ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 561 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 11201 - 11220 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
11201 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย พ.ศ. .... | รง | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน และร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้แก้ไขในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย ให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน ในอัตราร้อยละห้าสิบของค่าจ้างรายวัน โดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่ไม่ได้ทำงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยที่นายจ้างรับรอง หรือนายจ้างไม่ให้ทำงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย ทำให้ไม่สามารถประกอบกิจการได้ปกติ ทั้งนี้ ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน และกรณีหน่วยงานภาครัฐมีคำสั่งให้นายจ้างหยุดประกอบกิจการ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค ให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่ไม่ได้รับค่าจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน ในอัตราร้อยละห้าสิบของค่าจ้างรายวันตลอดระยะเวลาที่นายจ้างหยุดประกอบกิจการตามคำสั่ง ทั้งนี้ ไม่เกินหกสิบวัน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัย การสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับ รวมทั้งการดำเนินการวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11202 | เงินกู้จากรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค ของกระทรวงศึกษาธิการ | กค | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง มีสาระสำคัญเป็นการตอบรับข้อเสนอของรัฐบาลญี่ปุ่นในการให้กู้เงินผ่านองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) สำหรับดำเนินโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค ของกระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๙,๔๓๔ ล้านเยน ภายใต้กรอบเงื่อนไขการให้กู้เงินที่กำหนด รวมทั้งมีการกำหนดมาตรการที่รัฐบาลไทยต้องปฏิบัติ เช่น การยกเว้นภาษีอากรสำหรับเงินกู้และดอกเบี้ย และการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับโครงการฯ เป็นต้น ๑.๒ เห็นชอบร่างสัญญาเงินกู้โครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค และเห็นชอบการระบุให้ใช้อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในร่างสัญญาเงินกู้ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดใน General Terms and Conditions for Japanese ODA Loans ฉบับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ของ JICA ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจาก JICA สำหรับโครงการฯ กรอบวงเงิน ๙,๔๓๔ ล้านเยน โดยอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง และลงนามในสัญญาเงินกู้กับ JICA ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ๑.๔ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดเตรียมทำคำรับรองทางกฎหมาย (Legal Opinion) สำหรับสัญญาเงินกู้โครงการฯ ในโอกาสแรก ภายหลังจากที่ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการฯ แล้ว ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11203 | แนวทางการดำเนินการการจัดงานพระราชพิธี งานพิธี และงานจัดกิจกรรมสาธารณะต่างๆ | นร | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการป้องกัน แก้ไข และยกระดับการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อดังกล่าว โดยสร้างความตระหนักรู้เท่าทันให้แก่ประชาชน และได้เตรียมความพร้อมและดำเนินการควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดไปในวงกว้าง โดยการดำเนินการจัดงานหรือกิจกรรมใด ๆ ที่มีกลุ่มบุคคลจำนวนมากมารวมตัวกันในสถานที่เดียวกันควรงดการจัดงานหรือกิจกรรมดังกล่าว เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรค นั้น ในส่วนของการจัดงานพระราชพิธี งานพิธี และงานกิจกรรมสาธารณะต่าง ๆ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานว่า ได้จัดการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายแล้วเห็นควรกำหนดแนวทางการดำเนินการแบ่งออกได้เป็น ๓ กรณี ดังนี้
