ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 876 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 17501 - 17520 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
17501 | ข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายและข้อเสนอแนะนโยบายการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรพลังงานของไทย | สม | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายและข้อเสนอแนะนโยบายการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรพลังงานของไทยของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยผลการพิจารณาให้ความเห็นและข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องกระบวนการจัดทำโครงการด้านปิโตรเลียมของประเทศไทยพบว่า กฎหมายปิโตรเลียมในปัจจุบันมีการดำเนินการที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม รวมทั้งตระหนักถึงสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารโดยมีการเร่งสร้างความเข้าใจที่ตรงกันให้แก่ประชาชนทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึงแล้ว ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. .... ได้ผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว ซึ่งกระทรวงพลังงานจะนำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เสนอให้นำหลักปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ อาทิ หลักปฏิบัติของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน มาปรับใช้ในการกำกับดูแลภาคธุรกิจที่ได้รับสัมปทานปิโตรเลียมนั้น ในกระบวนการของกฎหมายปิโตรเลียมได้คำนึงถึงประเด็นต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับหลักปฏิบัติระดับนานาชาติดังกล่าวอยู่แล้ว และสามารถนำหลักปฏิบัติดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อสร้างความมั่นใจได้ว่ากระบวนการกำกับดูแลกิจการปิโตรเลียมจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุดอย่างแท้จริง ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17502 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. .... | สว | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. .... โดยกระทรวงยุติธรรมได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในภาพรวมเห็นด้วยตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นเพิ่มเติมในประเด็นการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมโดยไม่มีหลักประกัน ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าร้อยละ ๑๕ ต่อปีได้ โดยจัดให้มีการขึ้นทะเบียน อาทิ กระทรวงการคลังเห็นว่าควรที่จะใช้สินเชื่อพิโคไฟแนนซ์ไปก่อน ซึ่งถ้าประสบความสำเร็จจะทดแทนหนี้นอกระบบไปได้ในระดับหนึ่ง ส่วนเรื่องการกู้ยืมเงินระหว่างบุคคลธรรมดาที่จะให้มาจดทะเบียนตามข้อสังเกตดังกล่าวนั้น กระทรวงการคลังจะนำไปพิจารณาในระยะต่อไป และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเห็นว่าเรื่องการเข้ามาจดทะเบียนของเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ หากเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ที่ปฏิบัติไม่ชอบด้วยกฎหมายเข้ามาจดทะเบียนกับภาครัฐจะเป็นการนำเงินที่ได้จากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเข้ามาอยู่ในรูปแบบของการกระทำที่ถูกกฎหมาย ซึ่งถือเป็นการฟอกเงินในรูปแบบหนึ่ง รวมทั้งมีความเห็นเพิ่มเติมในประเด็นกรณีที่มีการกระทำความผิดที่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานอั้งยี่ตามประมวลกฎหมาย ตามมาตรา ๒๐๙ ควรที่จะต้องดำเนินคดีในความผิดฐานอั่งยี่นั้น เห็นว่าความผิดฐานเป็นอั้งยี่มีคดีขึ้นสู่กระบวนการพิจารณาของศาลค่อนข้างน้อย หน่วยงานต่าง ๆ ควรจะทำงานเสริมร่วมกัน เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษที่ดำเนินการในเรื่องของการกู้ยืมเงิน หรือกรมสรรพากรก็จะทำให้มาตรการปราบปรามมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17503 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. .... | นร09 | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17504 | รายงานตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 ประจำปี 2559 | สสส. | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๙ ของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลงานเด่นในปี ๒๕๕๙ ประกอบด้วย ๑๔ ผลงานซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน เช่น การรณรงค์ลด ละ เลิกบุหรี่และสุรา การสร้างสุขภาวะให้แก่แรงงานนอกระบบ และการสร้างศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบด้านสุขภาวะที่มีชีวิต ส่งผลให้สถานการณ์สุขภาพของประชาชนไทยดีขึ้นตามลำดับ โดยแนวโน้มการสูบบุหรี่ลดลงจากร้อยละ ๓๒.๐๐ ในปี ๒๕๓๔ เหลือร้อยละ ๑๙.๙๐ ในปี ๒๕๔๘ สัดส่วนของผู้ดื่มแอลกอฮอล์ในระดับอันตรายลดลงจากร้อยละ ๙.๑๐ ในปี ๒๕๔๗ เหลือร้อยละ ๓.