ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 797 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 15921 - 15940 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15921 | จิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ | นร | 23/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รายงานว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๐ และ ๓ มกราคม ๒๕๖๑ เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาเพื่อสังคมของส่วนราชการ ที่เห็นชอบให้ส่วนราชการเชิญชวนให้ประชาชนจิตอาสาตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าร่วมในกิจกรรมการดำเนินการต่าง ๆ ของส่วนราชการที่เป็นการพัฒนาสังคม เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เป็นไปอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น นั้น การดำเนินการดังกล่าวจะจัดทำเป็นโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้จิตอาสาไปช่วยงานภาครัฐและบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ประกอบด้วย งานด้านการพัฒนา งานช่วยเหลือภัยพิบัติ และงานกิจกรรมพิเศษ ทั้งนี้ การจัดโครงสร้างการบริหารจัดการประกอบด้วย (๑) ศูนย์อำนวยการใหญ่โครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ (๒) คณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทาน ซึ่งจะทำหน้าที่สนับสนุนและประสานงานกับส่วนราชการในพระองค์และหน่วยงานภาครัฐไปสู่การปฏิบัติ โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่ประสานงานระหว่างศูนย์อำนวยการใหญ่โครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริและคณะกรรมการผู้ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทาน ๒. ให้ทุกส่วนราชการให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินการที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มศักยภาพ ๓. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานความคืบหน้าในการดำเนินโครงการฯ ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบทุกเดือนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15922 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 23/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทาง มาตรการในการดำเนินการ หรือการเจรจาความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์สินค้าไทยของต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าอุปโภคบริโภคชนิดต่าง ๆ ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (การยางแห่งประเทศไทย) เร่งรัดการดำเนินการรวบรวมปริมาณความต้องการใช้ยางพาราของส่วนราชการให้ครบถ้วนภายในเดือนมกราคม ๒๕๖๑ และดำเนินการต่อไปให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ๑.๓ ให้กระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าที่หลีกเสี่ยงภาษี เช่น กากถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม หรือสินค้าที่ผิดกฎหมายเข้าประเทศตามแนวชายแดน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ให้หน่วยงานต้นสังกัดดำเนินการลงโทษอย่างเด็ดขาดด้วย ๒. ด้านสังคม ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมและจูงใจให้แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นครูสอนภาษาต่างประเทศในประเทศไทยเลือกไปสอนที่โรงเรียนในต่างจังหวัด ซึ่งขาดแคลนครูชาวต่างชาติทั้งในสายสามัญศึกษาและสายอาชีวศึกษา ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรครูชาวไทยในต่างประเทศให้มีความรู้ความสามารถด้านภาษาต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม [สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)] เป็นเจ้าภาพในการรวบรวมข้อมูลจากส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ เกี่ยวกับแนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ของทุกหน่วยงานเพื่อจัดทำเป็นภาพรวมและแผนการขับเคลื่อนและการใช้ประโยชน์เสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐภายใน ๓ เดือน และรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน นั้น เพื่อให้การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว จึงให้ดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยให้ดำเนินการ (๑) เชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนหรือจากต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษาในการดำเนินการ และ (๒) ติดตามและเร่งรัดการดำเนินการของคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี โดยให้รายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานสถิติแห่งชาติ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย ๓.๑.๒ ให้ทุกส่วนราชการที่เป็นเจ้าของข้อมูลรับผิดชอบความถูกต้อง ครบถ้วน และความเป็นปัจจุบันของข้อมูล โดยให้ความสำคัญกับการจัดกลุ่มข้อมูลเป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่ ข้อมูลที่เป็นการให้บริการประชาชน และข้อมูลที่เป็นเรื่องความมั่นคงหรือเรื่องที่มีชั้นความลับ ๓.