ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 877 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 17521 - 17540 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
17521 | การขออนุมัติปิดสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ กรุงออสโล ราชอาณาจักรนอร์เวย์ (กระทรวงการต่างประเทศ) | กต | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติปิดสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ กรุงออสโล ราชอาณาจักรนอร์เวย์ เนื่องจากได้ถ่ายโอนภารกิจส่วนใหญ่ของสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ กรุงออสโล ราชอาณาจักรนอร์เวย์ ให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงออสโล ราชอาณาจักรนอร์เวย์ ดำเนินการ และนางโซลไวก์ สกาอวน (Mrs. Solveig Skauan) กงสุลกิตติมศักดิ์ ณ กรุงออสโล ราชอาณาจักรนอร์เวย์ ได้ขอยุติการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17522 | การเพิกถอนการดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ และรองกงสุลกิตติมศักดิ์ ประจำกรุงดามัสกัส สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย (กระทรวงการต่างประเทศ) | กต | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิกถอนการดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ และรองกงสุลกิตติมศักดิ์ ประจำกรุงดามัสกัส สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย รวม ๒ ราย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เพิกถอนการดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำกรุงดามัสกัส สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย ของนายเรมอนด์ ฮาบีบ กัลปักจี (Mr. Raymond Habib Kalpakji) ๒. เพิกถอนการดำรงตำแหน่งรองกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำกรุงดามัสกัส สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย ของนายฮาบีบ กัลปักจี (Mr. Habib Kalpakji)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17523 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภทในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. ....) | มท | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท รวม ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดชัยภูมิ เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชัยภูมิ พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เพื่อให้การบังคับใช้ร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม กรมโยธาธิการและผังเมืองควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการขออนุญาตและการก่อสร้างอาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ อย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17524 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 2/2560 : การเร่งรัดและขับเคลื่อนประเด็นการปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ | นร | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูปด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการปฏิรูปด้านสังคม : กระจายการถือครองและใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเป็นธรรม ตามสรุปผลการประชุม กขร. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ซึ่งที่ประชุมมีมติมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการประเด็นปฏิรูปด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการประเด็นปฏิรูปด้านการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยประสานงานกับคณะอนุกรรมการบูรณาการและขับเคลื่อนการปฏิรูปเชิงระบบและโครงสร้าง ภายใต้คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ เพื่อจัดประชุมขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวร่วมกับที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้มีการจัดทำแผนการดำเนินการและกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการในเรื่องสำคัญ เช่น ปฏิรูปด้านระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย (ระบบ EHIA และระบบ SEA) ระบบผังเมือง และธนาคารที่ดิน โดยให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ยุทธศาสตร์ และการปฏิรูปประเทศ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของ กขร. และรายงานความคืบหน้าให้ กขร. ทราบ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามความคืบหน้าและสร้างการรับรู้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้ประชาชนรับทราบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17525 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องสำหรับการดำเนินโครงการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน (รถเมล์ฟรี) และเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ (PSO) ปีงบประมาณ 2560 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องสำหรับการดำเนินโครงการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน (รถเมล์ฟรี) และเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ (PSO) ปีงบประมาณ ๒๕๖๐ จำนวนรวม ๑,๗๗๗.