ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 561 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 11201 - 11220 จากข้อมูลทั้งหมด 123998 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
11201 | โครงการจัดทำรายงานแห่งชาติ ฉบับที่ 4 และรายงานความก้าวหน้ารายสองปี ฉบับที่ 3 ตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | ทส | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความตกลงระหว่างโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติและหน่วยงานร่วมปฏิบัติการ ภายใต้โครงการจัดทำรายงานแห่งชาติ ฉบับที่ ๔ และรายงานความก้าวหน้ารายสองปี ฉบับที่ ๓ ตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเห็นชอบให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความตกลงฯ โดยบันทึกความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดการให้การสนับสนุนแก่โครงการดำเนินงานในระดับประเทศ โดยโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme : UNDP) จะให้การสนับสนุนสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการ เช่น การจัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ แล้วเสร็จ การพัฒนากระบวนการทำงาน และการพัฒนาศักยภาพของบุคคลากรในประเทศ เป็นต้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปรับระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดโครงการให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) ไปดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11202 | ขอความเห็นชอบแผนอัตรากำลังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - 2565 | อว | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนอัตรากำลังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) สังกัดมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ จำนวน ๑,๐๙๐ อัตรา วงเงินรวม ๓๘๓,๘๘๐,๑๒๐ บาท ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เช่น (๑) แผนอัตรากำลังดังกล่าว ควรสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข และควรมีการศึกษาความต้องการสาขาแพทย์และสาขาอาชีพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในภาพรวมทั้งระบบในภาครัฐและภาคเอกชน (๒) หาก มทส. มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องบรรจุอัตรากำลังตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ก็ให้ มทส. พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของ มทส. มาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน สำหรับปีต่อ ๆ ไป ควรขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงภาระงานที่เกิดขึ้นจริง ศักยภาพในการสรรหา และความสามารถในการบรรจุอัตรากำลัง รวมถึงการพิจารณานำเงินนอกงบประมาณ (เงินรายได้ของโรงพยาบาล) มาใช้จ่ายเป็นค่าบุคลากร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสาธารณสุขในภาพรวมทั้งระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมของการกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งเภสัชกร จำนวน ๓๑๖ อัตรา ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) เพื่อให้สามารถวางระบบการบริหารอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจบริการสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศและการลงทุนในยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศ ในระยะยาว (๕-๑๐ ปี) ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนอัตรากำลังของโรงพยาบาลในครั้งต่อ ๆ ไป ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องนำแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสาธารณสุขในภาพรวมทั้งระบบและยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศ ในระยะยาว (๕-๑๐ ปี) มาพิจารณาประกอบการจัดทำแผนอัตรากำลังดังกล่าวให้เหมาะสมสอดคล้องกันด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11203 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารวิจัยทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยบูรพา | อว | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารวิจัยทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยบูรพา จำนวน ๑๑ รายการ จากเดิมจำนวน ๙๐๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นจำนวน ๙๕๕,๓๔๙,๘๑๖.๐๙ บาท โดยมีค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจำนวน ๔๗,๓๔๙,๘๑๖.๐๙ บาท ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้ การดำเนินโครงการต่าง ๆ ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามโครงการอย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อนตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การตรวจสอบและจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ) อย่างเคร่งครัด และหากมีความจำเป็นต้องขอเปลี่ยนแปลงรายการหรือเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันเกินวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ให้เสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีก่อนการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11204 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการค่าก่อสร้างและเพิ่มวงเงินในการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน) | ตผ | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเปลี่ยนแปลงรายการค่าก่อสร้าง และเพิ่มวงเงินในการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิม ๔ รายการ วงเงิน ๑,๘๓๒,๙๐๖,๖๐๐ บาท เป็น ๒ รายการ ภายในกรอบวงเงิน ๒,๖๓๖,๘๐๐,๐๐๐ บาท ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกอบด้วย (๑) รายการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๖ จำนวนเงิน ๒,๕๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และ (๒) รายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๖ จำนวนเงิน ๗๖,๘๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินขอทำความตกลงความเหมาะสมของราคากับสำนักงบประมาณ ตามระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรพิจารณาดำเนินการตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในสัญญาเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในรายละเอียดอย่างเคร่งครัด และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลในรายละเอียดต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ในการต่อสัญญาเช่าที่ดินของ รฟท. ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินขอความร่วมมือจาก รฟท. ในการพิจารณาปรับปรุงอัตราค่าเช่าสำหรับหน่วยงานราชการในลักษณะผ่อนปรนต่ำสุดเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในกรณีที่ราคาประเมินมูลค่าที่ดิน ณ ปีที่ต่ออายุสัญญาเพิ่มสูงขึ้นมาก รวมทั้งให้ระบุการขอสงวนสิทธิ์การขอใช้พื้นที่ของ รฟท. ไว้ในสัญญาเช่าให้ชัดเจนด้วย ๒. ในกรณีที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะต้องดำเนินโครงการในลักษณะนี้อีกในอนาคต ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินดำเนินการตรวจสอบความพร้อมและความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างละเอียดรอบคอบและครบถ้วนในทุกมิติก่อนที่จะเสนอขออนุมัติโครงการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัด รวมถึงควรมีกลไกในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามแผนงานและกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11205 | แนวปฏิบัติเชิงนโยบายเพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนส่งอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ระบบเครื่องส่ง และวัสดุอุปกรณ์ (ทางทะเล ทางอากาศ และทางบก) | นร08 | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวปฏิบัติเชิงนโยบายเพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนส่งอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ระบบเครื่องส่ง และวัสดุอุปกรณ์ (ทางทะเล ทางอากาศ และทางบก) โดยพิจารณาถึงความสอดคล้องกับกฎหมายและแนวปฏิบัติภายในประเทศและความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป โดยแบ่งเป็น ๓ ขั้นตอนหลัก ได้แก่ (๑) การดำเนินการก่อนการสกัดกั้น (๒) การดำเนินการสกัดกั้น และ (๓) การดำเนินการหลังการสกัดกั้น ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายภายในประเทศของการท่าเรือแห่งประเทศไทย จำนวน ๒ ระเบียบ คือ ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๕ และฉบับแก้ไขปรับปรุงต่าง ๆ และระเบียบท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกสินค้าอันตรายของท่าเรือกรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๕๐ เพื่อให้มีหลักกฎหมายที่ใช้ในการดำเนินการที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น รวมทั้งปรับถ้อยคำที่ระบุในเอกสารแนวปฏิบัติเชิงนโยบายเพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนส่งอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ระบบเครื่องส่ง และวัสดุอุปกรณ์ ทั้งทางทะเล ทางอากาศ และทางบก ในขั้นตอนการประสานงาน การประสานข้อมูล/ข่าวกรอง จาก “ประสานสำนักข่าวกรองแห่งชาติเพื่อตรวจสอบข้อมูล/ข่าวกรองของเรือต้องสงสัย/ข่าวกรองของอากาศยานต้องสงสัย/ข่าวกรองของบุคคลและยานพาหนะต้องสงสัย” เป็น “ประสานสำนักข่าวกรองแห่งชาติตรวจสอบข้อมูล/ข่าวกรองที่เกี่ยวข้องเมื่อได้รับการแจ้งเตือน” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11206 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร01 | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา ๙๐๔ “หลักสูตรหลักประจำ” รุ่นที่ ๔/๖๒ หน่วยราชการในพระองค์ฯ ได้จัดการฝึกอบรมหลักสูตรฯ ระหว่างวันที่ ๕ พฤศจิกายน-๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๒ ณ โรงเรียนจิตรอาสาพระราชทาน เพื่อสร้างจิตสำนึก สร้างระเบียบวินัย สามารถเป็นกลจักรสำคัญในการประสานความร่วมมือ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ ๒. การจัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทานมีความประสงค์ขอให้กระทรวงมหาดไทยประสานจังหวัด อำเภอ จัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่างน้อย ๕๐ คน/แห่ง เพื่อเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในระดับพื้นที่ ๓. การจัดกิจกรรมในช่วงพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ โดยศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน กำหนดให้จัดกิจกรรมในช่วงพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ ในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒ เพื่อเปิดโอกาสให้จิตอาสาพระราชทานและประชาชนภาคส่วนต่าง ๆ ทั่วประเทศได้ร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ๔. แนวทางปฏิบัติการจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาในโอกาสวันสำคัญของชาติไทย ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติการจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาในโอกาสวันสำคัญของชาติไทย เพื่อให้ส่วนราชการ ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทานภาค ๑-๔ และจังหวัด ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาในโอกาสวันสำคัญของชาติไทยดังกล่าวให้ส่วนราชการและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัด จังหวัด และกรุงเทพมหานครทราบและถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11207 | รายงานผลการดำเนินงานแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด พ.