ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 875 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 17481 - 17500 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
17481 | การให้ความช่วยเหลือเงินดำรงชีพแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 | พม | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีค่าจัดการศพ ให้ความช่วยเหลือแก่วีรชนในกรณีที่เสียชีวิตอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ รายละ ๒๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ ให้ความช่วยเหลือเงินดำรงชีพแก่วีรชนและญาติวีรชนในอัตราเดียวกัน โดยให้ความช่วยเหลือในอัตรารายละ ๓,๐๐๐ บาทต่อเดือนจนกว่าจะเสียชีวิต ๒. ในการจ่ายเงินช่วยเหลือให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดทำหลักฐานการจ่ายเงินดังกล่าวให้ถูกต้อง ชัดเจน และเป็นที่ยุติว่า จะไม่มีข้อเรียกร้องใด ๆ ในอนาคตอีก สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะใช้เพื่อการนี้ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ แผนงานบูรณาการสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ โครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ รายการเงินอุดหนุนช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษย์ธรรม เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17482 | การเช่ารถยนต์เพื่อใช้ในการปฏิบัติภารกิจของสำนักงาน ป.ป.ส. | ยธ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ดำเนินการเช่ารถยนต์ จำนวน ๔๒ คัน เพื่อใช้ในการปฏิบัติภารกิจของสำนักงาน ป.ป.ส. ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๕ ตั้งแต่กรกฎาคม ๒๕๖๐ ถึงมิถุนายน ๒๕๖๕ ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นกรณีเฉพาะราย ในวงเงินทั้งสิ้น ๗๕,๙๖๕,๒๘๐ บาท ตามอัตราค่าเช่ารถยนต์ที่กระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบแล้ว โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๓,๗๙๘,๒๖๔ บาท โดยปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๑๕,๑๙๓,๐๕๖ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้เสนอตั้งรองรับไว้แล้ว จำนวน ๒,๖๑๒,๐๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๑๒,๕๘๑,๐๕๖ บาท ให้เสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศใช้บังคับ แล้วแต่กรณี ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๕๖,๙๗๓,๙๖๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕ ตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อให้ครบวงเงินตามสัญญาต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ป.ป.ส. ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และต่อรองให้ได้ราคาต่ำสุดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17483 | ผลการประชุมรัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยเศรษฐกิจภาคทะเล ครั้งที่ 2 | กต | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยเศรษฐกิจภาคทะเล ครั้งที่ ๒ (2nd IORA Blue Economy Ministerial Conference) ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าวต่อไปตามตารางติดตามผลการประชุม ซึ่งรัฐมนตรี/ผู้แทนระดับสูงจากประเทศสมาชิกที่ประชุมรับรองปฏิญญาจาการ์ตาว่าด้วยเศรษฐกิจภาคทะเล (Jakarta Declaration on the Blue Economy) เพื่อแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิก IORA ในการเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจภาคทะเลอย่างยั่งยืน และครอบคลุมในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย ผ่านการพัฒนาสาขาที่สำคัญของเศรษฐกิจภาคทะเลของ IORA และการจัดตั้งคณะทำงานด้านเศรษฐกิจภาคทะเล (Working Group on Blue Economy) เพื่อกำหนดแผนงานและโครงการที่ชัดเจน รวมทั้งข้อเสนอของไทยที่ให้ประเทศสมาชิกร่วมกันพิจารณาจัดทำ Master Plan on Blue Economy เพื่อจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่เป็นรูปธรรมเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนของ IORA ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17484 | รายงานผลการดำเนินการโครงการอาคารปรีคลินิกและศูนย์วิจัย สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล | ศธ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป โครงการอาคารปรีคลินิกและศูนย์วิจัย สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ภายในวงเงิน ๑,๒๕๑.๐๐ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๓ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17485 | การรายงานผลความคืบหน้าการจัดทำแผนการผลิต เพาะปลูกเมล็ดถั่วเหลืองเพิ่มเติม | กษ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการรายงานผลความคืบหน้าการจัดทำแผนการผลิต เพาะปลูกเมล็ดถั่วเหลืองเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานภายใต้คณะอนุกรรมการพัฒนาการผลิตถั่วเหลือง ได้มีการกำหนดกรอบยุทธศาสตร์ถั่วเหลืองเพื่อความมั่นคงด้านอาหาร ระยะเวลา ๒๐ ปี (ปี ๒๕๖๑-๒๕๗๙) แบ่งการดำเนินงานเป็นช่วงละ ๕ ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแหล่งผลิตถั่วเหลืองสำหรับแปรรูปอาหาร พัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพถั่วเหลืองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมทั้งพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปถั่วเหลืองเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ๑.๒ การดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อพัฒนาการผลิตถั่วเหลือง ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการร่วมกับกรมวิชาการเกษตรและกรมส่งเสริมการเกษตรจัดทำโครงการส่งเสริมการปลูกถั่วเหลืองหลังนาเพื่อเป็นการปรับปรุงบำรุงดินให้มีคุณภาพเพิ่มขึ้นและเพิ่มผลผลิตถั่วเหลือง โดยให้คัดเลือกพื้นที่ดำเนินการในลักษณะเกษตรแปลงใหญ่ประชารัฐ และให้เริ่มดำเนินการโครงการได้ภายในฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ๑.