ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 870 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 17381 - 17400 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
17381 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 | กค | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๐ ภายใต้วงเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๘๔๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ในปีการผลิต ๒๕๕๙ จำนวน ๒๐๓,๙๔๔,๖๗๕.๓๔ บาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑,๖๓๗,๑๕๕,๓๒๔.๖๖ บาท ๑.๒ เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑,๖๓๗,๑๕๕,๓๒๔.๖๖ บาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ทั้งนี้ หากสิ้นสุดระยะเวลาในการขายกรมธรรม์แล้วพบว่า มีจำนวนพื้นที่เอาประกันภัยมากกว่าพื้นที่เป้าหมายที่เสนอของบประมาณอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย จำนวน ๓๐ ล้านไร่ กระทรวงการคลังจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบวงเงินงบประมาณเพิ่มเติม ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๐ ให้ได้ตามเป้าหมายขั้นต่ำ จำนวน ๒๕ ล้านไร่ โดยเกษตรกรผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกใช้บริการพร้อมเพย์ (Promptpay) ในการรับ-โอนค่าเบี้ยประกันภัยและค่าสินไหมทดแทน พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัย โดยเฉพาะการเข้าร่วมโครงการฯ ของเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ไม่เหมาะสมตามการกำหนดเขตพื้นที่ปลูกข้าว (Zoning) ซึ่งประกาศโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ และให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและ ธ.ก.ส. ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกร แบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกรผู้เอาประกันภัยข้าว เพื่อรับค่าสินไหมทดแทน (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการรับประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมายในอนาคต และรองรับการแก้ไขปัญหาการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ๑.๕ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเก็บข้อมูลและปรับปรุงฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ดัชนีผลผลิตต่อเขตพื้นที่ (Area Yield Index) และเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเตรียมการรองรับการประกันภัยข้าวและการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต ๑.๖ มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานครดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๕๙ และขอให้จัดส่งข้อมูลให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยและ ธ.ก.ส. เพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๗ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๐ และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ในภาพรวมและเชิงรุกให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๘ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยประสานงานกับ ธ.ก.ส. และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาระบบการรับประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๐ เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการประกันภัยเปรียบเทียบกับการให้ความช่วยเหลือโดยหน่วยงานภาครัฐในรูปแบบอื่น เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาจัดทำโครงการประกันภัยในโอกาสต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดศึกษาแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้านการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรให้ครอบคลุมถึงพืชผลชนิดอื่น ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๔. ในการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปีสำหรับปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาและนำเสนอโครงการฯ ต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวและคณะรัฐมนตรีให้ทันก่อนเริ่มฤดูกาลเพาะปลูก เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ที่ต้องการให้เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯ อย่างทั่วถึงและได้รับการคุ้มครองตลอดระยะเวลาการเพาะปลูกข้าวนาปีทั้งฤดูการผลิต ๕. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการฯ ในอนาคต โดยส่งเสริมให้เกษตรกรได้มีส่วนร่วมในระบบประกันภัยพืชผลมากยิ่งขึ้น และทยอยให้เกษตรกรเพิ่มการมีส่วนร่วมในการรับภาระค่าเบี้ยประกันภัยด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
17382 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 31/2560 เรื่อง การใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ | สลธ.คสช. | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๑/๒๕๖๐ เรื่อง การใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ ลงวันที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
17383 | การจัดทำความตกลงระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี 2560 | กต | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำความตกลงระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี ๒๕๖๐ ระหว่างวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน-๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร มีรายละเอียดสำคัญ เช่น การให้เอกสิทธิและความคุ้มกัน การอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราและการรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมฯ รวมถึงเปิดโอกาสให้ขยายระยะเวลาครอบคลุมการจัดการฝึกอบรมฯ ในปีต่อ ๆ ไปที่กรุงเทพมหานคร ๑.๒ ให้นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ของฝ่ายไทย พร้อมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินภารกิจดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รายการค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคลากรด้านการทูตและการต่างประเทศที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้วในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้ การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวให้ดำเนินการได้เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มีผลใช้บังคับแล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
17384 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ครั้งที่ 2 | นร07 | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ วงเงิน ๓,๘๒๘,๑๗๑,๘๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ จำนวน ๒๘ โครงการ ให้กับ ๑๘ หน่วยงาน สำหรับวงเงินที่เหลืออยู่ จำนวน ๗,๙๔๑,๔๓๑,๖๐๐ บาท และรายการที่ยังไม่ได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณหรือมีความประสงค์จะขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการและส่งสำนักงบประมาณโดยด่วนต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
17385 | สรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ 8/2560 (เรื่อง รายงานความก้าวหน้าการปรับโครงสร้างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการขับเคลื่อนด้านพลังงาน) | อื่นๆ | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ (เรื่อง รายงานความก้าวหน้าการปรับโครงสร้างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการขับเคลื่อนด้านพลังงาน) เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์เสนอ ๒. เห็นชอบให้หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ และข้อสังเกตเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ดังนี้ ๒.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาจากการเพิกถอนระเบียบเรื่อง การให้ความยินยอมในการนำทรัพยากรธรรมชาติในเขตปฏิรูปที่ดินไปใช้ประโยชน์ตามกฎหมายอื่น พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหา ๒.๑.๑ ระยะเร่งด่วน พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาในกิจการปิโตรเลียม และเหมืองแร่ที่ผู้ประกอบการได้รับการอนุญาตให้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายก่อนการประกาศเป็นพื้นที่ ส.ป.ก. เพื่อเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต่อไป ๒.๑.๒ พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาในกิจการพลังงานทดแทนที่ได้รับอนุญาตไปอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายก่อนการเพิกถอนระเบียบเรื่อง การให้ความยินยอมในการนำทรัพยากรธรรมชาติในเขตปฏิรูปที่ดินไปใช้ประโยชน์ตามกฎหมายอื่น พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยในการพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะต้องยึดประโยชน์ของเกษตรกรเป็นหลัก และอาจพิจารณาหลักเกณฑ์เพิ่มเติม เช่น ขนาดพื้นที่ที่จำเป็น ความเหมาะสมของพื้นที่เปรียบเทียบระหว่างการทำเกษตรกรรมกับกิจการอื่น และผลประโยชน์ต่อท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ในกรณีที่อาจจำเป็นต้องใช้พื้นที่ ส.ป.ก. สำหรับการดำเนินการด้านพลังงานทดแทนและการพัฒนาอื่น ๆ ตามนโยบายของภาครัฐในอนาคต ๒.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาขั้นตอนและแนวทางการอนุญาตการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ พื้นที่สาธารณประโยชน์ พื้นที่อนุรักษ์ การสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการตั้งและขยายโรงงานใกล้แหล่งน้ำ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานดังกล่าวด้วย ๒.๓ มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพลังงานพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการร่วมการใช้ประโยชน์ด้านพลังงานในพื้นที่ทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาและใช้ประโยชน์ในพื้นที่อ้างสิทธิ และจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทย โดยยึดแนวทางการดำเนินการในลักษณะเดียวกับพื้นที่ JDA ไทย-มาเลเซีย ๒.๔ มอบหมายกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลังร่วมกันพิจารณาแนวทางการใช้น้ำมันปาล์มสำหรับเป็นเชื้อเพลิงพลังงานทดแทนที่เหมาะสม โดยเน้นการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันปาล์มในส่วนที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานทดแทน ๒.๕ มอบหมายกระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการคลังพิจารณาการขอยกเว้นภาษีศุลกากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับโครงการ LTM-PIP ๒.๖ มอบหมายปลัดกระทรวงพลังงาน ปลัดกระทรวงการคลัง และปลัดกระทรวงยุติธรรมร่วมกันหาข้อยุติ และพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีการชำระอากรจากการดำเนินกิจการในพื้นที่องค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย และรายงานคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์โดยเร็ว ๒.๗ มอบหมายสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรุงอัตรากำลังของกระทรวงพลังงาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
