ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 879 จากทั้งหมด 6236 หน้า แสดงรายการที่ 17561 - 17580 จากข้อมูลทั้งหมด 124707 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 17561 | ขอปรับค่าตอบแทนพิเศษครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชน | ศธ | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ปรับค่าตอบแทนพิเศษครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชนให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเพิ่มพิเศษ ในอัตราคนละ ๒,๕๐๐ บาทต่อเดือน เช่นเดียวกับครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนรัฐ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน งบเงินอุดหนุน รายการเงินอุดหนุนค่าตอบแทนพิเศษครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชนซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้เพียงพอสำหรับภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้นแล้ว และให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีมีผลบังคับใช้หากงบประมาณเงินอุดหนุนรายการดังกล่าวไม่เพียงพอต่อภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ควรจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของครูที่สอนนักเรียนพิการให้เข้าไปในทิศทางและมาตรฐานเดียวกันเพื่อประโยชน์ของทางราชการและประโยชน์ที่นักเรียนพิการจะได้รับเป็นสำคัญ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขครูที่จะได้รับค่าตอบแทนพิเศษเพิ่มต้องเป็นไปตามหลักการเดียวกับระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติหน้าที่สอนคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๖ และเป็นมาตรฐานเดียวกันกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติหน้าที่สอนคนพิการในโรงเรียนของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินการเรื่องการปรับอัตราค่าตอบแทนพิเศษครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนของรัฐและเอกชนให้เป็นภาพรวมทั้งระบบแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในคราวเดียวกันต่อไป ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการให้ความช่วยเหลือโรงเรียนอื่น ๆ ที่มีความจำเป็นต้องรับการอุดหนุน เช่น โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เป็นต้น ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนในโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17562 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งกองทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐตามร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. .... ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ที่เห็นควรไม่ให้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านขนส่งของรัฐ เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. .... กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีจากผู้ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมของรัฐเป็นรายรับของกองทุนฯ ซึ่งเป็นการจัดเก็บภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (Earmarked Tax) มาใช้ในการดำเนินงานของกองทุนฯ อาจไม่สอดคล้องกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังนำผลการพิจารณาดังกล่าวไปประกอบการดำเนินการจัดทำร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. .... ให้เหมาะสมสอดคล้องกันต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17563 | โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนผาจุก | พน | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนผาจุก มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนผาจุกตามแผนยุทธศาสตร์พลังงานในการส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดสัดส่วนการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ และมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงพลังงานทดแทนในภาพรวมของประเทศให้ได้ร้อยละ ๒๐ ของปริมาณความต้องการพลังงานไฟฟ้ารวมสุทธิภายในปี ๒๕๗๙ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณที่เห็นว่า การลงทุนก่อสร้างระบบส่งไฟฟ้าควรคำนึงถึงมาตรฐานระบบไฟฟ้าของประเทศ ความมั่นคงและเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้าในภาพรวม ควบคู่กับการพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุน ส่วนการคัดเลือกผู้รับเหมาดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ควรครอบคลุมในทุกมิติ และให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรมชลประทาน กฟผ. และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคร่วมกันศึกษาพื้นที่ที่มีศักยภาพในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังน้ำ รวมทั้งให้กรมป่าไม้ กรมชลประทาน กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ต้นน้ำ นอกจากนี้ กฟผ. ควรพิจารณาทบทวนปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกและกระบวนการตรวจสอบการดำเนินงานของผู้รับเหมาของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนชลประทานในอนาคตให้มีความรอบคอบ รัดกุม ตลอดจนพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการดำเนินกิจกรรมของประชาชน การประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในทุกมิติ และปฏิบัติตามขั้นตอนของระเบียบที่เกี่ยวข้อง และเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณลงทุนให้บรรลุตามเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รวมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารูปแบบการเชื่อมต่อระหว่างสถานีไฟฟ้าและสายส่งของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานเขื่อนผาจุก เพื่อให้ได้รูปแบบที่เหมาะสมที่สุด โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ต่อระบบไฟฟ้าของประเทศในภาพรวมและความคุ้มค่าในการลงทุนเป็นลำดับแรก ๔. ให้ กฟผ. เร่งรัดดำเนินการประชาสัมพันธ์ ชี้แจง และสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนและชุมชนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนผาจุก เช่น ประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการและมาตรการบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการดำเนินการก่อสร้างโครงการดังกล่าว เพื่อให้เกิดการยอมรับและให้ความร่วมมือในการดำเนินโครงการ รวมทั้งให้ กฟผ. ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ด้วย ๕. ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าในภาพรวม โดยจำแนกตามแหล่งพลังงานที่ใช้ถึงต้นทุนการผลิต ประสิทธิภาพ และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมของแหล่งพลังงานประเภทต่าง ๆ รวมถึงผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในอนาคต เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17564 | ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาวใหม่ ปี 2560 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาวใหม่ปี ๒๕๖๐ จำนวน ๗ แผนงาน ภายในกรอบวงเงิน ๑๒,๗๔๘ ล้านบาท โดยให้ทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นรายปีจนกว่าการดำเนินงานจะแล้วเสร็จ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการวางแผนการกู้เงินและการเบิกจ่ายเงินกู้อย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ โดยหากแผนงานใดมีความพร้อมควรเลื่อนการลงทุนแผนงานดังกล่าวให้เร็วขึ้น (Front Load) และหากมีผลประกอบการเพิ่มขึ้น เห็นควรให้เพิ่มสัดส่วนเงินรายได้เพื่อมาดำเนินโครงการ รวมทั้งภายหลังจากได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว กฟภ. จะต้องเสนอความต้องการใช้เงินกู้ในแต่ละปีให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินต่อคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเพื่อบรรจุไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17565 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (พื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์) | ศธ | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้กระทรวงศึกษาธิการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑,๓๕๑,๑๒๕,๑๕๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูหน่วยงานและสถานศึกษาที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ รวม ๑๐ จังหวัด (จังหวัดกระบี่ จังหวัดชุมพร จังหวัดตรัง จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดพัทลุง จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลา และจังหวัดสุราษฎร์ธานี) และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตามประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จำนวน ๑,๗๕๑ แห่ง โดยให้กระทรวงศึกษาธิการนำเสนอคณะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลผ่านรองนายกรัฐมนตรี เพื่อสั่งการให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีกลไกในการกำกับ ตรวจสอบ และติดตามการดำเนินงานและการใช้งบประมาณดังกล่าว เพื่อความโปร่งใส และความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณที่มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งสามารถใช้ประโยชน์ในการดำเนินการและการจัดการเรียนการสอนได้ตามวัตถุประสงค์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17566 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น [ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบสำรองสำหรับระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP)] | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมบัญชีกลางเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๕๘,๔๔๕,๘๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบสำรองสำหรับระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17567 | แผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ พ.ศ. 2560 - 2564 | สธ | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ปรับชื่อแผนยุทธศาสตร์ให้เหมาะสม จากเดิม “แผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔” เป็น “แผนปฏิบัติการระดับชาติด้านการต่อต้านวัณโรค พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔” ๒. เห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการระดับชาติด้านการต่อต้านวัณโรค พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ซึ่งมีเป้าประสงค์เพื่อลดอัตราอุบัติการณ์ของวัณโรคลงร้อยละ ๑๒.