๒๐๒ ล้านบาท และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการบริหารจัดการบริการสาธารณะของ ขสมก. และการบริหารหนี้สินของ ขสมก. ตลอดจนการปรับปรุงขั้นตอนการขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณสำหรับการดำเนินการตามมาตรการรถเมล์ฟรี และ PSO ให้สอดคล้องกับระยะเวลาการชำระค่าใช้จ่ายภายในปีงบประมาณนั้น ๆ เพื่อลดปัญหาการชำระค่าใช้จ่ายล่าช้าที่ทำให้เกิดหนี้ค้างชำระและค่าเบี้ยปรับค้างชำระ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17526 | ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินงานโครงการโคบาลบูรพา | กษ | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางดำเนินงานโครงการโคบาลบูรพาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเป็นการส่งเสริมปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมไปเลี้ยงปศุสัตว์ (โคเนื้อและแพะ) ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว มีเป้าหมายเพื่อให้มีการเลี้ยงแม่โคเนื้อ รวม ๑๒๐,๐๐๐ ตัว และแพะพันธุ์ดี ๒๗,๒๐๐ ตัว รวมทั้งปลูกพืชอาหารสัตว์ทดแทนการปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลผลิตต่ำ รวม ๑๐๓,๘๒๓ ไร่ ภายในระยะเวลาโครงการ ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๕) ผ่านการสนับสนุนของภาครัฐ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ แผนงานบูรณาการเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้ว ภายในกรอบวงเงิน ๙๗๐.๕๐ ล้านบาท ที่ครอบคลุมการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการเลี้ยงแม่โคเนื้อผลิตลูก กิจกรรมส่งเสริมอาชีพเลี้ยงแพะ และกิจกรรมส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์เฉพาะในส่วนของเกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมการเลี้ยงแม่โคเนื้อผลิตลูกและเกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมการเลี้ยงแพะ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การกู้ยืมเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรนำไปใช้ร่วมในการดำเนินงาน ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร พ.ศ. ๒๕๕๔ และควรให้มีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่อง ควรจัดให้มีการฝึกอบรมให้ความรู้ที่จำเป็น มีการกำหนดแผนการติดตาม กำกับดูแล ประเมินผลและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดต่อเนื่องตลอดโครงการ ควรพิจารณาการสนับสนุนเงินกู้ยืมปลอดดอกเบี้ยตามความจำเป็น ความเหมาะสม และความสามารถในการชำระเงินกู้ยืมของเกษตรกรเพื่อมิให้เป็นภาระภาครัฐ และควรมีแนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับพันธกรณีของไทยภายใต้องค์การการค้าโลก ควรมีกระบวนการหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกเกษตรกรเข้าร่วมโครงการที่เหมาะสมและเป็นธรรม และควรมีการติดตามประเมินผลโครงการดังกล่าวในลักษณะถอดบทเรียน (Best Practice) ว่าประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๓.๑ เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการให้ชัดเจนและทั่วถึงเพื่อให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งเร่งดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณไม่เกิดความล่าช้าและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการด้วย ๓.๒ ในการคัดเลือกเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ ควรพิจารณาเลือกเกษตรกรที่มีความพร้อมและสมัครใจเข้าร่วมโครงการ โดยให้ความสำคัญกับเกษตรกรที่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน (เช่น โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงแพะ และโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการทำนาหญ้า) เป็นลำดับแรก และควรให้คำปรึกษาแนะนำเกษตรกรในการปรับเปลี่ยนอาชีพอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงปริมาณความต้องการโคเนื้อและแพะของตลาดและจัดหาตลาดสำหรับจำหน่ายโคเนื้อและแพะของเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนอาชีพตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ และเกิดความเชื่อมั่นต่อโครงการในลักษณะดังกล่าวของภาครัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17527 | ขออนุมัติจัดทำโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี 2559 ระยะที่ 1 | พม | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการการจัดทำโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี ๒๕๕๙ ระยะที่ ๑ จำนวน ๑๔ โครงการ รวม ๔,๓๘๘ หน่วย วงเงินลงทุนรวม ๒,๐๕๗.