ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 791 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 15801 - 15820 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15801 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตใช้เรือและยกเว้นค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตใช้เรือสำหรับเรือประมงพาณิชย์ พ.ศ. .... | คค | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตใช้เรือและยกเว้นค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตใช้เรือสำหรับเรือประมงพาณิชย์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตใช้เรือและยกเว้นค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตใช้เรือสำหรับเรือประมงพาณิชย์เป็นการเฉพาะ เพื่อความปลอดภัยในการเดินเรือ และลดภาระของประชาชน รวมทั้งส่งเสริมการประกอบอาชีพของประชาชนที่มีการใช้เรือประมงพาณิชย์เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามกฎหมาย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15802 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารศูนย์การเรียนรู้การเงินและการลงทุนธุรกิจระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยบูรพา | ศธ | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยมหาวิทยาลัยบูรพาเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารศูนย์การเรียนรู้การเงินและการลงทุนธุรกิจระหว่างประเทศ จากวงเงิน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็น วงเงิน ๓๐๗,๐๖๔,๐๐๐ บาท เป็นกรณีเฉพาะราย ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม สำหรับค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยบูรพา ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยบูรพาจะต้องเร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน รวมถึงการพิจารณาตรวจสอบข้อคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการเพิ่มความยาวของเสาเข็มที่มีผลต่อค่าใช้จ่าย และความรับผิดชอบที่ชัดเจน โดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการ และไม่ทำให้ราชการเสียประโยชน์เป็นสำคัญด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการกำกับ ติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15803 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 3/2560 | อก | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งมีมติเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ความคืบหน้าและพิจารณาแผนกำหนดเวลาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) (๒) การอนุมัติให้โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (TG MRO Campus) เป็นโครงการใน EEC Project List (๓) การแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการใน EEC Project List (๔) การชักจูงนักลงทุนรายสำคัญและการเตรียมการรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (๕) การเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการการพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยีรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และโครงการระยะเร่งด่วน รวมทั้งข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้ติดตามกรณีเอกชนขอรับการสนับสนุนการสร้างที่พักแรงงาน การสร้างคลังสินค้าและไซโลขนาดใหญ่ของอุตสาหกรรมในประเทศ และอุตสาหกรรมการต่อเรือเพิ่มเติม และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็นต้น รับไปดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายและรายงานผลการดำเนินการต่อสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกต่อไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเร่งดำเนินการจัดทำแผนแม่บทในการขับเคลื่อนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยกำหนดเป้าหมายของแผนในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ที่สามารถดำเนินการและวัดผลสำเร็จที่ชัดเจน ส่วนโครงการใน EEC Project List ที่เป็นการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนนั้น ควรแสดงแหล่งเงินและจำนวนเงินการลงทุนทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนอย่างครบถ้วน ตลอดจนผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับประกอบการพิจารณาเพื่อจะได้ทราบถึงภาระงบประมาณภาครัฐที่ต้องใช้ในการลงทุนต่อไป นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐควรเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน พร้อมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์กำหนดเวลาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ให้เป็นที่รับทราบโดยทั่วกัน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15804 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2561 | อก | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ซึ่งมีมติเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑) เขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) (๒) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน (๓) การกำหนดคุณสมบัติของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอากาศยานใน EEC (๔) เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (๕) เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (๖) การจัดทำระบบข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) (๗) การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ ๑๑ และ (๘) รูปแบบตัวอย่างของเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น รับไปดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการต่อสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกต่อไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15805 | ขออนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 1 ปี 2559 | พม | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๓๙,๒๗๑,๓๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๙ โดยให้เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ประเภทเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ รายการค่าก่อสร้างที่อยู่อาศัยโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง โดยให้เบิกในงบรายจ่ายอื่นประเภทเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ สำหรับวงเงินที่เหลืออีกจำนวน ๑๗๘,๒๐๒,๙๐๐ บาท ให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) เสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย กคช. เร่งจัดทำแผนการตลาดและการส่งเสริมการขายที่กระตุ้นให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๙ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาตามแผนที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15806 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันการเงินประชาชน พ.ศ. .... | กค | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันการเงินประชาชน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยสถาบันการเงินประชาชนเพื่อรับรองสถานะองค์กรการเงินระดับชุมชนให้มีสภาพเป็นนิติบุคคล และบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านการเงินให้แก่ชุมชนฐานรากเพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมโดยการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ เช่น ในการพิจารณาจัดตั้งสถาบันการเงินประชาชนควรเลือกองค์กรการเงินชุมชนที่มีความเข้มแข็ง มีการบริหารจัดการที่ดี มีความโปร่งใส มีธรรมาภิบาล และมีความพร้อมที่จะปรับตัวไปสู่สถาบันการเงินประชาชน และในการปล่อยสินเชื่อให้กับคนในชุมชนควรมีการสร้างรายได้หรือพัฒนาอาชีพเพื่อยกระดับสภาพความเป็นอยู่ของคนในชุมชน รวมทั้งควรวางหลักเกณฑ์ วิธีการ ตลอดจนเงื่อนไขในการให้บริการทางการเงินควบคู่ไปกับการกำกับดูแลความมั่นคงทางการเงินที่ชัดเจน และควรให้มีการเพิ่มประเด็นในร่างมาตรา ๑๒ (๘) เรื่อง อำนาจและหน้าที่ของธนาคารผู้ประสานงานเกี่ยวกับการจัดทำรายงานสถานการณ์ ผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินชุมชน และการประเมินความเสี่ยง เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15807 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ) | กค | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาให้แก่สถานศึกษาของทางราชการ สถานศึกษาขององค์การของรัฐบาล โรงเรียนเอกชนที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน สถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน หรือสถาบันอุดมศึกษาที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๙/๒๕๖๐ เรื่อง การส่งเสริมการจัดการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ ลงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ทั้งนี้ สำหรับการบริจาคที่กระทำตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดดำเนินการสรรหาสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศเพื่อให้เข้ามาดำเนินการจัดการศึกษาในประเทศไทยโดยเร็ว เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15808 | ทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออก ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) | นร11 | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออก ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ซึ่งมีแนวทางการพัฒนา ๕ แนวทาง ได้แก่ (๑) พัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีความทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน (๒) พัฒนาภาคตะวันออกให้เป็นแหล่งผลิตอาหารที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล (๓) ปรับปรุงมาตรฐานสินค้าและธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยว (๔) พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชายแดนให้เป็นประตูเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และ (๕) แก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและจัดระบบการบริหารจัดการมลพิษให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ในขั้นตอนการดำเนินงานตามทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออก ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น พิจารณาจัดทำแผนแม่บทการดำเนินงานในแต่ละกิจกรรม/โครงการให้มีความชัดเจนและยึดโยงกับทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออก โดยให้จัดลำดับความสำคัญของแต่ละกิจกรรม/โครงการตามความจำเป็นเหมาะสมและคำนึงถึงปัญหาและอุปสรรคในพื้นที่ดำเนินงานด้วย เพื่อให้การพิจารณาขอรับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม/โครงการเป็นไปอย่างมีระบบ และช่วยให้การบริหารงบประมาณในภาพรวมของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถลดภาระงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม/โครงการต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวนำแผนแม่บทและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเสนอคณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคตะวันออกพิจารณาก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15809 | มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับภาคการเกษตรในระดับท้องถิ่น | อื่นๆ | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับภาคการเกษตรในระดับท้องถิ่น และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนนำเสนอคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ โดยมาตรการดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้