17386 | การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 (จำนวน 12 คน 1. นายสุรพงษ์ เจียสกุล ฯลฯ) | อก | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ จำนวน ๑๒ คน แทนกรรมการชุดเดิมที่ดำรงตำแหน่งมาครบวาระสองปีแล้ว เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๙ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายสุรพงษ์ เจียสกุล ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. นายวรัชญ์ เพชรร่วง ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการกองกำกับและพัฒนา ระบบเงินนอกงบประมาณ กรมบัญชีกลาง ๓. นายอิทธิพงศ์ คุณากรบดินทร์ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ ๔. นายพสุ โลหารชุน ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ๕. นางสาวชวนชม กิจพันธ์ ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้อำนวยการกองจัดทำงบประมาณด้านเศรษฐกิจ ๑ ๖. นายสุวัชชัย ใจข้อ ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย รองผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน สายนโยบายการเงิน ๗. นายธีระชัย แสนแก้ว ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๘. นายมนตรี เลาหศักดิ์ประสิทธิ์ ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๙. นายพนม ตะโกเมือง ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๑๐. นายศรายุธ แสงจันทร์ ผู้แทนโรงงาน ๑๑. นายวิณณ์ ผาณิตวงศ์ ผู้แทนโรงงาน ๑๒. นายรัฐวุฒิ แซ่ตั้ง ผู้แทนโรงงาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
17387 | การติดตามผลการดำเนินการตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย | นร09 | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ทุกส่วนราชการซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าของร่างกฎหมายเร่งรัดการจัดทำผลการรับฟังความคิดเห็นและคำชี้แจงตามหลักเกณฑ์การตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วและที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ เพื่อความต่อเนื่องในการผลักดันร่างกฎหมายตามนโยบายของรัฐบาล ๒. ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดและติดตามการดำเนินการตรากฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติและการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในทุกกระบวนการตรากฎหมาย ทั้งนี้ จะต้องมีมาตรการดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่จะได้รับผลกระทบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
17388 | แนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 40/2560 และครั้งที่ 41/2560 | อื่นๆ | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกี่ยวกับระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๔๐/๒๕๖๐ วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๔๑/๒๕๖๐ วันศุกร์ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||
17389 | ความคืบหน้าการดำเนินงานด้านการปฏิรูปประเทศระหว่างวันที่ 20 - 26 มิถุนายน 2560 | นร | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานด้านการปฏิรูปประเทศระหว่างวันที่ ๒๐-๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ประธานกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ครั้งที่ ๒๓/๒๕๖๐ เมื่อวันอังคารที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ (รายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ การพัฒนารูปแบบการดำเนินภารกิจภาครัฐ : การปฏิรูประบบงานอาสาสมัครในภาครัฐ และการปฏิรูปโครงสร้างองค์กรภาครัฐ : ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ๒. สรุปผลการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ครั้งที่ ๒๔/๒๕๖๐ เมื่อวันอังคารที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ (รายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ แผนการปฏิรูปแบบการอุดมศึกษา และการสร้างกลไกประชารัฐระดับพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาแบบมีส่วนร่วม) ๓. สรุปสถานะข้อเสนอประเด็นปฏิรูปของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศตามแผนการปฏิรูปประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๐) รวม ๑๖๓ เรื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
17390 | การดำเนินการเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา 266 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย | นร | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินการเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา ๒๖๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ประธานกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เสนอ ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาขับเคลื่อนการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
17391 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 รวม 6 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทใบอนุญาต การขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่อใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. ....) | กก | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๖ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเที่ยว กำหนดหลักเกณฑ์ในการดำเนินการข้อผูกพันที่มีอยู่กับนักท่องเที่ยวก่อนวันที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวสิ้นสุดลง กำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ และกำหนดจำนวนเงินหลักประกันที่ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวจะต้องวางเงินหลักประกันต่อนายทะเบียน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทใบอนุญาต การขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนผู้นำเที่ยว พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลา ในการดำเนินการตามข้อผูกพันที่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมีอยู่กับนักท่องเที่ยวก่อนวันที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวสิ้นสุดลง พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินหลักประกัน พ.