ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 798 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 15941 - 15960 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15941 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจัดการมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ พ.ศ. .... | คค | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจัดการมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงมาตรการการขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันให้ครอบคลุมถึงเคมีภัณฑ์ สารอันตราย และสารพิษ รวมทั้งเยียวยาความเสียหายให้แก่บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดนโยบายและแผนจัดการมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ของคณะกรรมการจัดการมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ และแผนปฏิบัติการตามร่างระเบียบฯ ให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และควรกำหนดให้ชัดเจนว่า เมื่อมีมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์เป็นสาธารณภัย ผู้มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้น ให้หน่วยปฏิบัติการและหน่วยสนับสนุนที่เป็นหน่วยงานของรัฐปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ในโอกาสแรกก่อน และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป นอกจากนี้ ควรให้มีการรับฟังความคิดเห็นของชุมชนและบุคคลที่อาศัยอยู่ริมน้ำได้มีส่วนร่วมในการจัดการมลพิษทางน้ำและบำรุงรักษาทรัพยากรน้ำ รวมถึงกำหนดให้มีผู้แทนของเอกชนหรือองค์กรเอกชนเป็นกรรมการในคณะกรรมการฯ ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการการขจัดคราบน้ำมัน น้ำมันรั่ว ให้มีประสิทธิภาพ และรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15942 | ขออนุมัติโครงการศูนย์บูรณาการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และงบประมาณสนับสนุน | อื่นๆ | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สภากาชาดไทยดำเนินโครงการศูนย์บูรณาการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกส่วนขยาย (อาคารศูนย์บูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข) ขนาดความสูง ๑๓ ชั้น ชั้นใต้ดิน ๔ ชั้น พื้นที่ใช้สอย ๔๐,๒๙๐ ตารางเมตร ระยะเวลาดำเนินการก่อสร้างระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕ โดยอาคารดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มพื้นที่และเชื่อมโยงการให้บริการผู้ป่วยนอกกับอาคารผู้ป่วยนอกเดิม (อาคาร ภปร.) ที่ไม่สามารถรองรับการให้บริการประชาชนได้เพียงพอในปัจจุบัน สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าว วงเงิน ๒,๔๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย ค่าก่อสร้างศูนย์บูรณาการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข จำนวน ๒,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และค่าควบคุมงาน จำนวน ๑๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๙๓๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท และเงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๔๘๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในสัดส่วนเงินงบประมาณ : เงินนอกงบประมาณ เท่ากับ ๘๐ : ๒๐ โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สภากาชาดไทยเตรียมการดำเนินการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการก่อสร้างศูนย์บูรณาการดังกล่าว เช่น ปัญหาการจราจร ความปลอดภัยในระหว่างการก่อสร้าง ปัญหาการอำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ผู้ป่วย เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15943 | แนวทางการจัดทำแผนงาน/โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง | ทส | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการจัดทำแผนงาน/โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ที่คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ มีมติเห็นชอบแล้ว ซึ่งประกอบด้วย ๔ แนวทาง คือ (๑) การปรับสมดุลชายฝั่งโดยธรรมชาติ (๒) การป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง (๓) การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และ (๔) การฟื้นฟูเสถียรภาพชายฝั่ง และมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทยต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เร่งการจัดทำแผนแม่บทในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะกลางในลักษณะบูรณาการเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และแนวทางการปฏิรูประบบการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งดำเนินการเชิงรุกในการเผยแพร่แนวทางการจัดทำงานแผนงาน/โครงการฯ และขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประสานให้คำแนะนำแก่จังหวัด กลุ่มจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องบูรณาการจัดทำแผนแม่บทการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โดยให้จัดทำเป็นแผนงาน/โครงการให้มีความชัดเจน จัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ที่จะดำเนินการ โดยให้เริ่มดำเนินการในพื้นที่ที่ประชาชนให้ความร่วมมือและไม่มีปัญหาข้อคัดค้านใด ๆ ก่อนเป็นลำดับแรก ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนงาน/โครงการเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งดังกล่าว ให้ส่วนราชการเจ้าของแผนงาน/โครงการพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15944 | โครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย - เมียนมา | ยธ | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย-เมียนมา ในห้วง ๕ ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ซึ่งเกิดผลสัมฤทธิ์เชิงประจักษ์ ได้แก่ การพัฒนาด้านสาธารณสุข การพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างความมั่นคงทางอาหาร ลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ และการพัฒนาการศึกษาและศักยภาพของคนในพื้นที่ ๑.