ศ. 2558 - 2562 | ยธ | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ฯ รวม ๘ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย (๑) การป้องกันกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด (๒) การสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อป้องกันปัญหายาเสพติด (๓) การแก้ไขปัญหาผู้เสพผู้ติดยาเสพติด (๔) การสร้างและพัฒนาระบบรองรับการคืนคนดีสู่สังคม (๕) การควบคุมตัวยาและผู้ค้ายาเสพติด (๖) ความร่วมมือระหว่างประเทศ (๗) การมีส่วนร่วมภาคประชาชน และ (๘) การบริหารจัดการอย่างบูรณาการ ๒. ผลสัมฤทธิ์การดำเนินงาน จากการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนจากการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาลตั้งแต่ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๒ พบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจและมีความเชื่อมั่นโดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11208 | ขอยกเลิกการผูกพันงบประมาณรายการค่าเช่าอุปกรณ์เครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) พร้อมระบบควบคุมการทำงาน จำนวน 4,000 เครื่อง ตามมติคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0505/8215 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2561 และขออนุมัติผูกพันงบประมาณรายการค่าเช่าอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) พร้อมระบบที่เกี่ยวข้อง จำนวน 30,000 เครื่อง | ยธ | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมคุมประพฤติ) ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ดำเนินโครงการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวมาใช้เพื่อเป็นมาตรการทางเลือกแทนการลงโทษจำคุก จำนวน ๓๐,๐๐๐ เครื่อง ภายในกรอบวงเงิน ๗๖๔,๗๖๔,๒๐๐ บาท โดยเริ่มปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ประกอบด้วย ค่าเช่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว พร้อมระบบที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓๐,๐๐๐ เครื่อง จำนวน ๗๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายบริหารจัดการโครงการ จำนวน ๔๔,๗๖๔,๒๐๐ บาท ๑.๒ อนุมัติให้ยกเลิกการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายการค่าเช่าอุปกรณ์เครื่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) พร้อมระบบควบคุมการทำงาน จำนวน ๔,๐๐๐ เครื่อง งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๔๔,๖๘๒,๐๐๐ บาท เนื่องจากผู้รับจ้างนำส่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวที่มีคุณลักษณะไม่ตรงตามขอบเขตของการเช่าและติดตั้งอุปกรณ์ กรมคุมประพฤติจึงแจ้งบอกเลิกสัญญากับผู้รับจ้าง ๑.๓ สำหรับการขออนุมัติรายการค่าเช่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring : EM) พร้อมระบบที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓๐,๐๐๐ เครื่อง วงเงินรวม ๗๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท นั้น เห็นควรให้กระทรวงยุติธรรมนำความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติพิจารณา ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ ก่อน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมคุมประพฤติ) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง และข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น การเช่าใช้อุปกรณ์ EM พร้อมระบบที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓๐,๐๐๐ เครื่อง ควรพิจารณาเพิ่มเติมในเรื่องของ “ระบบที่เกี่ยวข้อง” ในการสนับสนุนการใช้งานดังกล่าว เนื่องจากระบบที่เกี่ยวข้องตามข้อกำหนด (TOR) อาจมีความเกี่ยวโยงกับการส่งข้อมูลโดยอุปกรณ์ EM จึงควรพิจารณาหาทางป้องกันการผูกขาด “ระบบที่เกี่ยวข้องและเครื่องอุปกรณ์ EM” โดยควรกำหนดให้มีการเปิดเผยรูปแบบและวิธีการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ EM ไปยังระบบที่เกี่ยวข้อง และควรพิจารณาในเรื่องการบริหารความต่อเนื่องของการใช้งานอุปกรณ์และลดปัญหาการผูกขาดของผู้ผลิตเพียงรายเดียว รวมถึงส่วนของโปรแกรมที่มีการเข้าหรือถอดรหัสข้อมูลที่ส่งมาจากอุปกรณ์ EM ควรมีมาตรฐานหรือข้อกำหนดที่ชัดเจนที่สามารถใช้ร่วมกันหรือปรับใช้ได้ และควรพิจารณาการคำนึงถึงการดูแลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Privacy) และการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Security) รวมทั้งการดูแลข้อมูลที่จัดเก็บในระบบคลาวน์ของผู้ให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11209 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้น้ำมันปาล์มและแฟรกชันของน้ำมันปาล์ม และน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้าและนำผ่าน พ.ศ. .... | พณ | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้น้ำมันปาล์มและแฟรกชันของน้ำมันปาล์ม และน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้าและนำผ่าน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดด่านนำเข้าและด่านนำผ่านน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง (๖) และมาตรา ๕/๑ แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น ขอให้กระทรวงพาณิชย์คำนึงถึงผลกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11210 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำลังพลสำรอง (คกส.) | กห | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำลังพลสำรอง จำนวน ๕ คน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. พลเอก ธนดล เผ่าจินดา ๒. พลเอก อภิชัย ทรงศิลป์ ๓. นายประพันธ์ ปุษยไพบูลย์ ๔. พลเอก วิเชียร มัญญะหงษ์ ๔. นายสุรเดช วลีอิทธิกุล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11211 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2563 | นร11 | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๓ ซึ่งได้มีการพิจารณาข้อเสนอของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) เกี่ยวกับมาตรการพยุงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในระยะเร่งด่วน (เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ๒๕๖๓) และในระยะยาว ประกอบด้วย มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๒๐๑๙ และมาตรการเสริมสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทาน และข้อเสนอของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจหลักในระดับพื้นที่ภาค ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการพยุงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย จะต้องคำนึงถึงภารกิจและความจำเป็น ความพร้อม วิธีการดำเนินงาน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างเหมาะสม ตลอดจนสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับทุกภาคส่วน รวมถึงจัดให้มีระบบติดตามและรายงานผลการดำเนินงานและผลการใช้จ่ายให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินมาตรการดังกล่าว ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานหรือแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป โดยดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11212 | หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ไปพลางก่อน (เพิ่มเติม) | นร07 | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน (เพิ่มเติม) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๑๔ มกราคม ๒๕๖๓) เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยให้หน่วยรับงบประมาณใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันให้ได้โดยเร็ว นั้น เพื่อให้การบริหารงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและเป็นการเตรียมความพร้อมให้หน่วยรับงบประมาณสามารถใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันได้ทันทีภายหลังพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ มีผลบังคับใช้ จึงเห็นควรให้หน่วยรับงบประมาณทุกหน่วยงานรายงานความคืบหน้าการดำเนินการในขั้นตอนการเตรียมการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายจ่ายลงทุนไปยังสำนักงบประมาณภายในวันศุกร์ของทุกสัปดาห์ เพื่อที่สำนักงบประมาณจะได้รวบรวมข้อมูลและรายงานต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11213 | รายงานการจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน | ยธ | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้ารายงานการจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมีคำสั่งกระทรวงยุติธรรมที่ ๒๕/๒๕๖๓ ลงวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๓ เรื่อง จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการผู้พ้นโทษที่มีลักษณะพิเศษโดยประสานและดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเฝ้าระวังผู้พ้นโทษที่มีพฤติการณ์เป็นภัยอันตรายต่อสังคม ๗ กลุ่ม ได้แก่ (๑) ฆ่าเด็กหรือข่มขืนเด็ก (๒) ฆ่าข่มขื่น (๓) ฆาตรกรต่อเนื่อง (๔) ฆาตกรโรคจิต (๕) สังหารหมู่ (๖) ชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์โดยการฆ่า และ (๗) นักค้ายาเสพติดรายสำคัญ ๒. กระทรวงยุติธรรมจัดทำแนวทางให้หน่วยงานที่เฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ ได้แก่ (๑) ในเขตกรุงเทพมหานคร กรมคุมประพฤติเป็นผู้ประสานงานกับสถานีตำรวจนครบาลทุกสถานี บริหารจัดการกลุ่มผู้พ้นโทษที่มีลักษณะพิเศษในเขตพื้นที่และรายงานผลมายังศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน และ (๒) ในส่วนภูมิภาค มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับจังหวัด เป็นหน่วยงานที่เฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ และได้มีคำสั่งกระทรวงยุติธรรมที่ ๒๔/๒๕๖๓ ลงวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๓ เรื่อง การเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน มีหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานในพื้นที่ เช่น ส่วนราชการกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น บริหารจัดการกลุ่มผู้พ้นโทษที่มีลักษณะพิเศษในเขตพื้นที่และรายงานผลมายังศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11214 | ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ | สผ | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจ้งว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย กับคณะ รวม ๒๒๓ คน ได้เข้าชื่อกันเพื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา ๑๕๑ ของรัฐธรรมนูญ นั้น คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีความพร้อมจะไปชี้แจงตามญัตติดังกล่าวต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันอังคารที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ เป็นต้นไป จึงได้ลงมติมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับไปประสานประธานสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับกำหนดวันที่คณะรัฐมนตรีจะไปชี้แจงตามญัตติดังกล่าวต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11215 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงข่าวของประธานร่วมของการประชุมอาเซียน - สหภาพยุโรปด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 2 | กต | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงข่าวของประธานร่วมของการประชุมอาเซียน-สหภาพยุโรปด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ ๒ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายออกแถลงข่าวฯ ในฐานะประธานร่วมของการประชุม โดยร่างแถลงข่าวฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมอาเซียน-สหภาพยุโรปด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ ๒ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม มีสาระสำคัญคือ (๑) การส่งเสริมการเติบโตสีเขียวและการเงินสีเขียวเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (๒) การส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาคและระหว่างภูมิภาคอาเซียนและยุโรป (๓) การส่งเสริมบทบาทสตรีในภาคธุรกิจ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) (๔) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ในการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และ (๕) การส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป ผ่านกลไกต่าง ๆ โดยเฉพาะศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงข่าวฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11216 | มาตรการการเงินการคลังเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ปี 2563 | กค | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการด้านการเงิน ประกอบด้วย (๑) มาตรการสินเชื่อ และ (๒) มาตรการการขยายเวลาการชำระหนี้และค่าธรรมเนียม และการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากร ภ.