๓๘๖ ล้านบาท ของการเคหะแห่งชาติ โดยแหล่งที่มาของวงเงินลงทุนและการใช้จ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และในปีต่อ ๆ ไป ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้การเคหะแห่งชาติเริ่มดำเนินโครงการดังกล่าวได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นของมนุษย์และการเคหะแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงด้านต้นทุนค่าก่อสร้างและอัตราการเช่า ตลอดจนศึกษาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมดำเนินการโครงการฯ และให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงของโครงการฯ และการบริหารจัดการโครงการอาคารเช่าที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ การจัดทำแผนหารายได้จากอาคารเช่าที่ยังว่างอยู่ การเร่งรัดติดตามหนี้ค้างชำระ และกำหนดมาตรการป้องกันการเกิดหนี้ค้างชำระใหม่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ นำฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐของกระทรวงการคลังที่เป็นปัจจุบันมาพิจารณาประกอบการดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้เช่า โดยให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อยตามโครงการดังกล่าวเป็นลำดับแรก ๒.๒ ให้ดำเนินโครงการในลักษณะประชารัฐและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณานำอาคารที่อยู่อาศัยของภาครัฐหรือเอกชนที่ไม่มีการใช้ประโยชน์ หรือไม่สามารถจำหน่ายได้มาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงและเหมาะสม เช่น สภาพ ขนาด และรูปแบบที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และเส้นทางการคมนาคม รวมทั้งความคุ้มค่าในการดำเนินการและการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ๒.๓ ให้กำหนดหลักเกณฑ์การเช่า การบริหารโครงการ และการทำสัญญาเช่าให้รอบคอบ เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้อย่างแท้จริงและป้องกันการขายสิทธิ์ต่อหรือการเก็งกำไรของผู้ที่ต้องการแสวงประโยชน์ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำกับดูแลให้การเคหะแห่งชาติดำเนินโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี ๒๕๕๙ ระยะที่ ๑ ให้เป็นไปตามแผนและกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยให้การเคหะแห่งชาติจัดลำดับความสำคัญและดำเนินโครงการในส่วนที่มีความพร้อมก่อน และให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17528 | ร่างยุทธศาสตร์ส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ พ.ศ. 2560 - 2564 | พม | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ มีเป้าหมายเพื่อให้สังคมไทยมีระบบและกลไกที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนให้รู้เท่าทัน และใช้สื่อออนไลน์อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ และมีกฎหมาย มีองค์ความรู้ และการจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพที่ทำให้เด็กและเยาวชนมีความรู้ พฤติกรรม และทักษะการใช้สื่อออนไลน์อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้น ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การพัฒนากลไกและเครือข่ายที่เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ (๒) การจัดระบบปกป้องคุ้มครองและเยียวยาเด็กและเยาวชน (๓) การสร้างองค์ความรู้และการวิจัย (๔) การเสริมสร้างศักยภาพเด็ก เยาวชน และบุคคลแวดล้อม และ (๕) การสร้างความตระหนักสาธารณะ รวมทั้งให้จัดตั้งศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการปฏิบัติการกรณีเร่งด่วนที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ ร่วมกับหน่วยงาน องค์กร และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยงบประมาณที่อาจจะเกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ให้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้วแต่กรณี สำหรับในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ. ฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ อาจจัดตั้งเป็นหน่วยงานภายในส่วนราชการ โดยพิจารณาใช้อัตรากำลังที่มีอยู่เดิม ทั้งข้าราชการและพนักงานราชการของส่วนราชการที่รับผิดชอบภารกิจเกี่ยวกับการปกป้องคุ้มครอง ดำเนินการเฝ้าระวังและให้การช่วยเหลือแก้ไขปัญหากลุ่มเด็กและเยาวชน โดยไม่เป็นการเพิ่มอัตรากำลังในภาพรวม และเพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควรมีศูนย์ประสานงานในระดับจังหวัดเป็นกลไกในการปฏิบัติงานด้วย โดยใช้กลไกที่มีอยู่เดิมในระดับจังหวัดดำเนินการ นอกจากนี้ ให้เพิ่มข้อความในบางยุทธศาสตร์ เช่น เพิ่มข้อความ “การส่งเสริมและป้องกันการเกิดผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กและเยาวชนจากการใช้สื่ออุปกรณ์ต่าง ๆ” ในมาตราที่ ๔ ข้อ ๔.