๕ ต่อปี จาก ๑๗๑ ต่อประชากรแสนคน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้เหลือ ๘๘ ต่อประชากรแสนคน เมื่อสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๖๔ และมีกลไกติดตามประเมินผลเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการลดโรคระดับสากลที่ ๑๐ ต่อประชากรแสนคน ในปี พ.ศ. ๒๕๗๘ โดยแผนยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่ (๑) เร่งรัดค้นหาผู้ติดเชื้อวัณโรคและผู้ป่วยวัณโรคให้ครอบคลุมโดยการคัดกรองในกลุ่มเสี่ยงเป้าหมาย (๒) ลดการเสียชีวิตในผู้ป่วยวัณโรค (๓) พัฒนาศักยภาพบุคลากรเพื่อป้องกัน ดูแลรักษา และควบคุมวัณโรค (๔) สร้างกลไกการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์อย่างยั่งยืน และ (๕) ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการป้องกัน ดูแลรักษา และควบคุมวัณโรค ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาเพื่อดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ ๒.๑ ด้านการบริหารจัดการ กระทรวงสาธารณสุขควรพิจารณาใช้กลไกการบริหารจัดการตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ คือ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการทำงานและบูรณาการการทำงานด้านการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ โดยรายงานผลการดำเนินการ ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะ เพื่อประกอบการกำหนดแนวทางและมาตรการในการป้องกันและควบคุมวัณโรคให้สอดคล้องกับแนวนโยบายระดับชาติแก่รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการกระทรวงสาธารณสุขทราบเป็นระยะ ๒.๒ ด้านการพัฒนาระบบฐานข้อมูล กระทรวงสาธารณสุขควรพิจารณาแนวทางการใช้ระบบฐานข้อมูลผู้ป่วยวัณโรคร่วมกับฐานข้อมูลโรคติดต่ออื่น ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพของข้อมูล และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ข้อมูลร่วมกันได้ ลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานอันจะเป็นการใช้งบประมาณและทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาฐานข้อมูลผู้ป่วยโรคติดต่อในระดับชาติ ๒.๓ สำหรับการจัดตั้งกองทุนพิเศษ กระทรวงสาธารณสุขควรดำเนินการตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งข้อกฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการจัดทำงบประมาณของแผนปฏิบัติการตามแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ กระทรวงสาธารณสุขควรพิจารณาถึงความเชื่อมโยงสอดคล้องกับแผนงานและโครงการที่เกี่ยวข้องด้วยเพื่อเป็นการลดภาระด้านงบประมาณที่จะเกิดขึ้นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17568 | (ร่าง) ยุทธศาสตร์ชาติ การพัฒนาภูมิปัญญาไท สุขภาพวิถีไท ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) | สช | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ปรับชื่อ (ร่าง) ยุทธศาสตร์ให้เหมาะสม จากเดิม “(ร่าง) ยุทธศาสตร์ชาติ การพัฒนาภูมิปัญญาไท สุขภาพวิถีไท ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔)” เป็น “(ร่าง) ยุทธศาสตร์ การพัฒนาภูมิปัญญาไท สุขภาพวิถีไท ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔)” ๒. เห็นชอบในหลักการของ (ร่าง) ยุทธศาสตร์ การพัฒนาภูมิปัญญาไท สุขภาพวิถีไท ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) จัดทำขึ้นเพื่อเป็นทิศทางของประเทศในการขับเคลื่อนภูมิปัญญาไท สุขภาพวิถีไท ซึ่งเป็นการต่อยอดแนวทางการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานด้านการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านอย่างยั่งยืนด้วยการสร้างกลไกการบริหารจัดการ การพัฒนาบุคลากร และสร้างภาคีเครือข่าย การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน รวมถึงส่งเสริมการใช้และพัฒนาสมุนไพรไทยให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดย (ร่าง) ยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๓ ประเด็นยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) สร้างภูมิปัญญาไท สุขภาพวิถีไทให้เข้มแข็ง (๒) บูรณาการระบบบริการการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือก และระบบยาจากสมุนไพรกับระบบการแพทย์อื่น ๆ และ (๓) เสริมสร้างขีดความสามารถของประชาชน บุคลากร และเครือข่าย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) ประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทยส่งเสริมและสนับสนุนเครือข่ายหมอพื้นบ้าน ชุมชน และเอกชนปลูกพืชสมุนไพรตามแนวทางการจัดการป่าชุมชนและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการพึ่งพาตนเอง ๒.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติสร้างความเข้มแข็งให้แก่กระบวนการผลิตยาจากพืชสมุนไพรให้ครบวงจร ตั้งแต่ขั้นต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยพิจารณานำกลไกประชารัฐมาส่งเสริม รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยให้มีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17569 | มาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ | สธ | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ และผลการพิจารณาเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการทุจริตฯ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อเสนอแนะเชิงระบบ เช่น ผลักดันให้มีการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Rational Drug Use หรือ ROU) จัดให้มีศูนย์ประมวลข้อมูลสารสนเทศด้านสุขภาพและยาที่เชื่อมโยงข้อมูลการใช้ยากับสถานพยาบาลทุกสังกัดเพื่อตรวจสอบการใช้ยาอย่างเหมาะสม และเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมบัญชีกลางเพื่อตรวจสอบการใช้สิทธิรักษาพยาบาลของข้าราชการได้ และกำหนดหลักเกณฑ์การจัดซื้อยา รวมทั้งข้อเสนอแนะเชิงภารกิจ เช่น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ผลักดันให้มีการปฏิบัติตามเกณฑ์จริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการขายยา และการสร้างมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมของภาคเอกชนเพื่อป้องกันการส่งเสริมการขายยาที่ไม่เหมาะสม ๑.๒ กระทรวงสาธารณสุขได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเห็นชอบตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และมีข้อสังเกตในบางประเด็น เช่น กรณีที่ให้มีศูนย์ประมวลข้อมูลสารสนเทศฯ เพื่อตรวจสอบการใช้สิทธิรักษาพยาบาลของข้าราชการนั้น กรมบัญชีกลางอยู่ระหว่างพัฒนาระบบเพื่อให้สามารถรับรู้การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ในทันทีซึ่งจะป้องกันผู้ใช้สิทธิทุจริตโดยการเวียนรับยาซ้ำตามโรงพยาบาลต่าง ๆ (ช็อปปิ้งยา) ได้ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เร่งรัดการดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการเพื่อป้องกันการทุจริตการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้ใช้สิทธิข้าราชการให้แล้วเสร็จโดยเร็วและสามารถเริ่มใช้งานได้ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17570 | การทบทวนแผนปฏิบัติการเพื่อให้คลองแสนแสบสะอาดภายใน 2 ปี | นร | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนปฏิบัติการเพื่อให้คลองแสนแสบสะอาดของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งได้ปรับแผนภาพรวมการดำเนินการแบ่งออกเป็น ๓ ระยะ คือ ระยะ ๑ ปี ระยะ ๕ ปี และระยะ ๒๐ ปี และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ในระยะเร่งด่วนปี ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ให้เร่งรัดโครงการที่เกี่ยวกับการขุดลอกคลอง และการกำจัดวัชพืช รวมทั้งการระบายน้ำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมควบคู่ไปกับการเริ่มวางโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว และรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนงานทุก ๖ เดือนต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นรองประธานกรรมการ ๑.๒ ให้พิจารณาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการให้ภาคเอกชนร่วมลงทุน (PPP) ในโครงการขนาดใหญ่ที่มีงบประมาณสูง โดยเฉพาะโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อแก้ไขน้ำเสียเป็นการดำเนินการที่ใช้งบประมาณจำนวนมากทั้งในระยะ ๕ ปี (ก่อสร้างระบบรวบรวมน้ำเสีย ๓ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒,๖๑๑.๕๐ ล้านบาท ก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย ๕ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๑๕,๑๗๑ ล้านบาท และก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. ๓ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒,๓๗๘.๘๐ ล้านบาท) และระยะ ๒๐ ปี (ก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย ๕ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒๙,๔๒๐ ล้านบาท) ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับปริมาณน้ำทิ้งที่ระบายออกสู่สิ่งแวดล้อม ควรพิจารณาใช้มาตรการบำบัดที่แหล่งกำเนิด (point source control) จะประหยัดและมีประสิทธิภาพมากกว่ามาตรการรวบรวมน้ำเสียไปบำบัดยังโรงบำบัดน้ำเสียส่วนกลาง สำหรับการเดินเรือในคลองแสนแสบซึ่งมีส่วนช่วยในการเพิ่มเติมอากาศในน้ำซึ่งเป็นผลดีต่อคุณภาพน้ำ ควรปรับปรุงเครื่องยนต์ให้เป็นรูปแบบที่สะอาดเพื่อลดมลพิษที่ปล่อยลงสู่ลำคลอง รวมทั้งควรพิจารณาแนวทางการเพิ่มการไหลเวียนของน้ำในคลองแสนแสบเพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำและลดการตื้นเขิน ส่วนการออกแบบเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กในบริเวณริมคลองสามารถใช้เป็นเส้นทางสัญจรตลอดแนวคลอง ควรออกแบบให้ชุมชนริมฝั่งได้ใช้ประโยชน์เพื่อกิจกรรมสันทนาการหรืออื่น ๆ ตามความต้องการของชุมชน และควรมีโครงสร้างที่เอื้อต่อการขุดลอกเพื่อกำจัดวัชพืชได้ดี ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. เห็นชอบในหลักการโครงการที่ต้องเร่งรัดการดำเนินการเพื่อให้มีระบบการรวบรวมและบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพก่อนระบายลงคลองแสนแสบ ตามแผนปฏิบัติการเพื่อให้คลองแสนแสบสะอาด รวม ๕ โครงการ กรอบวงเงินรวม ๗,๑๔๕.