๔๐ ในปี ๒๕๕๗ และอัตราการมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จากร้อยละ ๖๖.๓๐ ในปี ๒๕๕๕ เป็นร้อยละ ๗๑.๖๐ ในปี ๒๕๕๘ หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๗ ในช่วง ๔ ปีที่ผ่านมา ๑.๒ การบริหารงบประมาณของ สสส. ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ได้มีการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพรวม ๔,๓๐๒ ล้านบาท จำแนกการใช้จ่ายงบประมาณเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ เบิกจ่ายทุนสนับสนุนโครงการสร้างเสริมสุขภาพรวมค่าใช้จ่ายบริหารโครงการ จำนวน ๓,๘๗๖ โครงการ งบประมาณ ๓,๙๑๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๑ ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมด และค่าใช้จ่ายในการบริหารสำนักงาน ๓๙๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙ ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมด ๒. มอบหมายให้ สสส. รับข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐที่เห็นควรปรับปรุงบางประการในส่วนของการติดตามและแก้ไขเรื่องร้องเรียน การสร้างการรับรู้ถึงวัฒนธรรมคุณธรรมในองค์กร และการวางระบบก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่อย่างชัดเจน โดยให้ศึกษาวิเคราะห์ถึงปัญหาเพื่อนำสาเหตุมาพิจารณาปรับปรุงอย่างเร่งด่วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17505 | การแต่งตั้งโฆษกและรองโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งโฆษกและรองโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการเปลี่ยนแปลงโฆษกและรองโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๑๑๐๑/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ เรื่อง แต่งตั้งโฆษกและรองโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. เปลี่ยนแปลงโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากเดิม นายสุรพล จารุพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็น นายปริญญา เพ็งสมบัติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. เปลี่ยนแปลงรองโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากเดิม นายรัตนะ สวามีชัย ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็น นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายรัตนะ สวามีชัย ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ปัจจุบันได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ นายรัตนะ สวามีชัย ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17506 | สรุปการเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) | ศธ | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ เมษายน ๒๕๖๐ ตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของเมียนมา ซึ่งเป็นการเยือนครั้งสุดท้ายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานสภาซีเมค ก่อนส่งมอบตำแหน่งให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมอินโดนีเซีย ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. การเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของเมียนมา ซึ่งฝ่ายเมียนมาได้กล่าวถึงจุดเน้นการพัฒนาการศึกษาในระดับชาติที่ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา การพัฒนาคุณภาพการศึกษา การจัดการศึกษาทางเลือก และการจัดทำกฎหมายการศึกษา รวมทั้งจะร่วมมือกับไทยในการพัฒนาการศึกษาด้านต่าง ๆ เช่น การอาชีวศึกษา การศึกษาขั้นพื้นฐาน การพัฒนาครู การพัฒนาหลักสูตรในระดับอุดมศึกษา การศึกษาแนวทางการจัดตั้งสมาพันธ์สหภาพนักเรียน/นักศึกษาจากไทย เป็นต้น ส่วนไทยมีแนวคิดในการจัดตั้งศูนย์ระดับภูมิภาคของซีมีโอด้านสะเต็มศึกษา และศูนย์ระดับภูมิภาคด้านปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อความยั่งยืนของซีมีโอ โดยจะนำเรื่องเสนอต่อที่ประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๔๙ ต่อไป ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือกันให้แน่นแฟ้น โดยเฉพาะการสนับสนุนภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้ทันสมัย การสนับสนุนการเรียนรู้อย่างคิดวิเคราะห์ และการสนับสนุนการเข้าถึงทางการศึกษาผ่านดาวเทียม และได้เข้าตรวจเยี่ยมศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยการศึกษาประวัติศาสตร์และประเพณีของซีมีโอ ๒. ข้อสังเกตเพื่อปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อกระทรวงศึกษาธิการของไทย ได้แก่ (๑) การปฏิรูปเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่มีคุณภาพ (๒) การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาครัฐ-เอกชน-ประชาสังคมในการจัดการศึกษา (๓) การสนับสนุนภาคเอกชนในการจัดการศึกษา และ (๔) การให้ความสำคัญและการส่งเสริมความเข้าใจร่วมกันด้านประวัติศาสตร์และความรู้พื้นเมือง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17507 | แผนการดำเนินงาน (Roadmap) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 - 2563 [สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน)] | นร04 | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนการดำเนินงาน (Roadmap) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๓ ของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) มีเป้าหมาย คือ สถานศึกษาได้รับการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสี่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ แบ่งเป็น (๑) แผนเร่งด่วนภายในระยะเวลา ๑ ปี (เดือนมกราคม-ธันวาคม ๒๕๖๐) และ (๒) แผนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ทั้งนี้ จะเริ่มดำเนินการประเมินระยะที่ ๑ ในไตรมาสที่ ๔/๒๕๖๐ (เดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๖๐) โดยมีเป้าหมาย คือ สถานศึกษาระดับปฐมวัยขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา ทั่วประเทศ ๓๕๓ แห่ง ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เสนอ และให้ สมศ. เร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานฯ ต่อไป ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับให้ สมศ. ดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของระบบการศึกษาในปัจจุบันตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษา โดยเน้นผลที่เกิดกับนักเรียน ครู และผลการเรียน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงพัฒนาระบบการศึกษาและการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษาให้เหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17508 | ขอถอนร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 บังคับในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลนาคูณใหญ่ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม พ.ศ. .... | มท | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ บังคับในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลนาคูณใหญ่ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17509 | ขอความเห็นชอบแผนแม่บทการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. 2560 - 2579 | กษ | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนแม่บทการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙ ประกอบด้วย แผนการจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม และแผนการจัดรูปที่ดิน เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ของการจัดรูปที่ดินในการเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการผลิต มีระยะเวลาครอบคลุม ๒๐ ปี แบ่งการดำเนินงานออกเป็น ๔ ระยะ ได้แก่ แผนระยะเร่งด่วน (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐) แผนระยะสั้น (ปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔) แผนระยะกลาง (ปี พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๙) และแผนระยะยาว (ปี พ.ศ. ๒๕๗๐-๒๕๗๙) รวมพื้นที่ ๑๔.๔๖๑ ล้านไร่ งบประมาณดำเนินการรวม ๒๒๖,๐๗๘ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำแผนปฏิบัติการให้ชัดเจนเพื่อให้สามารถดำเนินการให้บรรลุตามเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทฯ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในโอกาสแรก ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประเมินผลสัมฤทธิ์ตามโครงการตามแผนแม่บทฯ และรายงานให้คณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางทราบ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้กับหน่วยงาน องค์กร ประชาชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มในแนวเขตพื้นที่จัดรูปที่ดินได้เข้ามามีส่วนร่วมในการรับทราบข้อเท็จจริง วิเคราะห์แนวทางการพัฒนาพื้นที่ ให้ข้อเสนอแนะ และพิจารณานำองค์ความรู้จากต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จและบทเรียนจากการดำเนินงานมาประยุกต์ใช้ในการจัดรูปที่ดินในประเทศไทย ควรวางกรอบการติดตาม ตรวจสอบ และรวบรวมข้อมูลผลงาน ความก้าวหน้า ตลอดจนปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานและจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับการจัดรูปที่ดิน นอกจากนี้ ควรพิจารณาเพิ่มเติมมาตรการในการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านชลประทานและการเกษตรในอนาคต และควรเร่งรัดการจัดทำแผนปฏิบัติการฯ เพื่อรองรับแผนแม่บทฯ โดยเน้นผลตอบแทนด้านการผลิตให้คุ้มค่ากับการลงทุนจัดระบบชลประทานในไร่นาของภาครัฐซึ่งสูงกว่าพื้นที่ชลประทานทั่วไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17510 | รายงานผลการปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2560 ไตรมาส 2 (มกราคม - มีนาคม 2560) | นร11 | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๖๐ ไตรมาส ๒ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๖๐) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการพิจารณาปรับปรุงงบลงทุน ประจำปี ๒๕๖๐ ไตรมาส ๒ มีการปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ โดยมีกรอบการเบิกจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เปลี่ยนแปลงไปจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติไว้ จาก ๕๒๐,๙๘๐ ล้านบาท เป็น ๕๐๗,๐๘๑ ล้านบาท ๒. เป้าหมายการเบิกจ่ายลงทุนประจำปี ๒๕๖๐ รัฐวิสาหกิจได้จัดทำเป้าหมายการดำเนินงานตามกรอบการเบิกจ่ายลงทุนที่ได้รับอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อใช้ในการติดตามผลการเบิกจ่ายลงทุน และจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลังเพื่อใช้ประกอบในการจัดทำเป้าหมายและตัวชี้วัดในการประเมินผลการดำเนินงานในภาพรวมขององค์กร ๓. ผลการเบิกจ่ายลงทุนประจำปี ๒๕๖๐ ไตรมาส ๒ รัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายลงทุนสะสมถึงเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ ได้จำนวน ๗๒,๒๙๔ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๘๒.๒ ของเป้าหมายไตรมาส ๒ (จำนวน ๘๗,๙๗๒ ล้านบาท) สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เบิกจ่ายลงทุนได้ร้อยละ ๗๒.๑ และทั้งปีคาดว่าจะเบิกจ่ายลงทุนได้ทั้งสิ้น ๔๙๔,๑๓๑ ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ ๙๗.๔ ของเป้าหมายรวม ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕.๐ ของกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนที่ได้รับอนุมัติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17511 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง (สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา) | สว | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕ รายการค่าเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งพร้อมพนักงานขับรถยนต์สำหรับรองเลขาธิการวุฒิสภา จำนวน ๑ คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๖๒๖,๘๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นกรณีเฉพาะราย ทั้งนี้ ให้มีผลเมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ใช้บังคับแล้ว ๒. สำหรับค่าเช่ารถยนต์ฯ นั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไม่ได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับไว้ เห็นควรให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สภานิติบัญญัติแห่งชาติตามขั้นตอน หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รายการค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ การเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งพร้อมพนักงานขับรถยนต์ดังกล่าว สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17512 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 เรื่อง การให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) | กค | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) ให้ได้ข้อยุติ โดยหากรัฐภาคีเห็นว่าข้อเสนอของกระทรวงการคลังเป็นเรื่องที่สามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดกับหลักเกณฑ์ของข้อตกลงพื้นฐานว่าด้วยโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน (Basic Agreement on ASEAN Industrial Projects) ก็ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามที่เสนอได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบอีก และให้รายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลให้รอบคอบและรัดกุม เพื่อไม่ให้เป็นภาระที่รัฐต้องใช้งบประมาณในการแก้ปัญหาในภายหลัง โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งควรมีมาตรการรองรับในกรณีที่ไม่มีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนราชการและ/หรือรัฐวิสาหกิจถือหุ้นในสัดส่วนที่มีอำนาจในการควบคุมจัดการสนใจเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนการลงทุนได้อย่างต่อเนื่องและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของโครงการฯ และพิจารณาหาสาเหตุที่ไม่มีหน่วยงานรัฐสาหกิจสนใจลงทุนในโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการในรูปแบบอื่น เพื่อรองรับกรณีที่ผลการหารือกับรัฐภาคีระบุว่าข้อเสนอของกระทรวงการคลังไม่สอดคล้องกับ Basic Agreement ต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) พร้อมทั้งกำหนดมาตรการรองรับในกรณีที่การดำเนินโครงการฯ ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ รวมทั้งให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการต่อต้านจากมวลชนในการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17513 | รายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙-๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ งบประมาณทั้งสิ้น ๒,๙๒๓,๐๐๐ ล้านบาท (รวมงบประมาณเพิ่มเติม) เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๘๖๔,๙๐๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๓.๘๐ ดังนี้
