ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 563 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 11241 - 11260 จากข้อมูลทั้งหมด 124002 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
11241 | ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดชนิดและแหล่งกำเนิดวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในโรงงาน พ.ศ. .... | อก | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดชนิดและแหล่งกำเนิดวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในโรงงาน พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการห้ามมิให้โรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานใช้ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หรือเศษ (ไม่รวมเศษจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า) อันเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ มาเป็นวัตถุดิบในโรงงาน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11242 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็น สำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสำหรับงานโครงสร้างทั่วไปต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11243 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐาน รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรววงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์แรงดันไฟฟ้าที่กำหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือกสำหรับงานทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....) | อก | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐาน รวม ๓ ฉบับ เพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจของประเทศ และสอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการใช้งานในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กำหนดไม่เกิน ๔๕๐/๗๕๐ โวลต์ เล่ม ๑๐๑ สายไฟฟ้ามีเปลือกสำหรับงานทั่ว่ไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กำหนด ๔๕๐/๗๕๐ โวลต์ เล่ม ๑๐๑ สายไฟฟ้ามีเปลือกสำหรับงานทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนสำหรับงานถังก๊าซ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานถังก๊าซ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11244 | การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหารและสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ 27 | ดศ | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ประเทศไทยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหาร (Council of Administration : CA) และสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ (Postal Operations Council : POC) ในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ (Universal Postal Union : UPU) สมัยที่ ๒๗ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการขอเสียงและแลกเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกของ UPU ในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก CA และ POC ของประเทศไทย ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเห็นควรให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ประกาศใช้บังคับแล้ว รวมถึงพิจารณานำเงินนอกงบประมาณไปดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11245 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาววันเพ็ญ นิโครวนจำรัส) | พณ | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาววันเพ็ญ นิโครวนจำรัส ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11246 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 พ.ศ. .... | คค | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ ๒ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ ๒ ต่อจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๓๐ เป็นสะพานที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพาน กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานตามประเภทของยานยนตร์ และกำหนดประเภทของยานยนตร์ที่ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ ๒ ควรคำนึงถึงต้นทุนค่าขนส่ง รวมถึงต้นทุนสินค้าของผู้ประกอบการไทยยังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ และควรให้มีการหารือกับผู้ประกอบการในพื้นที่ด้วย รวมทั้งเห็นควรให้คณะกรรมาธิการบริหาร บำรุงรักษา และการใช้สะพาน และหน่วยบำรุงรักษาสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ ๒ เร่งพิจารณาขยายขอบเขตของความตกลงการบริหาร การบำรุงรักษาและการใช้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ ๒ ให้ครอบคลุมถึงการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงบนสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ ๑ พร้อมทั้งพิจารณากำหนดให้มีการใช้ประโยชน์สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ ๑ และ ๒ ภายใต้แนวคิดการแยกคนและสินค้าออกจากกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์สะพานทั้ง ๒ แห่ง ได้อย่างคุ้มค่าและสามารถรองรับปริมาณการเดินทางและขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนไทย-เมียนมา ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11247 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี พ.ศ. .... | คค | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๘๑ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางหลวงพิเศษหมายเลข ๘๑ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี เป็นทางหลวงที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวง โดยกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมตามประเภทของยานยนตร์ กำหนดให้มีการปรับอัตราค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นทุก ๕ ปี และให้มีผลใช้บังคับนับแต่วันที่อธิบดีกรมทางหลวงประกาศกำหนด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนที่เห็นว่า การกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม กรมทางหลวงจะดำเนินการจัดเก็บได้ต่อเมื่อทางหลวงหมายเลข ๘๑ เปิดใช้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว จึงควรคำนึงถึงความเหมาะสมและสภาพเศรษฐกิจและสังคมในขณะนี้ด้วย รวมทั้งควรพิจารณากำหนดกลไกการปรับอัตราค่าธรรมเนียมผ่านทางที่เหมาะสมในทุก ๆ ๕ ปี เพื่อลดความเสี่ยงทางด้านรายได้และค่าใช้จ่ายของโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตลอดจนควรมีการบริหารจัดการบัญชีเงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทางให้มีความเพียงพอต่อการจ่ายค่าตอบแทนให้กับเอกชนตามกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11248 | ขออนุมัติแก้ไขชื่อตำบลของสถานที่ก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด | ปช | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแก้ไขชื่อตำบลของสถานที่ก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสุโขทัย และอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดหนองบัวลำภู ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้