๒ อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ใช้งบประมาณเหลือจ่ายจากงบเงินอุดหนุน หมวดเงินอุดหนุนทั่วไป เงินอุดหนุนโครงการพัฒนาทางเลือกในประเทศเพื่อนบ้าน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับโครงการฯ ระยะเวลา ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๑) ในกรอบงบประมาณจำนวน ๖,๖๒๒,๒๐๐ บาท เพื่อนำไปดำเนินโครงการฯ ในพื้นที่หนองตะยา อำเภอพินเลา จังหวัดตองตี รัฐฉานตอนใต้ และพื้นที่ทางตอนเหนือของท่าขี้เหล็ก อำเภอท่าขี้เหล็ก จังหวัดท่าขี้เหล็ก รัฐฉานตะวันออก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ๑.๓ รับทราบการใช้งบประมาณเหลือจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของสำนักงาน ป.ป.ส. โดยการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่าย ภายใต้แผนงานบูรณาการการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด งบเงินอุดหนุน หมวดเงินอุดหนุนทั่วไป เงินอุดหนุนโครงการพัฒนาทางเลือกในประเทศเพื่อนบาน สำหรับโครงการฯ ระยะเวลา ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๑) เป็นงบเงินอุดหนุน หมวดเงินอุดหนุนโครงการพัฒนาทางเลือกในประเทศไทย กรอบวงเงินจำนวน ๒๓,๑๑๓,๘๐๐ บาท เพื่อนำไปดำเนินโครงการร้อยใจรักษ์ในพื้นที่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย-เมียนมา ในพื้นที่หนองตะยา อำเภอพินเลา จังหวัดตองยี รัฐฉานตอนใต้ และพื้นที่ทางตอนเหนือของท่าขี้เหล็ก อำเภอท่าขี้เหล็ก จังหวัดท่าขี้เหล็ก รัฐฉานตะวันออก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และโครงการร้อยใจรักษ์ในพื้นที่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ กรอบวงเงินจำนวน ๒๙,๗๓๖,๐๐๐ บาท เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ แผนงานบูรณาการป้องกัน ปราบปรามและบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด โครงการปราบปรามยาเสพติด รายการเงินอุดหนุนโครงการพัฒนาทางเลือกในประเทศเพื่อนบ้าน ที่เหลือจ่ายจากการดำเนินงานที่บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายโครงการแล้ว โดยให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายสำหรับแผนงานบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๔๙ และขอทำความตกลงในรายละเอียดด้านงบประมาณกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นว่า พื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการฯ ในเมียนมาส่วนใหญ่อยู่ในเขตอิทธิพลของกลุ่มผู้ผลิตและค้ายาเสพติด จึงอาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานและส่งผลต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ฝ่ายไทยและเมียนมาจึงควรได้หารือเพื่อกำหนดมาตรการหรือแนวทางที่เกี่ยวข้องเพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ด้วย และฝ่ายเมียนมาควรเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้เกิดความชัดเจน โดยเฉพาะวัตถุประสงค์ และเป้าหมายของโครงการฯ รวมถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15945 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 2/2560 | นร11 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของ กนพ. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กนพ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ลงทุนและการปรับปรุงเงื่อนไขเสนอการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก กาญจนบุรี นครพนม มุกดาหาร และหนองคาย มอบหมายให้กรมธนารักษ์ปรับปรุงรายละเอียดการสรรหาและคัดเลือกผู้ลงทุน รวมทั้งให้กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาทบทวนมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ๑.๒ มาตรการเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเฉพาะในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก กาญจนบุรี นครพนม มุกดาหาร และหนองคาย เป็นเวลา ๒ ปี หากมีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ ของเงินลงทุนในปีที่ ๑ และยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเป็นเวลา ๑ ปี หากมีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ ของเงินลงทุนในปีที่ ๒ ของรอบปีที่สัญญาเช่า เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการให้สิทธิประโยชน์ภายในปี ๒๕๖๓ ๑.๓ การบริหารจัดการที่ดินราชพัสดุที่ได้ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๗/๒๕๕๘ และที่ ๓๔/๒๕๕๙ ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (๑) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการแลกเปลี่ยนที่ดินราชพัสดุกับที่ดินเอกชน เปลี่ยนแปลงรายละเอียดการเช่าที่ดินราชพัสดุ ชดใช้เงินแทนการแลกเปลี่ยนที่ดินราชพัสดุ และเห็นชอบให้กรมศุลกากรใช้ที่ดินราชพัสดุ เนื้อที่ประมาณ ๑๒๐ ไร่ เพื่อก่อสร้างด่านศุลกากรแม่สอด แห่งที่ ๒ จังหวัดตาก และ (๒) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนม เห็นชอบให้กันที่ดินราชพัสดุ แปลงที่ ๑ บางส่วน เพื่อคงไว้ตามสภาพเดิม และมอบหมายให้กรมธนารักษ์ดำเนินการเปิดประมูลให้เอกชนเช่าต่อไป ๑.