ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 871 จากทั้งหมด 6236 หน้า แสดงรายการที่ 17401 - 17420 จากข้อมูลทั้งหมด 124707 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 17401 | รายงานผลการประกวดราคาค่าก่อสร้าง "โครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด 400 เตียง ส่วนขยายเพิ่มเติมการให้บริการทางการแพทย์ ระยะที่ 1" | อื่นๆ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประกวดราคาค่าก่อสร้างในโครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด ๔๐๐ เตียง ส่วนขยายเพิ่มเติมการให้บริการทางการแพทย์ ระยะที่ ๑ โดยได้บริษัทเอกชนผู้รับจ้างที่มีคุณสมบัติและรายละเอียดของงานถูกต้องตามเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคาจ้างในราคา ๗,๔๙๕.๐๐ ล้านบาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๒ ไปเป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔ รวมทั้งกำหนดแผนการดำเนินงานการก่อสร้างโครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด ๔๐๐ เตียง ส่วนขยายฯ โดยจะทำสัญญาภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ และเริ่มการก่อสร้างในเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ ตามที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17402 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน และร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน เป็นกรณีที่มีความจำเป็นและเร่งด่วน รวม 6 ฉบับ (โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย -มีนบุรี รวม 2 ฉบับ) | คค | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี รวม ๖ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์และการเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชนตามโครงการสร้างทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทนและเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนเพื่อดำเนินกิจการขนส่งมวลชนตามโครงการดังกล่าวได้ทันตามแผนงานที่กำหนดไว้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และเขตหลักสี่ เขตบางเขน เขตบึงกุ่ม เขตคันนายาว เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน ๒. ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และเขตหลักสี่ เขตบางเขน เขตบึงกุ่ม เขตคันนายาว เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นและเร่งด่วน ๓. ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่เขตจตุจักร เขตห้วยขวาง เขตวังทองหลาง เขตบางกะปิ เขตสวนหลวง เขตประเวศ เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอบางพลี อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน ๔. ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่เขตจตุจักร เขตห้วยขวาง เขตวังทองหลาง เขตบางกะปิ เขตสวนหลวง เขตประเวศ เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอบางพลี อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นและเร่งด่วน ๕. ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่เขตห้วยขวาง เขตบางกะปิ เขตสวนหลวง เขตสะพานสูง และเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน ๖. ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่เขตห้วยขวาง เขตบางกะปิ เขตสวนหลวง เขตสะพานสูง และเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นและเร่งด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17403 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ครบ 3 ปี | ดศ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ครบ ๓ ปี เพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของรัฐบาล สำหรับนำไปใช้ในการวางแผนและกำหนดนโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การติดตามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ร้อยละ ๘๘.๘ ติดตามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ๑.๒ การดำเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมา มากกว่าร้อยละ ๙๐ ทราบเกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมา ๑.๓ ความพึงพอใจต่อผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของรัฐบาล มากกว่าร้อยละ ๕๐ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก-มากที่สุด ๑.๔ ความพึงพอใจต่อผลการดำเนินงานในภาพรวมของรัฐบาล ความพึงพอใจฯ ประชาชนให้คะแนนความพึงพอใจฯ อยู่ที่ ๗.๐๑ คะแนน จากคะแนนเต็ม ๑๐ ๑.๕ เรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเร่งด่วน ๕ อันดับแรก ได้แก่ การควบคุมสินค้าอุปโภค บริโภค ไม่ให้มีราคาแพง การแก้ไขปัญหายาเสพติด การแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรราคาตกต่ำ การแก้ไขปัญหาหนี้สิน และการปรับขึ้นค่าแรงให้เพียงพอกับค่าครองชีพ ๑.๖ ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ๕ อันดับแรก ได้แก่ การพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศให้ดีกว่านี้ การแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรราคาตกต่ำ การแก้ปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง การประชาสัมพันธ์โครงการ/นโยบายต่าง ๆ ให้ประชาชนรับทราบ และการแก้ปัญหาหนี้สิน ๑.๗ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (๑) ควรมีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการบริหารงาน/นโยบายของรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น (๒) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเข้ามาควบคุม ดูแล และแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง (๓) ควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง รวดเร็ว และต่อเนื่อง และ (๔) หน่วยงานภาครัฐควรมีการทำงานเชิงรุก เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สำนักงานสถิติแห่งชาติ) พิจารณาปรับวิธีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล โดยในประเด็นคำถาม-คำตอบควรมีรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ของรัฐบาล เพื่อเป็นข้อมูลให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจในการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้สามารถตอบแบบสำรวจได้สะดวกและตรงประเด็นยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17404 | รายงานสรุปการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซียของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม | วธ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซียของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านศิลปวัฒนธรรมระหว่างไทย-อินโดนีเซีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้เจรจาความร่วมมือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาและวัฒนธรรมอินโดนีเซีย โดยทั้งสองได้แสดงเจตจำนงในการใช้มิติศิลปะและวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมและเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันนอกเหนือจากการแลกเปลี่ยนทางด้านศิลปะการแสดงซึ่งมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยจะจัดทำแผนปฏิบัติการความร่วมมือระหว่างกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมทั้งการหารือเรื่องการบริหารจัดการแหล่งมรดกโลกและแหล่งมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางความร่วมมือทางด้านการบริหารจัดการและเทคนิคการบูรณะโบราณสถาน ๒. การส่งเสริมความร่วมมือด้านศาสนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและคณะได้พบหารือกับเจ้าอาวาสวัดพุทธเมตตา รวมทั้งฝ่ายมหายานพระธรรมทูตไทยในอินโดนีเซีย และสมาคมวิทยาลัยพุทธศาสนาของอินโดนีเซียถึงนโยบายการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี โดยมีความเป็นไปได้ที่จะจัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้นที่บุโรพุทโธในช่วงสิ้นปี ๒๕๖๐ ๓. การส่งเสริมการดำเนินงานของเครือข่ายภาคธุรกิจไทย-อินโดนีเซีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้มอบโล่แก่บุคคลและหน่วยงานต่าง ๆ ของไทยและอินโดนีเซียที่ได้มีบทบาทในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศผ่านการประกอบการด้านธุรกิจ การค้าและการลงทุน นับเป็นการบูรณาการการทำงานด้วยการนำมิติวัฒนธรรมเชื่อมโยงทั้งการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน และส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้เพิ่มพูนและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17405 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-Bill) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 2 และ 16 สิงหาคม 2560 | กค | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-Bill) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๒ และ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๐ วงเงิน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท และ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามลำดับ รวม ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินระยะสั้นโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) อายุ ๑ เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ วงเงินรวม ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็น Bridge Financing สำหรับรองรับการปรับโครงสร้างหนี้ R-Bill ที่ครบกำหนด และออกพันธบัตรรัฐบาล จำนวน ๒ รุ่น วงเงินรวม ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อนำมาชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการกู้เงินระยะสั้นเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ส่งลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการจำหนายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน ๒ ฉบับ เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17406 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 33 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 30 มิถุนายน 2560) | นร | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๓ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณีกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมพัฒนา และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ เช่น การติดตามขับเคลื่อนความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูป ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ การแก้ไขปัญหายาเสพติด ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การส่งเสริมการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การสร้างประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็งและส่งเสริมบทบาทไทยในประชาคมอาเซียน การส่งเสริมการค้า การลงทุน เสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการไทยและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพทางเศรษฐกิจ ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมและการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ การปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยไม่เป็นธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17407 | รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและบริษัทย่อยปี 2559 | กค | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและบริษัทย่อยปี ๒๕๕๙ (สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙) ซึ่งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า มีความถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน พร้อมทั้งข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิกประจำปี ๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และประกาศในราชกิจานุเบกษาต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๘๒ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17408 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ จังหวัดเชียงใหม่ (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายคาซูโนริ คาวาดะ (Mr. Kazunori Kawada)] | กต | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายคาซูโนริ คาวาดะ (Mr. Kazunori Kawada) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน พะเยา แพร่ และอุตรดิตถ์ สืบแทน นายชิงยะ อาโอกิ (Mr. Shinya Aoki) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17409 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) (นายสุชาติ สินรัตน์) | พณ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสุชาติ สินรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17410 | สรุปผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือน (มกราคม - มิถุนายน 2560) ตามปฏิบัติการสามเหลี่ยมทองคำ ภายใต้แผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย 6 ประเทศ ระยะเวลา 3 ปี (2559 - 2561) | ยธ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานรอบ ๖ เดือน (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๐) ตามปฏิบัติการสามเหลี่ยมทองคำ ภายใต้แผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย ๖ ประเทศ ระยะ ๓ ปี (๒๕๕๙-๒๕๖๑) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย (ศปง.