๓ การดำเนินโครงการปลูกถั่วหลังนาประชารัฐ ปี ๒๕๕๙ ได้กำหนดพื้นที่ในการส่งเสริมการปลูกถั่วเหลืองหลังนาเพื่อเพิ่มผลผลิต เป้าหมาย ๕,๐๐๐ ไร่ มีพื้นที่เข้าร่วมโครงการจริง ๑,๗๑๙ ไร่ ใน ๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ อุดรธานี เชียงใหม่ และพะเยา โดยจัดทำแปลงต้นแบบถั่วเหลือง จำนวน ๙ แปลง ซึ่งได้มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จสิ้นแล้วในจังหวัดศรีสะเกษ อุดรธานี และอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ระหว่างการเก็บเกี่ยวผลผลิต สำหรับผลผลิตในจังหวัดพะเยาไม่ได้เก็บเกี่ยวเนื่องจากต้นกล้าได้รับผลกระทบจากอากาศหนาวเย็น ส่วนสาเหตุที่มีพื้นที่เข้าร่วมโครงการน้อย เพราะบางพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้งและยังไม่มีความพร้อมในเรื่องของแหล่งน้ำ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาหรือตรวจสอบข้อมูลความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ อย่างละเอียดในทุกมิติก่อนดำเนินการ เพื่อให้แผนงาน/โครงการต่าง ๆ เป็นไปตามกรอบเวลา บรรลุผลตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17486 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 (ครั้งที่ 12) | พน | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๑๒) เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ประกอบด้วย เรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา จำนวน ๑ เรื่อง คือ ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการสตึงมนัม (Tariff MOU) และเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) แนวทางการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสภาวะวิกฤตก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๖ (๒) อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และ (๓) การรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำ) เป็นเจ้าภาพหลักในการกำหนดแนวทางการผันน้ำจากโครงการสตึงมนัมให้รองรับความต้องการใช้น้ำในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เตรียมการศึกษาแนวทางเส้นทางการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำให้สอดคล้องกับแนวทางที่กรมทรัพยากรน้ำจะกำหนด รวมทั้งให้สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐเกี่ยวกับนโยบายนี้ต่อไป ตามมติ กพช. ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ในการดำเนินการให้จัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการตามแผนดังกล่าวในแต่ละระยะให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับแนวนโยบายการพัฒนาประเทศ ความพร้อมของพื้นที่ และภาระงบประมาณด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17487 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 30 | กต | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๐ เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ในส่วนของการเสริมสร้างอาเซียนให้เป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง การเร่งปฏิบัติตามพันธกรณีอาเซียนที่มีอยู่ การจัดระบบความร่วมมือด้านการบริหารจัดการชายแดน การดำเนินมาตรการทางด้านการพัฒนาควบคู่กับการต่อต้านการก่อการร้าย การรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ การรักษาความสมดุลในการดำเนินความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี การส่งเสริมความร่วมมือกับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐอเมริกา การเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล การสร้าง ASEAN Branding สำหรับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (Micro SMEs) การเร่งสร้างความเชื่อมโยงไร้รอยต่อทั้งภายในอาเซียนและภูมิภาคอื่น ๆ การอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดน การเร่งความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) การส่งเสริมความมั่นคงของมนุษย์และการพัฒนาที่ยั่งยืน การดำเนินการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างเป็นระบบ การส่งเสริมการค้าเสรีระหว่างกันในอาเซียน เพื่อมุ่งที่จะเพิ่มการค้าภายในระหว่างกันให้มากขึ้น การดำเนินการตามปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยบทบาทของราชการพลเรือนในฐานะผู้เร่งรัดให้วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ บรรลุผล ที่ผู้นำอาเซียนลงนามในการประชุมครั้งนี้ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับประเด็นการเจรจาจัดทำความตกลง RCEP ควรดำเนินการอย่างรอบคอบระมัดระวัง โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของท่าทีไทยที่ประมวลผลร่วมกันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม รวมทั้งคำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17488 | รายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 และเสนอให้จัดทำโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย | กค | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๐ ซึ่งเมื่อสิ้นสุดโครงการลงทะเบียนฯ มีผู้มาลงทะเบียนทั้งสิ้น ๑๔,๑๘๐,๓๓๖ คน โดยอยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูลและตรวจสอบคุณสมบัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะตรวจสอบคุณสมบัติแล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ และจะเผยแพร่ผลการตรวจสอบต่อไป ๑.