๔ การพิจารณาจัดซื้อที่ดินเอกชนเพื่อจัดตั้งโครงการนิยมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส โดยมอบหมายการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประเมินความเหมาะสมและคุ้มค่าในการลงทุน ทั้งด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ และมอบหมายคณะอนุกรรมการด้านการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการเสนอแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินสำหรับจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว ๑.๕ แผนงานด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกำหนดจุดเน้นการพัฒนาของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละพื้นที่ให้ชัดเจน เพื่อนำไปใช้ประกอบการจัดทำแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่อไป ๑.๖ แนวทางการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในระยะต่อไป มอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิประโยชน์ กำหนดพื้นที่ และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน พิจารณากำหนดมาตรการและสิทธิประโยชน์ เพื่อส่งเสริมการลงทุนตามจุดเน้นการพัฒนาในพื้นที่ศักยภาพการลงทุนสูงในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก สงขลา สระแก้ว และมุกดาหาร รวมทั้งการสนับสนุนการลงทุนของ SMEs และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินงาน รวมถึงเร่งรัดการดำเนินโครงการและมาตรการสำคัญใน ๑๐ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้แล้วเสร็จ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามผลการประชุมฯ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงบประมาณ เช่น การเตรียมความพร้อมตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินงานเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมถึงเร่งดำเนินการโครงการ/รายการต่าง ๆ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแล้ว ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการสนับสนุนให้ภาคเอกชนลงทุนดำเนินการในกิจการที่พักอาศัยของแรงงานที่จะเข้าไปทำงานในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และให้กระทรวงการคลังรายงานความก้าวหน้าในเรื่องนี้ให้ กนพ. ทราบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15946 | การขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาเดลี สำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ในโอกาสครบรอบ 25 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - อินเดีย (Delhi Declaration of the ASEAN-India Commemorative Summit to Mark the 25th Anniversary of the ASEAN-India Dialogue Relations) | กต | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาเดลีสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ในโอกาสครบรอบ ๒๕ ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย (Delhi Declaration of the ASEAN-India Commemorative Summit to Mark the 25th Anniversary of the ASEAN-India Dialogue Relations) ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๑ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย โดยร่างปฏิญญาเดลีมีสาระสำคัญในการสนับสนุนให้อาเซียนทำงานร่วมกับอินเดียในประเด็นความมั่นคงในภูมิภาคและระหว่างประเทศ โดยให้มีสถาปัตยกรรมในภูมิภาคที่เปิดกว้าง โปร่งใส ครอบคลุม และอยู่บนพื้นฐานของกฎระเบียบ ผ่านกรอบและกลไกที่อาเซียนมีบทบาทนำ อีกทั้งยังสนับสนุนให้เสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและอินเดีย ผ่านการใช้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย รวมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมโยงเชิงอารยธรรมและประวัติศาสตร์ระหว่างกัน ด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชนให้มากขึ้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15947 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วม โครงการ Our Eyes Initiative | กห | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมโครงการ Our Eyes Initiative มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบความร่วมมือด้านการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายในภูมิภาคระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยจะมีการจัดตั้งกลไกเพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจากการก่อการร้าย และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการก่อการร้าย ลัทธินิยมความรุนแรง และสิทธิสุดโต่ง และมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ในช่วงการประชุมโครงการ Our Eyes Initiative ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ มกราคม ๒๕๖๑ ณ เกาะเบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15948 | สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2561 | นร10 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๑ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และได้มีข้อสั่งการมอบหมายให้คณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่ารับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น (๑) การปรับปรุงกฎหมาย (๒) การปรับปรุงโครงสร้างของกระทรวงให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ และ (๓) การให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน เป็นต้น เพื่อการติดตามและประเมินผลปฏิบัติราชการของหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15949 | การบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย | รง | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๑.