ง.ด. ๙๐ และ ภ.ง.ด. ๙๑ เพื่อช่วยเหลือผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ประกอบกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่อาจส่งผลต่อสภาวะเศรษฐกิจของไทย โดยขยายระยะเวลา ๓ เดือน (ภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบมาตรการด้านภาษี จำนวน ๓ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ (๒) มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงกิจการโรงแรม และ (๓) มาตรการลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน ๒ ฉบับ และร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน ๑ ฉบับ เพื่อรองรับมาตรการลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดำเนินมาตรการด้านภาษีดังกล่าว ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการกระจายรายได้ไปสู่พื้นที่เมืองรอง รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11217 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายโครงการจัดทำพื้นที่นอนเพิ่มสำหรับผู้ต้องขัง | ยธ | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบเรื่องขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายโครงการจัดทำพื้นที่นอนเพิ่มสำหรับผู้ต้องขัง จำนวนเงิน ๑๗๘,๐๙๖,๕๕๕.๙๒ บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงยุติธรรมนำโครงการดังกล่าวเสนอคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติพิจารณาตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ (เรื่อง สถานการณ์และแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำ) ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๒. ในส่วนของการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11218 | การกำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าควบคุมปี ๒๕๖๒ เพิ่มเติม จำนวน ๔ รายการ คือ (๑) หน้ากากอนามัย (๒) ใยสังเคราะห์ Polypropylene (Spunbond) เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย (๓) ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ และ (๔) เศษกระดาษและกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11219 | การรับรองแถลงการณ์ร่วมจากการประชุมระดับอนุภูมิภาคว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย (The Sub-Regional Meeting on Counter-Terrorism) | นร08 | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับอนุภูมิภาคว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย : การรับมือกับพัฒนาการด้านยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ของผู้ก่อการร้าย (Joint Statement on Responding to Evolving Terrorist Strategies and Tactics) โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมระดับอนุภูมิภาคว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย (The Sub-Regional Meeting on Counter Terrorism and Transnational Security) ในสัปดาห์ที่ ๓ ของเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ณ เมืองสุราบายา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันของประเทศสมาชิกในการต่อต้านการก่อการร้าย ตลอดจนสอดคล้องกับนโยบายการกระชับความสัมพันธ์กับต่างประเทศและส่งเสริมบทบาทไทยในเวทีระหว่างประเทศ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11220 | ขอความเห็นชอบแผนอัตรากำลังโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - 2565 | อว | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนอัตรากำลังโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิยาลัยวลัยลักษณ์ (มวล.) สังกัดมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ จำนวน ๑,๒๖๘ อัตรา วงเงินรวม ๕๓๑,๙๔๒,๙๖๐ บาท ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เช่น (๑) แผนอัตรากำลังดังกล่าว ควรสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข และควรมีการศึกษาความต้องการสาขาแพทย์และสาขาอาชีพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในภาพรวมทั้งระบบในภาครัฐและภาคเอกชน (๒) หาก มวล. มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องบรรจุอัตรากำลังตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ก็ให้ มวล. พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของ มวล. มาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน สำหรับปีต่อ ๆ ไป ควรขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงภาระงานที่เกิดขึ้นจริง ศักยภาพในการสรรหา และความสามารถในการบรรจุอัตรากำลัง รวมถึงการพิจารณานำเงินนอกงบประมาณ (เงินรายได้ของโรงพยาบาล) มาใช้จ่ายเป็นค่าบุคลากร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสาธารณสุขในภาพรวมทั้งระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมของการกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งเภสัชกร จำนวน ๓๑๖ อัตรา ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) เพื่อให้สามารถวางระบบการบริหารอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจบริการสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศและการลงทุนในยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศ ในระยะยาว (๕-๑๐ ปี) ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนอัตรากำลังของโรงพยาบาลในครั้งต่อ ๆ ไป ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องนำแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสาธารณสุขในภาพรวมทั้งระบบและยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศ ในระยะยาว (๕-๑๐ ปี) มาพิจารณาประกอบการจัดทำแผนอัตรากำลังดังกล่าวให้เหมาะสมสอดคล้องกันด้วย
|
.....