๒ เห็นชอบในสาระสำคัญของโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจสภาพความเป็นอยู่และความต้องการสวัสดิการจากภาครัฐของผู้มีรายได้น้อย ซึ่งครอบคลุมผู้ที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนฯ ปี ๒๕๖๐ และมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติเป็นหน่วยงานจัดทำโครงการสำรวจฯ และประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นว่า นักศึกษาผู้สำรวจข้อมูลควรมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ที่จะทำการสำรวจเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้สะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงพื้นที่ในการสำรวจ อีกทั้งควรพิจารณาจัดทำแบบสำรวจให้ครอบคลุมข้อมูลที่เหมาะสมตามความจำเป็น เพื่อให้รัฐบาลมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน และประสานความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อประชาสัมพันธ์และอำนวยความสะดวกให้กับการสำรวจข้อมูลประชากรในพื้นที่เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียน และนำไปสู่การสร้างฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยที่สมบูรณ์แบบ ตลอดจนควรมีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจภาคครัวเรือนในการจัดทำแบบสอบถามเพื่อใช้ในการสำรวจ รวมทั้งการดำเนินโครงการสำรวจควรพิจารณาถึงการได้มาของข้อมูลในระดับครัวเรือนควบคู่กับข้อมูลในระดับบุคคล การพิจารณาถึงบริบทด้านครัวเรือนเพิ่มเติมจะช่วยลดความซ้ำซ้อนในการจัดสวัสดิการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐได้อีกส่วนหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17489 | ขออนุมัติร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถานว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษ/หนังสือเดินทางราชการ | กต | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถานว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษ/หนังสือเดินทางราชการ (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Kazakhstan on Exemption from Visa Requirements for Holders of Diplomatic and Service/Official Passports) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางของเจ้าหน้าที่การทูตและข้าราชการของทั้งสองฝ่าย ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนการเยือนและการประสานราชการระหว่างกัน โดยจะเป็นการช่วยยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในด้านอื่น ๆ อาทิ ด้านการเมือง เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว วิชาการ และวัฒนธรรมต่อไป ทั้งนี้ จะมีการลงนามในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission on Bilateral Cooperation : JC) ไทย-คาซัคสถาน ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๐ ณ กรุงอัสตานา สาธารณรัฐคาซัคสถาน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามเพื่อให้ความตกลงฯ ๑.๔ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งสาธารณรัฐคาซัคสถานเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลบังคับต่อไป ๑.๕ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17490 | โครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย | ดศ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีข้อมูลในการกำหนดนโยบายจัดสวัสดิการช่วยเหลือของรัฐที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสม และยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยให้ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม มีข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นในการติดตาม ประเมินผลในระยะยาวในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของประเทศ และส่่งเสริมให้นักศึกษา/นักเรียนได้เรียนรู้สภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของประชาน และมีส่วนร่วมช่วยเหลือสังคมได้ต่อไปในอนาคต ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้ ในการดำเนินการจัดทำแบบสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อยให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหัวข้อการสำรวจให้ครอบคลุมถึงประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ครบถ้วน เช่น สภาพความเป็นอยู่ สภาพปัญหาและความต้องการพื้นฐานของผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น เพื่อให้ภาครัฐได้ข้อมูลที่จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์และกำหนดนโยบายด้านสวัสดิการของรัฐได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง ๒. สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการดังกล่าว ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๙๒๑,๑๖๘,๗๐๐ บาท ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีประธานกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ แผนงานบูรณาการเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17491 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2560 | กษ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๐ ที่ให้ความเห็นชอบ (๑) การขยายระยะเวลาดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา (๒) การดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง (เพิ่มเติม) (๓) การขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางและโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง และ (๔) การดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง ๒. เห็นชอบและอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพาราเป็นระยะเวลา ๓ ปี (วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓) โดยดำเนินโครงการภายใต้กรอบวงเงินสินเชื่อเดิม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) รับผิดชอบโครงการแทนกรมส่งเสริมสหกรณ์ โดยภาครัฐจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับเงื่อนไขโครงการเดิม โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายจริงที่จะเกิดขึ้น โดยไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้และไม่รวมถึงการชดเชยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันภัยในอัตราร้อยละ ๐.