ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 872 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 17421 - 17440 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
17421 | การขยายระยะเวลาความตกลงทวิภาคีความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นในการพัฒนากลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism: JCM) | ทส | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขยายระยะเวลาความตกลงทวิภาคีความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นในการพัฒนากลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๗๓ โดยร่างความตกลงฯ ฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อทดแทนความตกลงฯ ฉบับเดิมที่ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกลไก JCM เพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำระหว่างกัน โดยเป็นการส่งเสริมการลงทุน และการใช้เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ ระบบ บริการ และโครงสร้างพื้นฐานคาร์บอนต่ำในการบรรลุการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำในประเทศไทย ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) ประสานกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย อบก. รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามประเมินผลการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากโครงการ JCM เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาการผลิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยให้สามารถลดการพึ่งพาเทคโนโลยีนำเข้าจากประเทศพัฒนาแล้วในอนาคต สำหรับแนวทางในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้ JCM นั้น ควรคำนึงถึงเป้าหมายตาม Nationally Determined Contribution (NDC) ของประเทศไทยเป็นสำคัญ และควรพิจารณาการบูรณาการในด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีภายใต้ JCM กับกลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยีของ United Nations Framework Convention on Climate Change (UNFCCC) ในประเทศไทยผ่าน National Designated Entity (NDE) รวมทั้งการส่งเสริมผู้ประกอบการและ SMEs ของประเทศไทยในการเข้าร่วมและได้รับประโยชน์จากโครงการ JCM ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือทางธุรกิจอุตสาหกรรมเพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพ การเข้าถึงเงินทุน และสร้างโอกาสให้กับอุตสาหกรรมไทย นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้จากโครงการ JCM ที่จะต้องถูกแบ่งปันคาร์บอนเครดิตกลับไปให้ฝ่ายญี่ปุ่นในปริมาณไม่เกินร้อยละ ๕๐ ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ภายใต้ JCM และรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17422 | การให้ภาคยานุวัติเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท | ทส | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากการปลดปล่อยสู่บรรยากาศและการปล่อยสู่ดินหรือน้ำของปรอทและสารประกอบปรอทจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยสาระสำคัญของอนุสัญญาฯ เป็นการมุ่งเน้นการควบคุม ลด และเลิก สำหรับการผลิต การนำเข้าและส่งออก การใช้ การปลดปล่อย การปล่อยปรอทและสารประกอบปรอทจากแหล่งกำเนิด ๑.๒ เห็นชอบในการจัดทำภาคยานุวัติสารประกาศว่าการแก้ไขเนื้อหาในภาคผนวกใด ๆ ของอนุสัญญาฯ จะมีผลใช้บังคับกับประเทศไทยต่อเมื่อได้มอบภาคยานุวัติสารต่อการแก้ไขภาคผนวกนั้นแล้ว และมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำภาคยานุวัติสารดังกล่าว พร้อมทั้งส่งมอบให้สำนักเลขาธิการสหประชาชาติภายในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ ต่อไป ๑.๓ เห็นชอบให้มีการแจ้ง (๑) ยินยอมให้มีการนำเข้าปรอทจากประเทศภาคี (๒) ยินยอมให้มีการนำเข้าปรอทจากประเทศนอกภาคี (๓) ขอยกเว้นให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอท จำนวน ๗ ประเภท (๔) ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการเพื่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ และ (๕) แต่งตั้งกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นศูนย์ประสานงานระดับชาติ (National focal point) ในการประสานการปฏิบัติตามข้อ ๑๗ (๔) ของอนุสัญญาฯ โดยให้แจ้งข้อมูลทั้งหมดไปพร้อมกับภาคยานุวัติสาร ๑.๔ อนุมัติให้นำวิธีการอนุญาโตตุลาการมาใช้ในการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากอนุสัญญาฯ ๑.๕ เห็นชอบกับแผนการเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานและกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบพร้อมทั้งข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข และกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการออกอนุบัญญัติเพื่อรองรับการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนดในข้อเสนอในการออกกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อการภาคยานุวัติในอนุสัญญาฯ และรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติม อาทิ การนำเข้าปรอทจากประเทศนอกภาคี ควรอนุญาตให้นำเข้าได้เฉพาะการนำเข้าเพื่อใช้ในงานที่อนุญาตให้มีการใช้ปรอทได้ตามที่ระบุในอนุสัญญาฯ ข้อ ๓ แหล่งอุปทานปรอทและการค้าปรอท และประเทศนอกภาคีที่เป็นผู้ส่งออกให้การรับรองแหล่งที่มาของปรอทตามที่กำหนดในอนุสัญญา ฯ การดำเนินการขึ้นทะเบียนเพื่อขอยกเว้น (Exemption) การใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ในระยะเปลี่ยนผ่านและจนกว่าประเทศไทยจะสามารถดำเนินการได้ตามข้อกำหนด รวมทั้งรัฐบาลควรให้การสนับสนุนการเตรียมความพร้อมและศักยภาพด้านสาธารณสุขของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนดตามแผนการเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เพื่อรองรับการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17423 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 30 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 31 มีนาคม 2560) | นร04 | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๐ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณี กิจกรรมทางศาสนา และกิจกรรมพัฒนา และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ ได้แก่ การปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้าและร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... การปรับปรุงระบบกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาล ประสิทธิภาพ และการพัฒนาบุคลากรภาครัฐและร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ พ.ศ. .... การปฏิรูปแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การบริหารงานภาครัฐที่เปิดเผยข้อมูลและร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารสาธารณะ พ.ศ. ..... การปฏิรูปความรับผิดต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้าและร่างพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า พ.ศ. .... การจัดการสินค้าที่ไม่ปลอดภัยและร่างพระราชบัญญัติการแจ้งเตือนภัยและจัดการสินค้าที่ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค พ.ศ..... การปฏิรูปประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และการปฏิรูปทนายความอาสา ทนายความขอแรง และที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชน ในประเด็นการปฏิรูปค่าตอบแทนและสิ่งจูงใจพิเศษเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษี ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ การน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การบูรณาการระบบการส่งเสริมอาชีพและการมีงานทำของคนพิการ การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การแก้ไขหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน การดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี ๒๕๖๐ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว การจัดงานส่งเสริมด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม การขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) การขับเคลื่อนพัฒนาและส่งเสริม SMEs การส่งเสริมสมุนไพรไทย การขับเคลื่อนแผนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการจัดงานส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การเสริมสร้างภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น และทัศนคติที่ดีต่อไทย การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ญี่ปุ่น และการเปิดตัวแอปพลิเคชัน "Street Food Phuket" "Street Food Chiang Mai-Chiang Rai" และ "Street Food Bangkok" ในรูปแบบภาษาจีน ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การอบรมอาสาสมัครคุมประพฤติเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดในชุมชน การดำเนินโครงการพัฒนาระบบศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนที่มีอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล การจัดกิจกรรมในการพัฒนาเครือข่ายการปฏิบัติงานรับเรื่องร้องทุกข์ของส่วนราชการระดับกระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอิสระ และการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนสำหรับนักลงทุนชาวต่างชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17424 | การเป็นเจ้าภาพร่วมการจัดประชุมสัมมนาวิชาการในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้าน 3R ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 9 (The High - level Ninth Regional 3R Forum in Asia and the Pacific) | ทส | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุมสัมมนาวิชาการในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโส 3R (Reduce Reuse Recycle : 3R) ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ ๙ (The High-level Ninth Regional 3R Forum in Asia and the Pacific) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้มีความประหยัดและเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการจัดประชุมในส่วนที่ประเทศไทยรับผิดชอบ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17425 | รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2558 เรื่อง การทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชน | นร12 | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอเพิ่มเติม
