ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 503 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 10041 - 10060 จากข้อมูลทั้งหมด 124251 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
10041 | ขออนุมัติปรับแผนการดำเนินงานทุนพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) | ศธ. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการปรับแผนการดำเนินงานทุนพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(พสวท.) พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ในประเด็นต่าง ๆ
ซึ่งเป็นการปรับปรุงรายละเอียดจากแผนการดำเนินงานทุน พสวท. พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙
ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔) อนุมัติในหลักการไว้แล้ว เช่น
ปรับการสรรหานักเรียนที่มีความสามารถพิเศษเข้ารับทุน พสวท.
โดยให้นักเรียนที่สอบคัดเลือกได้สามารถเลือกศึกษาในโรงเรียนที่เป็นศูนย์ พสวท.
หรือในโรงเรียนอื่นที่มีศักยภาพสูงเทียบเท่ามาตรฐานโรงเรียนที่เป็นศูนย์ พสวท.
ก็ได้ ปรับจำนวนทุนการศึกษาต่อปี
โดยลดจำนวนทุนการศึกษาในประเทศและเพิ่มจำนวนทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ
ปรับเพิ่มทุนการศึกษาส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวเนื่องจากปัจจุบันค่าครองชีพต่าง
ๆ สูงขึ้น เป็นต้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยในส่วนของทุนการศึกษา
(ส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว) และหลักเกณฑ์การดูแลจัดการศึกษาที่เกี่ยวข้อง
ให้กระทรวงศึกษาธิการ [สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)] หารือร่วมกับสำนักงาน ก.พ. ในรายละเอียด ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.
สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานทุน พสวท. ให้กระทรวงศึกษาธิการ
โดย สสวท. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น
ควรให้ความสำคัญในกลไกการติดตามและประเมินผลอย่างใกล้ชิด
ควรมีกลไกในการสนับสนุนให้ผู้สำเร็จการศึกษาทุน พสวท. สร้างสรรค์ผลงาน องค์ความรู้
เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ ควรมีการจัดทำฐานข้อมูลผู้สำเร็จการศึกษาด้วยทุน
พสวท. ในสาขาวิชาต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐได้รับทราบและแจ้งความต้องการกำลังคนคุณภาพดังกล่าว
และควรบูรณาการการให้ทุนระดับอุดมศึกษากับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ในระยะต่อไป
หากกระทรวงศึกษาธิการ โดย สสวท.
มีความจำเป็นต้องปรับปรุงรูปแบบและเงื่อนไขของแผนการดำเนินงานทุน พสวท.
ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สสวท. หารือร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติก่อนนำเสนอคณะกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณา
แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการ
โดย สสวท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการทุนด้านวิทยาศาสตร์พิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหานักเรียนทุนสละสิทธิ์การขอรับทุนก่อนสำเร็จการศึกษา
รวมทั้งแนวทางในการจูงใจให้บุคลากรที่สำเร็จการศึกษาแล้วปฏิบัติงานด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมทั้งในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกันเพื่อดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10042 | ขออนุมัติจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
จัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของ รฟท. (เบื้องต้นจะใช้ชื่อว่า บริษัท
รถไฟพัฒนาสินทรัพย์ จำกัด) ทุนจดทะเบียน ๒๐๐ ล้านบาท ตามมาตรา ๓๙ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ และตามขั้นตอนของหลักเกณฑ์การจัดตั้ง/ร่วมทุนในบริษัทในเครือ
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ โดยให้นำความเห็นตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ไปประกอบการดำเนินการอย่างเคร่งครัด ๑.๒ ให้ รฟท. กู้ยืมเงิน จำนวน ๒๐๐ ล้านบาท
ตามมาตรา ๓๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
เพื่อนำมาลงทุนเป็นทุนจดทะเบียนในบริษัทลูกฯ โดย รฟท. รับภาระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย
และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน และกระทรวงการคลังค้ำประกันการกู้เงิน
รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม
สำหรับการขอยกเว้นการคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ให้แก่ รฟท.
พิจารณาดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังที่ให้ รฟท.
จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม
โดย รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เช่น (๑) การพิจารณากำหนดแนวทางที่เหมาะสมสำหรับสัญญาเช่าของหน่วยงานรัฐ
ซี่งไม่ได้มีวัตถุประสงค์การใช้พื้นที่ในเชิงพาณิชย์ และ (๒) ให้ รฟท.