๑. ค่าก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสุโขทัย พร้อมอาคารชุดพักอาศัย บ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จาก ตำบลบ้านกล้วย อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย แก้ไขเป็น ตำบลปากแคว อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ๒. ค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสุโขทัย พร้อมอาคารชุดพักอาศัย บ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จาก ตำบลบ้านกล้วย อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย แก้ไขเป็น ตำบลปากแคว อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ๓. ค่าก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดหนองบัวลำภู และสิ่งก่อสร้างประกอบ จาก ตำบลหนองบัว อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู แก้ไขเป็น ตำบลลำภู อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู ๔. ค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดหนองบัวลำภู และสิ่งก่อสร้างประกอบ จาก ตำบลหนองบัวลำภู อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู แก้ไขเป็น ตำบลลำภู อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11249 | การรับรายงานผลดำเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต | ปปท. | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ท. ทำหน้าที่ประสานงานและร่วมมือกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐอื่นเกี่ยวกับการรับเรื่องร้องเรียนหรือพบเหตุอันควรสงสัยว่าข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดกระทำการหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบ รวมทั้งการตรวจสอบ เร่งรัด ติดตามการดำเนินงานของหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ ให้เป็นไปตามนัยมาตรา ๕๑ (๒) และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ ให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของแต่ละหน่วยงานมีหน้าที่ในการรายงานผลการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐซึ่งอยู่ในสังกัดหรือกำกับ (ประกอบด้วย ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชน) ไปยังสำนักงาน ป.ป.ท. ตามรูปแบบวิธีการที่สำนักงาน ป.ป.ท. กำหนดด้วย ๒. ให้สำนักงาน ป.ป.ท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณ เช่น (๑) การกำหนดรูปแบบ วิธีการ และลักษณะข้อมูลของการรายงานผลการดำเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบ ควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการรายงานผลฯ และควรจัดเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็น โดยอยู่ภายใต้กฎหมาย กฎ และระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยควรชี้แจงหรือประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานเจ้าของข้อมูลเข้าใจและสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง และ (๒) ระบบติดตามการดำเนินวินัย ปกครอง ตามโครงการบูรณาการฐานข้อมูลการป้องกันและปราบปรามการทุจิต ควรคำนึงถึงการใช้งานที่สะดวก เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน มีความยืดหยุ่น ตอบสนองความต้องการผู้ใช้งาน เป็นระบบที่มีความมั่นคงปลอดภัยทางเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มีชั้นความลับ และออกแบบให้หน่วยงานเจ้าของข้อมูลเป็นผู้ดำเนินการกรอกข้อมูลเองทั้งหมด เพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาด รวมทั้งสามารถนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มาผ่านกระบวนการวิเคราะห์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ในการบูรณาการฐานข้อมูลหรือการตัดสินใจ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. มอบหมายให้สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาพรวมทั้งหมด และนำข้อมูลในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ไปดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้ถูกต้อง ชัดเจน และทั่วถึงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11250 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 11/2562 | สกพอ | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๒ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติในเรื่องสำคัญ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนการส่งมอบพื้นที่และรื้อย้ายสาธารณูปโภค โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ท่าอากาศยานดอนเมือง-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ท่าอากาศยานอู่ตะเภา) และกรอบวงเงิน ๔๗๙.๐๕๕ ล้านบาท สำหรับการดำเนินงานรื้อย้ายเพื่อเปิดพื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ ช่วงดอนเมือง-พญาไท และช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา รวมทั้งสิ้น ๖๕๒ จุด ดำเนินการแล้วเสร็จภายใน ๒๔ เดือน ทั้งนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการภายใต้กำกับของกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) จะดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณจากงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ เห็นชอบการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล และคณะกรรมการบริหารสัญญาและโครงสร้างการบริหารจัดการโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ โดยให้มีผลเมื่อมีการประกาศใช้ประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ ฉบับที่ได้มีการปรับปรุงข้างต้นแล้ว ๑.๓ เห็นชอบการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษ : การแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) เพื่อพัฒนาและเตรียมพื้นที่รองรับการลงทุนจากภาคเอกชนในด้านการแพทย์จีโนมิกส์ (คาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนไม่ต่ำกว่า ๑,๒๕๐ ล้านบาท) ซึ่งจะเป็นการสร้างความรู้ทางการแพทย์จีโนมิกส์ที่จำเป็นให้แก่ประเทศ โดยการใช้ฐานข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อนำไปสู่การรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ และจะนำไปใช้ในระบบหลักประกันสุขภาพเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงการรักษาได้อย่างทั่วถึง ๑.