๑. ให้องค์การมหาชนที่มีผลการปฏิบัติงานที่บรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้ง มีผลสัมฤทธิ์ มีประสิทธิภาพที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร และมีธรรมาภิบาล จำนวน ๓๒ แห่ง คงเป็นองค์การมหาชนต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยไม่ให้มีการเพิ่มอัตรากำลังขึ้นอีก ๒. ให้องค์การมหาชนที่มีผลการปฏิบัติงานที่บรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้ง มีผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ และมีธรรมาภิบาล จำนวน ๓ แห่ง คงเป็นองค์การมหาชนต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยมีรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนของแต่ละแห่ง ดังนี้ ๒.๑ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) โดยเปลี่ยนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๓ และแก้ไขในร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อไป ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เห็นชอบด้วยแล้ว ๒.๒ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) โดยคงให้นายกรัฐมนตรีเป็นรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๕ ตามเดิม ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เห็นชอบด้วยแล้ว ทั้งนี้ ให้มีการพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมเกี่ยวกับรัฐมนตรีรักษาการในรอบการประเมินครั้งต่อไป ๒.๓ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (สคพ.) โดยเปลี่ยนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๔ และแก้ไขในร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อไป ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เห็นชอบด้วยแล้ว ๓. ให้องค์การมหาชน จำนวน ๒ แห่ง คงเป็นองค์การมหาชนต่อไป แต่ต้องปรับบทบาทภารกิจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน และแก้ไขในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนให้เหมาะสม ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๓.๑ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ทั้งนี้ ไม่ให้มีการเพิ่มอัตรากำลังขึ้นอีก และให้พิจารณาปรับลดงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านการบริหารงานภายในองค์กรลงให้เหมาะสม โดยคงให้นายกรัฐมนตรีเป็นรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖ ตามเดิม ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เห็นชอบด้วยแล้ว ๓.๒ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (สบร.)ให้คงเหลือภารกิจสำคัญที่ต้องปฏิบัติ ๒ ภารกิจ ได้แก่ (๑) ภารกิจของอุทยานการเรียนรู้ และ (๒) ภารกิจของพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ และให้แยกศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบไปจัดตั้งเป็นสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) โดยให้เสนอคำขอจัดตั้งองค์การมหาชนตามขั้นตอนของสำนักงาน ก.พ.ร. ต่อไป และกำหนดให้องค์การมหาชนแห่งใหม่นี้มีภารกิจสนับสนุน และช่วยแก้ไขปัญหาด้านการออกแบบสินค้าและบริการของ SME ด้วย โดยควรเน้นการออกแบบให้เกิดมูลค่าสูงเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และสังคม ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เห็นชอบด้วยแล้ว ทั้งนี้ เมื่อแยกศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบออกไปแล้ว สบร. ต้องไม่เพิ่มอัตรากำลังและงบประมาณค่าใช้จ่ายเกินจำเป็น ๔. ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) (สพค.) และหน่วยงานภายในปรับเปลี่ยนสถานภาพ บทบาท ภารกิจให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีไปเป็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การสวนสัตว์) และศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบพระชนมพรรษา ไปเป็นของกระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ทั้งนี้ ให้ สพค. องค์การสวนสัตว์ และกรมธนารักษ์ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน และแนวทางปฏิบัติที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ได้หารือกับผู้เกี่ยวข้องแล้วเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๐ ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17426 | โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี 2560 (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) | ยธ | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๐ เพื่อสนับสนุนงบประมาณให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) จำนวน ๒๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจอนุมัติโครงการ แผนงาน และกิจการภายใต้กรอบงบประมาณ งบเงินอุดหนุน รายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๐ และสามารถจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนแต่ละประเทศ (หน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้าน) เพื่อให้มีการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ตามที่ได้รับจัดสรร ๑.๓ ให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจอนุมัติจ่ายเงินงบประมาณของโครงการฯ ให้กับอัครราชทูตที่ปรึกษาด้านควบคุมยาเสพติด ณ กรุงย่างกุ้ง เพื่อนำไปสนับสนุนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (หน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา) ดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) มอบวัสดุและครุภัณฑ์ที่จัดหาให้แก่หน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยขอยกเว้นไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๕๗ เป็นกรณีพิเศษ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินโครงการฯ สำหรับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาในปี ๒๕๖๐ ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส. จะนำงบประมาณฝากกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้อัครราชทูตที่ปรึกษาด้านควบคุมยาเสพติด ณ กรุงย่างกุ้ง เบิกจ่ายจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง โดยไม่มีค่าใช้จ่ายนั้น ให้สำนักงาน ป.ป.ส. มีหนังสือแจ้งเรื่องการโอนงบประมาณดังกล่าวอย่างเป็นทางการและประสานงานใกล้ชิดกับกระทรวงการต่างประเทศ นอกจากนี้ ขั้นตอนการใช้จ่ายและเบิกจ่ายงบประมาณ รวมทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง ควรดำเนินการตามขั้นตอน กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หรือยกเว้นผ่อนผัน แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ การดำเนินการโครงการดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ความมั่นคง และความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ในส่วนของการมอบพัสดุและครุภัณฑ์ที่จัดหาให้แก่หน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยขอยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม นั้น ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงาน ป.ป.ส) ดำเนินการขออนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ดังกล่าวต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17427 | ค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | อก | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๒๑๒,๒๗๓,๕๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สกรศ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องเพื่อหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อน รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17428 | ขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร08 | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๕๙๙,๙๑๑,๐๗๑ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามภารกิจตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ประกอบด้วย (๑) โครงการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รวม ๒ โครงการ จำนวน ๒๐,๘๖๑,๗๐๐ บาท (๒) โครงการตาม Road Map การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของผู้แทนพิเศษของรัฐบาล รวมทั้งงานขับเคลื่อนภารกิจของสำนักงาน คปต. ส่วนหน้า และสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สล.คปต.) รวม ๖ โครงการ จำนวน ๕๕๓,๕๐๘,๐๐๘ บาท และ (๓) งานขับเคลื่อนภารกิจของสำนักงาน คปต. ส่วนหน้า และ สล.คปต. (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน) จำนวน ๒๕,๕๔๐,๓๖๓ บาท ๒. ให้ คปต. ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และหากโครงการ/กิจกรรมใดสามารถลดภาระและกำลังคนภาครัฐโดยให้ประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการแทนได้ ก็ให้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17429 | การเสนอกรอบท่าทีของไทยในการประชุมสมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลก | กษ | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบท่าทีของไทยในการดำเนินงานความร่วมมือด้านดินต่อที่ประชุมสมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลก (Global Soil Partnership Plenary Assembly : GSP PA) ครั้งที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๐ ณ กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี โดยมีสาระสำคัญมุ่งเน้นการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การสร้างความมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการบริหารจัดการทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน และกำหนดแนวทางการจัดทำความร่วมมือร่วมกันในระดับภูมิภาคและนานาชาติที่ประเทศสมาชิกมีศักยภาพหรือเอื้อประโยชน์ต่อกัน รวมทั้งรับทราบองค์ประกอบของคณะผู้แทนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศ ๑.๒ เห็นชอบให้คณะผู้แทน (ฝ่ายไทย) เจรจากับผู้แทนประเทศสมาชิกและ GSP บนพื้นฐานของท่าทีของไทยในการประชุมสมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลก ครั้งที่ ๕ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเสนอท่าทีของไทยดังกล่าว แม้จะเป็นโอกาสที่ไทยสามารถแสดงบทบาทนำในเวทีระดับนานาชาติ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารจัดการข้อมูลดิน และการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมต่าง ๆ มาปรับใช้ขับเคลื่อนด้านทรัพยากรดินในประเทศ แต่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ จึงควรดำเนินการความร่วมมือด้านดินระดับภูมิภาคเอเชีย (Asian Soil Partnership : ASP) ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของไทยอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญของประเทศ รวมทั้งต้องคำนึงถึงข้อผูกพันที่เกิดจากการที่ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายและคณะทำงานต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17430 | ข้อตกลงระหว่างองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กับกรมปศุสัตว์ | กษ | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติจัดทำบันทึกข้อตกลงระหว่างองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กับกรมปศุสัตว์ มีสาระสำคัญเป็นการให้กรมปศุสัตว์จัดการประชุมผู้ประสานงานกลางทางด้านทรัพยากรพันธุกรรมสัตว์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยกรมปศุสัตว์จะต้องดำเนินการต่าง ๆ เช่น การจัดห้องประชุม การเชิญผู้ประสานงานกลางจากชาติต่าง ๆ และผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคเข้าร่วมประชุม การจัดหาบัตรโดยสารเครื่องบิน ที่พัก และอาหารให้ผู้เข้าร่วมประชุม การจัดให้มีการทัศนศึกษาครึ่งวัน และการจัดทำรายงานการประชุมเป็นภาษาอังกฤษ โดย FAO จะจ่ายเงินให้กรมปศุสัตว์เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าวเป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ๑.๒ เห็นชอบให้อธิบดีกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกข้อตกลงฯ เพื่อให้การดำเนินการลงนามในร่างบันทึกข้อตกลงและการดำเนินการจัดประชุมผู้ประสานงานกลางว่าด้วยการจัดการทรัพยากรพันธุกรรมสัตว์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงบันทึกข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17431 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) (นายภุชพงค์ โนดไธสง) | ดศ | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายภุชพงค์ โนดไธสง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17432 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงวัฒนธรรม) (นางสาวทัศชล เทพกำปนาท) | วธ | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวทัศชล เทพกำปนาท ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17433 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (จำนวน 7 คน 1. นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ฯลฯ) | วธ | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ตามพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๗ คน ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานกรรมการ ๒. นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน ๓. นางจินตนา พันธุฟัก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อสารมวลชน ๔. รองศาสตราจารย์ศุภกรณ์ ดิษฐพันธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านศิลปวัฒนธรรม ๕. นายสุรพล ทิพย์เสนา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๖. รองศาสตราจารย์ลือชัย ศรีเงินยวง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประเมินผล ๗. รองศาสตราจารย์นรีวรรณ จินตกานนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประเมินผล
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17434 | สรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ 8/2560 (เรื่อง รายงานความก้าวหน้าการติดตามการบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560) | นร05 | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ ในประเด็นเกี่ยวกับความคืบหน้าการขออุทธรณ์รายการตามพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๖๐ และการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โครงการตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ (Local Economy) งบประมาณ ๑๙๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์เสนอ ๒. อนุมัติรายการขออุทธรณ์ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน จำนวน ๑๗๐ รายการ วงเงิน ๑,๑๗๕.๔๐๔๓ ล้านบาท ที่มีผลการจัดซื้อจัดจ้าง และสำนักงบประมาณได้เสนอคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์แล้ว เพื่อดำเนินการขอรับจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๓. เห็นชอบให้สำนักงบประมาณรวบรวมรายการขออุทธรณ์ที่ได้ผลการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว และอยู่ระหว่างส่วนราชการนำส่งสำนักงบประมาณที่ยังเหลืออยู่อีก ๑๔,๗๔๕ รายการ จำนวนประมาณ ๕,๗๑๔ ล้านบาท เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์เป็นผู้ให้ความเห็นชอบแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณรวบรวมรายการขออุทธรณ์ทั้งหมดรายงานคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ทราบต่อไป ๔. เห็นชอบมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๓ กรณี ดังนี้ ๔.๑ กรณีรายการที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทักท้วง ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ดำเนินการหารือเพื่อทำความเข้าใจกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และให้ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ๔.๒ กรณีรายการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมูลค่าเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นขอทำความตกลงกับคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และให้คณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐเร่งพิจารณาให้ความเห็นชอบให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ และให้ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ๔.๓ กรณีส่วนที่เหลือ (ปัญหาการเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการ/ปัญหาการขอใช้ที่ดิน/ปัญหาด้านกฎหมาย) ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เป็นเจ้าของเรื่องดำเนินการเจรจากับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขให้แล้วเสร็จโดยเร็ว หากไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ และส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นพิจารณาแล้วเห็นว่า มีรายการอื่นที่มีความจำเป็นเร่งด่วนสามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของรัฐบาล และ/หรือดำเนินการแล้วเกิดประโยชน์ต่อประชาชน ก็ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นพิจารณาทบทวนเพื่อปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้เหมาะสม แล้วเสนอให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแลการปฏิบัติราชการพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องภายในวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ และให้ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17435 | แนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 