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) เร่งรัดการรายงานความคืบหน้าในการจัดทำแผนก่อสร้างสถานที่จอดรถใต้ดินและการพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุนต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๑ เดือน นั้น ๓.๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) เร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี โดยให้ประสานงานกับกระทรวงคมนาคมเพื่อร่วมดำเนินการด้วย และให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๑ เดือน ๓.๒.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศลงทุนในโครงการก่อสร้างสถานที่จอดรถใต้ดินในจุดต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับจอดรถยนต์และช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่มีรถยนต์และประชาชนสัญจรเป็นจำนวนมาก เช่น ศูนย์การค้า สถานีรถไฟฟ้า สถานที่ราชการ สถานศึกษา เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15923 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ ฟส.1/2555 คดีหมายเลขแดงที่ ฟส.5/2560 ระหว่างนางสาวณฐา ถิรศิริกุล ฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่ 1 กับพวกรวม 3 คน ต่อศาลปกครองสูงสุด เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกา ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้องคดี | นร05 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ ฟส.๑/๒๕๕๕ คดีหมายเลขแดงที่ ฟส.๕/๒๕๖๐ ระหว่างนางสาวณฐา ถิรศิริกุล ผู้ฟ้องคดี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่ ๑ กับพวกรวม ๓ คน ต่อศาลปกครองสูงสุด เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกา ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้องคดี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15924 | งบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 | รง | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบงบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้วและเห็นว่า งบการเงินแสดงฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ และผลการดำเนินงานทางการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันมีความถูกต้องตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15925 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2559 | พม | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. บทสรุปผู้บริหารและข้อเสนอแนะ ประชากรไทยมีแนวโน้มชัดเจนว่ากำลังสูงวัยขึ้นด้วยอัตราที่เร็วมาก และจะกลายเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ในเวลาอีกไม่เกิน ๑๐ ปีข้างหน้า รัฐบาลจึงต้องเร่งวางนโยบายและหามาตรการต่าง ๆ เพื่อรองรับสังคมสูงอายุ เช่น การเสริมสร้างสุขอนามัยและสร้างรูปแบบการให้บริการด้านสุขภาพแก่ผู้สูงอายุอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม การสนับสนุนให้ผู้สูงอายุอยู่ในที่อยู่อาศัยที่ช่วยส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นต้น ๒. สถานการณ์ผู้สูงอายุทั่วไป ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ประเทศอาเซียนมีประชากรรวมกันทั้งหมด ๖๓๙ ล้านคน มีประชากรอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป ๖๑ ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ ๙.๖ และมีประเทศที่เป็นสังคมผู้สูงอายุแล้ว ๓ ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม โดยไทยมีสัดส่วนประชากรสูงอายุใกล้ถึงร้อยละ ๒๐ ของประชากรทั้งหมด โดยครอบครัวไทยได้เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นครอบครัวเดี่ยวมีสมาชิกในครอบครัวน้อยลง โดยหนึ่งในสามของผู้สูงอายุมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน และผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ข้ออักเสบ/ข้อเสื่อม โรคถุงลมโป่งพอง/หลอดสมปอดอุดกั้นเรื้อรัง หลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจตาย และอัมพาต ๓. การเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้สูงอายุ มีข้อเสนอทางเลือกเชิงนโยบาย เช่น การพัฒนาระบบบริการสุขภาพแบบไร้รอยต่อ การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการ การเพิ่มประสิทธิผลของการดูแลผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยนอกสถานพยาบาล การส่งเสริมการใช้ยาอย่างเหมาะสม การออกกำลังกายและกิจกรรมทางสังคม เป็นต้น ๔. สถานการณ์เด่นปี ๒๕๕๙ เช่น การประกาศเกียรติคุณผู้สูงอายุแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๙ และประกาศศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑๒ ท่าน ซึ่งเป็นผู้สูงอายุ ๑๑ ท่าน มีปฏิญญาผู้สูงอายุกับการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุของประเทศไทย พันธกรณีองค์การสหประชาชาติ เรื่อง ผู้สูงอายุ และมีนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุ เช่น เก้าอี้สำหรับผู้สูงอายุและผู้ที่ใช้รถเข็น เป็นต้น ๕. งานวิจัยเพื่อสังคมสูงวัยปี ๒๕๕๙ เช่น โครงการ “การสังเคราะห์งานวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางจิต และสังคมที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในประเทศไทย” โครงการ “ระบบการดูแลทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ” เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15926 | รายงานประจำปี 2559 ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข | สธ | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๙ ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ประกอบด้วยผลการดำเนินงานของ สวรส. ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งได้ดำเนินการตามภารกิจหลักในการพัฒนางานวิจัยเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพอย่างเป็นระบบและแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุขอย่างมีประสิทธิภาพ และรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของ สวรส. สิ้นสุด ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบแล้วเห็นว่า งบการเงินของ สวรส. ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ และผลการดำเนินงานทางการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันมีความถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15927 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561) | นร | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๑ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับข้อสังเกตไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15928 | ขอให้พิจารณานำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 1/2561 เรื่อง การแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับการปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ) | สลธ.คสช. | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๖๑ เรื่อง การแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับการปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ สั่ง ณ วันที่ ๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ให้ยกเว้นการใช้บังคับ (๑๘) ของมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ เกี่ยวกับอำนาจของคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายในการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อใช้บริโภคในราชอาณาจักร และกำหนดราคาขายน้ำตาลทรายดังกล่าว เฉพาะในส่วนของการกำหนดราคาขายน้ำตาลทรายเพื่อใช้บริโภคในราชอาณาจักรตั้งแต่ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ถึงฤดูการผลิตปี ๒๕๖๑/๒๕๖๒ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยอ้อยและน้ำตาลทรายให้สอดคล้องกับแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔ โดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15929 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ขององค์การมหาชน จำนวน 2 แห่ง | นร12 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ฉบับที่ .. พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับกรณีที่องค์การมหาชนทั้ง ๒ แห่ง มีการจัดซื้อจัดจ้างเกี่ยวกับพัสดุ จะต้องนำพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... มาถือปฏิบัติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรกำหนดแนวทางการกำหนดเครื่องแบบขององค์การมหาชนเพื่อให้การกำหนดเครื่องแบบของทุกองค์การมหาชนเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15930 | รัฐบาลสาธารณรัฐกัวเตมาลาเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งสาธารณรัฐกัวเตมาลาประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นางอังเฮลา มาริอา เด โลวร์เดส ชาเวซ บิเอตติ (Mrs. Angela Maria de Lourdes Chavez Bietti)] | กต | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางอังเฮลา มาริอา เด โลวร์เดส ชาเวซ บิเอตติ (Mrs. Angela Maria de Lourdes Chavez Bietti) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐกัวเตมาลาประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น สืบแทน นายไบรอน เรเน เอสโกเบโต เมเนนเดซ (Mr. Byron Rene Escobedo Menendez) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15931 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กเพื่อเป็น สวัสดิการของลูกจ้างสำหรับสถานประกอบการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล) | กค | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กเพื่อเป็นสวัสดิการของลูกจ้างสำหรับสถานประกอบการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กในสถานประกอบการมาหักเป็นรายจ่ายได้ตามที่จ่ายจริงและสามารถหักได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน ๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติในการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กในสถานประกอบการ และมีการติดตามผลการดำเนินงานการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กของสถานประกอบการอย่างใกล้ชิด รวมทั้งรวบรวมมาตรการการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ตลอดจนติดตามประเมินผลกระทบต่อฐานะทางการคลังที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินมาตรการต่าง ๆ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15932 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่สถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541) | กค | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่สถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๑) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวง ทบวง กรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษาของรัฐ หน่วยงานอื่นของรัฐ สภากาชาดไทย และสถานพยาบาลอื่นที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด สำหรับการบริจาคตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๓ วรรคสาม เพื่อให้เกิดความชัดเจนตามหลักการที่จะยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถานพยาบาลภาครัฐเท่านั้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15933 | ขออนุมัติโครงการสนับสนุนนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระยะที่ 4 | วท | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินงานโครงการสนับสนุนนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระยะที่ ๔ จำนวน ๑,๕๐๐ ทุน (ต่างประเทศ ๑,๔๐๐ ทุน และในประเทศ ๑๐๐ ทุน) ระยะเวลาดำเนินการ ๑๕ ปี (ตั้งแต่ปี ๒๕๖๑-๒๕๗๕) งบประมาณรวม ๑๑,๐๙๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการเพิ่มสัดส่วนการให้ทุนในระดับปริญญาตรี เพื่อให้ผู้รับทุนสามารถกลับมาปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็วขึ้นด้วย สำหรับงบประมาณที่จะใช้ดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจัดทำรายละเอียดแผนการจัดส่งนักเรียนทุนรัฐบาลพร้อมรายละเอียดแผนการใช้จ่ายจริง โดยเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละปี ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาที่เห็นควรระบุสาขาที่ต้องการส่งเสริมให้ชัดเจน และควรนำผลการดำเนินงานที่ผ่านมาทั้งหมดมาวิเคราะห์และปรับปรุงระบบติดตามการปฏิบัติตามสัญญาของนักเรียนทุนเพื่อป้องกันการผิดสัญญาของนักเรียนทุน รวมทั้งควรระบุรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงบประมาณและระยะเวลาดำเนินงานโครงการฯ ๑๕ ปี ให้ชัดเจน โดยเฉพาะงบประมาณในช่วง ๕ ปีหลัง นอกจากนี้ ควรพัฒนาผลงานวิจัยให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ทางวิชาการที่ตอบสนองกับความต้องการของประเทศและพัฒนาต่อยอดเพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณากำหนดเงื่อนไขในการรับทุนการศึกษาให้มีความชัดเจนและเหมาะสม โดยเน้นให้ผู้รับทุนให้ความสำคัญกับการกลับมาปฏิบัติงานจริงในหน่วยงานภาครัฐภายหลังจากจบการศึกษา รวมถึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อผูกพันต่าง ๆ ในการรับทุนการศึกษาดังกล่าวอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15934 | ขอความเห็นชอบต่อร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชากับศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการเป็นเจ้าบ้าน และการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียน และร่างแผนงานของศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียน ประจำปี ค.ศ. 2017 - 2018 | กต | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชากับศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการเป็นเจ้าบ้าน และการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียน [Agreement between the Government of The Kingdom of Cambodia and The ASEAN Regional Mine Action Center (ARMAC) on Hosting and Granting Privileges and Immunities to the ARMAC] และแผนงานของศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียน ปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ (ASEAN Regional Mine Action Centre Work Plan 2017-2018) โดยร่างความตกลงฯ เป็นการกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของ ARMAC และกัมพูชาในฐานะประเทศเจ้าบ้าน เช่น ARMAC จะต้องดำเนินการตามกฎหมายและกฎระเบียบของกัมพูชา โดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบในการดูแลรักษาสถานที่ทำการ การชำระค่าใช้จ่ายการให้บริการด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ การบริหารจัดการกองทุนและงบประมาณ และการบริหารจัดการบุคลากรของสำนักงาน เป็นต้น ส่วนกัมพูชาจะต้องให้ ARMAC มีสถานะเท่าเทียมกับหน่วยงานภาครัฐของกัมพูชา การอำนวยความสะดวกด้านสาธารณูปโภค และการรักษาความปลอดภัยตามแนวปฏิบัติเดียวกันกับที่กัมพูชาให้แก่สำนักงานผู้แทนทางการทูตหรือองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ รวมทั้งการให้เอกสิทธิ์และการคุ้มกัน การยกเว้นภาษีสังหาริมทรัพย์ และบุคลากรต่างชาติที่ปฏิบัติหน้าที่ใน ARMAC ในส่วนของแผนงานฯ เป็นเอกสารที่ระบุเป้าหมายและโครงการดำเนินงานของ ARMAC เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้อำนวยการบริหาร ARMAC สามารถดำเนินการตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ให้ประธานคณะกรรมการบริหาร ARMAC หรือผู้แทนของ ARMAC ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริหาร ARMAC เป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ (ความตกลงฯ ยังไม่ได้กำหนดวันที่จะลงนาม)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15935 | รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 และรายงานการประเมินสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร12 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และให้องค์การมหาชนรายงานผลการดำเนินงานที่แสดงให้เห็นถึงการบรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้ง และมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือทางสังคมที่เป็นผลลัพธ์ขององค์กร และรับทราบรายงานการประเมินสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานผลการประเมินองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑๕ แห่ง มีค่าคะแนนเฉลี่ยในภาพรวม ๔.๒๙๙๕ คะแนน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย (ค่าคะแนนมากกว่า ๓.๐๐ คะแนนขึ้นไป) (และลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนซึ่งคะแนนอยู่ที่ ๔.๓๓๙๘ คะแนน) ทั้งนี้ กพม. มีข้อสังเกตว่า องค์การมหาชนควรกำหนดตัวชี้วัดให้สอดคล้องกับเป้าหมาย วิสัยทัศน์ ภารกิจ และวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งองค์กร บริบทสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี นวัตกรรม การแข่งขันทางธุรกิจ เป็นต้น รวมถึงควรสะท้อนถึงผลลัพธ์และผลกระทบเชิงเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม ให้ชัดเจนด้วย ๒. รายงานการประเมิน สกสค. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ผลคะแนนโดยรวมของ สกสค. อยู่ที่ระดับคะแนน ๓.๔๕๘๑ ดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ (ระดับคะแนน ๓.๐ คะแนน) และมีค่าคะแนนสูงกว่าผลการประเมินเฉลี่ยย้อนหลัง ๓ ปีเล็กน้อย (ค่าเฉลี่ยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ เท่ากับ ๓.๓๗๕๗ คะแนน) ทั้งนี้ กพม. มีข้อสังเกตว่า สกสค. ควรมอบหน่วยงานภายในหรือแต่งตั้งคณะทำงานรับผิดชอบการดำเนินการตามตัวชี้วัดเพื่อผลักดันให้มีการดำเนินการตามตัวชี้วัดเกิดเป็นรูปธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15936 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด ประจำปี พ.ศ. 2560 | นร01 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ก.ธ.จ. ทั้ง ๗๖ คณะ/จังหวัด ได้สอดส่องแผนงาน/โครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนงาน/โครงการของส่วนราชการในจังหวัด รวมทั้งการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐในจังหวัด รวมจำนวน ๑,๐๙๑ แผนงาน/โครงการ พบว่า มีโครงการไม่เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี จำนวน ๓๔๐ โครงการ ซึ่ง ก.ธ.จ. มีมติเป็นข้อเสนอแนะ จำนวน ๔๖๐ ข้อ โดยจังหวัด/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะไปดำเนินการแล้ว จำนวน ๑๘๑ ข้อ หรือคิดเป็นร้อยละ ๓๙.๓๔ ๒. ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินงานของ ก.ธ.จ. ได้แก่ (๑) การประสานงานเพื่อส่งข้อมูลการสอดส่องแผนงาน/โครงการ หรือเรื่องร้องเรียน (กรณีเร่งด่วน) ระหว่างประธาน เลขานุการ กรรมการ ก.ธ.จ. ในแต่ละคณะ/จังหวัด มีความล่าช้า ทำให้ขาดความคล่องตัวในการดำเนินงาน (๒) การเบิกค่าใช้จ่ายในการประชุมนอกรอบ/ลงพื้นที่สอดส่องของ ก.ธ.จ. มีความล่าช้า เนื่องจากเอกสารการเบิกค่าใช้จ่ายมีความยุ่งยากและซับซ้อน และ (๓) ก.ธ.จ. ขาดความรู้ความเข้าใจในเทคนิคการสอดส่องแผนงาน/โครงการ ทำให้การสอดส่องและการให้คำแนะนำแก่หน่วยงานรับตรวจไม่มีประสิทธิภาพ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15937 | ร่างพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และข้อเสนอการปรับโครงสร้างของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | นร11 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๑ และปรับบทบาทหน้าที่ กระบวนการทำงาน และโครงสร้างของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เกี่ยวกับชื่อ “สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาความเหมาะสมของชื่อในชั้นการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป และความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ เช่น ควรให้คงหลักการเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ ตามมาตรา ๑๒ (๔) และมาตรา ๑๒ (๕) แห่งพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๑ ที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณางบลงทุนของภาครัฐไว้ และหากมีความจำเป็นต้องมอบหมายหรือโอนภารกิจตามมาตรา ๑๒ (๔) และ (๕) แห่งพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่น เห็นควรมีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๓. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. เห็นชอบให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ๕. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการแบ่งส่วนราชการตามข้อเสนอดังกล่าว ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป และควรมีการบริหารและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้มีกระบวนทัศน์ (Paradigm) ที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงควบคู่ไปกับการยึดประโยชน์ส่วนรวม และให้องค์กรก้าวไปสู่การเป็นหน่วยงานความรู้สมัยใหม่ เพื่อผลักดันการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15938 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการมีบุตร) | กค | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ปรับเพิ่มค่าลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่คนที่ ๒ เป็นต้นไป ของผู้มีเงินได้หรือของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ซี่งเกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป โดยให้หักลดหย่อนได้เพิ่มอีก ๓๐,๐๐๐ บาทต่อคนต่อปีภาษี และให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่จะต้องยื่นรายได้ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้มีเงินได้หรือคู่สมรสสามารถนำค่าฝากครรภ์หรือค่าคลอดบุตรไปหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนที่จ่ายจริงสำหรับการตั้งครรภ์แต่ละคราว แต่ไม่เกิน ๖๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินมาตรการให้สอดคล้องกับลักษณะโครงสร้างประชากรของประเทศไทย เนื่องจากมาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการสูญเสียรายได้ภาครัฐเป็นจำนวนมากในแต่ละปี และมีมาตรการรองรับในเรื่องของการเลี้ยงดูและปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีให้กับเด็กที่เกิดในครอบครัวเดี่ยว เพื่อให้เติบโตเป็นประชากรวัยแรงงานที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง รวมทั้งรวบรวมมาตรการการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ตลอดจนติดตามประเมินผลกระทบต่อฐานะทางการคลังที่เกิดขึ้นจริงจากมาตรการต่าง ๆ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15939 | การปรับเปลี่ยนแหล่งเงินโครงการลงทุนและการขอกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของกระทรวงการคลังให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ปรับเปลี่ยนแหล่งเงินการลงทุนจากแหล่งเงินรายได้เป็นแหล่งเงินกู้ในประเทศทดแทนในโครงการลงทุนภายใต้งบลงทุน จำนวน ๕ โครงการ วงเงิน ๒,๙๒๓.๙๑๓ ล้านบาท และให้ กปภ. พิจารณาใช้เงินรายได้เพื่อลงทุนโครงการย่อยภายใต้งบดำเนินงานปกติ จำนวน ๗ โครงการ เป็นลำดับแรก หาก กปภ. จำเป็นต้องกู้เงิน ให้ดำเนินการกู้เงินเป็นรายปีตามความจำเป็น โดยต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการกู้เงินและได้รับการบรรจุวงเงินในแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ นอกจากนี้ ให้ กปภ. กู้เงินระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องในรูปแบบ Credit Line จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งวงเงินดังกล่าวได้รับการบรรจุในแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ครั้งที่ ๒ เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ กปภ. จะกู้เงินได้ต่อเมื่อ กปภ. ได้รับอนุมัติการกู้เงินจากคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว ๒. ให้ กปภ. รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ กปภ. เบิกจ่ายเงินกู้เท่าที่จำเป็น โดยให้สอดคล้องกับความพร้อมและความก้าวหน้าของโครงการ รวมทั้งพิจารณาเครื่องมือเงินกู้ที่สอดคล้องกับการใช้เงินเพื่อลดต้นทุนการกู้เงิน และ ควรหารือปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานที่ทำให้ กปภ. มีความไม่แน่นอนทางรายได้ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางแก้ไขนอกเหนือจากการปรับเปลี่ยนแหล่งเงินลงทุนโครงการจากเงินรายได้เป็นเงินกู้เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ กปภ. ควรเร่งรัดดำเนินการลงทุนที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การลงทุนเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะการลงทุนโครงการ เนื่องจากหลายโครงการใกล้ครบกำหนดระยะเวลาในการลงทุนแล้ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15940 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน เขตอำนาจ และวันเปิดทำการของศาลแขวง ในจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... (กำหนดวันเปิดทำการศาลแขวงภูเก็ต วันที่ 1 เมษายน 2561) | ศย | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน เขตอำนาจ และวันเปิดทำการของศาลแขวง ในจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีศาลแขวงภูเก็ต โดยมีเขตอำนาจในอำเภอทุกอำเภอ และให้เปิดทำการตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....