ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1815 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 36281 - 36300 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
36281 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. .... | พม | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์
ทางการแพทย์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการ เจริญพันธุ์ทางการแพทย์ เพื่อกำหนดสถานะความเป็นบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กที่เกิดจากเทคโนโล ยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ให้เหมาะสม และควบคุมการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับตัว อ่อนและเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์มิให้มีการนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ที่สำนักงานคณะกรรม การกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งคณะ กรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36282 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช | อก | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบการผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรม ชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามคำขอที่ 3/ 2548 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532 และวันที่ 15 พฤศจิกายน 2533 ตามที่กระทรวงอุตสาห กรรมเสนอ 2. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรระมัดระวังเรื่องคุณภาพ น้ำ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และรับความเห็นของกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เกี่ยว กับขั้นตอนการอนุญาตประทานบัตรให้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจ สอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรม ชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณฯ ซึ่งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณาราย งานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโครงการเหมืองแร่ให้ความเห็นชอบแล้ว ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายใบ อนุญาตต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้น ที่ที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือสุขอนามัยของประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนหรือกระบวนการ พิจารณาเพื่อประโยชน์ในการบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเป็นสื่อกลางในการสร้างความ เข้าใจที่ถูกต้องต่อโครงการที่ขอประทานบัตรในการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ลุ่มน้ำกับประชาชนในพื้นที่ ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36283 | มาตรการทบทวนบทบาทภารกิจของส่วนราชการ ตามมาตรา 33 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 | นร | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ 1. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ 1.1 ข้อเสนอให้มีการดำเนินการถ่ายโอนภารกิจด้านการตรวจสอบและรับรองคุณภาพมาตรฐานของ ส่วนราชการต่าง ๆ ให้ภาคเอกชนหรือภาคส่วนอื่นรับไปดำเนินการแทน โดยมีแผนการดำเนินงานเป็น 3 ระยะ คือ 1.1.1 ระยะแรก : ถ่ายโอนภารกิจด้านการตรวจสอบและรับรองคุณภาพมาตรฐาน จำนวน 37 งาน และติดตามประเมินผล 1.1.2 ระยะที่สอง : เตรียมการและถ่ายโอนภารกิจด้านการตรวจสอบและรับรองคุณภาพมาตร ฐานที่ยังคงเหลือให้แล้วเสร็จอีก 56 งาน 1.1.3 ระยะที่สาม : ศึกษาเพื่อเตรียมการดำเนินการถ่ายโอนภารกิจภาครัฐในด้านอื่น ๆ นอก เหนือจากภารกิจด้านการตรวจสอบและรับรองคุณภาพมาตรฐาน 1.2 ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นเจ้าภาพจัดทำและดำเนินโครงการร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องศึกษา เพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการระบบการมาตรฐานของไทยให้มีความเป็นเอกภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน 2. ทั้งนี้ ยกเว้นในส่วนของการถ่ายโอนงานของกระทรวงพลังงาน (กรมธุรกิจพลังงาน) จำนวน 2 งาน ได้แก่ งานตรวจวิเคราะห์น้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น และงานตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของผู้ค้าน้ำมัน (ซึ่งรวมอยู่ในแผนการดำเนินงานระยะแรกจำนวน 37 งาน) ให้สำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาทบทวนร่วมกับกระทรวง พลังงาน แล้วนำเสนอ ก.พ.ร. ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36284 | ผลการประเมินการปฏิบัติราชการและการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่มีการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 | นร | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ในการประชุมครั้งที่ 2/2553 เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2553 ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ 1.1 เห็นชอบผลการประเมินการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและ จังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 1.2 ไม่สมควรจัดตั้งกองทุนเงินสะสมในรูปแบบ "เงินทุนหมุนเวียน" เนื่องจากไม่สอดคล้องกับหลักการ เหตุผล และเจตนารมณ์ของการจัดตั้งกองทุนตามหลักการของพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 มาตรา 12 และ พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 18 หากรัฐบาลพยายามที่จะผลักดันการ จัดตั้งกองทุนเงินสะสมโดยมาจากเงินเหลือจ่ายของส่วนราชการต่าง ๆ จะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติเฉพาะเท่านั้น 1.3 เห็นชอบให้มีการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาที่มีการจัด ทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 1.4 ให้มีการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาที่มีการจัดทำคำรับ รองการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 เพียงก้อนเดียวรวมกันทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติของส่วนราช การจังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา โดยให้ส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษานำไปจัดสรรต่อในแต่ละหน่วย งานตามความเหมาะสม โดยให้ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติอยู่ในหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีการจัดสรรเงินรางวัลเดียวกัน 1.5 เห็นชอบการปรับปรุงวิธีการคำนวณเพื่อจัดสรรเงินรางวัลสำหรับหน่วยงานที่มีผลการปฏิบัติราช การที่บรรลุเป้าหมายในระดับคะแนน 3.0000 ขึ้นไป 2. ส่วนการนำเงินงบประมาณเหลือจ่ายมาจัดสรรเป็นเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบัน อุดมศึกษาที่ไม่มีเงินเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 หรือมีอยู่ไม่เพียงพอ นั้น ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับไป พิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการ ที่เหมาะสมต่อไป รวมทั้งดำเนินการกำหนดวิธีการจ่ายให้กับข้าราชการและลูกจ้างประจำต่อไป ตามความเห็นของ กระทรวงการคลังไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36285 | กรอบการเจรจาความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ | กต | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบกรอบการเจรจาความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน ตามที่กระทรวงการต่าง ประเทศเสนอ โดยกรอบเจรจาได้กำหนดหลักการสำคัญในการเจรจาความตกลงฯ ครอบคลุมประเด็นหลัก ดังนี้ 1.1 ขอบเขตความตกลงฯ ควรจำกัดเฉพาะการลงทุนทางตรง (foreign direct investment : FDI) โดยให้ความคุ้มครองการลงทุนของนักลงทุนตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนด 1.2 การส่งเสริมและการเอื้ออำนวยการลงทุนแก่กันและกัน 1.3 การประติบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่งและการประติบัติเยี่ยงคนชาติกับการลงทุนของนัก ลงทุนต่างชาติที่ได้เข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว 1.4 การประติบัติที่เป็นธรรม เท่าเทียมกัน และให้การคุ้มครองอย่างเต็มที่แก่การลงทุนของนักลง ทุนต่างชาติ 1.5 การคุ้มครองการเวนคืนและการชดเชยค่าเสียหายจากการเวนคืน 1.6 การชดเชยความสูญเสียจากเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดในประเทศที่ลงทุน 1.7 การโอนเงินลงทุนและผลตอบแทนโดยเสรี 1.8 การรับช่วงสิทธิตามความตกลงฯ 1.9 การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐกับเอกชน และระหว่างรัฐกับรัฐ 1.10 โดยคำนึงถึงพัฒนาการการเจรจาในกรอบความตกลง เพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน และความยินยอมร่วมกันของคู่เจรจา อาจพิจารณาให้รวมถึงมาตรการที่จำเป็นและเหมาะสม เพื่อรักษาประโยชน์ สาธารณะ เช่น สิ่งแวดล้อม สุขภาพสาธารณะ มาตรการเพื่อปกป้องดุลการชำระเงิน นโยบายเศรษฐกิจมหภาค 1.11 การเจรจาในทุกประเด็นข้อบทให้คำนึงถึงท่าที มาตรการที่จำเป็น และผลประโยชน์ของไทย และคู่เจรจาประกอบด้วย 2. ให้จัดทำบัญชีรายชื่อประเทศคู่เจรจาแนบท้ายกรอบการเจรจาเพื่อเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็น ชอบตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36286 | ความเห็นและข้อเสนอต่อนโยบาย เรื่อง การขยายสิทธิประกันสังคมแก่คู่สมรสและบุตรของผู้ประกันตน | สธ | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อ
เสนอแนะของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติต่อนโยบาย เรื่อง การขยายสิทธิประกันสังคมแก่คู่สมรส และบุตรของผู้ประกันตน ดังนี้ 1. ให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนนโยบายในการขยายความคุ้มครองประกันสังคมแก่คู่สมรสและบุตรของ ผู้ประกันตน เนื่องจากอาจกระทบสิทธิด้านการรักษาพยาบาลของประชาชน จากการเปลี่ยนแปลงระบบบริหาร จัดการและระบบการจัดบริการ 2. ให้สำนักงานประกันสังคมขยายความคุ้มครองสิทธิประกันด้านสังคมที่ไม่ใช่กรณีเจ็บป่วย เช่น การ ว่างงาน การสงเคราะห์บุตร ชราภาพ และเสียชีวิต ให้แก่กลุ่มที่ยังไม่ได้รับความคุ้มครองซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของ ประชาชน เช่น แรงงานนอกระบบ 3. ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรับผิดชอบดูแลการบริหารจัดการหลักประกันสุขภาพและ สิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลของคู่สมรสและบุตรของผู้ประกันเช่นเดิม รวมทั้งควรพิจารณาขยายไปยังผู้ ประกันตนทั้งหมดด้วย 4. หากรัฐบาลมีนโยบายให้สำนักงานประกันสังคมรับผิดชอบในการบริหารจัดการด้านสุขภาพของคู่ สมรสและบุตรของผู้ประกันตนแล้ว "งบเหมาจ่ายรายหัว" ของคู่สมรสและบุตรผู้ประกันตนที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งคำนวณค่าใช้จ่ายโดยประมาณการทางคณิตศาสตร์การประกัน ปรับ น้ำหนักตามรายอายุ และเฉลี่ยทุกกลุ่มอายุหลังหักเงินเดือนได้ประมาณ 700 บาทต่อคนต่อปี เป็นค่าใช้จ่ายที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะโอนไปยังสำนักงานประกันสังคม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36287 | รายงานการประชุมระดับรัฐมนตรีประเทศเอเชียด้านการอนุรักษ์เสือโคร่ง ครั้งที่ 1 (The 1st Asia Ministerial Conference on Tiger Conservation : The 1st AMC) | ทส | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี เรื่อง การอนุรักษ์เสือโคร่ง ครั้งที่ 1 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัด การประชุมในระหว่างวันที่ 27-30 มกราคม 2553 ณ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยการประชุมแบ่งเป็น การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาทบทวนสถานภาพและยุทธศาสตร์ของแต่ละประเทศใน การอนุรักษ์เสือโคร่ง รวมทั้งการพิจารณาสาระสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์เสือโคร่ง และการประชุมระดับ รัฐมนตรีประเทศเอเชียด้านการอนุรักษ์เสือโคร่ง ครั้งที่ 1 ซึ่งมีหัวข้อการประชุม ได้แก่ ผลการพิจารณารางวัล J. Paul Getty Award for conservation การนำเสนอทิศทางการดำเนินงานเพื่ออนุรักษ์เสือโคร่งของประเทศไทยที่เป็นแหล่ง อาศัยของเสือโคร่ง การพิจารณาให้ความเห็นชอบปฏิญญาหัวหิน เรื่อง การอนุรักษ์เสือโคร่ง รวมทั้งการจัดงานรณรงค์ การอนุรักษ์เสือโคร่งของประเทศที่เป็นแหล่งอาศัยของเสือโคร่ง 13 ประเทศ 2. เห็นชอบปฏิญญาหัวหิน เรื่อง การอนุรักษ์เสือโคร่ง และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานตามปฏิญญาดังกล่าว 3. เห็นชอบให้มีการจัดงานรณรงค์เพื่ออนุรักษ์เสือโคร่ง โดยมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินกิจกรรม ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2553 |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36288 | ข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) | นร | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุม ครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2553 ตามที่รองเลขาธิการ ก.พ. (นายนนทิกร กาญจนะจิตรา) กรรม การและเลขานุการร่วม คปร. เสนอ โดย คปร. มีมติดังนี้ 1.1 ให้ดำเนินมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 1.1 ให้ส่วนราชการจัดระบบบริหารจัดการ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การคัดกรองผู้เข้าร่วมมาตร การฯ ตามความจำเป็นและความเหมาะสม เพื่อให้การดำเนินมาตรการฯ เกิดประสิทธิภาพและไม่มีผลเสียหาย ต่องานราชการ 1.3 ให้คงคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ตามหลักเกณฑ์เดิม คือ ต้องมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป (อายุ 45 ปีขึ้นไป สำหรับข้าราชการทหาร) หรือมีเวลาราชการสำหรับคำนวณ บำเหน็จบำนาญตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป (ไม่รวมเวลาทวีคูณ) โดยต้องมีเวลาราชการเหลือตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป นับตั้งแต่ วันที่ออกจากราชการ) 1.4 กำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินมาตรการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 เพิ่มเติมบางส่วนดังนี้ 1.4.1 ปรับปรุงคุณสมบัติผู้เข้าร่วมมาตรการฯ จากเดิมกำหนดให้มีเวลาราชการที่เหลือตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป เป็นตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป เพื่อให้การดำเนินมาตรการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูง สุดต่อภาคราชการ 1.4.2 ให้หน่วยงานกลางร่วมกันพิจารณาปรับกำหนดการดำเนินการตามมาตรการฯ ให้เร็ว ยิ่งขึ้น เพื่อให้ส่วนราชการมีเวลาในการบริหารจัดการงาน และวางแผนการสรรหาบุคลากรทดแทน หรือแผน การบริหารจัดการอัตรากำลัง 2. ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการดำเนินการตาม มาตรการปรับปรุงอัตรากำลังข้าราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ควรจะต้องมีความสอดคล้องกับ แผนการดำเนินการถ่ายโอนภารกิจที่สำนักงาน ก.พ.ร. กำลังดำเนินการ รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการนำผลการประเมินโครงการไปใช้ในการพิจารณา การดำเนินโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดระยะที่สอง เพื่อปรับปรุงแนวทาง กระบวนการ และหลักเกณฑ์ใน การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการให้เหมาะสมกับข้าราชการแต่ละกลุ่ม ตลอดจนนำผลการประเมินโครงการนี้ไป ขยายผลการปรับปรุงอัตรากำลังกับองค์กรอื่นของภาครัฐนอกเหนือจากข้าราชการพลเรือนสามัญไปพิจารณา ดำเนินการด้วย 3. นอกจากการดำเนินมาตรการฯ แล้ว ควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและพัฒนาศักยภาพและ ประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของบุคลากรที่มีอยู่ควบคู่ไปกับการดำเนินการเตรียมบุคลากรที่มีประสิทธิ ภาพเข้าสู่ระบบราชการ โดยมีอัตราค่าตอบแทนที่เหมาะสม มีการกำหนดตัวชี้วัดและระบบการประเมินผลการ ปฏิบัติงาน รวมทั้งเส้นทางความก้าวหน้าในการรับราชการที่ชัดเจนด้วย โดยให้สำนักงาน ก.พ. รับแนวทางดัง กล่าวไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36289 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. .... (การกระจายการถือครองที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชน) | นร | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรม การกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1.1 กำหนดนิยามคำว่า "โฉนดชุมชน" 1.2 กำหนดให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า "คณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน" เรียกโดยย่อว่า "ปจช." และกำหนดหน้าที่ของ ปจช. 1.3 กำหนดคุณสมบัติกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่ง 1.4 กำหนดให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบงานธุรการ งานประชุม การศึกษาหาข้อ มูล และกิจการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานของคณะกรรมการ รวมทั้งปฏิบัติงานอื่นตามที่คณะกรรมการมอบหมาย 1.5 กำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการฯ ภายในหกสิบวันนับแต่ระเบียบนี้ใช้บังคับ และกำหนดให้มีพื้น ที่นำร่องการดำเนินงานโฉนดชุมชนจำนวนไม่น้อยกว่าสามสิบพื้นที่ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่ระเบียบนี้ ใช้บังคับ 2. ให้ทุกกระทรวงเร่งรัดการดำเนินงานตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนอง เตย) และนายกรัฐมนตรีเสนอ เพื่อให้นโยบายรัฐบาลในเรื่องนี้บรรลุผลสำเร็จโดยเร็ว และให้ทำความเข้าใจกับประชา ชนเกี่ยวกับคำว่า "โฉนด" ตามร่างระเบียบฉบับนี้ซึ่งมีความที่แตกต่างไปจากประมวลกฎหมายที่ดินและความหมายตาม พจานุกรม ซึ่งหมายถึงหนังสือสำคัญของทางราชการแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยโฉนดชุมชนตามร่างระเบียบฯ มิได้เป็น การก่อตั้งสิทธิใด ๆ ขึ้นใหม่ ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36290 | ข้อเสนอแนวทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการจัดการที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน | นร | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งพิจารณาแนวทางในการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดำเนินการจัด การที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการต่าง ๆ โดยเห็นว่าเป็นนโยบายที่สำคัญเร่ง ด่วนของรัฐบาล สมควรที่ส่วนราชการซึ่งมีที่ดินสามารถสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวได้ให้ความสำคัญและเร่ง รัดพิจารณาการขอใช้ที่ดินเมื่อ อปท. ร้องขอ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ 2. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ที่เห็นว่า อาจนำเรื่องนี้รวมพิจารณากับประเด็นกฎหมายภาษีและที่ดิน โฉนดชุมชน การแก้ปัญหาที่ดินหวงห้าม โดยการมอบหน่วยงาน รัฐมนตรี หรือกระทรวงที่รับผิดชอบ จัดสัมมนาเชิงนโยบาย ด้านที่ดิน แล้วกำหนดวันนำเสนอต่อสาธารณะพร้อมกันต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36291 | คณะกรรมการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนของประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กรต.) | นร | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเรื่องร้องเรียนของประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติ
งานของเจ้าหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนของประชาชนเกี่ยวกับการ ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กรต.) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ ประกาศหลักเกณฑ์และแนวทางดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษา โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประสานกับ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับรูปแบบการประกาศด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36292 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
1. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนในช่วงไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และให้ทุกกระทรวงติดตามผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ที่อยู่ในความรับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมผลการ ดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนในช่วงไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 มีสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ รวม ทั้งสิ้น 36,485 ครั้ง โดยประเภทเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ ประเภทเรื่องกล่าวโทษหรือร้องเรียนเจ้า หน้าที่ของรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องร้องทุกข์เกี่ยวกับการให้บริการ และการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ 2. ให้ส่วนราชการบรรจุโครงการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนในแผนการพัฒนาทรัพยากรบุคคล เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 โดยอย่างน้อยให้มีกิจกรรม ดังนี้ 2.1 เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้บรรจุใหม่ทุกคน ต้องได้รับการฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนาให้มีใจรักการบริการ (Service Mind Training) โดยให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการแต่ละประเภทเป็นผู้ดำเนินการ 2.2 พัฒนาบุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านการให้บริการประชาชนของส่วนราชการ โดยมุ่งเน้นให้ปรับเปลี่ยน ทัศนคติและพฤติกรรมให้เป็นผู้มีใจรักการบริการ (Service Mind) อย่างต่อเนื่องอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36293 | กรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย - ชิลี | พณ | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบกรอบการเจรจาความตกลงทางการค้าเสรีไทย-ชิลี มีสาระสำคัญเพื่อเป็นการขยายโอกาสใน การส่งออกสินค้าและบริการของไทย รวมทั้งโอกาสการลงทุนในชิลี เพื่อให้ผู้บริโภคของไทยได้ใช้สินค้าและบริการ ที่มีคุณภาพ และเพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ โดยกรอบการเจรจาฯ ครอบคลุม 11 ประเด็น ได้แก่ 1.1 การค้าสินค้า 1.2 พิธีการศุลกากร 1.3 กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า 1.4 มาตรการปกป้องและมาตรการเยียวยาด้านการค้า 1.5 มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช 1.6 อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า 1.7 การค้าบริการ 1.8 การลงทุน 1.9 การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐ 1.10 ความร่วมมือและการอำนวยความสะดวกทางการค้า 1.11 ความโปร่งใส 2. นำเสนอกรอบการเจรจาฯ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบก่อนเริ่มการเจรจา |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36294 | การชำระค่าหุ้นสำหรับการเพิ่มทุนสามัญทั่วไป ครั้งที่ 5 ของ ADB งวดที่ 1 ปี 2553 | กค | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินสำรอง
จ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการชำระเงินค่าหุ้นสำหรับการเพิ่มทุนสามัญทั่วไป ครั้งที่ 5 ของธนาคารพัฒนา เอเชีย (ADB) งวดที่ 1 ปี 2553 มูลค่าประมาณ 9.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 302.06 ล้านบาท (อัตราแลก เปลี่ยน 32.48 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 24 มีนาคม 2553) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36295 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | สธ | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการช่วยเหลือด้านจิตใจผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความ
ไม่สงบทางการเมืองตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 เป็นต้นไป โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 30,000,000 บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้กระทรวงสาธารณสุขขอทำความตกลงในรายละ เอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36296 | รายงานการศึกษาความเหมาะสมในการขยายกำลังการผลิตและย้ายสถานที่ตั้งโรงงานน้ำตาล (การขออนุญาตย้ายสถานที่ตั้งและหรือขยายกำลังการผลิตของโรงงานน้ำตาล เรื่อง การขอขยายกำลังการผลิต และการขอนำกำลังการผลิต/เครื่องจักรไปตั้งที่แห่งใหม่ และขอขยายกำลังการผลิต และเรื่อง รายงานการศึกษาความเหมาะสมในการขยายกำลังการผลิต และย้ายสถานที่ตั้งโรงงานน้ำตาลทราย) | อก | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการการย้ายสถานที่ตั้งและหรือขยายกำลังการผลิตของโรงงานน้ำตาลทราย และเห็น ชอบการขอขยายกำลังการผลิต และการขอนำกำลังการผลิต/เครื่องจักรไปตั้งที่แห่งใหม่และขอขยายกำลังการผลิต จำนวน 11 โรงงาน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ตุลา คม 2532 (เรื่อง การย้ายสถานที่ตั้งและตั้งโรงงานน้ำตาลทรายใหม่ และการพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรี) ซึ่งไม่อนุญาตให้มีการตั้งโรงงานน้ำตาลทรายเพิ่มขึ้นใหม่ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 (เรื่อง การแก้ไขปัญหาราคาอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ) ซึ่งห้ามไม่ให้มีการเพิ่มกำลังการผลิต โดยให้กระทรวงอุตสาห กรรมและหน่วยที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของรองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) และคณะ กรรมการพิจารณาความเหมาะสมในการขยายกำลังการผลิตและการย้ายสถานที่ตั้งของโรงงานน้ำตาลไปพิจารณา ดำเนินการ ดังนี้ 1.1 ในการขยายกำลังการผลิตของโรงงานน้ำตาลทรายจะทำให้ความต้องการปริมาณอ้อยในภาพรวม เพิ่มขึ้น สามารถกระทำได้โดยการเพิ่มพื้นที่การเพาะปลูก และเพิ่มผลผลิตเฉลี่ยให้ได้ 15 ตันต่อไร่ โดยกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ต้องให้การสนับสนุนในเรื่องระบบชลประทานเพื่อให้มีน้ำใช้สำหรับการปลูกอ้อยให้เพียงพอ 1.2 หากอนุญาตให้ย้ายหรือขยายกำลังการผลิต ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี นับจากวันที่ ได้รับหนังสือแจ้งจากกระทรวงอุตสาหกรรม และให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย 1.3 ในการขอย้ายสถานที่ตั้งโรงงานน้ำตาลทราย ควรคำนึงถึงหลักเกณฑ์ของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ กำหนดเกี่ยวกับระยะห่างระหว่างโรงงานน้ำตาลทรายแห่งใหม่กับโรงงานน้ำตาลทรายเดิม และพื้นที่ปลูกอ้อยของ ชาวไร่อ้อยคู่สัญญากับโรงงานน้ำตาลทรายที่ขอย้ายไปตั้งใหม่ประกอบด้วย 1.4 ควรมีการทบทวนนโยบายส่งเสริมการผลิตเอทานอลให้มีความคล่องตัวขึ้นซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ จะทำให้โรงงานน้ำตาลทรายประสบความสำเร็จได้ในอนาคต 2. เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณากรณีการย้ายและขยายกำลังการผลิตของโรงงานน้ำ ตาลไทยเอกลักษณ์ เนื่องจากยังไม่ได้ผ่านกระบวนการ และขั้นตอนการพิจารณาของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36297 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี พ.ศ. .... | ศธ | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขา
วิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี พ.ศ. .... ตามที่ กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดย ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการศึกษา สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สาขา วิชาศิลปศาสตร์ สาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชานิติศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ และสาขาวิชาการแพทย์แผนไทย 2. กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่ง และเครื่องหมายประกอบครุยประจำ ตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย และคณาจารย์ 3. กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย 4. กำหนดสีประจำสาขาวิชา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36298 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... | ศธ | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับ
สาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อ ไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. กำหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา และสีประจำสาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชา การศึกษา สาขาวิชานิติศาสตร์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ และสาขาวิชาศิลปศาสตร์ 2. กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่ง และเครื่องหมายประกอบครุยประจำ ตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย อธิการบดีและกรรมการสภามหาวิทยาลัย 3. กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36299 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาต การอนุญาต อายุใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาตขุดค้นในเขตสำรวจและการศึกษาวิจัย หรือเคลื่อนย้าย นำเอาไป ทำให้เสียหาย หรือทำลายซึ่งแหล่งซากดึกดำบรรพ์ หรือซากดึกดำบรรพ์ในเขตสำรวจและศึกษาวิจัย พ.ศ. .... | ทส | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาต การ อนุญาต อายุใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาตขุดค้นในเขตสำรวจและการศึกษา วิจัย หรือเคลื่อนย้าย นำเอาไป ทำให้เสียหาย หรือทำลายซึ่งแหล่งซากดึกดำบรรพ์ หรือซากดึกดำบรรพ์ในเขต สำรวจและศึกษาวิจัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาตการ อนุญาต อายุใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาตขุดค้นในเขตสำรวจและศึกษาวิจัย หรือเคลื่อนย้าย นำเอาไป ทำให้เสียหาย หรือทำลายซึ่งแหล่งซากดึกดำบรรพ์ หรือซากดึกดำบรรพ์ในเขตสำรวจ และศึกษาวิจัยตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ. 2551 กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดขุดค้น ในเขตสำรวจและศึกษาวิจัย หรือเคลื่อนย้าย นำเอาไป ทำให้เสียหาย หรือทำลายซึ่งแหล่งซากดึกดำบรรพ์ หรือ ซากดึกดำบรรพ์ในเขตสำรวจและศึกษาวิจัย เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ตามที่กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวง วัฒนธรรม ที่เห็นควรมีการแนบเอกสารพื้นที่ที่กรมทรัพยากรธรณีกำหนดเป็นพื้นที่อนุรักษ์ว่า อยู่บริเวณใด และ ครอบคลุมอาณาบริเวณเท่าใด และควรกำหนดตำแหน่งหรือตัวบุคคลที่จะรับเอกสารที่ใช้ประกอบการขออนุญาต ทั้งหมด รวมทั้งกำหนดนิยามคำว่า "อธิบดี" ให้หมายถึง "อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี" ไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนิน การต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36300 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดงานที่คนต่างด้าวอาจทำได้ พ.ศ. .... | รง | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดงานที่คนต่างด้าวอาจทำได้ พ.ศ. .... ตามที่
กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดย ร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. กำหนดงานที่คนต่างด้าวซึ่งเข้าเมืองถูกกฎหมายอาจทำได้ ซึ่งไม่รวมถึงคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาต ให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งชาติอื่น และคนต่างด้าวที่ขอรับใบอนุญาตทำงาน ได้แก่ งานบริหาร งาน วิชาชีพและวิชาการเฉพาะด้าน งานทางเทคนิค งานบริการ งานทักษะฝีมือ งานรับใช้ในบ้าน และงานฝึกงาน 2. กำหนดให้งานรับใช้ในบ้านและงานกรรมกรเป็นงานที่คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราช อาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานฯ อาจทำได้ในทุกท้องที่ทั่วราช อาณาจักร 3. กำหนดให้งานกรรมกรและงานตามประเภทที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบก ษาให้คนต่างด้าวทำได้ เป็นงานที่คนต่างด้าวซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติรับรองสถานะให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการ ถาวร และได้รับการกำหนดสถานะให้เป็นคนเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย และมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตาม กฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง อาจทำได้ในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร |