ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 871 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 17401 - 17420 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
17401 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลสระยายโสม อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลสระยายโสม อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าทำการสำรวจพื้นที่ที่จะจัดทำเป็นโครงการจัดรูปที่ดินต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประเมินผลการดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินและการนำที่สาธารณะไปจัดรูปที่ดินที่ผ่านมา โดยเฉพาะปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงและวางแผนการดำเนินงานในระยะต่อไปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17402 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม พ.ศ. 2559) | กค | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม พ.ศ. ๒๕๕๙) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เงินได้ที่เป็นเงินเดือนหรือค่าตอบแทนที่ผู้จัดการทั่วไปและรองผู้จัดการทั่วไปของสำนักงานเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (สำนักเลขานุการแอปเทอร์) ซึ่งเป็นคนต่างด้าว ได้รับจากสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม เนื่องจากการเข้ามาปฏิบัติงานในประเทศไทยภายใต้ความตกลงการสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17403 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารงานของหน่วยบริการรูปแบบพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร12 | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารรงานของหน่วยบริการรูปแบบพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขผู้รับผิดชอบระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารงานของหน่วยบริการรูปแบบพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๐ จากคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เป็นคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17404 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และสิทธิแรงงาน กรณีกล่าวอ้างว่ามีการใช้แรงงานทาสหรือแรงงานบังคับในอุตสาหกรรมประมงไทย | รง | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และสิทธิแรงงาน กรณีกล่าวอ้างว่ามีการใช้แรงงานทาสหรือแรงงานบังคับในอุตสาหกรรมประมงไทย ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยกระทรวงแรงงานได้ดำเนินการเกี่ยวกับการปราบปรามดำเนินคดีกับนายจ้างจัดหาแรงงานต่างด้าวอย่างเฉียบขาด โดยได้ออกพระราชกำหนดการนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อควบคุมการประกอบธุรกิจนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ และแก้ไขปัญหาการลักลอบนำคนต่างด้าว หรือหลอกลวงคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีนโยบายห้ามมิให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ทุกระดับเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ และได้เปิดโอกาสให้องค์กรภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะการเอารัดเอาเปรียบแรงงาน รวมทั้งได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิของแรงงานต่างด้าวรองรับประชาคมอาเซียน โดยการจัดทำสื่อวิดีโอช่วยสอนหรือสื่อมัลติมีเดียเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานในหลาย ๆ ภาษา ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17405 | ขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการและคณะอนุกรรมการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) | สธ | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นประธานกรรมการ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และอธิบดีกรมการท่องเที่ยวเป็นเลขานุการ มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติอย่างแท้จริง พร้อมทั้งติดตามผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการเพื่อรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ส่วนคณะอนุกรรมการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ จำนวน ๔ คณะ ประกอบด้วย (๑) คณะอนุกรรมการพัฒนาประเทศไทยให้ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) (๒) คณะอนุกรรมการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางบริการรักษาพยาบาล (Medical Service Hub) (๓) คณะอนุกรรมการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางบริการวิชาการและงานวิจัย (Academic Hub) และ (๔) คณะอนุกรรมการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub) ให้กระทรวงสาธารณสุขรับไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17406 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2560 และวันที่ 14 มีนาคม 2560 | รง | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ และวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ เรื่อง การขยายระยะเวลาการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและการทำงานของแรงงานในกิจการประมงทะเลและกิจการแปรรูปสัตว์น้ำจนถึงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ มีจำนวนแรงงานในกิจการประมงทะเลและกิจการแปรรูปสัตว์น้ำที่ได้จดทะเบียนและได้รับอนุญาตทำงานแล้วทั้งหมด ๓๓,๘๖๗ คน และ ๕๙,๒๒๒ ตามลำดับ และโดยที่แรงงานที่ได้รับใบอนุญาตทำงานทั้งหมดจะต้องเข้ารับการตรวจสัญชาติภายในวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งแรงงานที่ผ่านการตรวจสัญชาติจะได้รับอนุญาตทำงานต่อไปอีก ๒ ปี ถึงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เมื่อครบกำหนดการอนุญาตแล้ว แรงงานต้องกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และหากประสงค์จะเข้ามาทำงานให้กลับเข้ามาทำงานตามบันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MOU) ๒. ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๐ เรื่อง การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ระหว่างวันที่ ๕-๓๐ เมษายน ๒๕๖๐ มีจำนวนแรงงานเดินทางออก(กลับภูมิลำเนา) จำนวน ๑๔๐,๖๕๕ คน และมีจำนวนแรงงานเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย จำนวน ๑๔๑,๕๒๐ คน ซึ่งผลสำรวจความพึงพอใจการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๐ ผลปรากฏว่าแรงงานต่างด้าวพอใจกับนโยบายและการอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับประเทศต้นทาง และกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17407 | การปรับถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงกิจการเทศบาลและผังเมืองแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร หลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้มีการลงนาม | กษ | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงกิจการเทศบาลและผังเมืองแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร หลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้มีการลงนาม โดยได้ปรับถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายบาห์เรน เพื่อให้เกิดความชัดเจนและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับที่ลงนามทั้ง ๓ ภาษา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และภาษาอาหรับ ได้จัดแปลให้มีความหมายตรงกัน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17408 | ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 10 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (The 10th IMT - GT Summit) | นร11 | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑.๑ รับทราบผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๐ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยฝ่ายไทยมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเข้าร่วมประชุม ๑.๒ รับทราบและเห็นชอบการแก้ไขแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๐ แผนงาน IMT-GT ซึ่งเป็นการปรับแก้ข้อความเล็กน้อยและไม่ได้กระทบต่อสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ ๑.๓ เห็นชอบการมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๐ แผนงาน IMT-GT ซึ่งมีประเด็นที่ต้องดำเนินการ เช่น การขับเคลื่อนการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโกลกแห่งใหม่ และสะพานแห่งที่สองที่อำเภอสุไหงโกลก และทางหลวงสตูล-รัฐปะลิส การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเชื่อมโยงในทุกมิติ การใช้นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และการออกแบบ เพื่อการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ การลดการเหลื่อมล้ำและการพัฒนาที่ยั่งยืน การส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การเชื่อมโยงเสรีดิจิทัลข้ามแดน การส่งเสริมฮาลาล และ E-Commerce และการเชื่อมโยงการพัฒนาสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน กับพื้นที่เศรษฐกิจชายฝั่งทะเลตะวันออกของมาเลเซีย เป็นต้น โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการระดับชาติของแผนงานติดตามการขับเคลื่อนแผนงานตามวิสัยทัศน์ระยะ ๒๐ ปี และแผนดำเนินงานระยะห้าปี แผนที่ ๓ ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสภาธุรกิจ IMT-GT (ประเทศไทย) เพื่อให้มีความก้าวหน้าที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมเพื่อนำเสนอในการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๑ แผนงาน IMT-GT ในปี ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทยจะเป็นประธานการประชุมต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรคำนึงถึงการจัดระเบียบการพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้มีความสมดุลทั้งในมิติเศรษฐกิจและสังคมกับมิติความมั่นคง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17409 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันอุบัติเหตุและอำนวยความสะดวกในการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 ของกระทรวงคมนาคม | คค | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันอุบัติเหตุและอำนวยความสะดวกในการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๖๐ ของกระทรวงคมนาคม ระหว่างวันที่ ๕-๑๘ เมษายน ๒๕๖๐ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการดำเนินมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๖๐ สรุปสถิติการเกิดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๖๐ รวมทั้งการให้บริการและอำนวยความสะดวกในการเดินทางของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ซึ่งผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวส่งผลให้มีสถิติอุบัติเหตุร้ายแรงที่ส่งผลให้เกิดความสูญเสียในชีวิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และกระทรวงคมนาคมจะได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17410 | สรุปผลการประชุมร่วมระดับรัฐมนตรีของบันทึกความเข้าใจโตเกียวและปารีสว่าด้วยการตรวจและควบคุมเรือในฐานะรัฐเจ้าของท่า ครั้งที่ 3 | คค | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมร่วมระดับรัฐมนตรีของบันทึกความเข้าใจโตเกียวและปารีสว่าด้วยการตรวจและควบคุมเรือในฐานะรัฐเจ้าของท่า ครั้งที่ ๓ (Third Joint Ministerial Conference of the Paris and Tokyo Memoranda of Understanding on Port State Control) ระหว่างวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๐-๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ ประเทศแคนาดา โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้กล่าวถ้อยแถลงสรุปว่า ประเทศไทยได้พยายามปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานให้เป็นไปตามมาตรฐานและข้อบังคับขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization : IMO) และได้เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลพิษจากเรือของ IMO ซึ่งเป็นมาตรการหลักด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล และเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยแรงงานทางทะเล (Maritime Labour Convention : MLC) ขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ และประเทศไทยจะสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ต่อไป ๒. ที่ประชุมได้รับรองปฏิญญาร่วมระดับรัฐมนตรีของการประชุมร่วมระดับรัฐมนตรีของบันทึกความเข้าใจโตเกียวและปารีสว่าด้วยการตรวจและควบคุมเรือในฐานะรัฐเจ้าของท่า ครั้งที่ ๓ โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้ร่วมลงนามด้วย ๓. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้หารือกับรัฐมนตรีขนส่งจากประเทศต่าง ๆ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ญี่ปุ่น โดยได้เน้นย้ำที่จะสานต่อความร่วมมือกันต่อไปในอนาคต และได้ขอรับการสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ ในการสมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรี IMO ของประเทศไทย สำหรับวาระ ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๑๙ ทั้งนี้ รัฐมนตรีขนส่งเปรูยินดีสนับสนุนประเทศไทยในการเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรี IMO
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17411 | โครงการความร่วมมือเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมเรือประมง | กษ | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการความร่วมมือเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมเรือประมง (Fishing Vessel Behavior Analysis Cooperation Project) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. โครงการความร่วมมือเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมเรือประมง เป็นความร่วมมือระหว่างกรมประมงกับ Satellite Applications Catapult ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบติดตามเรือประมง และกลุ่ม Shrimp Sustainable Supply Chain Task Force ซึ่งเป็นกลุ่มผู้นำเข้าและส่งออกสินค้าประมงรายใหญ่ของโลก และได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก Pew Charitable Trusts ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนของสหรัฐอเมริกา มีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐในการพัฒนาการดำเนินงานด้านการควบคุมเฝ้าระวังการทำประมง (MCS) เพื่อให้ผู้นำเข้าสินค้าประมงของไทยมั่นใจได้ว่าสินค้าประมงที่ส่งออกจากประเทศไทยไม่ได้มาจากการทำการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ของกรมประมงจะได้รับการถ่ายทอดความรู้จากระบบ Eye on the Seas ที่ผสานการติดตามด้วยเทคโนโลยีดาวเทียม ภาพถ่ายทางอวกาศ ฐานข้อมูลเรือประมง ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ และข้อมูลสมุทรศาสตร์ เพื่อสนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ ในการวิเคราะห์และตรวจสอบกิจกรรมการประมงที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่เหมาะสม ๒. กรมประมงและ Satellite Applications Catapult ได้กำหนดกลุ่มเรือตัวอย่างที่เป็นตัวแทนประชากรของเรือประมงไทยและกลุ่มเรือในห่วงโซ่อุปทานของสมาชิก Shrimp Sustainable Supply Chain Taskforce ซึ่งกลุ่มเรือตัวอย่างนี้จะถูกวิเคราะห์พฤติกรรมการเดินเรือและผลผลิตปลาที่จับได้จนถึงสิ้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๙ และนำข้อมูลดังกล่าวไปวิเคราะห์ต่อเพื่อให้สามารถกำหนดรูปแบบและวิธีตรวจสอบการทำการประมงของเรือประมงซึ่งใช้เครื่องมือชนิดต่าง ๆ ได้ชัดเจน โดยเจ้าของเรือประมงที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้ให้ความยินยอมให้ส่งต่อข้อมูลต่าง ๆ เพื่อการวิเคราะห์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ๓. ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ สามารถคัดกรองเรือประมงจากพฤติกรรมการทำประมงฝ่าฝืนกฎหมายได้ จึงอาจทำให้เรือประมงบางส่วนที่เข้าร่วมโครงการฯ ถูกคัดกรองว่ามีพฤติกรรมฝ่าฝืนกฎหมายและอาจถูกดำเนินคดีโดยใช้ข้อมูลจากระบบติดตามเรือหรือใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนจับกุมเรือประมงเหล่านั้นต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17412 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม 3 ฉบับ | กษ | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม ๓ ฉบับ เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ และเพื่อให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา จากกิโลเมตรที่ ๒๖๗.๗๘๐ ในท้องที่ตำบลบางกระบือ และตำบลเชียงรากน้อย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ถึงกิโลเมตรที่ ๒๙๘.๖๖๐ ในท้องที่ตำบลบางคูวัด อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี และตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานลำเชิญ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญกำหนดให้ทางน้ำชลประทานลำเชิญ จากศูนย์กลางประตูระบายน้ำลำเชิญ กิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลชุมแพ อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น และตำบลดงกลาง อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ ไปทางด้านเหนือน้ำ ถึงกิโลเมตรที่ ๓๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลโนนคอม อำเภอภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น และตำบลคอนสาร อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ และไปทางด้านท้ายน้ำถึงกิโลเมตรที่ ๗๗.๔๗๐ ในท้องที่ตำบลกุดกว้าง อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น และตำบลบ้านแท่น อำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา จากกิโลเมตรที่ ๒๙.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลท่าซุง อำเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี และตำบลคุ้งสำเภา อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ถึงกิโลเมตรที่ ๕๙.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลน้ำทรง และตำบลพยุหะ อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17413 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำ สถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ [ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | สธ | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจำแนกลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล ประเภทคลินิกการแพทย์แผนไทย คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และโรงพยาบาลเฉพาะประเภทผู้ป่วย รวมทั้งกำหนดให้มีหน่วยบริการและระบบสนับสนุนการให้บริการของโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และโรงพยาบาลเฉพาะประเภทผู้ป่วย ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำสถานพยาบาล ให้ครอบคลุมถึงคลินิกการแพทย์แผนไทย คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และโรงพยาบาลเฉพาะประเภทผู้ป่วย ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ป่วยวิชาชีพในสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขการกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล โดยกำหนดให้มีวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในคลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และปรับปรุงการกำหนดวิชาชีพ จำนวนผู้ประกอบวิชาชีพ และสัดส่วนของผู้ประกอบวิชาชีพต่อจำนวนเตียงที่เพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยตามตารางท้ายกฎกระทรวงกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยกำหนดเพิ่มเติมให้มีในส่วนของโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17414 | ร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อยตามข้อ ๘ (๓) และ (๔) ของระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยจะต้องมีสมาชิกเป็นชาวไร่อ้อยไม่น้อยกว่า ๖๐๐ คน และมีปริมาณอ้อยของสมาชิกที่ส่งให้แก่โรงงานใดโรงงานหนึ่งรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๕ ของปริมาณอ้อยที่โรงงานนั้นหีบทั้งหมดในแต่ละฤดูการผลิต ที่ใช้บังคับตั้งแต่ฤดูการผลิต ๒๕๕๙/๒๕๖๐ เป็นต้นไป ให้กับสหกรณ์ที่มีฐานะเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยอยู่เดิมออกไปอีก ๒ ฤดูการผลิต โดยให้เริ่มบังคับใช้ในฤดูการผลิตปี ๒๕๖๑/๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องเร่งด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ให้มีคุณสมบัติสถาบันชาวไร่อ้อยครบถ้วนภายในระยะเวลา ๒ ฤดูการผลิต และในระยะต่อไป ควรต้องพิจารณาเจตนารมย์ของระเบียบฯ ที่มุ่งหวังให้มีเกณฑ์มาตรฐานเดียวกันในการพิจารณาสถานภาพการเป็นสถาบันชาวไร่อ้อย รวมทั้งการให้สหกรณ์หรือชุมนุมสหกรณ์ที่มีคุณสมบัติไม่ตรงตามหลักเกณฑ์สามารถปรับตัวภายหลังการครบกำหนดการให้การยกเว้นไม่ตรวจสอบคุณสมบัติ ตลอดจนเร่งพิจารณาผลดีและผลเสียของการให้การยกเว้นการตรวจสอบคุณสมบัติการเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยของสหกรณ์ที่มีฐานะเป็นชาวไร่อ้อยอยู่เดิมต่อไปอีกหรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17415 