๖ จัดให้มีระบบเฝ้าระวังในชุมชนเพื่อเป็นการช่วยเหลือคุ้มครองเด็กและเยาวชนที่ถูกกระทำความรุนแรงบนอินเทอร์เน็ตได้อย่างทันท่วงที เป็นต้น รวมทั้งให้เพิ่มกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานสนับสนุนในยุทธศาสตร์ที่ ๔ การเสริมสร้างศักยภาพเด็ก เยาวชน และบุคคลแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เมื่อแผนยุทธศาสตร์ชาติประกาศใช้แล้ว ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาทบทวนและปรับปรุงยุทธศาสตร์ส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17529 | แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2560 - 2564 | สธ | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบและทิศทางในการจัดการงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมต่อสุขภาพ ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) ป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมต่อสุขภาพ (๒) สร้างความร่วมมือพหุภาคีและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามแนวทางประชารัฐ (๓) สร้างความเข้มแข็งระบบบริหารจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม และ (๔) เสริมสร้างขีดความสามารถของประชาชน บุคลากรและภาคีเครือข่ายด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมให้มีความรอบรู้ด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อสุขภาพ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ไปสู่การปฏิบัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17530 | มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระของส่วนราชการ | นร07 | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระ ซี่งมีสาระสำคัญเช่นเดียวกับแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๖ (เรื่อง การปรับปรุงแนวทางมาตรการเกี่ยวกับการชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระให้แก่รัฐวิสาหกิจ) โดยมีการเพิ่มขอบเขตของหน่วยปฏิบัติ จากเดิมที่ให้มีผลเฉพาะกับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นให้ครอบคลุมถึงหน่วยงานอื่น ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ยกเว้นกรณีที่จะให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่ไม่สามารถชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคได้ทันภายในปีงบประมาณที่เกิดค่าใช้จ่าย สามารถกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีเป็นค่าสาธารณูปโภคได้อีก ๓ เดือน หลังจากสิ้นปีงบประมาณ ให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังที่ให้หน่วยงานสามารถเบิกค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ในลักษณะค่าใช้จ่ายค้างเบิกข้ามปี โดยถือปฏิบัติได้ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๙.๓/ว ๑๔ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๘ [เรื่อง การเบิกค่าใช้จ่ายค้างเบิกข้ามปีในระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS)] ต่อไป ๒. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๖ (เรื่อง การปรับปรุงแนวทางและมาตรการเกี่ยวกับการชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระให้แก่รัฐวิสาหกิจ) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๓. ให้สำนักงบประมาณรายงานผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการตามแนวทางและมาตรการฯ ดังกล่าวข้างต้นต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ รวมทั้งให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการและแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระเดิมที่ยังคงเหลืออยู่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17531 | รายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร01 | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งมีผลการดำเนินภารกิจ ได้แก่ (๑) สอดส่องดูแล และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ (๒) ปรับปรุงแก้ไขระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔ และยกร่างระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. .... (๓) ให้คำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ (๔) ให้ความเห็นเรื่องร้องเรียนกรณีหน่วยงานของรัฐไม่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และกรณีผู้ขอข้อมูลไม่เชื่อว่าหน่วยงานของรัฐไม่มีข้อมูลข่าวสารตามที่ขอ (๕) ดำเนินการเรื่องอุทธรณ์ของประชาชนตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ (๖) เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ผ่านการจัดการอบรมให้แก่หน่วยงานของรัฐ ผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ (๗) ดำเนินงานด้านความร่วมมือและสร้างเครือข่ายกับต่างประเทศในด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ (๘) ติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐที่รายงานผลการปฏิบัติงานผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ตามที่ประธานกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเสนอ ๒. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายออมสิน ชีวะพฤกษ์) และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในการดำเนินการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของทางราชการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ และปัญหา/อุปสรรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17532 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนคลองแม่ลาย จังหวัดกำแพงเพชร พ.