ศ. .... ๒. รับทราบการรายงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรณีที่ไม่สามารถออกกฎกระทรวงในเรื่องนี้ รวม ๖ ฉบับ ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาตามที่เสนอ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์และชี้แจงหลักเกณฑ์ ข้อกำหนด ตลอดจนกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจนำเที่ยวและการเป็นมัคคุเทศก์ให้ชัดเจนแก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและกลุ่มวิชาชีพมัคคุเทศก์ทั่วประเทศ และควรสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบธุรกิจและกลุ่มมัคคุเทศก์เข้าสู่ระบบมากขึ้น โดยชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับความคุ้มครองจากภาครัฐ ตลอดจนการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการให้บริการและคุณภาพวิชาชีพ รวมทั้งควรกำหนดแนวทางการบริหารจัดการรายได้ที่มาจากการเก็บอัตราค่าธรรมเนียมค่าระวางโทษปรับตามร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าวที่ชัดเจน ครอบคลุม โดยเฉพาะกองทุนคุ้มครองธุรกิจนำเที่ยว เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ที่ได้จากกองทุนฯ ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
17392 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านสังคม ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ประกอบกิจการที่ต้องใช้แรงงานในสาขาที่ขาดแคลน ให้สามารถจ้างแรงงานได้อย่างเหมาะสมและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบตามนโยบายของรัฐบาลให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยให้กำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างถูกต้อง รอบคอบ โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และให้สร้างการรับรู้ให้ถูกต้องและทั่วถึงด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ตามแนวเส้นทางโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งต่าง ๆ เช่น รถไฟ รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการพิจารณายกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๙ (เรื่อง แนวทางการนำที่ดินที่ได้จากการเวนคืนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การนำพื้นที่ตามแนวเส้นทางดังกล่าวไปใช้ประโยชน์เป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป ๒.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการที่มีความต้องการใช้ยางพาราสำรวจปริมาณความต้องการใช้ยางพาราภายในหน่วยงานให้ชัดเจน เพื่อจัดทำแผนสำหรับการเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อยางพารา โดยให้เร่งดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยางพาราภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการขนาดเล็กในพื้นที่ต่าง ๆ โดยให้นำยางพารามาใช้ในการสร้าง/ซ่อมถนนในชุมชน และให้ประสานงานกับกระทรวงกลาโหม (กรมการทหารช่าง) เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการดังกล่าว เพื่ออำนวยประโยชน์ในการสัญจรของประชาชนในพื้นที่ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นทางคมนาคมได้โดยเร็ว ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๒.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดติดตามการดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล เช่น การส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ศูนย์เรียนรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร แผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) การยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร การพัฒนาความเข้มแข็งของสถาบันเกษตรกร การพัฒนาระบบส่งน้ำและกระจายน้ำ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ในการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานเรื่องต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาล ขอให้ส่วนราชการถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดให้เป็นไปตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓/๒๕๖๐ เรื่อง การขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๐ ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการ ป.ย.ป. โดยมีคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ (บ.ย.ศ.) อยู่ภายใต้คณะกรรมการ ป.ย.ป. มีการจัดระดับความรับผิดชอบในการดำเนินการเพื่อการทำงานที่ประสานเชื่อมโยงกันเป็น ๓ ระดับ คือ ระดับหน่วยงานหรือกลุ่มงานที่เกี่ยวข้อง (กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง) ระดับกำกับการบริหารราชการ (รองนายกรัฐมนตรี) และระดับบัญชาการ (คณะกรรมการ บ.ย.ศ.) และให้ปฏิบัติตามกรอบการทำงานของ บ.ย.ศ. ที่ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องนำเรื่องที่มีปัญหาในทางปฏิบัติเสนอรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวพิจารณา โดยอาจใช้กลไกคณะกรรมการและอนุกรรมการที่มีอยู่พิจารณาให้เป็นที่ยุติ เช่น คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน (กขป.) แต่หากยังมีเรื่องใดติดขัด ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในระดับหน่วยงานหรือระดับกำกับการบริหารราชการดังกล่าวได้ จึงให้นำเรื่องเสนอคณะกรรมการ บ.ย.ศ. พิจารณาต่อไป ๓.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนการดำเนินการด้านการปฏิรูปกิจการตำรวจ โดยให้ครอบคลุม ๖ ประเด็น ได้แก่ (๑) การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เช่น การถ่ายโอนภารกิจ (๒) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น การสรรหาและระบบการฝึกอบรม ค่าตอบแทน และสวัสดิการเพื่อดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี การปรับปรุงการบริหารงานบุคคลและเส้นทางการเจริญเติบโต (๓) การปฏิรูประบบงานสอบสวนและการบังคับใช้กฎหมาย (๔) การนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนงานด้านการรักษาความปลอดภัย (๕) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เช่น การร่วมเป็นอาสาสมัคร และ (๖) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร ทั้งนี้ ให้นำเสนอแผนดังกล่าวต่อรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) พิจารณาก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป นั้น ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการปฏิรูปกิจการตำรวจใน ๓ ด้านหลัก ดังนี้ (๑) ด้านองค์กร เช่น โครงสร้างองค์กร ระบบงาน ระบบงบประมาณ อำนาจหน้าที่ (๒) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น กฎระเบียบการปฏิบัติหน้าที่ การป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน ระบบงานสอบสวน การบังคับใช้กฎหมาย (๓) ด้านบุคลากร เช่น ระบบการแต่งตั้ง/โยกย้าย ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลา ๙ เดือน โดยให้ศึกษาประเด็นปัญหาของทุกระบบภายใน ๒ เดือนแรก และปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในอีก ๔ เดือนถัดมา ในส่วน ๓ เดือนที่เหลือจะเป็นการสื่อสารและสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด และให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะด้วย ๓.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีที่มีการกล่าวหาว่ามีการหาผลประโยชน์และการทุจริตในการดำเนินโครงการของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้มีผลการสอบสวนที่ชัดเจนภายใน ๑ เดือน ๓.๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดประสานความร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในการจัดหลักสูตรฝึกอบรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน แก้ไขปัญหายาเสพติดให้มีความพร้อมในการเผชิญเหตุที่อาจมีการขัดขืน ต่อสู้ และใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ เช่น การให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้กลยุทธ์ในการปิดล้อมและตรวจค้นที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานและประชาชนในบริเวณใกล้เคียง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
17393 | แนวทางการเสนอแต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหารระดับสูงและการประเมินความเหมาะสมของผู้ได้รับการแต่งตั้ง | นร | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแนวทางการเสนอแต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหารรดับสูงและการประเมินความเหมาะสมของผู้ได้รับการแต่งตั้ง ดังนี้
๑. เพื่อให้การพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหารระดับสูงเป็นไปอย่างเหมาะสม รอบคอบ และเป็นการพิจารณาการแต่งตั้งในภาพรวมอันจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการบริหารราชการแผ่นดินตามนโยบายของรัฐบาล จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ดำเนินการรวบรวมรายชื่อข้าราชการประเภทบริหารระดับสูง (เฉพาะตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง) ของทุกหน่วยงานที่จะเสนอแต่งตั้งต่อคณะรัฐมนตรีให้ครบถ้วนภายใน ๒ สัปดาห์ แล้วให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ในการพิจารณาแต่งตั้ง/โยกย้าย/ปรับเลื่อนระดับข้าราชการของหน่วยงานต่าง ๆ ให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจหน้าที่พิจารณาผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม โดยคำนึงถึงความมีวิสัยทัศน์ในการปฏิบัติงาน ความสามารถในการเชื่อมโยงภารกิจหน้าที่ของหน่วยงานกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนแนวทางการปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและนโยบายของรัฐบาล โดยให้ถือว่าคุณสมบัติดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินความเหมาะสมของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งในระดับผู้บริหารของหน่วยงาน ทั้งนี้ เพื่อให้ข้าราชการในภาพรวมของแต่ละหน่วยงานได้มีโอกาสเจริญเติบโตในตำแหน่งหน้าที่ของตนได้ตามสมควรด้วย ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาการแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นตามหลักอาวุโสด้วย โดยให้พิจารณาจัดแบ่งข้าราชการทั้งหมดออกเป็น ๓ กลุ่ม และกำหนดสัดส่วนของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งของแต่ละกลุ่มให้ชัดเจนเหมาะสม กล่าวคือ (๑) กลุ่มผู้อาวุโสมาก (๒) กลุ่มผู้อาวุโสที่สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ความรับผิดชอบได้ผลดี และ (๓) กลุ่มผู้อาวุโสน้อย แต่มีความรู้ความสามารถความคิดสร้างสรรค์ในการปฏิบัติงานได้อย่างสัมฤทธิ์ผลโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
17394 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 รวม 6 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนผู้นำเที่ยว พ.ศ. ....) | กก | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๖ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเที่ยว กำหนดหลักเกณฑ์ในการดำเนินการข้อผูกพันที่มีอยู่กับนักท่องเที่ยวก่อนวันที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวสิ้นสุดลง กำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ และกำหนดจำนวนเงินหลักประกันที่ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวจะต้องวางเงินหลักประกันต่อนายทะเบียน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทใบอนุญาต การขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนผู้นำเที่ยว พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลา ในการดำเนินการตามข้อผูกพันที่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมีอยู่กับนักท่องเที่ยวก่อนวันที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวสิ้นสุดลง พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินหลักประกัน พ.ศ. .... ๒. รับทราบการรายงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรณีที่ไม่สามารถออกกฎกระทรวงในเรื่องนี้ รวม ๖ ฉบับ ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาตามที่เสนอ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์และชี้แจงหลักเกณฑ์ ข้อกำหนด ตลอดจนกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจนำเที่ยวและการเป็นมัคคุเทศก์ให้ชัดเจนแก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและกลุ่มวิชาชีพมัคคุเทศก์ทั่วประเทศ และควรสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบธุรกิจและกลุ่มมัคคุเทศก์เข้าสู่ระบบมากขึ้น โดยชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับความคุ้มครองจากภาครัฐ ตลอดจนการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการให้บริการและคุณภาพวิชาชีพ รวมทั้งควรกำหนดแนวทางการบริหารจัดการรายได้ที่มาจากการเก็บอัตราค่าธรรมเนียมค่าระวางโทษปรับตามร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าวที่ชัดเจน ครอบคลุม โดยเฉพาะกองทุนคุ้มครองธุรกิจนำเที่ยว เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ที่ได้จากกองทุนฯ ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
17395 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 รวม 6 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลา ในการดำเนินการตามข้อผูกพันที่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมีอยุ่กับนักท่องเที่ยวก่อนวันที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวสิ้นสุดลง พ.ศ. ....) | กก | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๖ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเที่ยว กำหนดหลักเกณฑ์ในการดำเนินการข้อผูกพันที่มีอยู่กับนักท่องเที่ยวก่อนวันที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวสิ้นสุดลง กำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ และกำหนดจำนวนเงินหลักประกันที่ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวจะต้องวางเงินหลักประกันต่อนายทะเบียน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทใบอนุญาต การขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนผู้นำเที่ยว พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลา ในการดำเนินการตามข้อผูกพันที่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมีอยู่กับนักท่องเที่ยวก่อนวันที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวสิ้นสุดลง พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินหลักประกัน พ.ศ. .... ๒. รับทราบการรายงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรณีที่ไม่สามารถออกกฎกระทรวงในเรื่องนี้ รวม ๖ ฉบับ ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาตามที่เสนอ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์และชี้แจงหลักเกณฑ์ ข้อกำหนด ตลอดจนกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจนำเที่ยวและการเป็นมัคคุเทศก์ให้ชัดเจนแก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและกลุ่มวิชาชีพมัคคุเทศก์ทั่วประเทศ และควรสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบธุรกิจและกลุ่มมัคคุเทศก์เข้าสู่ระบบมากขึ้น โดยชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับความคุ้มครองจากภาครัฐ ตลอดจนการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการให้บริการและคุณภาพวิชาชีพ รวมทั้งควรกำหนดแนวทางการบริหารจัดการรายได้ที่มาจากการเก็บอัตราค่าธรรมเนียมค่าระวางโทษปรับตามร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าวที่ชัดเจน ครอบคลุม โดยเฉพาะกองทุนคุ้มครองธุรกิจนำเที่ยว เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ที่ได้จากกองทุนฯ ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