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยกระทรวงพลังงานได้ดำเนินการบริหารจัดการปิโตรเลียมตามหลักการดำเนินการให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชนมาโดยตลอด บนพื้นฐานของการกำกับดูแลที่มีการรักษาความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม มีการบริหารจัดการที่มีความโปร่งใส เป็นธรรมและเหมาะสมกับทุกภาคส่วน สำหรับการพิจารณาแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการปิโตรเลียมในอนาคต กระทรวงพลังงานจะได้คำนึงถึงการพิจารณาผู้ที่มีความสามารถเกี่ยวกับเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค การคุ้มครองสุขภาพประชาชน และการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามข้อกำหนดของพระราชบัญญัตินี้ด้วย รวมทั้งในการออกประกาศเชิญชวนให้เอกชนเข้ามาทำสัญญาแบ่งปันผลผลิตในแต่ละครั้ง กระทรวงพลังงานจะนำการแบ่งปันผลผลิตในอัตราที่เป็นขั้นบันไดมาปรับใช้ โดยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่และสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงเวลานั้นและอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ส่วนในประเด็นการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (National Oil Company : NOC) กระทรวงพลังงานเห็นว่าควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาเพื่อศึกษาความเหมาะสมของการจัดตั้ง รวมถึงรูปแบบ รายละเอียด และวิธีการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ โดยองค์ประกอบของคณะกรรมการควรมาจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำการศึกษาครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ในทุกมิติ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ๒. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการศึกษาความเหมาะสมของการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (National Oil Company : NOC) รวมทั้งรูปแบบ รายละเอียด และวิธีการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติให้ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานสนับสนุนข้อมูล แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17416 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2560 (ครั้งที่ 23) | พณ | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๒๓) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รวมทั้งผลการหารือทวิภาคี และการดำเนินการต่อเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคปี ๒๕๖๐ โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ (นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง) เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมฯ ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางสรุปประเด็นสำคัญและหน่วยงานรับผิดชอบในส่วนที่เกี่ยวกับการค้าและการลงทุนประจำปี ๒๕๖๐ ซึ่งมีประเด็นที่ควรพิจารณากำหนดท่าทีและเป้าหมายการดำเนินงานของไทยร่วมกับเอเปคอย่างใกล้ชิด เช่น การกำหนดวิสัยทัศน์เอเปคหลังปี ๒๕๖๓ (ค.ศ. ๒๐๒๐) การอำนวยความสะดวกพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากต่อไปจะมีการเจรจาลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมในกรอบองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) เห็นควรให้ไทยเข้าร่วมการเจรจาดังกล่าวก็ต่อเมื่อเป็นการเจรจาที่ให้ประเทศสมาชิกทั้งหมดของ WTO เข้าร่วมเท่านั้น โดยไม่สนับสนุนการเจรจาในแบบความตกลงหลายฝ่าย (Plurilateral Agreements) และเห็นควรส่งเสริมการบูรณาการระหว่างหน่วยงานของไทย เพื่อติดตามและกำหนดท่าทีของไทยในประเด็นการค้าการลงทุนที่เอเปคให้ความสำคัญ อาทิ การค้าบริการ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เศรษฐกิจดิจิทัล และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าโลกของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ควรจัดหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานและติดตามผลที่มีความชัดเจน ครบถ้วนเหมาะสมร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้าใจให้หน่วยงานสามารถปฏิบัติได้ถูกต้อง และสนับสนุนให้มีการดำเนินการของประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17417 | ขอให้พิจารณานำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 30/2560 เรื่อง มาตรการเร่งรัดและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพ - นครราชสีมา) | สลธ.คสช. | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๐/๒๕๖๐ เรื่อง มาตรการเร่งรัดและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา ลงวันที่ ๑๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17418 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 | วท | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ (กภช.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๐ ๒. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนแม่บทภูมิสารสนเทศแห่งชาติและมาตรฐานภูมิสารสนเทศของประเทศ จำนวน ๑๐ เรื่อง โดยการกำหนดให้มีแผนแม่บทภูมิสารสนเทศแห่งชาติเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติจะทำให้การบริหารจัดการข้อมูลภูมิสารสนเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานที่เกี่ยวกับการดำเนินการด้านภูมิสารสนเทศทั้งในส่วนของการผลิตข้อมูล การจัดเก็บ การบริการข้อมูล และมาตรฐานด้านบุคลากร จะทำให้แต่ละหน่วยงานสามารถปฏิบัติงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน มีความชัดเจนในการให้บริการข้อมูล รวมถึงมีความเชื่อมั่นในการนำข้อมูลไปประยุกต์ใช้งานในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้ กภช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยให้ความสำคัญกับการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานกับการดำเนินการเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น Big Data การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ (One Map) การจัดทำผังเมือง และการดำเนินการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติไว้ ๓. ให้ กภช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ผู้ปฏิบัติงานด้านภูมิสารสนเทศร่วมกันพิจารณากำหนดให้มีตำแหน่งในสายงานดังกล่าวให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจและความจำเป็นของงานในแต่ละส่วนราชการ และควรให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานเจ้าภาพบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนงานบูรณาการงบประมาณภูมิสารสนเทศของประเทศ รวมทั้งกำหนดแนวทางบูรณาการด้านภูมิสารสนเทศของประเทศให้ชัดเจน มีความเชื่อมโยงในทุกมิติตามยุทธศาสตร์ระยะ ๒๐ ปี โดยมีหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบชัดเจน และมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ สำหรับในระยะต่อไปควรให้ความสำคัญกับการจัดทำคู่มือประกอบการทำงานในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศและแผนปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยของระบบและบริการภูมิสารสนเทศกลางของประเทศ และควรสร้างความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและบุคลากรที่เชี่ยวชาญของภาคเอกชน พร้อมทั้งควรเร่งผลักดันการให้บริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government) อย่างเต็มรูปแบบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ กภช. ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตาม (ร่าง) แผนแม่บทฯ และมาตรฐานฯ ดังกล่าวข้างต้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในภาพรวมและให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17419 | การรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อคณะรัฐมนตรี | ยธ | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย (๑) ภาพรวมการรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการฯ ประจำเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐ มีหน่วยงานผู้รับผิดชอบรายงานผลผ่านเว็บไซต์ฯ จำนวน ๒๕ หน่วยงาน จากทั้งหมด ๓๗ หน่วยงาน และ (๒) ปัญหาเกี่ยวกับการรายงานผลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ถูกต้องตามแบบรูปแบบที่กำหนด และอาจส่งผลต่อความคลาดเคลื่อนของจำนวนกฎหมายที่หน่วยงานต้องจัดทำ จึงได้ดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปรับปรุงข้อมูล พร้อมกับเร่งรัดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบรายงานผลการดำเนินการตามกำหนดเวลา ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17420 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ 30 เมษายน 2560 (ครั้งที่ 5/2560) | มท | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๕/๒๕๖๐) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยมีผลงานสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปความก้าวหน้างานก่อสร้าง ผลงานสะสมที่ทำได้ คิดเป็นร้อยละ ๓๕.๐๕ เพิ่มขึ้นจากเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (ร้อยละ ๓๔.๕๒) ร้อยละ ๐.๕๓ และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่ผู้รับจ้างเสร็จเรียบร้อยเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ๒. คณะทำงานติดตามความก้าวหน้าโครงการฯ มีความเห็นว่า ๒.๑ การขยายระยะเวลาการก่อสร้าง ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ออกไปอีก ๔๒๑ วัน ของผู้ว่าจ้าง (สิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑) อาจจะยังไม่สามารถทำให้งานก่อสร้างแล้วเสร็จได้ อีกทั้งยังอาจมีเหตุให้ผู้รับจ้างขอขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปได้อีก เช่น ปัญหาการส่งมอบพื้นที่ส่วนสุดท้ายของโรงเรียนโยธินบูรณะ และการขยายระยะเวลาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๙ เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้รับจ้างขาดแคลนแรงงานจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้ ๑๕๐ วัน ๒.๒ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจัดจ้างผู้ออกแบบเพื่อศึกษาและออกแบบงานระบบสารสนเทศ (ICT) ยังล่าช้ากว่าแผนอยู่ ซึ่งขณะนี้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้บริษัทผู้ออกแบบแล้ว และได้ลงนามในสัญญาแล้วเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๐ โดยมีระยะเวลาดำเนินการออกแบบ ๙ เดือน และต้องเร่งประสานการทำงานกับผู้รับจ้างหลัก บริษัท ชิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)
|
.....