๑ อนุมัติการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าว (สัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา) ทำงานในประเทศไทย ตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ใน ๓ กรณี ดังนี้ ๑.๑.๑ กรณีที่ ๑ : แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา ที่ทำงานในกิจการประมงทะเล และกิจการแปรรูปสัตว์น้ำ กลุ่มที่ยังไม่ได้พิสูจน์สัญชาติ ผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรและอนุญาตทำงานถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ เพื่อพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ เมื่อผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วจะตรวจลงตรา (Visa) ประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและอนุญาตทำงานถึงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ๑.๑.๒ กรณีที่ ๒ : แรงงานต่างด้าวที่ถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ และกรณีที่ ๓ : แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา ที่ได้ดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๓/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เรื่อง มาตรการชั่วคราวเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่ผ่านการคัดกรองความสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้าง โดยแยกการผ่อนผัน เป็น ๒ กลุ่ม (๑) กลุ่มที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วควรผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรและอนุญาตทำงานโดยตรวจลงตรา (Visa) ประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและอนุญาตทำงานถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ (๒) กลุ่มที่ยังไม่ได้พิสูจน์สัญชาติ ควรผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรและอนุญาตทำงานถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ เพื่อพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ เมื่อผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วจะตรวจลงตรา (Visa) ประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและอนุญาตทำงานถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ๑.๒ ให้ทุกจังหวัดรวมทั้งกรุงเทพมหานครดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อการจัดทำฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวให้มีเอกภาพเป็นฐานเดียวกัน ชื่อว่า “คณะกรรมการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยจังหวัด...” โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย เป็นประธาน และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับจังหวัดเป็นกรรมการ เช่น กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร โดยมีจัดหางานจังหวัด เป็นกรรมการและเลขานุการ ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัด กรณีกรุงเทพมหานคร ให้อธิบดีกรมการจัดหางาน หรือผู้ที่อธิบดีกรมการจัดหางานมอบหมาย เป็นประธาน ผู้อำนวยการสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน เป็นกรรมการและเลขานุการ ภายใต้การกำกับดูแลของอธิบดีกรมการจัดหางาน โดยมีอำนาจหน้าที่ในการจัดตั้งและกำกับดูแลการดำเนินการของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กำกับดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับศูนย์พิสูจน์สัญชาติของประเทศต้นทาง และจัดทำฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวในจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ๑.๓ ให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรให้กับแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา ที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเพื่อการทำงาน โดยกำหนดให้ด้านหลังบัตรมีข้อมูลการอนุญาตทำงาน และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ตามที่ได้รับการประสานจากกระทรวงแรงงาน ให้มีอำนาจในการกำหนดเลขประจำตัว ๑๓ หลักให้กับแรงงานต่างด้าวดังกล่าว และให้กรมการปกครองเปิดระบบเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อดำเนินการต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงแรงงาน กรมการจัดหางาน เป็นหน่วยงานหลักในการวางระบบสารสนเทศเพื่อการจัดระบบฐานข้อมูลของแรงงานต่างด้าว โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณ เช่น การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวและการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศไทย ควรประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและสถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าวรับทราบถึงแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนตามอำนาจหน้าที่ กระบวนการดำเนินการ รวมทั้งขอบเขตของระยะเวลาอย่างถูกต้อง และการจัดทำฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวให้มีเอกภาพเป็นฐานเดียวกัน ควรเร่งรัดให้มีความเป็นรูปธรรมและชัดเจน เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงแรงงานเร่งรัดการดำเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามให้แล้วเสร็จ และเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15950 | แนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่สอดคล้องกับร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และนโยบายสำคัญของรัฐบาลหรือมติคณะรัฐมนตรีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเฉพาะโครงการ/รายการที่มีความพร้อมสามารถดำเนินการภายในปีงบประมาณ ๑.