๑. มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบประมาณทั้งสิ้น ๒,๗๓๓,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๘๑๗,๙๙๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๖.๕๒ เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๐ จำนวน ๑๖๕,๖๒๘ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๑.๔๗ (เป้าหมายภาพรวม ร้อยละ ๖๕.๐๕) ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๒,๑๘๔,๑๒๘ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๕๗๔,๙๓๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๒.๑๑ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๕๔๘,๘๗๒ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๓๖๓,๕๗๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๖.๒๔ และเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๔๓,๐๖๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๔.๒๘ ๒. มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กทั่วประเทศ ๒.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ รวมทั้งสิ้น ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท จัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๒๑,๗๑๑ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒๐,๖๘๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๕.๒๕ และเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๙,๕๙๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๐.๒๔ ๒.๒ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รายการรายจ่ายลงทุนที่มีวงเงินไม่เกิน ๒ ล้านบาท จัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๓๑,๒๘๒ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒๘,๖๓๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๑.๕๒ และเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๕,๘๕๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๒.๖๔ ๓. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบประมาณทั้งสิ้น ๑๙๐,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๔๖,๙๑๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๔.๖๙ ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๑๐๕,๖๓๑ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๔๖,๒๘๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๓.๘๒ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๘๔,๓๖๙ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๑๘,๗๘๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๒.๒๗ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๖๒๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๗๔ ๔. เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๙ รวมทั้งสิ้น ๒๗๖,๑๗๔ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒๓๕,๓๑๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๒๑ และเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๖๗,๗๑๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๐.๗๓
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17514 | สรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหาราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ 7/2560 | นร05 | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ (บยศ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๐ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามที่ฝ่ายเลขานุการ บยศ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุขในช่วง ๓ ปีที่ผ่านมา เช่น การนำร่องโครงการคลินิกหมอครอบครัว การบริการจัดการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิ์ทุกที่ (UCEP) และการพัฒนางานสมุนไพรสนับสนุนการสร้างรายได้โดยสร้างเมืองสมุนไพรต้นแบบ (Herbal city) จำนวน ๑๓ แห่ง และเป้าหมายที่จะดำเนินการในช่วงต่อไป (ระยะเวลา ๑ ปี ๔ เดือน) เช่น (๑) การต่อยอดการดำเนินโครงการ Smart citizen (๒) การพัฒนาอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ (๓) การพัฒนาเขตสุขภาพพิเศษ และ (๔) การพัฒนาโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ๙๕๙ แห่ง เพื่อลดมลพิษ ลดการใช้พลังงาน ลดภาวะโรคร้อน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการ (๑) การจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (District Health Board : DHB) เพื่อบูรณาการและกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณด้านสาธารณสุขในระดับพื้นที่ (๒) การดำเนินโครงการคลินิกหมอครอบครัว เพื่อให้การดูแลประชาชนแบบปฐมภูมิ (๓) ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรมบัญชีกลาง (ในฐานะหน่วยงานเจ้าของงบประมาณสำหรับสิทธิการรักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการ) และสำนักงานประกันสังคมหารือร่วมกันถึงแนวทางการจ่ายเงินเพื่อสนับสนุนให้แก่คลินิกหมอครอบครัวเพิ่มเติมจากในปัจจุบันที่จ่ายได้เฉพาะโรงพยาบาลที่ทำการรักษา (๔) สร้างแรงจูงใจให้แพทย์ ๓ สาขา ประกอบด้วย สาขาเวชศาสตร์ครอบครัว สาขาระบาดวิทยา และสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน (เพื่อรองรับการดำเนินโครงการคลินิกหมอครอบครัว ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข และการดูแลผู้ป่วย UCEP) โดยการออกระเบียบเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของผู้ปฏิบัติงานด้านการสาธารณสุขฉบับใหม่ และสนับสนุนความก้าวหน้าด้านวิชาชีพ และ (๕) ให้กระทรวงสาธารณสุขประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาเขตสุขภาพพิเศษ เพื่อดูแลงานสาธารณสุขชายแดน งานสาธารณสุขทางทะเลและเกาะ และเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก รวมถึงพื้นที่เฉพาะอื่น ๆ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และรับข้อสังเกตที่ประชุมไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17515 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานี พ.ศ. .... | มท | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลหนองขาหย่าง อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรเพิ่มประเภทโรงงาน ได้แก่ โรงงานประเภท ๕๘ (๑) การทำผลิตภัณฑ์คอนกรีต ผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมผลิตภัณฑ์ยิปซั่ม หรือผลิตภัณฑ์ปูนปลาสเตอร์ ในร่างกฎกระทรวงฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าผู้ที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมืองให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ และคำนึงถึงปริมาณน้ำต้นทุนและปริมาณการใช้น้ำ รวมทั้งการควบคุมการก่อสร้างต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคกับการระบายน้ำในพื้นที่ และในการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรม และพิจารณามิให้เป็นอุปสรรคต่อการจัดสร้างระบบรวบรวมหรือระบบบำบัด/กำจัดมลพิษ ตลอดจนการกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ๆ ที่เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินรองของการใช้ประโยชน์ที่ดินหลักในแต่ละประเภท เมื่อมีการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละบริเวณแล้ว ควรมีการจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมืองด้วย และกรมโยธาธิการและผังเมืองควรพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับดูแลและควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17516 | แผนพัฒนากำลังคนรายจังหวัด พ.ศ. 2560 - 2564 | รง | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนพัฒนากำลังคนรายจังหวัด พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เป็นการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ด้านการจัดทำแผนพัฒนากำลังคน ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙) โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพจังหวัดเป็นกลไกขับเคลื่อนการจัดทำ กำกับดูแล รวมถึงบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อให้เป็นแผนพัฒนาจำแนกความต้องการกำลังคนตามตำแหน่งงานของจังหวัด โดยได้กำหนดเป้าหมายการดำเนินงาน ๕ ปี มีความต้องการแรงงานเป้าหมายซึ่งกำหนดโดยภาคอุตสาหกรรม จำนวนรวม ๕,๐๒๑,๐๔๐ คน แบ่งเป็นแรงงานภาคการศึกษาซึ่งเป็นหน่วยผลิตกำลังแรงงานเข้าใหม่สู่ตลาดแรงงานทั้งสายสามัญและสายวิชาชีพ จำนวน ๑,๐๑๗,๖๑๘ คน และแรงงานภาคการพัฒนา ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำหน้าที่พัฒนาแรงงานที่อยู่ในกำลังแรงงานอยู่แล้วให้มีทักษะความสามารถเพิ่มขึ้น จำนวน ๔,๐๐๓,๔๒๒ คน รวมทั้งได้กำหนดความต้องการแรงงานในภาคกลุ่มอุตสาหกรรม ๑๙ กลุ่มอุตสาหกรรม จำแนกตามจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเพื่อสนับสนุนนโยบายการบริหารงานแบบกลุ่มจังหวัด รวม ๑๘ กลุ่มจังหวัด โดยเกษตรกรรม ประมง และปศุสัตว์มีจำนวนแรงงานเป้าหมายการผลิตและการพัฒนามากที่สุด และมอบหมายหน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเกี่ยวกับการขับเคลื่อนแผนพัฒนากำลังคนรายจังหวัดฯ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเป้าหมายการผลิตและพัฒนากำลังคนของอุตสาหกรรมอนาคต (S-Curve และ New S-Curve) เป็นการประมาณการความต้องการกำลังคนบนฐานโครงสร้างการผลิตของอุตสาหกรรมที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมในอนาคต จึงควรพิจารณาศึกษาความต้องการกำลังคนภายใต้ห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมทั้ง ๑๐ อุตสาหกรรมเพิ่มเติม