ศ. .... | มท | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนคลองแม่ลาย จังหวัดกำแพงเพชร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลคลองแม่สาย ตำบลอ่างทอง และตำบลวังทอง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรม และพิจารณาจัดหาพื้นที่สำหรับจัดสร้างระบบรวบรวมหรือระบบบำบัด/กำจัดมลพิษ เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษของพื้นที่ รวมทั้งเพิ่มประเภทโรงงานในร่างกฎกระทรวงฯ ได้แก่ โรงงานประเภท ๑๕ (๑) โรงงานทำอาหารผสมหรืออาหารสำเร็จรูปสำหรับเลี้ยงสัตว์ โรงงานประเภท ๑๐๑ โรงงานปรับคุณภาพของเสียรวม และโรงงานประเภท ๑๐๖ โรงงานนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่ง ๆ และการพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับดูแล และควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม เขตป่าสงวนแห่งชาติ และแหล่งน้ำสาธารณะ เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมของชุมชนให้มีคุณภาพดีอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17533 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2560 | อก | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๐ ซี่งมีมติเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ร่างกรอบแผนการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) (๒) เขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก : เมืองการบินภาคตะวันออก [Special EEC Zone : Eastern Airport City (EEC-A)] (๓) รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกกับการเชื่อมโยง ๓ สนามบิน (สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา) (๔) แนวทางการเร่งรัดการอนุมัติโครงการร่วมทุนรัฐ-เอกชน หรือให้เอกชนเป็นผู้ร่วมลงทุน (Public-Private Partnership : PPP) ในพื้นที่ EEC (๕) ความก้าวหน้าการชักจูงนักลงทุนรายสำคัญในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (๖) การจัดตั้งเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation : EECi) (๗) การจัดตั้งเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และ (๘) แนวทางการพัฒนาเมืองฉะเชิงเทรา และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกต่อไป ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก : เมืองการบินภาคตะวันออก และการศึกษาระบบรางโครงการรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออก กับการเชื่อมโยง ๓ สนามบิน ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้เร่งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขภายใต้ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ ส่วนการดำเนินการโครงการในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมจะต้องให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงกันทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง และเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวทางทะเล รวมทั้งควรมีการจัดทำแผนบูรณาการของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลการกระจายความเจริญไปยังพื้นที่โดยรอบ และมีการจัดทำแผน/นโยบาย/กลไก ส่งเสริมการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง EECi กับเขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ : เมืองการบินภาคตะวันออก โดยเฉพาะการทำวิจัยพัฒนาและสร้างต้นแบบต่าง ๆ และการพิจารณาการจัดสร้างระบบราง หรือเพิ่มเส้นทางต่อขยาย “โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายตะวันออก กับการเชื่อมโยงระหว่าง ๓ สนามบิน” ให้สามารถเชื่อมโยงถึงพื้นที่ EECi ได้ นอกจากนี้ ควรมีการประชาสัมพันธ์ การสร้างความเข้าใจและชี้แจงผลประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่จะได้รับ รวมทั้งจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่และบริเวณโดยรอบอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17534 | การจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านกีฬาระหว่างไทยกับภูฏาน | กก | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านกีฬาระหว่างไทยกับภูฏาน โดยจะเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและภูฏานโดยเฉพาะด้านการกีฬา มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) การแลกเปลี่ยนกิจกรรมและบุคลากรทางด้านการกีฬาระหว่างกัน อาทิ โครงการด้านเยาวชนกีฬา โครงการสำหรับเจ้าหน้าที่และผู้ฝึกสอน (๒) ส่งเสริมกีฬาระหว่างกัน อาทิ การฝึกกีฬาและการเตรียมตัวทางกายภาพ การกีฬา สมรรถภาพทางกายและการพลศึกษา การบริหารและการจัดการด้านกีฬา (๓) แลกเปลี่ยนข้อมูลกิจกรรมเยาวชน และ (๔) ส่งเสริมและแลกเปลี่ยนข้อมูล ทักษะ ประสบการณ์ เทคนิค และความรู้ระหว่างกัน โดยจะมีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในโอกาสเยือนภูฏานอย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) ในวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17535 | ขออนุมัติให้ดำเนินโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (เอกสารรอการแก้ไข) | คค | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ดำเนินโครงการทางพิเศษสายพระราม ๓-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก วงเงินลงทุนรวม ๓๑,๒๔๔ ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำนวน ๘๐๗ ล้านบาท และค่าก่อสร้าง จำนวน ๓๐,๔๓๗ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติให้รัฐอุดหนุนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมด วงเงินรวม ๘๐๗ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติให้ กทพ. ใช้แหล่งเงินลงทุนโครงการจากการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund : TFF) เพื่อเป็นค่าก่อสร้าง โดยให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการระดมทุนผ่านกองทุนรวม TFF ของ กทพ. ต่อไป ๑.