการกู้เงินที่ได้กำหนดไว้ เพื่อลดภาระรายจ่ายดอกเบี้ยในการบริหารหนี้สาธารณะที่เกิดจาการกู้ยืมเพื่อเตรียมการลงทุน รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นของสาธารณชนที่มีต่อการลงทุนของภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. สำหรับกรณีของ ขสมก. นั้น มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) พิจารณาปรับปรุงแผนฟื้นฟู ขสมก. ให้ครอบคลุมถึงแผนการบริหารหนี้ในภาพรวม ซึ่งรวมถึงแนวทางการพัฒนาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือกู้เงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และค่าดอกเบี้ยที่ครบกำหนดของ ขสมก. ในปี ๒๕๖๒ และปีต่อ ๆ ไป และให้กระทรวงคมนาคมนำแผนดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17554 | รัฐบาลสาธารณรัฐออสเตรียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งสาธารณรัฐออสเตรียประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นางอีวา แฮเกอร์ (Mrs. Eva Hager)] | กต | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางอีวา แฮเกอร์ (Mrs. Eva Hager) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐออสเตรียประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายเอนโน โดรฟีนิก (Mr. Enno Drofenik) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17555 | ร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยปรับโครงสร้างบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านท้ายพระราชกฤษฎีกาทั้งหมด ซึ่งแบ่งอัตราค่าเช่าบ้านเป็น ๕ อัตรา คือ อัตราไม่เกินเดือนละ ๒,๕๐๐ บาท ๓,๐๐๐ บาท ๔,๐๐๐ บาท ๕,๐๐๐ บาท และ ๖,๐๐๐ บาท และกำหนดให้กระทรวงการคลังมีอำนาจจัดทำบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านที่ไม่ใช่เป็นการแก้ไขโครงสร้างบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านในรูปแบบใหม่ เพื่อให้สามารถดำเนินการแก้ไขปรับปรุงบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านได้รวดเร็ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานศาลยุติธรรมที่เห็นว่า ในปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการต้นสังกัดของผู้มีสิทธิเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว หากไม่เพียงพอ ให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศใช้บังคับแล้ว และหากในโอกาสต่อไปมีการปรับบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการ ขอให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับอัตราค่าเช่าบ้านสำหรับข้าราชการตุลาการ เพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพความปลอดภัยของการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17556 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดทำกรอบความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยไปสู่ดิจิทัลไทยแลนด์ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทยและสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ | ดศ | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดทำกรอบความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยไปสู่ดิจิทัลไทยแลนด์ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทยและสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (Memorandum of Understanding between the Ministry of Digital Economy and Society of Thailand and the International Telecommunication Union to Establish a Framework of Cooperation on the Digital Thailand) มีวัตถุประสงค์เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายเพื่อสร้างความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยจะมีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในระหว่างการประชุม The 3rd Asia-Pacific Regional Forum on Smart Cities and e-Government และการประชุม The Annual IoT Asia Pacific Summit 2017 ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) เป็นเจ้าภาพร่วมกัน ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๓ กันยายน ๒๕๖๐ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ๑.๒ ในกรณีที่ผู้ลงนามฝ่าย ITU เป็นเลขาธิการสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ผู้ลงนามฝ่ายไทยจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และในกรณีที่ผู้ลงนามฝ่าย ITU เป็นผู้แทนเลขาธิการ ITU ผู้ลงนามฝ่ายไทยจะเป็นปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17557 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านการอนุรักษ์ป่าชายเลน ระหว่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย กับศูนย์ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน - จีน และมูลนิธิการอนุรักษ์ป่าชายเลนและพื้นที่ชุ่มน้ำเซินเจิ้น | ทส | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านการอนุรักษ์ป่าชายเลน ระหว่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย กับศูนย์ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน-จีน และมูลนิธิการอนุรักษ์ป่าชายเลนและพื้นที่ชุ่มน้ำเซินเจิ้น เป็นกรอบความร่วมมือทางวิชาการระหว่างหน่วยงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นการศึกษาวิจัยร่วมกันในด้านป่าชายเลน ตลอดจนสนับสนุนการแลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านป่าชายเลน เพื่อยกระดับศักยภาพในการอนุรักษ์ การจัดการ และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนของทรัพยากรป่าชายเลน โดยไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันตามกฎหมายภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งพิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบและมีมาตรการเพื่อป้องกันมิให้ความร่วมมือทางวิชาการดังกล่าวกระทบต่อสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิในพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ หรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความสูญเสียผลประโยชน์ของประเทศในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17558 | การลงนามและให้สัตยาบันร่างสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ | กต | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการลงนามและการให้สัตยาบันเพื่อเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งที่ประชุมสหประชาชาติเพื่อเจรจาตราสารห้ามอาวุธนิวเคลียร์ (United Nations Conference to Negotiate a Legally Binding Instrument to Prohibit Nuclear Weapons, Leading Towards their Total Elimination) ได้ให้การรับรองร่างสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ (Treaty on the prohibition of nuclear weapons) แล้ว เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ซึ่งร่างสนธิสัญญาฯ จัดทำขึ้นเพื่ออุดช่องโหว่ทางกฎหมาย เนื่องจากในปัจจุบันอาวุธนิวเคลียร์เป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงเพียงชนิดเดียวที่ยังไม่มีการห้ามตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งสาระสำคัญของร่างสนธิสัญญาฯ ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น ห้ามการพัฒนา ทดลอง ผลิต สร้าง จัดหา ครอบครอง หรือเก็บสะสมอาวุธนิวเคลียร์ หรือระเบิดนิวเคลียร์อื่น ๆ รวมถึงห้ามส่งเสริมอาวุธนิวเคลียร์ หรือระเบิดนิวเคลียร์อื่น ๆ ให้กับผู้ใดเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นต้น โดยสหประชาชาติจะเปิดให้รัฐสมาชิกลงนามในร่างสนธิสัญญาฯ ในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๗๒ ในวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๐ ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ๑.