๒ เห็นชอบปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑.๓ อนุมัติให้คำของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติราชการประจำปี ๑.๔ อนุมัติในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ พ.ศ. .... เป็นเรื่องด่วนและแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรง เพื่อให้สำนักงบประมาณจัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติฯ และเอกสารงบประมาณเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันอังคารที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑ เพื่อเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15951 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | นร07 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๒ แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๓ การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15952 | ขอรับโอนข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายจิตติ สุวรรณิก) | นร | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน นายจิตติ สุวรรณิก ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง (นักบริหารการทูตระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการต่างประเทศ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๕๗ (๒) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15953 | รายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม-๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๐ งบประมาณ จำนวน ๒,๙๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำวน ๘๙๗,๗๖๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๐.๙๖ สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๐.๖๗ (เป้าหมายภาพรวมร้อยละ ๓๐.๒๙) จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน ๒,๒๔๐,๒๑๙ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๘๑๐,๕๘๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๖.๑๘ สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๓.๑๘ (เป้าหมายรายจ่ายประจำร้อยละ ๓๓.๐๐) และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๖๕๙,๗๘๑ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒๕๓,๑๖๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๘.๓๗ และเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๘๗,๑๘๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๓.๒๑ ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๗.๙๐ (เป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๒๑.๑๑) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างเคร่งครัด ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15954 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมปี ๒๕๖๑ จำนวน ๕๓ รายการ จำแนกเป็น ๔๘ สินค้า และ ๕ บริการ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าและบริการ รวมทั้งประชาชนทั่วไปรับทราบอย่างทั่วถึง และให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการต่อยอดและใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและพัฒนาการแปรรูปยางพาราอย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มปริมาณความต้องการ ตลอดจนเพิ่มมูลค่าและยกระดับราคายางพาราภายในประเทศได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15955 | แนวทางการตรวจลงตราสำหรับผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ (SMART Visa) | นร | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (สบ.นร.) เสนอ ๑.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์คุณสมบัติและสิทธิประโยชน์ภายใต้การตรวจลงตราประเภท SMART Visa และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ออกประกาศกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิขอ SMART Visa ตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว โดยให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ตรวจสอบคุณสมบัติขั้นพื้นฐานตามกฎหมายเกี่ยวกับคนเข้าเมืองตามอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้ ให้กระทรวงแรงงานเร่งรัดกำหนดช่องทางอำนวยความสะดวก (Fast Track) ในการยื่นขอใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ให้แก่บุตรของผู้ถือ SMART Visa ประเภทนักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ต่อไปด้วย ๑.๒ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่รับรองผู้ประกอบการและกิจการต่าง ๆ ตามเงื่อนไขของ SMART Visa และในอนาคต หากมีหน่วยงานอื่น ๆ ที่จะต้องดำเนินการให้มีการรับรองผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบการ และกิจการต่าง ๆ เพิ่มเติม ให้ สกท. สามารถพิจารณามอบหมายได้ตามความเหมาะสม ๑.๓ เห็นชอบร่างกฎหมาย จำนวน ๓ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๓.๑ (ร่าง) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน พ.