๔ อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ตามโครงการทางพิเศษสายพระราม ๓-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ๒. ในส่วนของร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ตามโครงการทางพิเศษสายพระราม ๓-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. ปฏิบัติตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการฯ ในช่วง กม. ๑๓+๐๐๐ ถึง กม. ๑๑+๒๐๐ ระยะทางประมาณ ๑.๘ กิโลเมตร ซึ่งเชื่อมต่อกับโครงการทางยกระดับบนทางหลวงหมายเลข ๓๕ (ธนบุรี-ปากท่อ) นั้น ให้ กทพ. ประสานงานกับกรมทางหลวงเพื่อเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ ในช่วงดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก่อนดำเนินการก่อสร้างโครงการตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๔. ให้กระทรวงคมนาคม และ กทพ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้ กทพ. คำนึงถึงการบูรณาการการใช้พื้นที่ร่วมกันของกรมทางหลวงเพื่อลดความซ้ำซ้อนและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งเร่งพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการโครงการทางพิเศษศรีรัชที่จะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี ๒๕๖๓ ให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว และเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเตรียมการบริหารจัดการจราจรในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลภายหลังจากที่ก่อสร้างโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางราง ๑๐ เส้นทางแล้วเสร็จ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๕. ให้ กทพ. เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ และประสานงานกับกระทรวงการคลังอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การระดมทุนผ่านกองทุนรวม TFF และแผนดำเนินการก่อสร้างโครงการสอดคล้องกัน รวมทั้งให้กระทรวงการคลังหารือร่วมกับ กทพ. เพื่อพิจารณามาตรการหรือแนวทางในการลดผลกระทบจากการระดมทุนผ่านกองทุนรวม TFF ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว โดยนำข้อเสนอของ กทพ. ไปประกอบการพิจารณาต่อไปด้วย ๖. ให้กระทรวงคมนาคม และ กทพ. เร่งเตรียมการในส่วนของโครงการทางด่วนขั้นที่ ๓ สายเหนือตอน N2 และ E-W Corridor ด้านตะวันออกให้แล้วเสร็จโดยเร็วตามระเบียบ ข้อกฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเป็นไปตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง การระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund)]
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17536 | การจัดซื้อยาที่ผลิตในประเทศ | นร | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ และที่เสนอเพิ่มเติมว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ให้หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่ผลิตได้เองในประเทศและผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง นั้น ได้มีการหารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแล้ว สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่ผลิตได้เองในประเทศตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวมีความเหมาะสม เนื่องจากปัจจุบันยาที่ผลิตในประเทศมีคุณสมบัติเทียบเท่ายาที่ผลิตจากต่างประเทศและสามารถจะประหยัดงบประมาณภาครัฐได้มาก เนื่องจากมีราคาต่ำกว่ายาจากต่างประเทศ (ประเทศไทยมีการจัดซื้อยาทั้งหมดคิดเป็นมูลค่าปีละประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นมูลค่ายาที่นำเข้าจากต่างประเทศประมาณ ๑๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตยาในประเทศอย่างครบวงจรและจูงใจให้ผู้ประกอบการยาจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนผลิตยาในประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมด้วย ๑.๒ หน่วยงานของรัฐสามารถถือปฏิบัติตามมาตรการการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศตามที่เสนอในครั้งนี้ได้ โดยไม่ถือว่าขัดต่อความตกลงระหว่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอยู่ในปัจจุบัน เพราะเป็นเรื่องความจำเป็นในการจัดหาในส่วนของภาครัฐ (Government Procurement) ๑.