๑. การจัดงานพระราชพิธีและงานที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดให้มีขึ้นในห้วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓ ยังคงจัดได้ตามที่มีหมายกำหนดการไว้ แต่ให้มีผู้เฝ้าฯ จำนวนเท่าที่จำเป็นและเหมาะสม โดยจะจัดที่นั่งหรือที่ยืนห่างกันไม่น้อยกว่า ๑ เมตร รวมทั้งให้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด มีการตรวจวัดอุณหภูมิและสวมหน้ากากอนามัย ในการนี้ รัฐบาลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประสานงานกับสำนักพระราชวังในการดำเนินการเชิญผู้เฝ้าฯ และการจัดผังสถานที่เฝ้าฯ ๒. การจัดงานพิธีและงานกิจกรรมต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ซึ่งจะมีกลุ่มบุคคลจำนวนมากมารวมตัวอยู่ในสถานที่เดียวกัน เช่น งานสงกรานต์ งานครบรอบกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๓๘ ปี งานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา งานทำบุญตักบาตรเนื่องในเทศกาลต่าง ๆ กิจกรรมจิตอาสา ฯลฯ รัฐบาลเห็นสมควรว่าในกรณีที่สามารถงดการจัดงานพิธีและงานกิจกรรมใด ๆ ได้ให้งดเสีย และในกรณีที่ไม่สามารถงดการจัดงานพิธีหรืองานกิจกรรมดังกล่าวได้ให้เลื่อนออกไปก่อนจนกว่าสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) จะคลี่คลายไปในทางที่ปลอดภัยแล้ว ทั้งนี้ รัฐบาลจะให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องนำเสนอแผนงานมายังรัฐบาลเพื่อพิจารณาต่อไป ๓. การตกแต่งสถานที่ประดับไฟและธงเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันฉัตรมงคล วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันพระบรมราชสมภพ วันพระราชสมภพ และวันประสูติ สามารถดำเนินการได้ รวมทั้งการตั้งโต๊ะหมู่บูชาพร้อมพระบรมฉายาลักษณ์หรือพระฉายาลักษณ์ และจัดให้มีสมุดลงนามถวายพระพรไว้ในสถานที่ตั้ง โดยให้หน่วยงานและสถานที่ทำการต่าง ๆ ดำเนินการให้สมพระเกียรติ เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แต่ให้จัดมาตรการป้องกันมิให้เป็นช่องทางการรวมกลุ่มหรือเป็นความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของโรค ทั้งนี้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจะได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการในรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อแจ้งเวียนให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และผู้ที่เกี่ยวข้องทราบต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11204 | ผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 18 การประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES ครั้งที่ 71 และครั้งที่ 72 | ทส | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ [Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora (CITES)] ครั้งที่ ๑๘ และการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES ครั้งที่ ๗๑ และครั้งที่ ๗๒ ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๒ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่อยู่ในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญา CITES เช่น ช้าง แรด สัตว์ในกลุ่มแมวใหญ่ เต่าบกและเต่าน้ำจืด ลิ่น เป็นต้น ตลอดจนการปรับเปลี่ยนบัญชีชนิดพันธุ์ และการพิจารณามาตรการต่าง ๆ เกี่ยวกับการบังคับใช้อนุสัญญา โดยในส่วนของประเทศไทย ที่ประชุมฯ ได้รับทราบรายงานการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบสารสนเทศการค้าช้าง (Elephant Trade Information System : ETIS Report) ว่าประเทศไทยไม่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการค้างาช้างผิดกฎหมายอีกต่อไป เนื่องจากประเทศไทยไม่มีคดีค้างาช้างรายใหญ่และมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้นและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ประเทศไทยในฐานะภาคีอนุสัญญา CITES ยังมีพันธกิจที่จะต้องดำเนินการตามมติที่ประชุมฯ เช่น (๑) การออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดชนิดสัตว์ป่าควบคุม และประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง พืชอนุรักษ์ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงบัญชีชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าในการประชุมฯ (๒) การจัดทำรายงานเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เช่น รายงานเสือ ลิ่น การปิดตลาดการค้างาช้าง ส่งสำนักเลขาธิการ CITES ตามกำหนดเวลา (๓) การขอสงวนสิทธิ์สำหรับชนิดพันธุ์ที่พบว่ามีการค้ามากในประเทศไทยที่มีการบรรจุอยู่ในบัญชี CITES หรือปรับเลื่อนบัญชี ได้แก่ ตุ๊กแกบ้าน เต่าดาวอินเดีย เต่าแพนเค้ก และยีราฟ (๔) การขอรับจัดสรรงบประมาณในส่วนของเงินอุดหนุนการเป็นสมาชิกอนุสัญญา CITES ระยะเวลา ๓ ปีที่ถูกปรับเพิ่มขึ้น ๖,๘๑๑ ดอลลาร์สหรัฐ (๒๑๒,๗๐๗.๕๓ บาท) จากเดิม ๕๔,๙๐๑ ดอลลาร์สหรัฐ (๑,๗๑๔,๕๕๘.๒๓ บาท) เป็น ๖๑,๗๑๒ ดอลลาร์สหรัฐ (๑,๙๒๗,๒๖๕.๗๖ บาท) และ (๕) การเร่งรัดให้มีการออกพระราชบัญญัติช้าง พ.