๔ เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Thailand Genome Sequencing Center) โดยให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการฯ และจะมีการว่าจ้างผู้ประกอบการให้บริการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม (Whole Genome Sequencing : WGS) ของประชากรไทย จำนวน ๕๐,๐๐๐ ราย รวมถึงการเห็นชอบกรอบวงเงิน ๗๕๐ ล้านบาท จากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อซื้อบริการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ในการส่งมอบพื้นที่และรื้อย้ายสาธารณูปโภคเพื่อดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินควรเร่งรัดให้แล้วเสร็จตามแผน และคำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะมีต่อประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งควรประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาโครงการฯ ให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11251 | ผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 1/2562 และ 2/2562 | นร11 | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ ระหว่างวันที่ ๔-๕ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงซันติอาโก สาธารณรัฐชิลี และครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองปัวโตวาราส สาธารณรัฐชิลี มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการขับเคลื่อนและพัฒนางานด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยที่สำคัญ เช่น การยกระดับคุณภาพและการเข้าถึงบริการภาครัฐของประชาชนผ่านการใช้เทคโนโลยีเพื่อนำไปสู่รัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่องในอนาคต การปฏิรูปด้านกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมความสะดวกในการประกอบธุรกิจ การคุ้มครองผู้บริโภค การปฏิรูปเพื่อเพิ่มธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการดำเนินงานภาครัฐ เป็นต้น และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปคต่อไป โดยให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติติดตามการขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างของไทย และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอประเด็นการขับเคลื่อนปฏิรูปโครงสร้างที่ควรให้ความสำคัญในอนาคต ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. เพื่อให้การเสนอรายงานผลการประชุมที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือที่เกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทยสามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างของประเทศไทยได้ทันต่อสถานการณ์ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผลการประชุมต่าง ๆ ต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11252 | มาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ | ทส | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบการดำเนินงานในลักษณะงานบูรณาการร่วมกันในการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ ซึ่งใช้แนวทางการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากอากาศยานอย่างสมดุลที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ได้เสนอ ประกอบกับมาตรการจัดการมลพิษอากาศและเสียงจากท่าอากาศยานที่ได้จัดทำในปี ๒๕๔๗ ประกอบด้วย ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการการนำแผนที่เส้นเท่าระดับเสียงไปใช้ในการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยรอบสนามบิน (๒) มาตรการการจัดการผลกระทบด้านเสียงจากอากาศยานและวิธีปฏิบัติการบิน (๓) มาตรการการพัฒนาเครื่องมือในการบริหารจัดการมลพิษทางเสียงและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน และ (๔) มาตรการการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและเผยแพร่ข้อมูลการจัดการเสียงสนามบิน และมอบหมายกระทรวงคมนาคม กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11253 | ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | กค | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ตามที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานอัยการสูงสุด และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น รฟม. การเร่งดำเนินการปรับปรุงแก้รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว การดำเนินโครงการฯ จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ การกำหนดรูปแบบการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการฯ ต้องมีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด การพิจารณาความเหมาะสมในการจำกัดอัตราค่าโดยสารสูงสุดของโครงการฯ กำหนดเงื่อนไขร่างขอบเขตการดำเนินงาน (TOR) ให้มีการจัดหารถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น และการดำเนินโครงการฯ ไม่ควรใช้เงินกู้เป็นเงินร่วมลงทุนเพราะจะทำให้เกิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยของเอกชน โดยเห็นควรให้ใช้รูปแบบการลงทุนที่ภาครัฐลงทุนค่าก่อสร้างงานโยธาเองเนื่องจากมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่ากรณีให้เอกชนร่วมลงทุนงานโยธา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งการสนับสนุนค่างานโยธาให้เอกชน ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. เร่งรัดการดำเนินการจัดทำร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเวนคืนของโครงการฯ ส่วนตะวันตก ให้แล้วเสร็จและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนโดยเร็ว และดำเนินกระบวนการคัดเลือกเอกชนที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ ส่วนตะวันตก รวมทั้งจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีการเปิดให้บริการโครงการฯ ล่าข้า (Time Overrun) และความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่รัฐอาจจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในการดูแลงานที่แล้วเสร็จ (Care of Work) ของโครงการฯ ส่วนตะวันออก เนื่องจากไม่สามารถเปิดให้บริการได้ทันตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ๔. ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแผนการบริหารจัดการงบประมาณเพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในภาพรวมให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงความจำเป็นในการจัดสรรงบประมาณอย่างเพียงพอเพื่อชำระคืนค่างานโยธาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับโครงการร่วมลงทุนที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติไว้แล้ว เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง เป็นต้น เนื่องจากภาครัฐจะต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนค่างานโยธาของโครงการเหล่านี้ให้แก่เอกชนในห้วงระยะเวลาที่คาบเกี่ยวกัน รวมทั้งให้พิจารณาหาแหล่งเงินทุนอื่น ๆ ที่เหมาะสมเพื่อรองรับการดำเนินโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในอนาคตเพื่อช่วยลดภาระงบประมาณภาครัฐด้วย ๕. ในการดำเนินการใด ๆ ในทุกขั้นตอน ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11254 | สถานการณ์และแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำ | ยธ | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสถานการณ์และแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำ มีสาระสำคัญครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น สถานการณ์จำนวนผู้ต้องขังในประเทศไทย ที่ปัจจุบันมีผู้อยู่ในเรือนจำทั่วประเทศ จำนวน ๓๗๔,๐๕๒ คน (ข้อมูล ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒) รวมถึงผู้ต้องราชทัณฑ์ จำนวน ๓๖๔,๔๘๘ คน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องราชทัณฑ์ที่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติด/สารระเหย (๒๘๘,๖๔๘ คน) และสถานการณ์ความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศเกี่ยวกับพื้นที่เรือนจำนอนของผู้ต้องขังที่เกินความจุที่เรือนจำรองรับผู้ต้องขังได้ (เกินประมาณ ๑๑๕,๖๙๘ คน) ส่งผลให้เกิดปัญหาความแออัดในเรือนจำ เป็นต้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานกิจการยุติธรรม) นำสถานการณ์และแนวทางการแก้ปัญหาการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำไปพิจารณาทบทวนร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงบประมาณ เป็นต้น เพื่อกำหนดแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำให้เหมาะสมและชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเพื่อบูรณาการการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพ โดยให้นำความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น ควรให้มีการพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยให้มีประสิทธิภาพ ควรให้มีการศึกษาและทบทวนการจำแนกและคัดกรองผู้ต้องขังชั้นดีที่จะให้ได้รับการลดโทษ พักโทษให้มีความรัดกุม ควรกำหนดแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำในระยะยาว และควรให้จัดหาเครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) ด้วยความรอบคอบชัดเจน ทั้งคุณลักษณะ ประสิทธิภาพการใช้งาน ปริมาณที่เหมาะสมกับการใช้งาน เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติพิจารณาเพื่อให้การดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวสอดคล้องเป็นไปตามแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11255 | ขอความเห็นชอบแนวทางการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการ | พม | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการ จากจำนวน ๘๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน เป็นจำนวน ๑,๐๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน ในเบื้องต้นเฉพาะคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณผ่านกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม และให้ถือว่าเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของหน่วยรับงบประมาณดังกล่าว เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการให้กับผู้พิการ หรือผู้ด้อยโอกาสด้านอื่น ๆ อาจพิจารณาระดับความจำเป็นในการรับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้วย อาทิ ฐานะทางเศรษฐกิจของผู้พิการฯ เป็นต้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้งบประมาณและไม่เป็นภาระผูกพันงบประมาณที่มากเกินไปในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๘ วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๙ วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๐ และวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เช่น (๑) ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การออกแบบอาคารเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คนพิการ (๒) ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดทำบัญชีคนพิการ โดยแยกประเภทตามความพิการ คุณวุฒิเฉพาะด้านของคนพิการ เพื่อให้ส่วนราชการใช้เป็นข้อมูลในการจ้างคนพิการในหน่วยงานของรัฐ และ (๓) ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำหนดเป้าหมายการรับคนพิการเข้าทำงานในแต่ละภาคส่วนให้ชัดเจน เป็นต้น เพื่อให้คนพิการได้เข้าสู่ระบบการจ้างงานและได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่าง ๆ ครบถ้วนและเหมาะสมด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข บูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านอื่น ๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11256 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ (จำนวน 3 ราย 1. นายถวัลย์ วรรณกิจมงคล ฯลฯ) | มท | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ จำนวน ๓ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ มกราคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายถวัลย์ วรรณกิจมงคล ๒. นางสาวบุหงา โพธิ์พัฒนชัย ๓. นางพอตา ยิ้มไตรพร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11257 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง | นร | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง จำนวน ๕ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ มกราคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดองเสนอ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓ คน เป็นกรรมการ ได้แก่ ๑.๑ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายอุตตม สาวนายน) ๑.๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา) ๒. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒ คน ได้แก่ ๒.๑ นายกฤษฎา บุญราช ๒.๒ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11258 | มาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563 | กค | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดค่าตอบแทนกรรมการในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และคณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแต่งตั้ง โดยให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือนเฉพาะเดือนที่มาร่วมประชุม และให้ได้รับค่าตอบแทนตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจครบถ้วนเมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน หรือที่ได้รับจัดสรรตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11259 | การมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราช กฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 | นร05 | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา เช่น พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11260 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายโวสิต วรทรัพย์) | กต | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายโวสิต วรทรัพย์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไปเพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
.....