๑. กำหนดประเภทกิจการที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภาคการเกษตรเป็นกิจการที่จะให้การส่งเสริมตามมาตรการพิเศษนี้ เช่น กิจการผลิตปุ๋ยชีวภาพ กิจการปรับปรุงพันธุ์พืชหรือสัตว์ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ กิจการผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตการเกษตร ศูนย์กลางการค้าสินค้าเกษตร เป็นต้น ๒. กรณีผู้ประกอบการที่ลงทุนในกิจการด้านการเกษตร ๒.๑ เงื่อนไข จะผ่อนปรนเงื่อนไขเงินลงทุนขั้นต่ำของโครงการ โดยลดจาก ๑ ล้านบาท เหลือเพียง ๔ แสนบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) และผ่อนปรนให้นำเครื่องจักรใช้แล้วในประเทศมาใช้ในโครงการที่ขอรับการส่งเสริมได้บางส่วน ๒.๒ สิทธิและประโยชน์ ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา ๕-๘ ปี เป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ ๒๐๐ ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ๓. กรณีผู้ประกอบการที่สนับสนุนหรือร่วมดำเนินการกับท้องถิ่น เพื่อดำเนินการในกิจการด้านการเกษตร ๓.๑ เงื่อนไข เงินลงทุนขั้นต่ำของแต่ละโครงการไม่น้อยกว่า ๑ ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) และต้องมีความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือสหกรณ์ หรือวิสาหกิจชุมชนในท้องถิ่น ๓.๒ สิทธิและประโยชน์ ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรายได้จากกิจการที่ดำเนินการอยู่เดิมเป็นระยะเวลา ๓ ปี เป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ ๑๐๐ ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ที่จ่ายจริงในการสนับสนุนหรือร่วมดำเนินการกับองค์กรท้องถิ่นเพื่อตั้งโรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เช่น ค่าก่อสร้างโรงงาน และค่าเครื่องจักร เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15810 | การบริหารจัดการน้ำและแนวทางการพัฒนาเพื่อรองรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก | นร04 | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและแนวทางการพัฒนาเพื่อรองรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) รองประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการแผนการพัฒนาเพื่อรองรับ EEC ในระยะ ๑๐ ปี ที่กรมชลประทานเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมโครงการต่อไป ๑.๒ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการใช้น้ำและอื่น ๆ จัดทำแผนปฏิบัติการและจัดลำดับความสำคัญให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาของ EEC รวมทั้งระบบโครงข่ายการส่งน้ำที่จำเป็น รวมทั้งพิจารณาในเรื่องการบรรเทาอุทกภัยด้วย ๑.๓ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนหลักเพื่อรองรับการพัฒนาในระยะ ๒๐ ปี รวมทั้งทบทวนความเพียงพอของการพัฒนาในระยะ ๑๐ ปี โดยให้ครอบคลุมถึงการใช้น้ำระหว่างประเทศ เทคโนโลยีการพัฒนาน้ำบาดาลชั้นสูง และการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับผู้ว่าราชการจังหวัดนำแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดทำ/ดำเนินโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ที่รับผิดชอบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15811 | โครงการจัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (Eastern Fruit Corridor) | อก | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการจัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (Eastern Fruit Corridor) มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับภาคตะวันออกเป็นมหานครผลไม้ของโลก รวมทั้งมีส่วนในการเพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตร แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรผันผวนตามปริมาณการผลิต สนับสนุนเทคโนโลยีการเก็บรักษาผลไม้และการขนส่งให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด โดยลดความเสี่ยงด้านการผลิต และส่งเสริมให้เกิดการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมบูรณาการการดำเนินโครงการฯ นี้ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้โครงการฯ มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์การค้าผลไม้ครบวงจร ของกระทรวงพาณิชย์ แล้วให้นำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๑ ในส่วนที่เกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Detail Design) และประกาศการทดสอบความในของนักลงทุน (Market Sounding) มอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวกับการเสริมสร้างประสิทธิภาพการค้าเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานและการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน โดยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมทั้งรายละเอียดเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์นำโครงการฯ บรรจุในแผนยุทธศาสตร์การค้าผลไม้ครบวงจร เพื่อให้ภาพรวมการขับเคลื่อนการค้าผลไม้ไทยมีความครบถ้วนยิ่งขึ้น ส่วนในปีต่อ ๆ ไป ให้นำผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ มากำหนดรูปแบบการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) ซึ่งหากมีความจำเป็นที่จะต้องขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อการก่อสร้างและติดตั้งระบบ ให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรวมถึงการพิจารณาจากแหล่งเงินอื่นตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการศึกษาปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการในอดีต เช่น โครงการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตรจังหวัดตราด และโครงการสร้างห้องเย็นแช่เยือกแข็งผลไม้เพื่อเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าและส่งออกผลไม้ภาคตะวันออก เป็นต้น เพื่อให้การออกแบบโครงการฯ ได้โครงการที่เป็นประโยชน์และคุ้มค่าในการลงทุน ควรมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายสินค้าให้ชัดเจน อาทิ ผลไม้สด ผลไม้แปรรูป สารสกัดจากผลไม้ โดยพิจารณาความสอดคล้องกับพฤติกรรมและความสามารถในการผลิตผลไม้สดในพื้นที่ รวมถึงประเภทและรูปแบบของการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) ร่วมด้วย ควรพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับชาวสวนผลไม้และผู้ประกอบการในพื้นที่ร่วมด้วย รวมทั้งควรพิจารณาทางเลือกในการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายความร่วมมือของกลุ่มคลัสเตอร์ผลไม้ภาคตะวันออกที่มีอยู่ในปัจจุบันในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้และผู้ประกอบการในพื้นที่ และภายหลังจากการศึกษาและออกแบบโครงการฯ ที่มีความครบถ้วนของข้อมูลต่าง ๆ แล้ว ควรนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณารายละเอียโครงการฯ และกรอบวงเงินงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15812 | ยุทธศาสตร์การค้าผลไม้ครบวงจร | พณ | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบยุทธศาสตร์การค้าผลไม้ครบวงจร ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยเป็นชาติมหาอำนาจด้านการค้าผลไม้เมืองร้อนของโลก” และประเด็นยุทธศาสตร์ ๔ ประเด็น ได้แก่ (๑) พัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตผลไม้เมืองร้อนสดและแปรรูปให้มีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล (๒) สร้างและพัฒนาช่องทางการจำหน่ายและกระจายผลไม้ไทยให้มีการเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ (๓) สนับสนุนการพัฒนาสมรรถนะด้านการค้าและการลงทุนของผู้ประกอบการผลไม้ไทย และ (๔) ประชาสัมพันธ์สินค้าผลไม้เมืองร้อนของไทยให้เป็นที่ต้องการของตลาด ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อบูรณาการการดำเนินการขับเคลื่อนภารกิจตามยุทธศาสตร์การค้าผลไม้ให้เป็นระบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยให้กำหนดแผนการดำเนินงานและผู้รับผิดชอบในแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน รวมทั้งคำนึงถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น (๑) การกำหนดและจัดลำดับความสำคัญชนิดของผลไม้ที่จะส่งเสริม (๒) การสร้างมูลค่าเพิ่มของผลไม้แต่ละชนิดโดยการสร้างเรื่องราว (Story Marketing) ซึ่งระบุถึงความเป็นมา ถิ่นกำเนิด รสชาติ เอกลักษณ์ของผลไม้ชนิดนั้น ๆ ความพิเศษของกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพ (๓) การพิจารณาศักยภาพการผลิตและการตลาดในทุกระดับทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ (๔) การรับรองคุณภาพสินค้าและการป้องกันโรคติดต่อในผลไม้ (๕) การจัดหาสถานที่ที่เหมาะสมในการคัดกรองผลไม้ (๖) การแก้ไขปัญหาผู้ประกอบการชาวต่างชาติ (ล้ง) และ (๗) การเตรียมการรับรองมาตรการกีดกันทางการค้าด้านผลไม้ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะมาตรการตรวจสอบย้อนกลับ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15813 | ภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคตะวันออกของกระทรวงคมนาคม | คค | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคตะวันออกของกระทรวงคมนาคม สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท) ได้ดำเนินโครงการที่สำคัญ เช่น (๑) การก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายพัทยา-มาบตาพุด ระยะทาง ๓๒ กิโลเมตร วงเงินลงทุน ๒๐,๒๐๐ ล้านบาท กำหนดเปิดใช้งานปี ๒๕๖๓ (๒) การขยายช่องจราจร เช่น ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๒๖ ทางเข้าท่าอากาศยานอู่ตะเภา-ท่าเรือจุกเสม็ด (จาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร) และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๔ มีนบุรี-ฉะเชิงเทรา ตอน ๒ (จาก ๔ ช่องจราจร เป็น ๖ ช่องจราจร) เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดฉะเชิงเทรา และ (๓) เส้นทางถนนเลียบชายทะเลตะวันออก (ชลบุรี ระยอง) พร้อมทางจักรยาน และมีจุดพักรถ จุดชมมวิวในบริเวณที่เหมาะสม และการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเพื่อการท่องเที่ยวรอบเกาะช้างคงเหลือระยะทาง ๓ กิโลเมตรสุดท้าย ๑.๒ การพัฒนาระบบขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) ได้ดำเนินการพัฒนาและส่งเสริมระบบคมนาคมขนส่งทางรางให้มีประสิทธิภาพ มีต้นทุนการขนส่งที่ต่ำ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและยกระดับเศรษฐกิจของภาคตะวันออก โดยมีโครงการที่สำคัญ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ ๓ สนามบินแบบไร้รอยต่อ (ท่าอากาศยานดอนเมือง-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ท่าอากาศยานอู่ตะเภา) รวมพื้นที่เขต ระยะทางรวม ๒๒๐ กิโลเมตร มูลค่าโครงการประมาณ ๒๓๖,๗๐๐ ล้านบาท เป็นการก่อสร้างทางรถไฟขนาด ๑.๔๓๕ เมตร (Standard Gauge) และจะมีการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์บริเวณมักกะสัน และที่ดินรอบสถานีรถไฟความเร็วสูงศรีราชา ๑.๓ การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางน้ำ กระทรวงคมนาคม (การท่าเรือแห่งประเทศไทย) ได้ดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ ๓ ขณะนี้อยู่ระหว่างการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนความเหมาะสมด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงิน และสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี ๒๕๖๘ ๑.