ศ. ๒๕๔๐ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อให้ศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงานมีอำนาจครอบคลุมการดำเนินการเกี่ยวกับ SMART Visa ๑.๓.๒ (ร่าง) ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาในราชอาณาจักรชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ สำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ... พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑.๓.๓ (ร่าง) ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ สำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น (SMART Visa) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ... พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑.๔ เห็นชอบให้เริ่มกระบวนการยื่นคำขอ SMART Visa ในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ๑.๕ เห็นชอบกรอบงบประมาณสำหรับการดำเนินการ SMART Visa ของ สกท. ในปี ๒๕๖๑ ในวงเงิน ๓๘ ล้านบาท โดยให้ สกท. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๖ เห็นชอบในหลักการการเพิ่มอัตรากำลังคนของ สกท. เพื่อปฏิบัติงานในศูนย์วีซ่าและใบอนุญาตทำงาน ๑.๗ รับทราบขั้นตอนการดำเนินการรับรองคุณสมบัติและการตรวจลงตราประเภท SMART Visa และแผนปฏิบัติงานด้านการประชาสัมพันธ์การให้บริการของ SMART Visa ๒. ให้ สกท. เร่งรัดสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของผู้ติดตามของผู้ถือ SMART Visa (คู่สมรสและบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมาย) ให้ถูกต้องและชัดเจนว่า คู่สมรสของผู้ถือ SMART Visa ทุกประเภท และเฉพาะบุตรที่มีอายุ ๑๘ ปีบริบูรณ์ขึ้นไปของผู้ถือ SMART Visa ประเภทผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ที่สามารถทำงานในประเทศไทยได้โดยไม่ต้องขอใบอนุญาตทำงาน แต่ต้องไม่เป็นการทำงานในอาชีพและวิชาชีพต้องห้ามตามบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๓. ให้ สกท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงาน ก.พ. ที่ควรมีการติดตามและประเมินผล และปรับปรุงการดำเนินการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ รวมถึงรายงานผลการดำเนินงานและผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินแนวทางดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีในโอกาสแรกด้วย สำหรับการจัดหาบุคลากรเพื่อปฏิบัติงานในศูนย์วีซ่าและใบอนุญาตทำงาน ควรจ้างบุคลากรจากภาคเอกชนในระยะแรกไปพลางก่อน หากจำเป็นต้องใช้บุคลากรภาครัฐในระยะต่อไปให้ดำเนินการตามแนวทางที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ให้ สบ.นร. ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15956 | การจัดตั้งสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฟุคุโอะกะ และการปรับเขตกงสุลของสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซากา | กต | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดตั้งสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฟุคุโอะกะ ประเทศญี่ปุ่น โดยให้มีเขตกงสุลครอบคลุมภูมิภาคคิวชูและโอะกินะวะ และภูมิภาคจูโกะกุ ๑.๒ การปรับเขตกงสุลของสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ให้ครอบคลุมภูมิภาคคันไซและภูมิภาคชิโกะกุ ๒. ในส่วนของการกำหนดกรอบอัตรากำลังของสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฟุคุโอะกะ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15957 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์) (จำนวน 5 ราย 1. นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ ฯลฯ) | พณ | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๕ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ๒. นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ๓. นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายสมศักดิ์ เกียรติชัยลักษณ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15958 | แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (นายพงศธร สัจจชลพันธ์) | นร04 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายพงศธร สัจจชลพันธ์ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15959 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (จำนวน 5 คน 1. นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ฯลฯ) | ทส | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จำนวน ๕ คน แทนกรรมการเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ มกราคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ๑.๒ นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ๑.๓ นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ๑.๔ นายอวยชัย คูหากาญจน์ ๑.๕ นายพีรพันธ์ คอทอง ๒. ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ดังกล่าวในครั้งต่อไป ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติ ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15960 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (จำนวน 5 คน 1. นายกำจร ตติยกวี ฯลฯ) | วท | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จำนวน ๕ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ มกราคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายกำจร ตติยกวี ๒. นายธวัชชัย กิตรัตนะกุล ๓. นายชาติชาย โรจนรัตนางกูร ๔. นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ๕. นายพงศ์สุข หิรัญพฤกษ์
|
.....