ศ. .... เพื่อจัดการและควบคุมการค้างาช้างบ้าน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายใดควบคุมในส่วนดังกล่าว และมอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้านการจัดการช้างในประเทศไทยรักษามาตรฐานการดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อตกลงตามอนุสัญญา CITES และเตรียมความพร้อมในการจัดทำฐานข้อมูลการตรวจสอบรูปพรรณและขึ้นบัญชีเสือที่อยู่ในการครอบครองของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งขยายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการตัดวงจรการค้าที่ผิดกฎหมาย เพื่อเตรียมการตอบรับการเข้าตรวจสอบจากสำนักเลขาธิการ CITES เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอให้พิจารณาโอนหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรแล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11205 | การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 ค.ศ. 2021 | กก | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ ๖ ค.ศ. ๒๐๒๑ โดยมีกำหนดการแข่งขัน จำนวน ๑๐ วัน ในช่วงปลายเดือนเมษายน ๒๕๖๔ ณ จังหวัดชลบุรี และกรุงเทพมหานคร คาดการณ์ว่าจะมีการแข่งขันทั้งหมด จำนวน ๒๑ ชนิดกีฬา จากผู้เข้าแข่งขัน ๔๖ ประเทศ โดยใช้งบประมาณจากรายได้ที่เกิดขึ้นจากการจัดการแข่งขัน จำนวน ๒๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาล จำนวน ๑,๒๔๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท ในการจัดการแข่งขันรวมทั้งสิ้น ๑,๔๘๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน โดยคำนึงถึงสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ก่อนดำเนินการต่อไปด้วย สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายหากมีความจำเป็นต้องนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีก็ให้ดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการจัดทำแผนการบริหารจัดการให้มีแหล่งรายได้อื่นและกระจายผลประโยชน์ภายในประเทศ อาทิ การสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุนการจัดการแข่งขัน และการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ รวมถึงการวางแผนจัดกิจกรรมเสริมเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศแก่กลุ่มชาวต่างชาติที่เข้าร่วมชมการแข่งขัน ตลอดจนมีการติดตามและประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ที่อาจส่งผลต่อการจัดการแข่งขันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับแผนรับมือกับความเสี่ยงดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11206 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 [การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2561] | กค | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11207 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต ขาย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 พ.ศ. .... | สธ | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต ขาย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๑ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตสำหรับหน่วยงานของรัฐที่เป็นนิติบุคคลหรือสภากาชาดไทยที่ประสงค์จะผลิต ขาย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๑ ซึ่งเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ที่ไม่ใช้ในทางการแพทย์และอาจก่อให้เกิดกรณีการนำไปใช้หรือมีแนวโน้ม่ในการนำไปใช้ในทางที่ผิดสูง เช่น ไซบูทรามีน (sibutramine) เดสออกซิพิราดรอล (desoxypipradro) และเดตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol, THC) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11208 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มระยะเวลาการพิจารณาของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ขออนุญาตทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การยกเว้นให้ผู้รับใบอนุญาตไม่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขเกี่ยวกับการกำจัดซากสัตว์น้ำและการป้องกันมิให้สัตว์น้ำที่เพาะเลี้ยงหลุดออกนอกพื้นที่เพาะเลี้ยงสำหรับสัตว์น้ำบางชนิด และแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การโอนใบอนุญาตให้สอดคล้องกับมาตรา ๔๔ แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดการประมง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ อันเป็นการจัดระเบียบกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11209 | รายงานผลการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสและระดับรัฐมนตรีแรงงานในกลุ่มประเทศ CLMTV (กัมพูชา ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนาม) | รง | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสและระดับรัฐมนตรีแรงงานในกลุ่มประเทศ CLMTV (กัมพูชา ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนาม) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๖-๑๗ กันยายน ๒๕๖๒ ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยในการประชุมฯ ได้ให้ความเห็นชอบเอกสาร จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ (๑) แถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีแรงงาน ครั้งที่ ๓ ในกลุ่มประเทศ CLMTV ว่าด้วย “การคุ้มครองแรงงานข้ามชาติในกลุ่มประเทศ CLMTV : ความร่วมมือด้านประกันสังคม” มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการขยายความคุ้มครองทางสังคมสำหรับแรงงานข้ามชาติในกลุ่มประเทศ CLMTV การปรับปรุงการเคลื่อนย้ายและคงสิทธิประกันสังคมสำหรับแรงงานข้ามชาติในกลุ่มประเทศ CLMTV รวมทั้งเห็นชอบในแผนงานเสียมราฐเพื่อจัดทำปฏิญญารัฐมนตรีแรงงานว่าด้วยการเคลื่อนย้ายและคงสิทธิประกันสังคมสำหรับแรงงานข้ามชาติในกลุ่มประเทศ CLMTV โดยได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านแรงงานประสานงานเพื่อดำเนินการตามแผนงานต่อไป และเห็นชอบการมอบหมายให้ลาวปฏิบัติหน้าที่ประธานเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านแรงงาน ครั้งที่ ๗ และการประชุมระดับรัฐมนตรีแรงงาน ครั้งที่ ๔ ในปี ๒๕๖๔ และ (๒) แผนงานเสียมราฐ เพื่อจัดทำปฏิญญารัฐมนตรีแรงงานว่าด้วยการเคลื่อนย้ายและคงสิทธิประกันสังคมสำหรับแรงงานข้ามชาติในกลุ่มประเทศ CLMTV ในการนี้ ผู้แทนไทยได้ขอสงวนการลงนามรับรองของฝ่ายไทยและจะแจ้งให้ฝ่ายกัมพูชาทราบการเห็นชอบต่อเอกสารทั้ง ๒ ฉบับ อย่างเป็นทางการภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ๒. เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีแรงงาน ครั้งที่ ๓ ในกลุ่มประเทศ CLMTV ในเรื่อง “การคุ้มครองแรงงานข้ามชาติในกลุ่มประเทศ CLMTV : ความร่วมมือด้านประกันสังคม” และแผนงานเสียมราฐ เพื่อจัดทำปฏิญญารัฐมนตรีแรงงานว่าด้วยการเคลื่อนย้ายและคงสิทธิประกันสังคมสำหรับแรงงานข้ามชาติในกลุ่มประเทศ CLMTV
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11210 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา ที่จังหวัดชุมพร | อก | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตามคำขอประทานบัตรที่ ๑/๒๕๕๙ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา ที่จังหวัดชุมพร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรมีการกำกับติดตามให้ผู้ขอประทานบัตรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานภายใต้กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ ในการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งทางด้านอุปทานและความต้องการใช้ในระยะปานกลางและระยะยาว เพื่อใช้ประกอบกับการพิจารณาความสามารถในการรองรับด้านสิ่งแวดล้อม และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรทำการศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของประเทศทั้งในภาพรวม และในเชิงพื้นที่ของแต่ละลุ่มน้ำให้ชัดเจนทั้งระดับความจำเป็นที่ต้องรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำ และความเพียงพอของพื้นที่ที่คงเหลือ พื้นที่ใดที่อยู่ในภาวะวิกฤติ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงของประเทศในภาพรวมและตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ทั้งในการให้อนุญาตทำประโยชน์ การกำกับดูแล และการฟื้นฟูต่อไป และเมื่อสามารถจำแนกพื้นที่ป่าต้นน้ำที่มีความจำเป็นต่อประเทศอย่างชัดเจนแล้ว ควรพิจารณาตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองพื้นที่ป่าต้นน้ำ เพื่อไม่ให้มีการบุกรุกหรือนำไปใช้ประโยชน์ที่ไม่เหมาะสมอีกต่อไป รวมทั้งการให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจกับประชาชนถึงการบริหารจัดการลุ่มน้ำที่มีการผ่อนผันในคราวต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11211 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท เทพอุทิศธุรกิจ จำกัด ที่จังหวัดกาญจนบุรี | อก | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อทำเหมืองแร่โดโลไมต์ ตามคำขอประทานบัตรที่ ๑/๒๕๕๓ ของบริษัท เทพอุทิศธุรกิจ จำกัด ที่จังหวัดกาญจนบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับให้บริษัท เทพอุทิศธุรกิจ จำกัด ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงสาธารณสุขเห็นควรมีการกำกับติดตามให้ผู้ขอประทานบัตรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานภายใต้กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ ในการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งทางด้านอุปทานและความต้องการใช้ในระยะปานกลางและระยะยาว เพื่อใช้ประกอบกับการพิจารณาความสามารถในการรองรับด้านสิ่งแวดล้อม และเห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของประเทศทั้งในภาพรวม และในเชิงพื้นที่ของแต่ละลุ่มน้ำให้ชัดเจนทั้งระดับความจำเป็นที่ต้องรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำ และความเพียงพอของพื้นที่ที่คงเหลือ พื้นที่ใดที่อยู่ในภาวะวิกฤติ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงของประเทศในภาพรวมและตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ทั้งในการให้อนุญาตทำประโยชน์ การกำกับดูแล และการฟื้นฟูต่อไป และเมื่อสามารถจำแนกพื้นที่ป่าต้นน้ำที่มีความจำเป็นต่อประเทศอย่างชัดเจนแล้ว ควรพิจารณาตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองพื้นที่ป่าต้นน้ำ เพื่อไม่ให้มีการบุกรุกหรือนำไปใช้ประโยชน์ที่ไม่เหมาะสมอีกต่อไป รวมทั้งการให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจกับประชาชนถึงการบริหารจัดการลุ่มน้ำที่มีการผ่อนผันในคราวต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11212 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เพชรสมุทร (1970) ที่จังหวัดเพชรบุรี | อก | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตามคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๑/๒๕๕๘ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เพชรสมุทร (๑๙๗๐) ที่จังหวัดเพชรบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด เพชรสมุทร (๑๙๗๐) ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงสาธารณสุขเห็นควรมีการกำกับติดตามให้ผู้ขอประทานบัตรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานภายใต้กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ ในการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งทางด้านอุปทานและความต้องการใช้ในระยะปานกลางและระยะยาว เพื่อใช้ประกอบกับการพิจารณาความสามารถในการรองรับด้านสิ่งแวดล้อม และเห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของประเทศทั้งในภาพรวม และในเชิงพื้นที่ของแต่ละลุ่มน้ำให้ชัดเจนทั้งระดับความจำเป็นที่ต้องรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำ และความเพียงพอของพื้นที่ที่คงเหลือ พื้นที่ใดที่อยู่ในภาวะวิกฤติ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงของประเทศในภาพรวมและตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ทั้งในการให้อนุญาตทำประโยชน์ การกำกับดูแล และการฟื้นฟูต่อไป และเมื่อสามารถจำแนกพื้นที่ป่าต้นน้ำที่มีความจำเป็นต่อประเทศอย่างชัดเจนแล้ว ควรพิจารณาตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองพื้นที่ป่าต้นน้ำ เพื่อไม่ให้มีการบุกรุกหรือนำไปใช้ประโยชน์ที่ไม่เหมาะสมอีกต่อไป รวมทั้งการให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจกับประชาชนถึงการบริหารจัดการลุ่มน้ำที่มีการผ่อนผันในคราวต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11213 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองพระยาราชมนตรี จากคลองภาษีเจริญถึงคลองสนามชัย | มท | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ดำเนินโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองพระยาราชมนตรี จากคลองภาษีเจริญถึงคลองสนามชัย และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ภายในวงเงิน ๖,๑๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองพระยาราชมนตรี จากคลองภาษีเจริญถึงคลองสนามชัย ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-พ.ศ. ๒๕๖๘) ภายในวงเงิน ๖,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณ จำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๖๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕-พ.ศ. ๒๕๖๘ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และกรุงเทพมหานครสมทบอีก จำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ ค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ระยะเวลาดำเนินการ ๗ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-พ.ศ. ๒๕๗๐) ภายในวงเงิน ๑๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณ จำนวน ๖๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๒๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕-พ.