โดยคำนึงถึงความสอดคล้องเชื่อมโยงกับข้อเสนอแนวทางและแผนการดำเนินงานที่กำหนดโดยคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้การผลิตและการพัฒนากำลังคนสามารถรองรับความต้องการกำลังคนของอุตสาหกรรมอนาคตอย่างแท้จริง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงแรงงานเร่งจัดทำแผนพัฒนากำลังคนเพิ่มเติมที่แสดงให้เห็นถึงความต้องการแรงงานรองรับ ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) กลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร โดยคำนึงถึงความสอดคล้องเชื่อมโยงกับแนวทาง/แผนการดำเนินงานที่กำหนดโดยคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้งความต้องการแรงงานแยกตามภาค/เขตพื้นที่อุตสาหกรรม แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17517 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 29 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 28 กุมภาพันธ์ 2560) | นร | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๒๙ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณีกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมพัฒนา และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ ได้แก่ การปฏิรูปการเงินฐานรากและร่างพระราชบัญญัติสถาบันการเงินชุมชน การปฏิรูประบบการให้ความรู้พื้นฐานทางการเงินแก่ประชาชน การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย การปฏิรูปกฎหมายและระบบบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนของประเทศ ระบบการแพทย์ฉุกเฉินช่วงก่อนถึงโรงพยาบาล การปฏิรูปโครงสร้างองค์กรภาครัฐ การจัดความสัมพันธ์ระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น : การปฏิรูปการบริหารจัดการของหน่วยรับผิดชอบงานทาง ธนาคารที่ดินและร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. .... และการปฏิรูปการดำเนินการด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยและแนวทางการดำเนินงานไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ การน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และการรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การจัดทำโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น โครงการห้องเรียนกีฬา โครงการโรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือและพัฒนาเป็นพิเศษอย่างเร่งด่วน (โรงเรียนไอซียู) การจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลมาฆบูชา และการยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรแปรรูปยางพาราภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ การดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังด้วยมาตรการสนับสนุนสินเชื่อ การดำเนินมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี ๒๕๖๐ เพิ่มเติม การดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้านอาหารไทย ประจำปี ๒๕๖๐ การดูแลผู้บริโภคหลังการปรับราคาจำหน่ายปลีกก๊าซหุงต้ม และการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ ได้พัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงให้มีสมรรถนะและทักษะฝีมือตามมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากลอันจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคให้เข้มแข็งและยั่งยืน รวมถึงเพื่อเป็นการส่งเสริมและผลักดันมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาคและระดับสากล ตลอดจนเพื่อส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมและการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยไม่เป็นธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17518 | แนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวงตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (6 ตุลาคม 2558) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2560 | นร | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (๖ ตุลาคม ๒๕๕๘) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ มีประเด็นการประชาสัมพันธ์ที่สำคัญ ดังนี้
๑. ผลงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์ (๑) เดือนที่ผ่านมา (กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) ได้แก่ การเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในด้านต่าง ๆ การสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ และแรงงานต่างชาติ และ (๒) เดือนต่อไป (เมษายน ๒๕๖๐) ได้แก่ การส่งเสริมให้เกษตรกรน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่มาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตและการทำการเกษตร การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิแรงงาน และภาวะการค้าระหว่างประเทศ ๒. ผลงานตามประเด็นการปฏิรูป (๑) เดือนที่ผ่านมา (กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปประเทศ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง การรณรงค์ส่งเสริมการเคารพสิทธิผู้อื่น มาตรการควบคุมป้องกันโรคติดต่อ โรคติดต่ออุบัติใหม่ ภัยสุขภาพ โรคฤดูร้อน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยว และมาตรการจัดระเบียบสังคม และการแก้ปัญหาสาธารณภัย และ (๒) เดือนต่อไป (เมษายน ๒๕๖๐) ได้แก่ ความคืบหน้าโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย ๓. ผลงานการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน (๑) เดือนที่ผ่านมา (กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) ได้แก่ การชี้แจงประเด็นการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน การป้องกันปัญหาหมอกควันและการเผาในที่โล่งในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน การให้ข้อมูลเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน และนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ และ (๒) เดือนต่อไป (เมษายน ๒๕๖๐) ได้แก่ การดำเนินการและความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาราคาข้าว การรายงานสถานการณ์การละเมิดสิทธิเสรีภาพและมนุษยชน และการรณรงค์ป้องกันการบาดเจ็บจากการจราจรช่วงเทศกาลสงกรานต์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17519 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. .... | มท | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลสักหลง ตำบลวัดป่า ตำบลบ้านโสก ตำบลตาลเดี่ยว ตำบลหล่มสัก ตำบลน้ำก้อ ตำบลหนองไขว่ ตำบลบ้านหวาย ตำบลน้ำชุน ตำบลลานบ่า และตำบลปากดุก อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นว่า ร่างกฎกระทรวงฯ ไม่สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงที่การประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน ๒๙ ประเภท ๕๘ โรงงาน คิดเป็นร้อยละ ๔๔ ของโรงงานทั้งหมดในพื้นที่วางผังไม่ได้กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงฯ ส่งผลให้ไม่สามารถเพิ่มเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการควบคุมมลพิษ เพื่อรองรับการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ ไม่สามารถตั้งโรงงานเพื่อรองรับและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ เช่น โรงงานประเภท ๑๐๕ โรงงานคัดแยก ฝังกลบสิ่งปฏิกูล โรงงานประเภท ๑๐๖ โรงงานนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม และโรงงานประเภท ๘๘ ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ชีวภาพ และขยะชุมชนได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยเพิ่มเติมข้อมูลระดับชั้นความสูงในแผนที่ท้ายกฎกระทรวงในเรื่องนี้ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการตรวจสอบแนวเขตพื้นที่ที่จะดำเนินการอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากอาจมีพื้นที่บางส่วนทับซ้อนกับเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและควรให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมืองให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงดังกล่าว และคำนึงถึงปริมาณน้ำต้นทุนและปริมาณการใช้น้ำ รวมถึงการควบคุมการก่อสร้างต่าง ๆ เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคกับการระบายน้ำในพื้นที่ สำหรับการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรม และพิจารณามิให้เป็นอุปสรรคต่อการจัดสร้างระบบรวบรวมหรือระบบบำบัด/กำจัดมลพิษ รวมทั้งการกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ๆ ที่เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินรองของการใช้ประโยชน์ที่ดินหลักในแต่ละประเภท ควรมีการจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะ นอกจากนี้ ควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับ ดูแล และอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดินริมฝั่งแม่น้ำหรือแหล่งน้ำสาธารณะอย่างเข้มงวด ไม่ให้มีการรุกล้ำลำน้ำ รวมทั้งที่เว้นว่างตามแนวขนานลำน้ำ เพื่อให้สามารถบรรเทาปัญหาน้ำท่วมและรองรับการขยายตัวของเมืองได้อย่างมีคุณภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17520 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร01 | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งภาพรวมสถิติที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๔๐,๙๙๓ ครั้ง รวมจำนวน ๒๓,๖๗๖ เรื่อง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๒๐,๕๔๔ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๗๗ โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย หนี้สินนอกระบบ แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด และแจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน ตามลำดับ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความสำคัญแก่การเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
.....