๔ การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางอากาศ กระทรวงคมนาคม [บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)] ได้ดำเนินโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhual : MRO) ระยะที่ ๑ ที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา (มูลค่าโครงการประมาณ ๑๐,๓๐๐ ล้านบาท) เป็นโครงการนำร่องในแผนปฏิบัติการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) เพื่อขยายขีดความสามารถในการซ่อมบำรุงอากาศยานรุ่นใหม่และขยายฐานลูกค้า ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนตามผลการประชุมพบปะหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกรในภาคตะวันออก เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคตะวันออก ให้กระทรวงคมนาคมคำนึงถึงการกระจายความเจริญไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ให้เหมาะสม การรองรับการขยายตัวของเมือง ความเชื่อมโยงกับการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งความสอดคล้องกับแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15814 | มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองและชุมชน | กก | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองและชุมชน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการด้านอุปสงค์ของการท่องเที่ยว (Demand Side) ประกอบด้วย (๑) Enjoy Local คือ การส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวเข้าเมืองรองด้วยบัตร TAT Plus ผ่านระบบออนไลน์ในการใช้จ่ายและท่องเที่ยวในเมืองรองและชุมชน (๒) SET In the Local กระตุ้นกลุ่มตลาด MICE จัดประชุม สัมมนา และกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ในเมืองรองและชุมชนในวันธรรมดา (๓) Local Link มุ่งเน้นความร่วมมือกับบริษัทนำเที่ยวหรือตัวแทนจำหน่ายให้ได้รับสิทธิพิเศษ (๔) Eat Local คือ การส่งเสริมอาหารถิ่น ใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น ชักจูงนักชิมผ่านกิจกรรมส่งเสริมการขายให้เกิดความต่อเนื่อง (๕) Our Local คือ การสร้างสรรค์กิจกรรมในชุมชนบนพื้นฐานวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ (๖) Local Heros คือ กิจกรรม Mobile Clinic เพื่อการพัฒนาคน เสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนจากองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้ชุมชนเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันในอนาคต และ (๗) Local Strong คือ การบูรณาการภาครัฐและภาคเอกชนสร้างความเข้มแข็งในห่วงโซ่อุปทานและสินค้าพร้อมขาย พัฒนา Creative Tourism และสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว ๑.๒ การดำเนินการด้านอุปทานของการท่องเที่ยว (Supply Side) โดยดำเนินการจัดทำมาตรการ โครงการ เพื่อให้สอดคล้องต่อการขับเคลื่อนของภาครัฐในเป้าหมายของการกระจายรายได้สู่เมืองรองและชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ และกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ๒. ในส่วนของโครงการจัดตั้งศูนย์ประชุมนานาชาติเพื่อรองรับกิจกรรมในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว (Meetings, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions : MICE) ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความจำเป็นและความเหมาะสมของการดำเนินโครงการดังกล่าวให้ชัดเจนก่อน เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาบูรณาการการดำเนินการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเมืองรองและชุมชนให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับการดำเนินการขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) รวมทั้งให้พิจารณาส่งเสริมการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ให้เหมาะสมและเป็นที่น่าสนใจแก่นักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นด้วย เช่น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในพื้นที่ป่าชายเลน การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในพื้นที่ป่าในเมือง กิจกรรมที่เน้นให้เยาวชนมีโอกาสเรียนรู้วิธีการดำรงชีพในป่า การสร้างการมีส่วนร่วมจากมัคคุเทศก์น้อยในชุมชน การกำหนดกิจกรรมเพิ่มเติมที่นักท่องเที่ยวสามารถมีส่วนร่วมหรือสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ระหว่างการเดินทางเชื่อมโยงจากแหล่งท่องเที่ยวพื้นที่เป้าหมายแต่ละแห่ง เป็นต้น ๔. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติในกรณีที่ประสบภัยที่อยู่นอกเหนือความคุ้มครองของการทำประกันภัยเดินทาง โดยให้พิจารณาใช้จ่ายจากเงินกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามความจำเป็นและเหมาะสมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังประเทศไทย เช่น กรณีที่เข้าพักในที่พักสัมผัสวัฒนธรรม หรือโฮมสเตย์ (Homestay) เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15815 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคตะวันออก (ผลการลงพื้นที่ดูงานของนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี) | นร11 | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ในขั้นตอนการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคตะวันออก ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น พิจารณาจัดทำแผนแม่บทการดำเนินงานในแต่ละกิจกรรม/โครงการให้มีความชัดเจนและยึดโยงกับทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออก โดยให้จัดลำดับความสำคัญของแต่ละกิจกรรม/โครงการตามความจำเป็นเหมาะสมและคำนึงถึงปัญหาและอุปสรรคในพื้นที่ดำเนินงานด้วย