๔ ล้านบาท ได้แก่ (๑) งานก่อสร้างระบบรวบรวมน้ำเสียเพิ่มเติมริมคลองแสนแสบช่วงถนนวิทยุ-คลองตันเข้าโรงควบคุมคุณภาพน้ำดินแดง (๒) โครงการก่อสร้างระบบรวบรวมน้ำเสีย (เพิ่มเติม) พื้นที่เขตห้วยขวางเข้าโรงควบคุมคุณภาพน้ำดินแดง และ (๓) โครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรี ระยะที่ ๓ (๔) โครงการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. พร้อมระบบรวบรวมน้ำเสียคลองแสนแสบจากบริเวณประตูระบายน้ำมีนบุรีถึงบริเวณประตูระบายน้ำหนองจอก และ (๕) โครงการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. คลองแสนแสบจากบริเวณสะพานผ่านฟ้าถึงบริเวณประตูระบายน้ำคลองตัน ๔. สำหรับแหล่งเงินและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามข้อ ๑ และข้อ ๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้ชัดเจน เหมาะสม สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ แผนบูรณาการ ภารกิจ และศักยภาพของหน่วยงานเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและการดำเนินการภายใต้กฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ คุ้มค่า ลดความซ้ำซ้อน เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ โครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครเป็นโครงการขนาดใหญ่และมีวงเงินลงทุนสูง เห็นควรให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของกรุงเทพมหานครไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ และเงินอุดหนุนรัฐบาลไม่เกินร้อยละ ๕๐ โดยให้นับรวมอยู่ในสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๕. ในระยะเร่งด่วนปี ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับการขุดลอกคลอง และการกำจัดวัชพืช รวมทั้งปรับปรุงทางระบายน้ำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมควบคู่ไปกับการเตรียมการด้านโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว และให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทุก ๆ ๖ เดือน เพื่อรวบรวมนำเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นรองประธานกรรมการ ต่อไป ๖. ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการให้ภาคเอกชนร่วมลงทุน (PPP) ในโครงการขนาดใหญ่ที่มีงบประมาณสูง โดยเฉพาะโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อแก้ไขน้ำเสีย ทั้งในระยะ ๕ ปี และระยะ ๒๐ ปี โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17571 | มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 (เพิ่มเติม) | นร07 | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (เพิ่มเติม) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีรายจ่ายประจำ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เร่งรัดดำเนินการตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณแล้ว ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ และหากมีเงินเหลือจ่ายก็ให้เร่งดำเนินการตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพฯ โดยให้ขอความเห็นชอบจากรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแลการปฏิบัติราชการแล้วขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ ๑.๒ กรณีรายการงบประมาณเดิมที่เป็นภารกิจช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย หรือปรับปรุงซ่อมแซม บูรณะสถานที่ราชการ หรือสิ่งอันเป็นสาธารณประโยชน์ของแผ่นดิน ที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากอุทกภัย ตลอดจนป้องกันอุทกภัย หรือสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน/ชุมชน อยู่เดิมแล้ว และกรณีรายการงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแลการปฏิบัติราชการ ให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และมีผลการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว ให้เร่งดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ ๑.๓ กรณีรายการงบประมาณที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐) เห็นควรให้ขยายระยะเวลาการขอความเห็นชอบจากรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแลการปฏิบัติราชการ แล้วขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ จากเดิมภายในวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๐ เป็นวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการโอนเปลี่ยนแปลงไปเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรายการ/โครงการที่มีข้อผูกพันตามกฎหมาย ให้หมายรวมถึงค่าใช้จ่ายที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต้องดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลและค่าใช้จ่ายตามสิทธิ์ ซึ่งหากไม่ดำเนินการจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ ๑.๔ กรณีงบกลางที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแล้ว ให้เร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วและขอทำความตกลงกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกับกระทรวงการคลังตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17572 | มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการกำหนดแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนภูมิภาคเพิ่มเติมจากปี พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยเร่งรัดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเร่งดำเนินการโอนจัดสรรงบประมาณที่ดำเนินการในเขตพื้นที่จังหวัดไปยังสำนักเบิกส่วนภูมิภาค ภายในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ เพื่อให้หน่วยงานในพื้นที่ต่างจังหวัดมีงบประมาณในการปฏิบัติงานโดยเร็ว และสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รายไตรมาสที่กำหนดไว้ได้ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17573 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบเอกสารตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและวิธีการขอหลักฐานการแจ้งออกไปนอกราชอาณาจักรเพื่อกลับเข้ามาอีกและการขอกลับเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามเดิม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเฉพาะการให้บุคคลซึ่งเป็นคนต่างด้าวยื่นรายการตามแบบ ตม.