ศ. ๒๕๗๐ จำนวน ๓๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท และกรุงเทพมหานครสมทบอีก จำนวน ๖๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น ในการดำเนินการก่อสร้างควรคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งปลูกสร้างและชุมชนที่ตั้งอยู่ใกล้ชิดติดแนวคลอง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11214 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าก่อสร้าง ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ | มท | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างศาลากลางจังหวัดภูเก็ต พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ จากวงเงินเดิม ๔๗๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๔๘๕,๕๑๙,๖๔๘ บาท และอนุมัติให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๑ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๕ ตามนัยระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๗ (๓) โดยค่าก่อสร้างที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๖๘,๑๓๔,๕๐๐ บาท ให้ปรับแผนการปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรองรับค่างานก่อสร้างดังกล่าวตามความจำเป็น ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป จำนวน ๑๒๗,๘๖๕,๕๐๐ บาท ขอให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่ายภายในปีงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ สำหรับกรณีการยกเลิกสัญญาการก่อสร้างดังกล่าวซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ เห็นควรที่สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยจะพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ ข้อสัญญา และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้รับจ้างอย่างเคร่งครัดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. การดำเนินการแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้หน่วยงานในสังกัดถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) ที่กำหนดให้ในขั้นตอนการริเริ่มโครงการ ให้ส่วนราชการตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการนั้น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้อง ครบถ้วนในทุกมิติก่อนอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11215 | ผลการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 11 | กต | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๑ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี โดยนายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมฯ ร่วมกับผู้นำประเทศสมาชิกอื่น ๆ ได้แก่ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่ปรึกษาแห่งรัฐสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยที่ประชุมฯ ได้ทบทวนความคืบหน้าของการดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. ๒๐๑๘ เพื่อความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ที่ได้รับการรับรองในการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๐ ที่กรุงโตเกียว เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ รวมทั้งหารือทิศทางความร่วมมือในอนาคต และประเด็นภูมิภาคที่มีผลกระทบต่อสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค และได้ร่วมรับรองเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ (๑) ถ้อยแถลงร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๑ ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้นำประเทศสมาชิกในการขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น และ (๒) ข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุม นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ยืนยันความมุ่งมั่นที่จะกระชับความร่วมมือกับประเทศลุ่มน้ำโขงเพื่อให้การดำเนินโครงการต่าง ๆ มีผลเป็นรูปธรรม เช่น การพัฒนาความเชื่อมโยงทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ และอุตสาหกรรม การพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ส่วนนายกรัฐมนตรีของไทยได้เสนอข้อคิดเห็นเพื่อการขับเคลื่อนความร่วมมือ โดยย้ำความพร้อมของไทยที่จะร่วมมือกับญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิดในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาของแผนแม่บทยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ ตามระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ และในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องตามผลการประชุมฯ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับ (๑) การดำเนินงานภายใต้ “Joint Crediting Mechanism (JCM)” จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศตามที่ได้ประกาศไว้ใน Nationally Determined Contribution (NDC) และ (๒) ข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ (Mekong-Japan Initiative for SDGs Toward 2030) ในประเด็นการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควรคำนึงถึงการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสร้างภูมิต้านทานและขีดความสามารถในการปรับตัวต่ออันตรายและภัยพิบัติทางธรรมชาติ การบูรณาการมาตรการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในนโยบายและยุทธศาสตร์ และการสร้างความตระหนักรู้เพื่อลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปรับตัว การลดผลกระทบและการเตือนภัยล่วงหน้า ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11216 | ผลการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 | กต | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งที่ประชุมฯ ได้ทบทวนความคืบหน้าของกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-สาธารณรัฐเกาหลี และติดตามผลของการดำเนินการตามปฏิญญาแม่น้ำฮัน เพื่อสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนที่ครอบคลุมเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี และแผนปฏิบัติการกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-สาธารณรัฐเกาหลี และได้ร่วมรับรองปฏิญญาแม่น้ำโขง-แม่น้ำฮัน ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ โดยได้กำหนดทิศทางความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-สาธารณรัฐเกาหลีในอนาคต และปรับสาขาความร่วมมือให้สอดคล้องกับนโยบายมุ่งใต้ใหม่ของสาธารณรัฐเกาหลีและกระแสความเปลี่ยนแปลงในภูมิภาค รวมทั้งประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีได้ยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันในการขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือดังกล่าวกับประเทศสมาชิก โดยได้ประกาศเพิ่มการสนับสนุนกองทุนความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี (Mekong-ROK Cooperation Fund : MKCF) ในปี ๒๕๖๓ และร่วมสนับสนุนงบประมาณด้วย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอ ๓ ประเด็นสำคัญที่สอดคล้องกับนโยบายมุ่งใต้ใหม่ ได้แก่ (๑) ประชาชน เสนอตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนนักศึกษาของประเทศลุ่มน้ำโขงในสาธารณรัฐเกาหลี ๒ เท่า เป็น ๘๐,๐๐๐ คน ภายใน ๕ ปี (๒) ความเจริญรุ่งเรือง เสนอให้ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์การพัฒนา SMEs ของสาธารณรัฐเกาหลีให้เข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าโลกมาเป็นแบบอย่างในการเพิ่มมูลค่าให้กับ SMEs ของลุ่มน้ำโขง และ (๓) สันติภาพ โดยรับทราบถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น รวมทั้งได้เสนอให้มีการใช้เทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศของสาธารณรัฐเกาหลีในการพยากรณ์น้ำในระยะยาว เพื่อการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำโขงด้วย และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาชนบทและเกษตรกรรม โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สิ่งแวดล้อม ความท้าทายต่อความมั่นคงรูปแบบใหม่ การจัดตั้งสภาธุรกิจกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-สาธารณรัฐเกาหลี การส่งเสริม MSMEs และการสอดประสานความร่วมมือกับกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคอื่น ๆ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11217 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ครั้งที่ 1/2563 | นร | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญประกอบด้วย (๑) มาตรการด้านการเงินการคลัง ได้แก่ มาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ มาตรการกระตุ้นการลงทุนผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการขจัดอุปสรรคในกระบวนการก่อหนี้เพื่อสนับสนุนการลงทุนของภาครัฐ (๒) มาตรการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน ได้แก่ มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเร่งรัดให้เกิดการลงทุนและมีโครงการลงทุนใหม่เกิดขึ้น มาตรการสร้างความเชื่อมโยงสู่เศรษฐกิจฐานรากเพื่อสนับสนุนให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเศรษฐกิจในระดับฐานราก (๓) การเร่งรัดการลงทุนภาครัฐ โดยการเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ ได้แก่ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม การลงทุนด้านพลังงาน การจัดการทรัพยากรน้ำ และ (๔) แผนการเจรจาการค้าระหว่างประเทศของประเทศไทย เป็นการรายงานความก้าวหน้าการทำความตกลงทางการค้า และสถานะการทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ของไทย และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงานดำเนินการตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าการลงทุนต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าการลงทุนเสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการเพื่อขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ให้คำนึงถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน ความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่ หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยคำนึงถึงความโปร่งใส และมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมจากการดำเนินโครงการ รวมถึงดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11218 | ร่างกฎกระทรวงความปลอดภัยในการดำเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย พ.ศ. .... | อว | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงความปลอดภัยในการดำเนินงานสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับความปลอดภัยในการดำเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย โดยกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามร่างกฎกระทรวงนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นคงและปลอดภัยต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานตามข้อกฎหมายได้อย่างถูกต้อง เมื่อกฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11219 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดียของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนเมืองเบงกาลูรู และเมืองไฮเดอราบัด สาธารณรัฐอินเดีย ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยคณะ ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๐ มกราคม ๒๕๖๓ เพื่อหารือและเจรจาการค้าระหว่างเครือข่ายธุรกิจภาคเอกชนและผู้แทนรัฐบาลท้องถิ่นในการเร่งผลักดันการส่งออกสินค้าและธุรกิจบริการของไทยสู่ตลาดอินเดีย ซึ่งการเดินทางครั้งนี้เป็นการขยายผลสำเร็จจากการเดินทางเยือนอินเดีย (มุมไบ-เจนไน) เมื่อวันที่ ๒๔-๒๘ กันยายน ๒๕๖๒ ทั้งนี้ จากการเจรจาการค้าครั้งนี้ได้นำไปสู่แผนดำเนินการเร่งด่วน ได้แก่ (๑) การกำหนดหัวข้อและประเด็นความร่วมมือหรือการแก้ไขปัญหาอุปสรรคการค้าด้านต่าง ๆ ในการจัดทำความตกลงระหว่างกระทรวงพาณิชย์และรัฐเตลังคานา (๒) การปรับแก้ไขพิกัดภาษีศุลกากรของฝ่ายไทยและอินเดียให้มีความสอดคล้องตรงกัน เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางภาษีได้มากยิ่งขึ้น (๓) การจัดคณะผู้แทนการค้าอินเดียรายสำคัญในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับไม้ยางพาราเข้าร่วมกิจกรรมเจรจาการค้ากับผู้ประกอบการไทย และ (๔) การแลกเปลี่ยนเชฟไทยและอินเดียในการฝึกอบรมการปรุงอาหารของแต่ละฝ่าย โดยอาจเริ่มต้นจากร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ในอินเดีย เพื่อให้อาหารไทยได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคอินเดียในระยะยาวต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11220 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2562 | ทส | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ ๗/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กก.วล. มีมติรับทราบรายงานสถานภาพการเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม ณ สิ้นไตรมาส ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ มีสถานะเงินคงเหลือสุทธิ จำนวน ๒,๑๐๕.๖๘ ล้านบาท ๒. กก.วล. มีมติเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EIA) จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และศูนย์สำรวจและเฝ้าระวังชายฝั่ง [ภายใต้โครงการจ้างที่ปรึกษา ศึกษา ทบทวนความเหมาะสม และผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร] ของสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร (๒) รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และ (๓) รายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร (ส่วนช่องนนทรี-สาทร) : กรณีปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้าสะพานตากสิน (S6) ของสำนักงานการจราจรและขนส่ง กรุงเทพามหานคร ๓. กก.วล. มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการติดตามการพัฒนาฐานข้อมูลลายนิ้วมือน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย ภายใต้ กก.วล. และเห็นชอบองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ๔. กก.วล.มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ และเห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์
|
.....