๓ เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ประกอบการในประเทศบางส่วนเป็นผู้วิจัย พัฒนา และผลิตยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยมิได้เป็นผู้จำหน่ายโดยตรงแต่ได้จัดตั้ง/แต่งตั้งบริษัทผู้แทนจำหน่ายขึ้นมาทำหน้าที่แทน ดังนั้น ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐประสงค์จะจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมผ่านทางผู้แทนจำหน่าย เห็นควรให้ดำเนินการได้ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้พิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมของการจัดซื้อดังกล่าวเป็นกรณี ๆ ไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาดำเนินการโดยเร็วเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา อุปสรรค และความล่าช้าในการจัดซื้อดังกล่าว ๒. ให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ดังนี้ ๒.๑ ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตได้เองในประเทศและผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งเป็นนโยบายการจัดหาในภาครัฐ (Government Procurement) ที่สำคัญตามยุทธศาสตร์การเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าและยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามนัยแห่งข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ โดยใช้กับยา เวชภัณฑ์ และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น รถพยาบาล อาหารทางการแพทย์ที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทยด้านการแพทย์และรัฐได้ให้สิทธิพิเศษแก่ผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมดังกล่าวตามที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติได้ตรวจสอบคุณสมบัติและสำนักงบประมาณได้ประกาศขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยแล้ว ทั้งนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ๒.๒ ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามข้อ ๒.๑ โดยวิธีกรณีพิเศษได้อย่างน้อยร้อยละ ๓๐ ของปริมาณความจำเป็นที่ต้องการใช้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ๒.๓ เมื่อพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับแล้ว (๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๐) โดยที่กฎหมายดังกล่าวไม่ได้ระบุถึงการจัดซื้อโดยวิธีกรณีพิเศษอีกต่อไป แต่มีการจัดซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจง ซึ่งจะใช้กับเรื่องใดให้เป็นไปตามที่กฎกระทรวงกำหนด จึงให้กระทรวงการคลังดำเนินการออกกฎกระทรวงกำหนดให้ยา เวชภัณฑ์ และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ตามข้อ ๒.๑ เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน เพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถจัดซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจงได้อย่างน้อยร้อยละ ๓๐ ตามข้อ ๒.๒ ในระหว่างนี้ให้กระทรวงการคลังเตรียมการออกกฎกระทรวงเพื่อจะสามารถรับช่วงไปดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องกับการมีผลใช้บังคับของพระราชบัญญัติฉบับใหม่ ๒.๔ ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการคลังร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมในการนำมาตรการดังกล่าวไปใช้กับการจัดซื้อยาตามบัญชียาหลักแห่งชาติที่ผลิตในประเทศด้วย ๒.๕ ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณอำนวยความสะดวกและกำกับดูแลให้การดำเนินการตามมาตรการนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โปร่งใส หากมีปัญหาหรือการละเว้นไม่ดำเนินการในเรื่องใด ให้รายงานนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการ ๒.๖ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐมีความจำเป็นต้องจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมผ่านทางผู้แทนจำหน่าย ให้เสนอเรื่องให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมก่อนดำเนินการจัดซื้อต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดการพิจารณาดังกล่าวโดยเร็วเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา อุปสรรค และความล่าช้าในการจัดซื้อ ๓. ในการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ดังกล่าวให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องแยกวงเงินงบประมาณเพื่อการนี้ให้ถูกต้อง ชัดเจน และให้สำนักงบประมาณกำกับดูแลให้ถูกต้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17537 | การดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการรายงานสรุปผลการดำเนินงานที่สำคัญของส่วนราชการ ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2557 - พฤษภาคม 2560 | นร04 | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานสรุปผลการดำเนินงานที่สำคัญของส่วนราชการ ในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗-พฤษภาคม ๒๕๖๐ กราบเรียนนายกรัฐมนตรีแล้ว มีบัญชาเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ดังนี้ ๑.๑ ให้ดำเนินการต่อเนื่อง สร้างการรับรู้เป็นผลงานและผลสัมฤทธิ์ตามห้วงระยะเวลา ให้เป็นข้อมูลที่จับต้องได้ แยกเป็นกิจกรรม/กลุ่ม ประโยชน์ที่ได้รับ โดยให้ย้อนถึงปัญหาก่อนปี ๒๕๕๗ ในแต่ละเรื่อง โดยเป็นผลงาน ๓ ปี ต่อเนื่องและต่อไป ๑.