เร่งจัดทำบัญชีทรัพย์สินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และกำหนดแนวทางในการนำผลตอบแทนที่ได้รับจากบริษัทลูกฯ มาชำระหนี้ของ รฟท. ต่อไป
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคม
และ รฟท. ร่วมกันจัดทำรายละเอียดของแผนการดำเนินงานของบริษัทลูกฯ ที่ชัดเจนเป็นระบบ
และกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดการดำเนินงานของบริษัทลูกฯ
ที่ครอบคลุมปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Key Success Factors) ที่สอดคล้องกับระดับการเติบโตของบริษัทลูกฯ ในแต่ละช่วงเวลา
เพื่อให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งบริษัทลูกฯ
รวมทั้งให้เร่งรัดการดำเนินการจัดตั้งบริษัทเดินรถและบริษัทซ่อมบำรุงรางและล้อเลื่อนตามแผนการขนส่งทางรางที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ [ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง)
และร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. ....] ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10043 | การลงทุนโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park | อก. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการลงทุนโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม
Smart Park ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๑,๓๘๓.๗๖ ไร่
โดยมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์
กลุ่มอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล และกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์
โดยคาดว่าจะใช้เวลาพัฒนาพื้นที่ประมาณ ๓ ปี และคาดว่าพื้นที่จะถูกเช่าหมดภายใน ๔
ปี หลังจากการก่อสร้างแล้วเสร็จ ทั้งนี้ กนอ. แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ กนอ.
อยู่ระหว่างการพิจารณากำหนดอัตราค่าเช่าพื้นที่ โดยเบื้องต้นจะกำหนดในอัตราที่ใกล้เคียงกับนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
ซึ่งในปัจจุบันมีผู้เช่าพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดแล้วประมาณร้อยละ ๘๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กนอ. ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อมในบริเวณโดยรอบโครงการฯ
และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตาม
ตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
การพัฒนาพื้นที่จะต้องมีการบริหารจัดการน้ำอย่างเพียงพอสำหรับทุกภาคส่วนเพื่อป้องกันผลกระทบต่อประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10044 | ร่างพิธีสารแก้ไขข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน (Protocol To Amend the Asean Mutual Recognition Arrangement on Tourism Professionals) และภาคผนวกมาตรฐานสมรรถนะขั้นพื้นฐานสำหรับบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน | กก. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพิธีสารแก้ไขข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน
(Protocol To Amend the Asean Mutual Recognition Arrangement on
Tourism Professionals) และภาคผนวกมาตรฐานสมรรถนะขั้นพื้นฐานสำหรับบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขข้อ ๒.๑ และภาคผนวกของข้อตกลงร่วมฯ
เกี่ยวกับมาตรฐานสมรรถนะขั้นพื้นฐานของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียนครอบคลุมตามรายการในภาคผนวก
โดยเพิ่มสาขาไมซ์และสาขาการจัดกิจกรรมในภาคผนวกของพิธีสารฯ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการเปิดเสรีด้านการค้าบริการ
ด้านการท่องเที่ยวและการจัดประชุมในกรอบอาเซียนมากยิ่งขึ้น
อันจะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายบุคลากรด้านการท่องเที่ยวสาขาไมซ์และสาขาการจัดกิจกรรมระหว่างประเทศอาเซียนได้อย่างเสรีขึ้น
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ
ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน
๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และเมื่อลงนามแล้ว ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาส่งพิธีสารฯ
ดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๓.
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาลงนามในร่างพิธีสารฯ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันสารหรือสารของพิธีสารแก้ไขข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน
ให้แก่เลขาธิการอาเซียน เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบพิธีสารดังกล่าวแล้ว ๕.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวทางเตรียมความพร้อมรองรับผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในด้านการท่องเที่ยวสำหรับอุตสาหกรรมไมซ์
โดยการสร้างความร่วมมือให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการศึกษา สถาบันฝึกอบรม
สถาบันเฉพาะทางและสถานประกอบการ
เพื่อนำไปสู่การจัดทำกรอบแนวทางการฝึกอบรมและทดสอบสมรรถนะของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียนสำหรับสาขาไมซ์และสาขาการจัดกิจกรรม
รวมทั้งพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนในเชิงลึกของสถาบันการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงาน
และพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารด้านภาษาต่างประเทศที่ใช้เป็นสากลและภาษาที่ใช้ในประเทศอาเซียน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10045 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 | กค. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบและอนุมัติตามที่ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ๑.๑ รับทราบและอนุมัติตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ
ตามมติที่ประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ ๑.๑.๑ รับทราบการปรับลดกรอบวงเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ (พ.ร.ก. กู้เงินโควิด-๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓) ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ จากเดิม ๖๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็น ๔๕๐,๐๐๐ ล้านบาท
โดยนำวงเงินกู้ที่ได้ปรับลดมาบรรจุในแผนฯ ปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ๑.๑.๒ อนุมัติแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔
ที่ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน ๑,๔๖๕,๔๓๘.๖๑ ล้านบาท
แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน ๑,๒๗๙,๔๔๖.๘๐ ล้านบาท และแผนการชำระหนี้ วงเงิน
๓๘๗,๓๕๔.๘๔ ล้านบาท ๑.๑.๓ อนุมัติให้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๔
แห่ง ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การเคหะแห่งชาติ
การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ
(Debt Service Coverage Ratio : DSCR) ต่ำกว่า ๑ เท่าสามารถกู้เงินและบริหารหนี้ภายใต้แผนฯ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง ๔ แห่งดังกล่าว
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการด้วย ๑.๑.๔
รับทราบแผนความต้องการเงินกู้ระยะปานกลาง ๕ ปี (ปีงบประมาณ ๒๕๖๔-๒๕๖๘)
และมอบหมายให้กระทรวงเจ้าสังกัดประสานงานกับรัฐวิสาหกิจที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการในกลุ่มโครงการที่ยังขาดความพร้อมในการดำเนินการ
เพื่อเร่งรัดการดำเนินการและการลงทุนเพื่อเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐในระยะต่อไป ๑.๒
อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ
การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ
ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนา และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้
ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณากู้เงิน
วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น
ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง
ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๒.
ให้ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น (๑) ควรกำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจ
จำนวน ๔ แห่งดังกล่าว ที่มีสัดส่วน DSCR ต่ำกว่า
๑ ให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการฯ อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
รวมทั้งติดตามและเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการให้มีการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้
โดยเฉพาะแผนการกู้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงินโควิด-๑๙ พ.ศ.
๒๕๖๓ และ (๒) การดำเนินโครงการภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔
จะต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ แผนการใช้จ่ายและการลงทุนต้องเป็นไปตามกฎหมาย
และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและความสามารถในการชำระหนี้ด้วย
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10046 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี พ.ศ. .... | มท. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น
สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี ในท้องที่แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร
กรุงเทพมหานคร
เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืน
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการกำหนดให้ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ
มีผลใช้บังคับย้อนหลังตั้งแต่วันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้นไป
เพื่อให้มีผลใช้บังคับต่อเนื่องกับพระราชกฤษฎีกาฉบับเดิมซึ่งสิ้นผลใช้บังคับแล้วนั้น
จะมีผลต่อการพิจารณากำหนดราคาเบื้องต้น
เนื่องจากจะใช้ราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอยู่ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒
เป็นฐานการคำนวณแทนที่จะเป็นราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า (๑) กรุงเทพมหานครควรให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการก่อสร้างทางหลวงท้องถิ่นกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติทำให้ระบายน้ำไม่ทันและอาจเกิดอุทกภัยในอนาคต
(๒) ก่อนการก่อสร้างโครงการดังกล่าว
ขอให้ส่งเรื่องและแบบแปลนให้คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า
โดยผ่านสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อพิจารณาให้ความเห็นถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการฯ แล้ว
ให้เสนอสำนักงบประมาณเพื่อขอจัดตั้งงบประมาณต่อไป และ (๓)
กรุงเทพมหานครควรจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินตามความเหมาะสมและความจำเป็น
และให้ใช้งบประมาณของกรุงเทพมหานครในการจ่ายเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ควรเร่งเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า