เพื่อให้การพิจารณาขอรับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม/โครงการเป็นไปอย่างมีระบบ และช่วยให้การบริหารงบประมาณในภาพรวมของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถลดภาระงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม/โครงการต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวนำแผนแม่บทและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเสนอคณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคตะวันออกพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15816 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤศจิกายน 2560 | นร11 | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ขยายตัวในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่อง ในด้านการใช้จ่าย มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวสูงต่อเนื่อง ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน และการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำของรัฐบาลขยายตัว ในขณะที่การเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจปรับตัวลดลง ในด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัว ในขณะที่รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง แต่ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ราคาสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกรปรับตัวลดลง เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ การจ้างงานเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ ๕ เดือน ดุลการค้าและดุลบริการเกินดุลต่อเนื่องและส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องตามการปรับตัวดีขึ้นของเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจในประเทศสำคัญ ๆ ทั้งสหรัฐอเมริกา ยูโรโซน ญี่ปุ่น จีน และหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งยังขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวของการส่งออก การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการบริโภคภายในประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15817 | เกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ประเภทถ้ำ | ทส | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ประเภทถ้ำ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ ประเภทถ้ำ ประกอบด้วย (๑) ปัจจัยชี้วัด เพื่อแสดงถึงคุณภาพของสภาวะแวดล้อมด้านต่าง ๆ รวม ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านองค์ประกอบของระบบถ้ำและสิ่งแวดล้อม ด้านองค์ประกอบภูมิสถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรม ด้านผลผลิตจากการบริการสิ่งแวดล้อมของถ้ำ และด้านการบริหารจัดการ และ (๒) ระดับเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม กำหนดเป็น ๓ ระดับ ได้แก่ ระดับสูงหรือดี คือ ไม่มีผลกระทบหรือมีระดับผลกระทบน้อย ระดับปานกลาง คือ มีระดับผลกระทบปานกลาง และระดับต่ำ คือ มีระดับผลกระทบมากหรือรุนแรง ๒. คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๐ มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ ประเภทถ้ำ และมอบหมายให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่แหล่งธรรมชาติ ประเภทถ้ำ ทำการประเมินตามเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ เป็นประจำทุกปี โดยมีสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานประสานกลางให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ ประเภทถ้ำ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15818 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) (นางวิไลวรรณ ทัพวงศ์ศรี) | นร04 | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นางวิไลวรรณ ทัพวงศ์ศรี ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15819 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561) | นร | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับข้อสังเกตไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15820 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อชำระหนี้เงินต้นที่จะครบกำหนดชำระในวันที่ 1 มีนาคม 2561 จำนวน 2,962.30 ล้านบาท และขออนุมัติกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 2,013.08 ล้านบาท ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อชำระหนี้เงินต้นที่จะครบกำหนดชำระในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๒,๙๖๒.๓๐ ล้านบาท และกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๒,๐๑๓.๐๘ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาทางการเงินของ ขสมก. โดยด่วนใน ๒ ประเด็นหลัก ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาแนวทางปรับปรุงการบริหารจัดการการให้บริการในระบบขนส่งมวลชน ตลอดจนมาตรการในการบริหารจัดการหนี้ของ ขสมก. รวมทั้งปรับปรุงแผนฟื้นฟู ขสมก. ให้ครอบคลุมถึงแผนการบริหารหนี้ขององค์กรในภาพรวมตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ (เรื่อง แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑) ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและ ขสมก. เร่งรัดการจัดทำแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาว ซึ่งรวมถึงแผนการบริหารหนี้ในภาพรวมตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงการคลังและ ขสมก. เร่งประสานงานกับคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ (PSO) ในการพิจารณาอนุมัติเงินอุดหนุนโครงการ PSO ให้มีระยะเวลาสอดคล้องกับกำหนดเวลาการชำระค่าใช้จ่ายเพื่อลดปัญหาการขาดสภาพคล่องลงและกู้เงินเท่าที่จำเป็น ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
.....