๒ สำเนาให้คณะรัฐมนตรีและโฆษกทุกกระทรวง/ทุกหน่วยงานเพื่อใช้ประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์ IO (Information Operation) ฯลฯ พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ผ่าน Facebook รัฐบาล และสำเนาให้สื่อส่วนรวม ๑ เล่ม ๑.๓ ติดตามผลการดำเนินงานและให้ส่วนราชการส่งผลงานอย่างต่อเนื่อง กำหนดระยะเวลาทุกเดือนก่อนวันที่ ๕ โดยให้รวบรวมเป็นผลงาน ๓ ปี และรวมเพิ่มทุก ๑ เดือน ๒. ให้ทุกส่วนราชการรายงานสรุปผลการดำเนินงานที่สำคัญไปยังสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีตามห้วงเวลาที่กำหนดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ให้จัดทำข้อมูลผลการดำเนินการดังกล่าว ให้ถูกต้อง ชัดเจน เป็นหมวดหมู่/กิจกรรม แสดงให้เห็นถึงปัญหา/สาเหตุ ผลการดำเนินการ และประโยชน์ที่ได้รับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพของปัญหาของเรื่องต่าง ๆ ในความรับผิดชอบที่เกิดขึ้นก่อนที่รัฐบาลปัจจุบันจะเข้ามาทำหน้าที่ และผลการดำเนินการในปัจจุบัน เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนต่อไป ๓. ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีติดตามผลการดำเนินงานของส่วนราชการอย่างต่อเนื่องทุกเดือน เพื่อนำมารวบรวมเป็นผลการดำเนินงานของรัฐบาล ๓ ปี ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17538 | ร่างพระราชกำหนดการประมง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกำหนดการประมง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่ได้ปรับแก้ไขจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีหลักการสำคัญในการป้องกันมิให้มีการทำการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยได้แก้ไขเพิ่มเติมตามมติที่ประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงแรงงานและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในมาตรา ๑๑ มาตรา ๑๑/๑ มาตรา ๑๒๔ ตามข้อสังเกตของกระทรวงแรงงาน และมีการปรับแก้ไขมาตรา ๘๑ ตามข้อเสนอของสหภาพยุโรป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในเรื่องนี้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการชี้แจงให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับทราบและทำความเข้าใจถึงความจำเป็นและสาระสำคัญของการปรับปรุง โดยเฉพาะการปรับปรุงนิยาม หลักเกณฑ์ และบทลงโทษต่าง ๆ รวมทั้งแผนการตรากฎหมายลำดับรองตามร่างพระราชกำหนดฯ และแนวทางการปรับตัวของชาวประมงและผู้ประกอบการธุรกิจประมงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถเตรียมความพร้อมสำหรับการปรับตัวก่อนมีการบังคับใช้พระราชกำหนดฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17539 | แนวทางการจัดทำร่างกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เพิ่มเติม) | นร09 | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบแนวทางการจัดทำร่างกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เพิ่มเติม) ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวเป็นการเพิ่มเติมจากแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๐ [เรื่อง แนวทางในการจัดทำร่างกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (มาตรา ๒๖ และมาตรา ๘๑ ประกอบกับมาตรา ๒๖๓)] ดังนี้
๑. แนวทางการเขียนความในวรรคสามของคำปรารภในร่างกฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ ต้องประกอบไปด้วยสาระสำคัญ ๒ ประการ ได้แก่ (๑) เหตุผลความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายนั้น ๆ และ (๒) การระบุว่ากฎหมายนี้เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา ๒๖ แล้ว ๒. แนวทางการเขียนบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบการเสนอร่างกฎหมายเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมาย มีหลักเกณฑ์ที่ต้องคำนึงถึงในการเขียนเหตุผลประกอบร่างกฎหมายดังกล่าว ได้แก่ (๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องมีกฎหมายในเรื่องนั้น (๒) หากกฎหมายนั้นมีเนื้อหาเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลควรระบุเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องมีการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลในเรื่องดังกล่าว และ (๓) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องใช้ระบบคณะกรรมการหรือระบบอนุญาต รวมทั้งเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องใช้โทษอาญาสำหรับความผิดร้ายแรง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17540 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย (จำนวน 4 คน 1. นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล ฯลฯ) | มท | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย จำนวน ๔ คน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ. ๒๕๒๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ มิถุนายน ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล ๒. นายอรุณ บุญชม ๓. นายปริญญา ประหยัดทรัพย์ ๔. นายวิรุฬห์ พรพัฒน์กุล
|
.....