มข.) ประเทศไทย ได้ผลักดันให้ประเทศสมาชิกทั้ง ๖ ประเทศ (จีน ลาว เมียนมา กัมพูชา เวียดนาม และไทย) จัดตั้งกลไกประสานงานและกำกับติดตาม ภายใต้ชื่อศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย (Safe Mekong Coordination Centre : SMCC) พร้อมสร้างกลไกการรับผิดชอบในทุกระดับ ทั้งในระดับหน่วยงาน ระดับนโยบาย ระดับบริหาร และระดับปฏิบัติการ เป็นที่เรียบร้อย รวมทั้งประสานให้ทุกประเทศจัดวางสรรพกำลังด้านยาเสพติด และกำลังปฏิบัติการอื่น ๆ ที่แต่ละประเทศมีอยู่ให้การสนับสนุนการปฏิบัติการซึ่งกันและกัน โดยมุ่งเน้นปฏิบัติการพื้นที่ที่มีความเคลื่อนไหวด้านยาเสพติดสูง ซึ่งทุกประเทศได้จัดวางกำลังตามด่าน/จุดตรวจ รวมทั้งสิ้นกว่า ๒๐๐ แห่ง ใน ๑๑ พื้นที่เป้าหมาย ๒. ผลการจับกุมในรอบ ๖ เดือน (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๐) ทั้ง ๖ ประเทศ มีผลการจับกุมรวมทั้งสิ้น ๓๒๕ คดี ผู้ต้องหา ๕๓๔ คน ของกลางยาบ้า ๙๔ ล้านเม็ด ไอซ์ ๑.๔ ตัน เฮโรอีน ๑ ตัน กัญชา ๖.๗ ตัน และสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ๑๒๐ ตัน เปรียบเทียบกับรอบ ๖ เดือนก่อนของปี ๒๕๕๙ (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๙) มีจำนวนคดีเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๙ ของกลางโดยรวมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๗๙.๓ และสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๔๐.๖ ตลอดจนยังคงมีแนวโน้มการจับกุมในปริมาณที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ๓. เมียนมารับเป็นเจ้าภาพตั้ง ศปง.มข. จังหวัดเชียงตุง ระยะเวลา ๓ เดือน (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๖๐)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17411 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ พ.ศ. .... | กษ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรปรับปรุงในรายละเอียดของร่างกฎกระทรวงฯ ในบางประเด็น และข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับข้อ ๑ และข้อ ๙ ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๑/๒๕๖๐ เรื่อง การใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ ลงวันที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการพิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน ประเภทของกิจการหรือโครงการ เนื้อที่ วัตถุประสงค์ และมูลค่าของการดำเนินกิจการ โดยมิได้มอบอำนาจให้ออกระเบียบเพื่อกระทำการอื่นใดต่อไปได้อีก แต่ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้กำหนดให้การดำเนินการตามร่างข้อ ๑๗ วรรค ๒ และร่างข้อ ๒๐ จะต้องกำหนดไว้ในระเบียบ ดังนั้น ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้จึงอาจไม่สอดคล้องกับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าวที่ต้องดำเนินการให้มีการออกเป็นกฎกระทรวง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้ยื่นขออนุญาตแสดงถึงความจำเป็นของการดำเนินโครงการที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน การพิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมในการจัดทำการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ของพื้นที่ดังกล่าวเพื่อประเมินผลกระทบรอบด้าน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อให้ทราบถึงความเหมาะสมในการพัฒนาที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินดังกล่าวและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น การพิจารณากำหนดขั้นตอนและระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา รวมทั้งอัตราเยียวยาหรือชดเชยเกษตรกรขั้นต่ำในการขอใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละกรณี และการพิจารณากำหนดให้หน่วยงานที่จำเป็นต้องใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ด้านพลังงาน การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ หรือประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมและสร้างความเข้าใจกับเกษตรกรในพื้นที่ พร้อมทั้งกำหนดขั้นตอนและวิธีการพิจารณาในกรณีที่เกษตรกรไม่ยินยอมให้ใช้ที่ดินที่มีแบบแผนและลดการใช้ดุลยพินิจของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพื่อสร้างความยอมรับและปฏิบัติตามจากเกษตรกรในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17412 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร09 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อจัดตั้งศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เป็นส่วนราชการภายในกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย และกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการดังกล่าว รวมทั้งเปลี่ยนชื่อสำนักช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็น “กองช่วยเหลือผู้ประสบภัย” ในกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้มีความเหมาะสม และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17413 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3 | กค | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการชำระหนี้ต้นเงินกู้และดอกเบี้ยของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่กระทรวงการคลังกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินพ.ศ. ๒๕๔๑ (FIDF 1) และตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ (FIDF 3) ๑.๒ อนุมัติให้นำส่งเงินของกองทุนฯ เข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๑๔,๒๐๐ ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรร่วมกันดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการเพื่อให้สามารถชำระต้นเงินกู้และลดภาระดอกเบี้ยให้เร็วขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในระหว่างปีงบประมาณ ๒๕๖๑ หากกองทุนฯ มีสภาพคล่องคงเหลือเพิ่มเติมจากที่ประมาณการและไม่จำเป็นต้องสำรองไว้ ให้กองทุนฯ เสนอกระทรวงการคลังเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้โอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ เพิ่มเติมต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17414 | แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อระดับชาติ 5 ปี (พ.