๖๐ วัน ก่อนที่อายุของพระราชกฤษฎีกาฯ จะสิ้นสุดลง
เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีความต่อเนื่อง ไปดำเนินการโดยเคร่งครัดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10047 | การยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่โซน C (สำนักงาน ปปง.) | ปปง. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ
๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ พื้นที่โซน C ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ตามที่สำนักงาน
ปปง. เสนอ และให้สำนักงาน ปปง. ดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วน
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ในการจัดทำแผนงาน/โครงการ ของสำนักงาน ปปง. ในครั้งต่อ ๆ
ไป รวมถึงกรณีการใช้ที่ดินและอาคารที่ได้มาจากการยึดอายัดทรัพย์สินสำหรับเป็นสถานที่ปฏิบัติงานให้สำนักงาน
ปปง. ตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการอย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อน
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ
และการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) และบริษัท
ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด
รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
เนื่องจากมีหน่วยงานของรัฐขอยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการฯ
พื้นที่โซน C หลายหน่วยงาน
จึงเห็นควรปรับแผนปฏิบัติการ โดยคำนึงถึงความเสี่ยงทางรายได้
ในกรณีไม่มีผู้เช่าพื้นที่ตามประมาณการไว้ เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนแม่บทการพัฒนาด้วย
และให้บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด
เร่งหาหน่วยงานอื่นที่มีความต้องการใช้พื้นที่มาทดแทน
เพื่อไม่ให้กระทบต่อเป้าหมายของโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการฯ
พื้นที่โซน C ตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไว้แล้วเมื่อวันที่
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
และเพื่อให้กรมธนารักษ์สามารถเตรียมวงเงินรองรับให้กับหน่วยงานได้อย่างเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10048 | รายงานสรุปผลการดำเนินการต่อข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย อันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กรณีกล่าวอ้างว่า บุคคลที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองต่อต้านรัฐบาลถูกบังคับให้สูญหาย | สม. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการต่อข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
เรื่อง
สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายอันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
กรณีกล่าวอ้างว่า
บุคคลที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองต่อต้านรัฐบาลถูกบังคับให้สูญหาย
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10049 | ขอยกเลิกการขอใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่โซน C (สำนักงาน ป.ป.ท.) | ปปท. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการยกเลิกการขอใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ
๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ พื้นที่โซน C ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน
ป.ป.ท.) ตามที่สำนักงาน ป.ป.ท. เสนอ และให้สำนักงาน ป.ป.ท.
รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารสำนักงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เห็นควรให้สำนักงาน ป.ป.ท. กำหนดแผนการดำเนินโครงการ
เตรียมความพร้อมสถานที่ก่อสร้าง
และกำหนดรูปแบบในการก่อสร้างอาคารสำนักงานให้มีความเหมาะสมกับภารกิจที่รับผิดชอบ
เป็นไปอย่างประหยัด และคุ้มค่า
โดยกำหนดพื้นที่ใช้สอยภายในอาคารและราคาต่อตารางเมตรให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๕ เมษายน ๒๕๕๙ เรื่อง ร่างบัญชีราคามาตรฐานการออกแบบอาคารที่ทำการ
อาคารอยู่อาศัยรวม และบ้านพัก
รวมทั้งคำนึงถึงหลักเกณฑ์ในการจัดผังสำนักงานให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับโครงสร้างอัตรากำลังในแต่ละประเภทตำแหน่งและระดับตำแหน่ง
และพิจารณาจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วน
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ในการจัดทำแผนงาน/โครงการของสำนักงาน ป.ป.ท. ในครั้งต่อ ๆ
ไป รวมถึงโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงาน ให้สำนักงาน ป.ป.ท.
ตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการอย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อน
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ
และการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10050 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนปากแบงอาจส่งผลกระทบต่อชุมชน | สม. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
กรณีโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนปากแบงอาจส่งผลกระทบต่อชุมชน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ซึ่งกระทรวงพลังงานได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10051 | มาตรการขับเคลื่อนสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน 4 มิติ (เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม สุขภาพ และสังคม) | พม. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการขับเคลื่อนสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน
๔ มิติ (เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม สุขภาพ และสังคม)
เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืนในอนาคต
โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการขับเคลื่อนงานทุกมิติ
และเพื่อให้มีกลไกขับเคลื่อนงานรองรับสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืนอย่างต่อเนื่อง
โดยมาตรการดังกล่าวประกอบด้วยประเด็นที่ต้องเร่งดำเนินการ เช่น
การบูรณาการระบบบำนาญ และระบบการออมเพื่อยามสูงอายุ
การปรับปรุงกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการ/ผู้สูงอายุให้มีผลใช้บังคับให้สอดคล้อง
ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพในการบังคับใช้มากขึ้น การยกระดับผู้บริบาลมืออาชีพ
และเพิ่มบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการบูรณาการและขับเคลื่อนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกมิติ
เป็นต้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับไปหารือในรายละเอียดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงาน ก.พ.