๓๖ ต่อปี จำนวน ๓๖ ล้านบาท นั้น เห็นควรให้ กยท. นำเงินกองทุนพัฒนายางพารา ตามนัยมาตรา ๔๙ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ มาสนับสนุนค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันดังกล่าวในโอกาสแรกก่อน ๒.๒ เห็นชอบให้ดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง (เพิ่มเติม) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง จำนวน ๑๑,๔๖๐ ครัวเรือน ซึ่งอยู่ภายในกรอบวงเงินการช่วยเหลือเดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ โดยเห็นควรให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน ๙๐ วันนับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ๒.๓ เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง ซึ่งคงเหลือ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๒๘,๑๗๔.๘๖๙ ล้านบาท ให้กับ ธ.ก.ส. ออกไปอีก ๓ ปี จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ และยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันเงินกู้ โดยให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาการค้ำประกันเงินกู้กับ ธ.ก.ส. ออกไปตามระยะเวลาการขยายชำระเงินกู้ให้กับ ธ.ก.ส. พร้อมชดเชยต้นทุนเงินในอัตราดอกเบี้ย FDR+1 ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรเร่งรัดดำเนินโครงการให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการและภาระค่าชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ ๒.๔ อนุมัติให้ดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ จนถึงเดือนเมษายน ๒๕๖๒ โดยภาครัฐจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราตามที่จ่ายจริงไม่เกินร้อยละ ๓ ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กยท. หารือกับกระทรวงการคลังเพื่อมอบหมายธนาคารของรัฐทำหน้าที่เป็นหน่วยรับจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยดอกเบี้ยแทนธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ และให้กระทรวงการคลังขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นต่อไป โดยไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้และไม่รวมถึงการชดเชยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ๒.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำผลการติดตามและประเมินผลโครงการรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะ ๆ ด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งระบายสต็อกและส่งมอบยางพาราตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางและโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายางตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงภาระงบประมาณที่เกี่ยวข้อง และเร่งปิดบัญชีโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางและโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรราคายางเพื่อขอจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยผลขาดทุนภายใต้โครงการทั้งสอง รวมทั้งควรมีการติดตามและสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรสามารถแปรรูปและระบายผลิตภัณฑ์ยาง เพื่อเร่งชำระหนี้คืนให้เสร็จสิ้นภายใน ๓ ปี เพื่อมิให้ภาครัฐต้องมีภาระการชดเชยดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และมีการติดตามผลการรับซื้อยางของผู้ประกอบการยางอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการและปรับปรุงแนวทางการดูดซับอุปทานส่วนเกินในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับกรณีเกษตรกรชาวสวนยางที่ไม่ได้มาแจ้งเข้าร่วมโครงการภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ให้ได้รับโอกาสเช่นเดียวกับเกษตรกรชาวสวนยางและแรงงานกรีดยางในช่วงที่ผ่านมา นั้น ควรยึดหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติตามที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับเกษตรกรทุกกลุ่ม นอกจากนี้ ควรเร่งหาตลาดหรือมาตรการเสริมอื่น ๆ เพื่อให้สามารถระบายสต็อกยางทั้งหมดในช่วงเวลาที่เหมาะสมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17492 | ปรับปรุงอัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการส่งยางออกนอกราชอาณาจักรเป็นอัตราคงที่ 2 บาทต่อกิโลกรัม | กษ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดอัตราจัดเก็บค่าธรรมเนียมส่งยางออกนอกราชอาณาจักร ในอัตราคงที่ ๒ บาทต่อกิโลกรัม โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตาม กำกับดูแล และประเมินผลการปรับปรุงอัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อมิให้เกิดปัญหาหรือผลกระทบต่อราคาจำหน่ายยางของเกษตรกร ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับจากค่าธรรมเนียมฯ ตามที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย และโดยที่การกำหนดค่าธรรมเนียมฯ ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรชาวสวนยาง ผู้ประกอบกิจการยางและผู้ส่งออกยาง ตลอดจนอุตสาหกรรมยางในภาพรวม ทั้งในเชิงบวกและลบ โดยเฉพาะหากราคายางมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงควรพิจารณาผลกระทบในกรณีต่าง ๆ เพื่อหามาตรการรองรับที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17493 | ขอความเห็นชอบต่อร่างบันทึกผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย - คาซัคสถาน ครั้งที่ 3 | กต | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย-คาซัคสถาน ครั้งที่ ๓ (Draft Agreed Minutes of the 3rd Meeting of the Joint Commission for Bilateral Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Kazakhstan) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์สำคัญของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ ๓ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๐ ณ กรุงอัสตานา สาธารณรัฐคาซัคสถาน มีสาระสำคัญครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ความร่วมมือด้านการเมือง (๒) ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ (๓) ความร่วมมือด้านสุขภาพและการพัฒนาสังคม (๔) ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและการกีฬา (๕) ความร่วมมือทางวิชาการ (๖) ความร่วมมือด้านข้าราชการพลเรือน และ (๗) ความร่วมมือด้านกฎหมาย ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ ๓ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ ๓ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17494 | การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | นร07 | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และการกำหนดปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17495 | ผลการเยือนญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | นร04 | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเยือนญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๔-๘ มิถุนายน ๒๕๖๐ ของกระทรวงการต่างประเทศ โดยมีประเด็นที่มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมหลายประการ ซึ่งถือเป็นการฉลองการครบรอบ ๑๓๐ ปี ของความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นได้ตอบรับที่จะเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ระบบราง โดยเฉพาะเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic : EWEC) การพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งให้คำมั่นที่จะผลักดันให้มีการเยือนไทยของคณะภาคเอกชนญี่ปุ่นในปีนี้ โดยมีการลงนามเอกสารความร่วมมือในระดับรัฐมนตรี และระดับหน่วยงาน ซึ่งรัฐมนตรีและผู้แทนด้านเศรษฐกิจของไทยได้หารือในรายละเอียดกับรัฐมนตรีและผู้แทนที่เกี่ยวข้องของญี่ปุ่นในห้วงการเยือนครั้งนี้ด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปฏิบัติตามผลการเยือนดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการลงทุน หรือเป็นที่ตั้งของสถานประกอบกิจการแต่ละประเภทไว้ให้ชัดเจน เพื่อให้พร้อมสำหรับนักลงทุนจากต่างประเทศที่จะพิจารณาตัดสินใจลงทุนในประเทศไทยได้ตรงกับความต้องการของตน เช่น พื้นที่ในเขตนิคมอุตสาหกรรม พื้นที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17496 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (นายชาตรี อรรจนานันท์ และนางลินนา ตังธสิริ) | กต | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายชาตรี อรรจนานันท์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการกงสุล ๒. นางลินนา ตังธสิริ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17497 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม) (จำนวน 3 ราย 1. นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ฯลฯ) | คค | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายสราวุธ ทรงศิวิไล ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นางอัมพวัน วรรณโก ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17498 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ) (นายสินเธาว์ ชัยสวัสดิ์) | ศธ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสินเธาว์ ชัยสวัสดิ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค ๑๗ (พิษณุโลก) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17499 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2556) | มท | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงราย พ.ศ. ๒๕๕๖) โดยแก้ไขข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทชุมน ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม ที่ดินประเภทปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินประเภทอนุรักษ์สภาพแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยว และที่ดินประเภทอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน การอยู่อาศัยหรือประกอบพาณิชยกรรมประเภทอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่ การกำหนดที่ว่างริมแหล่งน้ำหรือแปลงที่ดิน ตลอดจนปรับปรุงบัญชีท้ายกฎกระทรวง เพื่อกำหนดให้การประกอบกิจการโรงงานดำเนินการได้อย่างเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าผู้ที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมืองให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ โดยคำนึงถึงปริมาณน้ำต้นทุนและปริมาณการใช้น้ำ รวมทั้งการควบคุมการก่อสร้างต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคกับการระบายน้ำในพื้นที่ และในการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณามิให้เป็นอุปสรรคต่อการจัดสร้างระบบรวบรวมหรือระบบบำบัด/กำจัดมลพิษของพื้นที่ นอกจากนี้ กรมโยธาธิการและผังเมืองควรพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลและควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำสายสำคัญที่ประชาชนใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรกรรม การอุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยว เพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17500 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... | มท | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท เพื่อประโยชน์ในการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เพื่อให้การบังคับใช้ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อร่างกฎกระทรวงฯ ประกาศใช้ กรมโยธาธิการและผังเมืองควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการขออนุญาตและการก่อสร้างอาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ อย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
.....