ศ. 2560 - 2564) | สธ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ปรับชื่อแผนยุทธศาสตร์นี้ให้เหมาะสม จากเดิม “แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อระดับชาติ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔)” เป็น “แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔)” ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และแผนปฏิบัติการ (Action Plan) โดยแผนยุทธศาสตร์ฯ มีเป้าประสงค์เพื่อลดภาวะการป่วย การตาย และความพิการที่ป้องกันได้ อันมีผลสืบเนื่องจากโรคไม่ติดต่อ ด้วยวิธีการร่วมมือระหว่างภาคีภาคส่วนหลากหลายสาขาและการประสานงานในระดับชาติ ภูมิภาค และระดับโลก เพื่อให้ประชาชนมีภาวะสุขภาพที่ดีและสร้างให้เกิดผลผลิตตามมาตรฐานสูงสุดในทุกกลุ่มอายุ และโรคต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) พัฒนานโยบายสาธารณสุขและกฎหมายที่สนับสนุนการป้องกัน ควบคุมโรคไม่ติดต่อ (๒) เร่งขับเคลื่อนทางสังคม สื่อสารความเสี่ยงและประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง (๓) การพัฒนาศักยภาพชุมชน/ท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย (๔) พัฒนาระบบเฝ้าระวังและการจัดการข้อมูล (๕) ปฏิรูปการจัดบริการเพื่อลดเสี่ยง และควบคุมโรคให้สอคดล้องกับสถานการณ์โรคและบริบทพื้นที่ และ (๖) พัฒนาระบบสนับสนุนเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างบูรณาการ โดยมีกรอบวงเงินสำหรับดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ รวม ๘๑๗.๘๘ ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณสำหรับดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ ๒๕๖๑ เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรร หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มีผลใช้บังคับแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ฯ เพื่อขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ภาคเอกชนเป็นภาคส่วนหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ฯ เนื่องจากภาคเอกชนเป็นภาคส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ และส่งผลต่อพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคของประชาชน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17415 | ผลการประชุม Singapore - Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ 5 | พณ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ ๕ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายสิงคโปร์เข้าร่วมการประชุมฯ โดยได้มีการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ความร่วมมือด้านการลงทุน ความร่วมมือด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงทางอากาศ และความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้เป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจ จำนวน ๒ ฉบับ ระหว่าง IE Singapore กับเอกชนไทย ๒ ราย คือ บริษัท ซี เอ ซี จำกัด (c asean) กับบริษัท Hubba จำกัด โดยบันทึกความเข้าใจดังกล่าวเน้นส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาและสร้างเครือข่ายให้กับ Start-up ของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม STEER ครั้งที่ ๖ ในปี ๒๕๖๑ ๑.๒ มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ เพื่อให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-สิงคโปร์ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการอำนวยความสะดวกเพื่อการพัฒนาและเชื่อมโยงธุรกิจ Start-up ระหว่างไทยกับสิงคโปร์ การนำประสบการณ์จากประเทศที่สร้างเมืองอัจฉริยะ (Smart city) มาพิจารณาข้อดีข้อเสียประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบ และการส่งเสริมการลงทุนแก่ภาคเอกชนสิงคโปร์ในการเข้ามาลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก รวมทั้งในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ ของไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17416 | การรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 1 (1st Asia-Pacific Ministerial Forum of Management of Social Transformations Programme - MOST) | ศธ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑ (1st Asia-Pacific Ministerial Forum of Management of Social Transformations Programme-MOST) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ มีนาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ภายใต้หัวข้อหลัก คือ Inclusive Social Development (การพัฒนาสังคมสำหรับทุกคน) โดยร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางการดำเนินงานภายใต้กรอบโครงการการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของยูเนสโก เช่น (๑) การสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้กรอบโครงการการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของยูเนสโก การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ รวมทั้งแผนปฏิบัติการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง (๒) การส่งเสริมการกำหนดนโยบายบนหลักฐานอ้างอิงผ่านการดำเนินความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน/องค์กรที่เกี่ยวข้องด้านการพัฒนาสังคม และสถาบันวิจัยต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และ (๓) ส่งเสริมการจัดตั้งคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เป็นต้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17417 | ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... | ศป | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เช่น เพิ่มบทบัญญัติให้อำนาจศาลปกครองดำเนินกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครองได้ แก้ไขเพิ่มเติมเหตุที่จะนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตุลาการศาลปกครองพ้นจากตำแหน่งให้สอดคล้องกับมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม หลักเกณฑ์และวิธีการเลือก การพ้นจากตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ และการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับมาตรา ๑๙๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถเสนอเรื่องต่อศาลปกครองเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๒๓๑ (๒) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และแก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ฟ้องคดีอาจยื่นคำฟ้องโดยส่งทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ โทรสาร หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นใด ตามที่ศาลปกครองเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ไขบทบัญญัติมาตรา ๔๓ โดยใช้คำว่า “หน่วยงานของรัฐ” น่าจะไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งมีบัญญัติไว้เฉพาะ “หน่วยงานทางปกครอง” เท่านั้น ดังนั้น ตามมาตรา ๔๓ ควรใช้คำว่า “หน่วยงานทางปกครอง” เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการตีความ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่ศาลปกครองเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17418 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 23 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร11 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๓ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) (Draft Joint Statement of the Twenty Third Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Ministerial Meeting) มีสาระสำคัญเป็นการชื่นชมความก้าวหน้าในการดำเนินงานในรอบปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ และการขับเคลื่อนแผนดำเนินงานระยะห้าปี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ (IB 2017-2021) เพื่อบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ปี ๒๕๗๙ ของ IMT-GT ซึ่งได้รับรองในที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๐ แผนงาน IMT-GT เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ รวมทั้งเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ในการพัฒนาความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น การขับเคลื่อนโครงการด้านการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน ความร่วมมือด้านยางพาราและปาล์มน้ำมัน การพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถดำเนินการได้ โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในภายหลังหากมีการปรับปรุงแก้ไขพร้อมด้วยเหตุผลประกอบ ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ โดยไม่มีการลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงาน IMT-GT ครั้งที่ ๒๓ ในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๐ ณ เกาบังกา จังหวัดบังกา-เบลิตุง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17419 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี | กต | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๓๗๑ (ค.ศ. ๒๐๑๗) เกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) โดยเป็นการยกระดับและเพิ่มการลงโทษมากขึ้น โดยเพิ่มเติมรายชื่อบุคคล องค์กร และสิ่งของที่ถูกกำหนด ขยายมาตรการทางเศรษฐกิจให้ครอบคลุมการห้ามนำเข้าอาหารทะเล ตะกั่วและแร่ตะกั่ว การห้ามนำเข้าถ่านหิน เหล็ก และแร่เหล็ก การห้ามเรือที่กำหนดเข้าเทียบท่า จำกัดจำนวนการอนุญาตการทำงานให้แก่บุคคลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และห้ามเปิดกิจการร่วมค้า (Joint venture) หรือสหกรณ์กับองค์กรหรือบุคคลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี หรือขยายกิจการร่วมค้าที่มีอยู่ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น ดำเนินการดังต่อไปนี้ ๒.๑ ถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ ปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษเกาหลีเหนือให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (https//www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/1718) ทั้งนี้ สหประชาชาติจะปรับปรุงรายชื่อบุคคล องค์กร และเรือที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ ๒.๓ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องพึงระวังและดำเนินการให้เป็นไปตามข้อมติฯ ๒.๔ แจ้งการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป และหากพบข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว ขอให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17420 | กรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2561 | นร11 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๙๗๕,๔๑๔ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๘๔๖,๓๓๗ ล้านบาท สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการและกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติโครงการลงทุนเพิ่มเติมระหว่างปี เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน ๒. เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และการอนุมัติลงทุนเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี ๓. มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีในส่วนงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติและโครงการต่อเนื่องที่การเปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและกรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว โดยกรณีมีการปรับลดเป้าหมายการลงทุนต้องเป็นเหตุจากปัจจัยภายนอกที่รัฐวิสาหกิจไม่สามารถบริหารจัดการได้เท่านั้น ๔. ให้รัฐวิสาหกิจรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการลงทุนปี ๒๕๖๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระดับกระทรวง และระดับองค์กรไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๕. รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๑๒๕,๓๑๘ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔ ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีการลงทุนเฉลี่ยประมาณปีละ ๖๙๗,๑๐๖ ล้านบาท และผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณปีละ ๑๔๘,๖๖๕ ล้านบาท ๖. ให้กระทรวงเจ้าสังกัด คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจในแต่ละแห่ง และหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ความสำคัญกับรายละเอียดประกอบการวิเคราะห์ความจำเป็นและความเหมาะสมการลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้ครบถ้วนและสอดคล้องกับปัจจัยในทุกด้าน รวมถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน และให้มีการติดตามผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งการมีมาตรการเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายกรณีที่มีความล่าช้า เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