38/2560 และครั้งที่ 39/2560 | นร | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกี่ยวกับระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๓๘/๒๕๖๐ วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๓๙/๒๕๖๐ วันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17436 | ความคืบหน้าการดำเนินงานด้านการปฎิรูปประเทศระหว่างวันที่ 13 - 19 มิถุนายน 2560 | นร04 | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานด้านการปฏิรูปประเทศ ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ประธานกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เสนอ ๒. รับทราบสรุปผลการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ครั้งที่ ๒๑/๒๕๖๐ วันอังคารที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ เกี่ยวกับรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เรื่อง การขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชาเพื่อการปฏิรูปประเทศ โดยคณะกรรมการขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชา และมอบหมายให้รัฐมนตรีทุกท่านนำรายงานดังกล่าวไปพิจารณาศึกษาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17437 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำ สถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ [ ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | สธ | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจำแนกลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล ประเภทคลินิกการแพทย์แผนไทย คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และโรงพยาบาลเฉพาะประเภทผู้ป่วย รวมทั้งกำหนดให้มีหน่วยบริการและระบบสนับสนุนการให้บริการของโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และโรงพยาบาลเฉพาะประเภทผู้ป่วย ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำสถานพยาบาล ให้ครอบคลุมถึงคลินิกการแพทย์แผนไทย คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และโรงพยาบาลเฉพาะประเภทผู้ป่วย ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขการกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล โดยกำหนดให้มีวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในคลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และปรับปรุงการกำหนดวิชาชีพ จำนวนผู้ประกอบวิชาชีพ และสัดส่วนของผู้ประกอบวิชาชีพต่อจำนวนเตียงที่เพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยตามตารางท้ายกฎกระทรวงกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยกำหนดเพิ่มเติมให้มีในส่วนของโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17438 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำ สถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ | สธ | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจำแนกลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล ประเภทคลินิกการแพทย์แผนไทย คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และโรงพยาบาลเฉพาะประเภทผู้ป่วย รวมทั้งกำหนดให้มีหน่วยบริการและระบบสนับสนุนการให้บริการของโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และโรงพยาบาลเฉพาะประเภทผู้ป่วย ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำสถานพยาบาล ให้ครอบคลุมถึงคลินิกการแพทย์แผนไทย คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และโรงพยาบาลเฉพาะประเภทผู้ป่วย ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ป่วยวิชาชีพในสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขการกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล โดยกำหนดให้มีวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในคลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และปรับปรุงการกำหนดวิชาชีพ จำนวนผู้ประกอบวิชาชีพ และสัดส่วนของผู้ประกอบวิชาชีพต่อจำนวนเตียงที่เพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยตามตารางท้ายกฎกระทรวงกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยกำหนดเพิ่มเติมให้มีในส่วนของโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17439 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายในการดำเนินมาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยกลุ่มเกษตรกรเพิ่มเติมตามความเหมาะสม โดยให้ใช้ฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐของกระทรวงการคลัง และฐานข้อมูลเกี่ยวกับการช่วยเหลือเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยที่ดำเนินการผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและธนาคารออมสินมาใช้ประกอบการดำเนินการ ทั้งนี้ การกำหนดมาตรการดังกล่าวให้คำนึงถึงความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วนของการให้ความช่วยเหลือ และให้ความช่วยเหลือตกถึงมือเกษตรกรได้โดยตรงและเป็นไปอย่างทั่วถึงด้วย ๑.๒ ให้ทุกส่วนราชการที่มีความต้องการใช้ยางพารา เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข สำรวจปริมาณความต้องการใช้ยางพาราสำหรับแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หรือใช้เป็นส่วนผสมต่าง ๆ ภายในหน่วยงานให้ชัดเจน เพื่อจัดทำแผนสำหรับการเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อยางพารา ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการโดยด่วนเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยางพาราภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น ๑.