๖ ท้ายกฎกระทรวงกำหนดแบบเอกสารตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและวิธีการขอหลักฐานการแจ้งออกไปนอกราชอาณาจักรเพื่อกลับเข้ามาอีก และการขอกลับเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามเดิม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงฯ ตามหลักการดังกล่าวโดยด่วนอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้กำหนดบทเฉพาะกาล เพื่อให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสามารถใช้แบบ ตม.๖ รูปแบบปัจจุบันต่อไปได้จนกว่าแบบ ตม.๖ ที่สำรองไว้จะหมดลง ตามความเห็นของสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานำ Big Data มาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มเติมจากการจัดเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามในแบบ ตม.๖ โดยให้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิจารณายกเลิกแบบสอบถามของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในแบบ ตม.๖ ในอนาคต เพื่อลดภาระในการกรอกข้อมูลของบุคคลต่างด้าว ตามความเห็นของสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรีต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17574 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์มะนิลาว่าด้วยการต่อต้านการเพิ่มขึ้นของลัทธินิยมความรุนแรงและกลุ่มคนหัวรุนแรง (Manila Declaration to Combat the Rise of Radicalization and Violent Extremism) และร่างแถลงการณ์อาเซียนว่าด้วยการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ASEAN Declaration to Combat Cybercrime) | ตช | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์มะนิลาว่าด้วยการต่อต้านการเพิ่มขึ้นของลัทธินิยมความรุนแรงและกลุ่มคนหัวรุนแรง (Manila Declaration to Combat the Rise of Radicalization and Violent Extremism) และร่างแถลงการณ์อาเซียนว่าด้วยการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ASEAN Declaration to Combat Cybercrime) เพื่อจะได้นำร่างแถลงการณ์ฯ ทั้งสองฉบับเข้าในวาระการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ ครั้งที่ ๑๑ (11th ASEAN Ministerial Meeting on Transnational Crime) ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๑ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า ร่างแถลงการณ์ฯ ทั้งสองฉบับไม่เข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ ทั้งสองฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17575 | ความตกลงให้การสนับสนุนด้านการเงินระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรปโครงการการรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอาเซียนจากสหภาพยุโรป เพิ่มเติม (ARISE Plus) | กต | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงให้การสนับสนุนด้านการเงินระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรปโครงการการรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอาเซียนจากสหภาพยุโรป เพิ่มเติม (ASEAN Regional Integration Support from the EU : ARISE Plus) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการบูรณาการเศรษฐกิจและสนับสนุนการดำเนินการตามแผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒๐๒๕ และเป้าประสงค์เฉพาะ เช่น การปรับปรุงศุลกากร การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการขนส่ง สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา นโยบายแข่งขัน ความร่วมมืออาหารและยา และการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน เป็นต้น โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างความตกลงฯ โครงการ ARISE Plus ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และหลังจากนั้นให้รายงานผลเพื่อคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ โครงการ ARISE Plus และให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ว่า รัฐบาลไทยเห็นชอบร่างความตกลงฯ โครงการ ARISE Plus และให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17576 | ขอความเห็นชอบการเป็นเจ้าภาพร่วมและการรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองของกิจกรรมระดับสูงว่าด้วยการปฏิรูปสหประชาชาติ | กต | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกิจกรรม Event on United Nations Reforms with Reform-Minded Member ในวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๐ ในช่วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ที่ ๗๒ (72nd Session of the United Nations General Assembly : UNGA 72) ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และร่วมรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองของกิจกรรมระดับสูงว่าด้วยการปฏิรูปสหประชาชาติ เพื่อแสดงเจตนารมณ์สนับสนุนเลขาธิการสหประชาชาติในการปฏิรูปสหประชาชาติ โดยเน้นประเด็นหลัก เช่น การส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนและความไว้วางใจระหว่างรัฐสมาชิกสหประชาชาติ การปฏิรูปการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับระดับปฏิบัติในภาคสนาม เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้ผู้แทนคณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ลงนามรับรองร่างปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17577 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดวิธีจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจงเพิ่มเติม พ.ศ. .... | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดวิธีจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจงเพิ่มเติม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้จัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เกี่ยวกับการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สามารถใช้วิธีเฉพาะเจาะจง โดยการเชิญผู้ประกอบการที่มีอาชีพขายหรือรับจ้างนั้นโดยตรงมายื่นเสนอราคา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17578 | การจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม. สัญจร) ครั้งที่ 2/2560 | นร04 | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ ระหว่างวันที่ ๑๘-๑๙ กันยายน ๒๕๖๐ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้กำหนดแนวทางและการมอบหมายภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดประชุมฯ ดังกล่าวให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17579 | ร่างอนุสัญญากรอบการท่องเที่ยวอย่างมีจริยธรรมและเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง | กก | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อการรับรองเอกสาร ๓ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างอนุสัญญากรอบการท่องเที่ยวอย่างมีจริยธรรม (Draft Framework Convention on Tourism Ethics) (๒) พิธีสารเลือกรับ (Optional Protocol) และ (๓) แนวทางพิเศษสำหรับการพิจารณาและความเป็นไปได้ในการรับรองอนุสัญญากรอบการท่องเที่ยวอย่างมีจริยธรรม โดยที่ประชุมสมัชชาสมัยสามัญ ครั้งที่ ๒๒ (Special Guidelines for the consideration and possible adoption of the Framework Convention on Tourism Ethics by the 22nd session of the General Assembly) ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้รับรองและลงนามในร่างอนุสัญญากรอบการท่องเที่ยวอย่างมีจริยธรรม และพิธีสารเลือกรับ โดยจะสามารถลงนามได้ภายในระยะเวลา ๑ ปี ณ สำนักงานใหญ่ขององค์การการท่องเที่ยวโลก (World Tourism Organization : UNWTO) กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน นับจากวันที่รับรองเอกสารดังกล่าว ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย และดำเนินการยื่นสัตยาบันสารต่อร่างอนุสัญญากรอบการท่องเที่ยวอย่างมีจริยธรรม และพิธีสารเลือกรับ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างอนุสัญญาฯ และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17580 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การออกหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง พ.ศ. .... | กษ | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การออกหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยใช้อำนาจตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ยกเว้นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นกรณีพิเศษเฉพาะเรื่องเพื่อให้คนต่างด้าวที่เดินทางมาขึ้นทะเบียนและอยู่ระหว่างการขอรับหนังสือคนประจำเรือ ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ สามารถอยู่ในราชอาณาจักรได้จนกว่าหนังสือคนประจำเรือสิ้นอายุ ๓. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) เป็นหน่วยงานหลัก โดยให้กระทรวงแรงงาน (กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมการจัดหางาน) และกระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) จังหวัดชายทะเล ๒๒ จังหวัด และศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ให้การสนับสนุนในการเปิดศูนย์เพื่อจดทะเบียนและออกหนังสือคนประจำเรือสำหรับแรงงานต่างด้าวเพื่อทำงานในเรือประมง ๔. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้มีการใช้อำนาจตามมาตรา ๘๓ แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่กำหนดให้อธิบดีกรมประมงมีอำนาจเช่นเดียวกับเจ้าท่าตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทยในการออกหนังสือคนประจำเรือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการออกหนังสือคนประจำเรือสำหรับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานมาก่อน ไปพิจารณาดำเนินการ และให้ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