17396 | รายงานการเดินทางไปราชการ ณ รัฐอิสราเอล ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน | รง | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเดินทางไปราชการ ณ รัฐอิสราเอล ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระหว่างวันที่ ๒-๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เพื่อร่วมประชุมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐอิสราเอล ในประเด็นความร่วมมือด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับแรงงานไทย ความร่วมมือด้านการจ่ายค่าชดเชยสำหรับแรงงานไทยที่ครบสัญญาจ้างและเดินทางกลับ ความร่วมมือด้านการคุ้มครองแรงงานไทยในอิสราเอล และการขยายตลาดแรงงานไทยและการกลับเข้าไปทำงานของแรงงานไทยในอิสราเอล พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมแรงงานไทยและคึกษาดูงานเทคโนโลยีการเกษตรของอิสราเอล ณ สถาบันการฝึกอบรมทางการเกษตรนานาชาติของอิสราเอล (Arava International Center for Agriculture Training : AICAT) รวมทั้งการประชุมระดับอธิบดี ระหว่างอธิบดีกรมการจัดหางาน และหน่วยงานประชากร และตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงมหาดไทย รัฐอิสราเอล (Population and Immigration Authority : PIBA) ในประเด็นปัญหายาเสพติดของแรงงานไทย การจัดให้แรงงานไทยได้รับการตรวจสุขภาพประจำปีระหว่างการทำงานในรัฐอิสราเอล กลไกการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือแรงงานไทยที่ถูกละเมิดสิทธิประโยชน์ตามสัญญาจ้างและกฎหมาย การทบทวนการขยายเพดานในการหักเงินค่าที่พักจากแรงงานต่างชาติ และการกำหนดมาตรการให้นายจ้างจ่ายเงินค่าชดเชย (Severance pay) แก่แรงงานไทยก่อนเดินทางกลับประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
17397 | รายงานผลการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสและระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค | ยธ | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสและระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ ๗ ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ มีการแลกเปลี่ยนสถานการณ์ การหารือความร่วมมือในอนาคต การสร้างความตระหนัก การควบคุมยาเสพติดตามแนวชายแดน และเห็นพ้องถึงความจำเป็นในการร่วมมือของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และรับทราบเรื่องต่าง ๆ เช่น ปัญหาการใช้ การลักลอบค้ายาเสพติดในอนุภูมิภาคที่เพิ่มมากขึ้น ผลการดำเนินงานกิจกรรมภายใต้แผนปฏิบัติการในอนุภูมิภาคเพื่อการควบคุมยาเสพติด ฉบับที่ ๙ เป็นต้น รวมทั้งเห็นชอบการเริ่มดำเนินมาตรฐานการตรวจพิสูจน์ยาเสพติดเฉพาะประเทศที่มีความพร้อมก่อน ซึ่งได้แก่ กัมพูชา จีน เมียนมา และไทย ๒. ผลการหารือทวิภาคีระหว่างไทยและสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crimes : UNODC) ที่สำคัญ ได้แก่ UNODC จะปรับแผนงานในภูมิภาคให้สอดคล้องกับเอกสารผลลัพธ์จากการประชุมสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลก ปี ค.ศ. ๒๐๑๖ (UNGASS 2016) และผลการหารือทวิภาคีระหว่างไทยกับลาว เมียนมา และกัมพูชา เช่น การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูล การดำเนินงานของโครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย ความร่วมมือด้านการพัฒนาทางเลือก เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
17398 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... | สว | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วโดยเห็นว่า นิยามคำว่า “บริการ” ครอบคลุมการกำกับดูแลธุรกิจทุกประเภทอยู่แล้วและยังสอดคล้องกับหลักกฎหมายการแข่งขันทางการค้าที่เป็นสากล ส่วนการให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้ามีรายได้ที่เพียงพอในการทำงานจะได้หาแนวทางที่เหมาะสมสอดคล้องกับหลักการวิธีการงบประมาณและระเบียบของทางราชการ เพื่อให้สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างเป็นอิสระตามเจตนารมณ์ของกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ ร่างพระราชบัญญัตินี้ครอบคลุมการกำกับดูแลพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของผู้ประกอบธุรกิจร้านค้าของผู้ประกอบการให้สิทธิ (Franchisor) กับร้านค้าที่ได้รับสิทธิประกอบการ (Franchisee) ของตน หรือกับร้านค้าปลีกขนาดเล็กหรือผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมอยู่แล้ว โดยอาจพิจารณาให้มีกฎหมายมากำกับดูแลเป็นการเฉพาะในแต่ละธุรกิจ โดยคำนึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจการค้าในภาพรวม สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการสอบสวนในการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้น คณะกรรมการแข่งขันทางการค้ามีอำนาจกำหนดระเบียบข้อบังคับในการสืบสวนสอบสวนของพนักงานเจ้าหน้าที่อยู่แล้ว และการรวมธุรกิจตามร่างพระราชบัญญัตินี้มุ่งเน้นการกำกับดูแลเฉพาะการรวมธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่เพื่อป้องกันมิให้เกิดการผูกขาดทางการค้าและการมีอำนาจเหนือตลาด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
17399 | การยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | อส | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้พิจารณาตัดสินชี้ขาดการดำเนินคดีระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ กับเอกชน และข้อพิพาทระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจด้วยกันเอง รวม ๙ เรื่อง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอ และให้แจ้งสำนักงานอัยการสูงสุดส่งเรื่องคืนตัวความหรือส่งคำตัดสินชี้ขาดและมติคณะรัฐนมตรีในเรื่องนี้ให้คู่กรณีทราบและถือปฏิบัติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
17400 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทการใช้น้ำบาดาล และการขอใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการประกอบกิจการน้ำบาดาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทการใช้น้ำบาดาล และการขอใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการประกอบกิจการน้ำบาดาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การพิจารณาคำขอและออกใบอนุญาตเจาะน้ำบาดาลหรือใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลกรณีมีภัยพิบัติที่จำเป็นต้องดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นการเร่งด่วน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....