๓ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน พิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยให้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากผลผลิตทางการเกษตรชนิดต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น เช่น การร่วมมือกับกระทรวงพลังงานเพื่อนำปาล์มน้ำมันไปใช้ในการผลิตไบโอดีเซลและส่งเสริมให้มีการใช้ไบโอดีเซลให้มากยิ่งขึ้น ๑.๔ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการกำกับดูแลและบูรณาการการทำงานของศูนย์และสถาบันที่เกี่ยวกับการวิจัยในด้านต่าง ๆ ให้มีความเป็นเอกภาพ ลดความซ้ำซ้อนในการใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงผลการดำเนินงานของศูนย์หรือสถาบันที่เกี่ยวกับการวิจัยในด้านต่าง ๆ ดังกล่าว ให้สามารถสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการที่รองรับนโยบาย Thailand 4.0 และ ๕ อุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) ทั้งนี้ ให้ศึกษาแนวทางการดำเนินงานด้านการวิจัยของต่างประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำมาประยุกต์ใช้เพื่อการนี้ และให้นำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีโดยด่วน ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาศึกษาแนวทางในการปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่และการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ให้มุ่งเน้นดำเนินงานในลักษณะของการเป็นผู้กำกับดูแล (Regulator) และให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทเป็นผู้ปฏิบัติ (Operator) แทน เพื่อลดภาระด้านการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจและเป็นการสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมให้มากขึ้น โดยให้พิจารณาแนวทางการดำเนินการให้เหมาะสม ครอบคลุมรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง และให้นำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ๒.๒ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำกับติดตามการดำเนินการของส่วนราชการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยเฉพาะในส่วนงานบริการประชาชน ทั้งในด้านการลดขั้นตอนการดำเนินงาน ลดการใช้เอกสาร การลดการใช้ทรัพยากร รวมทั้งให้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้แทน ทั้งนี้ ให้กำหนดตัวชี้วัดที่สามารถแสดงผลการดำเนินการของส่วนราชการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ชัดเจน และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะด้วย ๒.๓ ให้ทุกส่วนราชการที่มีบุคลากรในสังกัดที่ได้รับการเสนอชื่อ/แต่งตั้งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ ตามวาระ เช่น องค์การสหประชาชาติ องค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ เป็นต้น ดำเนินการประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรดังกล่าว โดยกำหนดตัวชี้วัดในประเด็นต่าง ๆ เช่น ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นต่อประเทศชาติ และประชาชน ความสอดคล้องและสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐบาล การเผยแพร่ข้อมูล/ข้อเท็จจริง การสร้างการรับรู้เกี่ยวกับประเทศไทยที่ถูกต้องแก่ต่างประเทศ ๒.๔ ให้รัฐมนตรีทุกท่านให้ความสำคัญในการลงพื้นที่เพื่อติดตามและขับเคลื่อนการดำเนินงานต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายอันเป็นประโยชน์แก่ประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนใช้โอกาสดังกล่าวในการสร้างความเข้าใจกับประชาชน ภาคเอกชน และข้าราชการในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ถึงแนวทางการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเพื่อให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างข้าราชการในส่วนภูมิภาค ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ๒.๕ มอบรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรีพิจารณาแนวทางในการจัดให้มีการขึ้นทะเบียนกลุ่ม มูลนิธิ สมาคม องค์กรภาคเอกชนต่าง ๆ ที่มีการดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ยื่นขอรับรองและจดทะเบียนการเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ให้ถูกต้อง เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถอ้างอิงและตรวจสอบการดำเนินงานของกลุ่มองค์กรดังกล่าวตามหลักสากลได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17440 | การแต่งตั้งโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี (นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์) | นร | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ หัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เป็น โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ๒. นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็น โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) ๓. พลเรือตรี รณัชย์ เทพวัลย์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) เป็น โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) ๔. พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร เป็น โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ๕. นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ เป็น โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ๖. นายไชยา ยิ้มวิไล กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี เป็นโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) |
.....