๒ เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างสนธิสัญญาฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ในกรณีที่ผู้ลงนามไม่ใช่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ๑.๔ เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการตามกระบวนการที่เกี่ยวข้องในการให้สัตยาบัน ๑.๕ มอบหมายให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักระดับชาติของการดำเนินการตามพันธกรณีของสนธิสัญญาฯ ภายหลังจากที่ประเทศไทยให้สัตยาบันแล้ว ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นภายหลังที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญาฯ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17559 | พิธีสารว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศจอร์เจีย | กต | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศจอร์เจีย ซึ่งเป็นกลไกการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศ โดยจะมีการจัดตั้งกลไกการปรึกษาหารือในระดับรัฐมนตรีหรือระดับอื่นที่เหมาะสม เพื่อกำหนดแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือร่วมกันในมิติต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรม โดยจะมีการลงนามในร่างพิธีสารฯ ระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๗๒ (72nd Session of the United Nations General Assembly : UNGA 72) ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๓ กันยายน ๒๕๖๐ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) รวมทั้งให้พิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)] ต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17560 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) | พม | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ปรับชื่อยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมจากเดิม “ยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙)” เป็น “แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙)” ๒. เห็นชอบในหลักการแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ซึ่งมุ่งเน้นให้คนไทยทุกคนเข้าถึงสิทธิในที่อยู่อาศัย มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพ โดยใช้เป็นกรอบในการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะยาว และเสริมสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายและครอบคลุมในทุกมิติ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การพัฒนาและสนับสนุนให้มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน (๒) การเสริมสร้างระบบการเงินและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (๓) การยกระดับการบูรณาการด้านบริหารจัดการที่อยู่อาศัย (๔) การส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน และ (๕) การจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนแม่บทฯ ไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป โดยให้ยึดหลักการการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการและให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยของประชาชนผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นลำดับแรก ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การดำเนินโครงการแต่ละโครงการควรคำนึงถึงความต้องการอย่างแท้จริงของประชาชนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต และพิจารณาอาคารที่ได้ก่อสร้างไว้แล้วแต่มีผู้เข้าพักอาศัยไม่เต็มโครงการด้วย การกำหนดแผนงาน โครงการ แหล่งเงินในการดำเนินโครงการให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมายตามความจำเป็นเร่งด่วน ความพร้อม และศักยภาพในการดำเนินงานของหน่วยงาน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย การถ่ายทอดระดับจากยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ ๒๐ ปี สู่การจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในแต่ละช่วงเวลา ๕ ปี โดยกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและมีตัวชี้วัดที่สามารถติดตามประเมินผลได้ และมีการจัดลำดับความสำคัญของแผนงานโครงการที่ตอบสนองตามเป้าหมายและจุดเน้นในแต่ละช่วงเวลา โดยพิจารณาดำเนินการทบทวนข้อมูลจำนวนผู้ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยทุก ๕ ปี และศึกษาแนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัยในระดับประเทศและจำแนกตามภูมิภาคให้ชัดเจน รวมทั้งพิจารณาความเหมาะสมเป็นไปได้และเตรียมแผนงานรองรับด้วยการจัดให้มีการศึกษาข้อกฎหมายต่าง ๆ และวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติสำหรับแนวทางตามยุทธศาสตร์ที่เสนอให้นำพื้นที่ตาบอดออกสู่ตลาดที่ดิน และการจัดตั้งกองทุนที่อยู่อาศัย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ในการดำเนินการตามโครงการภายใต้แผนแม่บทฯ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงความพร้อมและความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมาย สภาพ ขนาด และรูปแบบที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และเส้นทางการคมนาคม รวมทั้งพิจารณาความคุ้มค่าในการดำเนินการและการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงและทั่วถึง โดยอาจพิจารณาให้ภาคเอกชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ ทั้งนี้ ให้มีการพิจารณาจัดทำแผนการหารายได้จากอาคารเช่าที่ยังว่างอยู่ด้วย ๕. ในการกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการตามแผนแม่บทฯ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐของกระทรวงการคลังที่เป็นปัจจุบันมาพิจารณาประกอบการดำเนินการ โดยให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนฯ เป็นลำดับแรก เพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในด้านที่อยู่อาศัยได้อย่างทั่วถึงและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง ๖. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทบทวนความจำเป็นเหมาะสมในการดำเนินการตามประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลที่อยู่อาศัยแห่งชาติ การประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย การจัดตั้งกองทุนที่อยู่อาศัยแห่งชาติ การหักรายได้จากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาสนับสนุนกองทุนที่อยู่อาศัยแห่งชาติ การจัดตั้งองค์กรระดับกระทรวงเพื่อดูแลรับผิดชอบด้านที่อยู่อาศัยเป็นการเฉพาะ เป็นต้น เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานตามภารกิจหน้าที่และงบประมาณของแต่ละหน่วยงาน ตลอดจนเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของร่างกฎหมายวินัยการเงินการคลังด้วย ๗. เมื่อมียุทธศาสตร์ชาติแล้ว ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาทบทวนและปรับปรุงแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) อีกครั้งเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