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น (๑)
ควรบูรณาการและประสานการทำงานระหว่างส่วนราชการทั้งส่วนกลางและระดับพื้นที่
โดยเฉพาะกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (๒) ไม่ควรออกมาตรการให้มีการปรับปรุงกฎกระทรวงให้ใช้บังคับย้อนหลังกับอาคารเก่าที่สร้างก่อนออกกฎกระทรวง
(ที่เสนอให้ปรับปรุงใหม่) ควรใช้มาตรการอื่นและควรจัดสรรงบประมาณสำหรับการดำเนินการดังกล่าวด้วย
(๓)
ควรกำหนดขอบเขตการดำเนินการระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับกรมกิจการผู้สูงอายุ
และ (๔)
ควรพิจารณาเพิ่มมาตรการสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อรองรับสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน
๔ มิติ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน
ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒.
สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงินและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10052 | การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ (Government Chief Information Officer Management Guideline) | นร.10 | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒) เรื่อง
แนวทางการบริหารจัดการผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ [Government
Chief Information Officer (GCIO) Management
Guideline] ของสำนักงาน ก.พ. และเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (๒๖
พฤศจิกายน ๒๕๖๒) รวมทั้งเห็นชอบการเพิ่มเติมบทบาทของ GCIO ระดับกระทรวง
กรม และจังหวัด
ในการเป็นผู้นำการปรับเปลี่ยนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการบริการของหน่วยงานในรูปแบบ
Digital Transformation เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ยุคดิจิทัลอย่างเร่งด่วน
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป
ให้พิจารณาจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน สำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เช่น
การให้หน่วยงานที่รับผิดชอบหลักในการฝึกอบรมหลักสูตร GCIO
การจัดเตรียมงบประมาณการอบรมให้แก่บุคลากรภาครัฐที่ต้องเข้าร่วมการอบรม
เนื่องจากบางปีงบประมาณหลายหน่วยงานไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณด้านการอบรม
การเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ GCIO ในการผลักดันระบบการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ
และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10053 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสุดา สุขอ่ำ) | ศธ. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นางสุดา สุขอ่ำ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการศึกษาพิเศษและผู้ด้อยโอกาส
(นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๓
ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10054 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม) | พณ. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10055 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายณัฐพล ณัฎฐสมบูรณ์) | ดศ. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน
นายณัฐพล ณัฎฐสมบูรณ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10056 | ขอปรับค่าอาหารกลางวันของนักเรียน | ศธ. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการปรับอัตราค่าอาหารกลางวันของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่
๑-ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
จาก อัตรา ๒๐ บาท/คน/วัน เป็น
อัตราค่าอาหารกลางวันที่เหมาะสมตามจำนวนนักเรียนและขนาดโรงเรียน ตั้งแต่ ๒๔-๓๖
บาท/คน/วัน และให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
โดยให้นำความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
และคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ควรนำจำนวนนักเรียนจากทุกสังกัดมาเป็นข้อมูลประกอบในการปรับค่าอาหารกลางวัน
ควรพิจารณาราคาวัตถุดิบและค่าบริหารจัดการที่สะท้อนต้นทุนคงที่ของโรงเรียนแต่ละขนาดอย่างแท้จริง
ควรมีกลไกการติดตาม กำกับดูแล และตรวจสอบการดำเนินโครงการอาหารกลางวัน เป็นต้น
ไปประกอบด้วย ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10057 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายธนู ขวัญเดช) | ศธ. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๘ ราย
เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑. นายธนู ขวัญเดช ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายวีระ แข็งกสิการ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายสุทิน แก้วพนา ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายวรัท พฤกษาทวีกุล ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายยศพล เวณุโกเศศ ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ๖. นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ๗. นายพีรศักดิ์
รัตนะ ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาการศึกษา
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ๘. ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10058 | การแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมและกำกับธุรกิจโรงแรม | มท. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมและกำกับธุรกิจโรงแรม
จำนวน ๕ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมจะดำรงตำแหน่งครบวาระสองปีในวันที่ ๙
ตุลาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑. นายปกอนันท์
โลหะภัณฑ์สมบูรณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภท
๑ ๒. นายธรณินทร์
สิริพัฒโนดมสกุล ผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภท ๒ ๓. นายธรรมจักร
เหลืองประเสริฐ ผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภท
๓ ๔. นายสุรพงษ์
เตชะหรูวิจิตร ผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภท
๔ ๕. นายสมคิด ใจยิ้ม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโรงแรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10059 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ) | วธ. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่าง สับเปลี่ยนหมุนเวียน
และทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓
เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑. นายกิตติพันธ์
พานสุวรรณ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายเกรียงศักดิ์
บุญประสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการศาสนา ๓. นายกฤษฎา คงคะจันทร์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายประสพ
เรียงเงิน ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10060 | ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินและขอความเห็นชอบร่างข้อตกลงการจ้างและสัญญาจ้างสัญญางาน ระบบรางระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (THE TRACKWORK,ELECTRICAL AND MECHANICAL (E&M) SYSTEM ,EMU, AND TRAINING CONTRACT) (สัญญา 2.3) ฉบับสมบูรณ์ โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) | คค. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการปรับกรอบวงเงินและร่างสัญญางานระบบราง
ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร [The
Trackwork, Electrical and Mechanical (E&M) System, EMU, and Training
Contract] (สัญญา ๒.๓)
ของโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย
(ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) จากเดิมวงเงิน ๓๘,๕๕๘.๓๘ ล้านบาท
เป็นวงเงิน ๕๐,๖๓๓.๕๐ ล้านบาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗ (เพิ่มขึ้นจากวงเงินเดิม
จำนวน ๑๒,๐๗๕.๑๒ ล้านบาท) เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานจริง เนื่องจากมีการปรับขอบเขตงาน
การเปลี่ยนรุ่นขบวนรถ การปรับเปลี่ยนรูปแบบ ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
โดยได้ปรับเกลี่ยวงเงินค่าใช้จ่ายภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้
ภายในกรอบวงเงินจำนวน ๑๗๙,๔๑๒.๒๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑)
การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดภายในกรอบวงเงินเดิม เป็นสาระสำคัญที่มีผลต่อการดำเนินโครงการฯ
จึงจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน
ก่อน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป และ (๒) ให้กระทรวงคมนาคม
การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ความละเอียดรอบคอบในระดับที่สูงที่สุดในการดำเนินการในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. สำหรับแนวทางการรับภาระค่าจ้างสัญญา
๒.๓ จำนวนรวมทั้งสิ้น ๕๐,๖๓๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท และแนวทางในการปรับปรุงรายละเอียดด้านงบประมาณของโครงการฯ
เห็นควรให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดไปก่อน
เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการจัดตั้งองค์กรพิเศษเพื่อกำกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง
ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ๓.
ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยกำกับดูแลและควบคุมการบริหารจัดการต้นทุนโครงการฯ
ไม่ให้เกินกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้
โดยบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการฯ ในมิติต่าง ๆ
อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งดำเนินการตามข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดในประเด็นที่ร่างสัญญาดังกล่าวยังไม่ได้มีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนและกำหนดวันที่ใช้เป็นฐานในการคิดคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนในกรณีที่มีการปรับราคาสัญญาก่อนการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
และให้เร่งสรุปผลการดำเนินการประกวดราคางานโยธาในสัญญาที่อยู่ระหว่างดำเนินการ
รวมถึงวงเงินคงเหลือจากการดำเนินการมาบริหารจัดการโครงการฯ
ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๔. ให้กระทรวงคมนาคม
การรถไฟแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๑
กรกฎาคม ๒๕๖๐) เรื่อง
ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค
ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)
ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะการจัดตั้งองค์กรพิเศษที่เป็นอิสระจากการกำกับกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย
และการเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ ในช่วงที่เหลือ
(ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย) |