ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1794 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 35861 - 35880 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
35861 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน อาเซียน+3 และเอเชียตะวันออก | พน | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน 3 ฉบับ ได้แก่ ร่างแถลงการณ์ร่วมของ รัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 28 (Joint Ministerial Statement of the 28th AMEM) ร่างแถลงการณ์ร่วม ของรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน+3 (Joint Ministerial Statement of 7th AMEM+3) ครั้งที่ 7 และร่างแถลงการณ์ร่วม ของรัฐมนตรีพลังงานเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 4 (Joint Ministerial Statement of the 4th EAS EMM) 2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลัง งานเป็นผู้ให้การรับรองในร่างแถลงการณ์ร่วมทั้ง 3 ฉบับร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานประเทศสมาชิกอาเซียน อาเซียน +3 และเอเชียตะวันออก 3. อนุมัติให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่าง แถลงการณ์ร่วมทั้ง 3 ฉบับในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการรับ รองโดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ให้ การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมทั้ง 3 ฉบับดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถบังเกิดผลเป็นรูปธรรมสำหรับความร่วมมือด้านพลังงานในกรอบอาเซียน อาเซียน +3 และเอเชียตะวันออก ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานในวันที่ 22 กรกฎาคม 2553 ณ เมือง ดาลัท สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
|
|||||||||||||||||||||||||||
35862 | การพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างเอกสารสำคัญที่จะมีการรับรองเพิ่มเติมในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 43 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (ระหว่างวันที่ 16 - 23 กรกฎาคม 2553) | กต | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่า
การกระทรวงการต่างประเทศรับรองเอกสาร จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างแผนงานของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาล อาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (2553-2558) และร่างโครงการ/กิจกรรมหลักของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอา เซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชนระหว่างปี 2553-2554 ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 43 และ การประชุมอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-23 กรกฎาคม 2553 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ทั้งนี้ หาก มีความจำเป็นจะต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยให้ กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
35863 | ขอขยายเวลาในการจัดส่งข้อมูลขอรับการจัดสรรเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 กระทรวงสาธารณสุข | สธ | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายเวลาการจัดส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาขอจัดสรรเงินโครง
การลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ของกระทรวงสาธารณสุข จากเดิมวันที่ 15 กรกฎาคม 2553 เป็นวันที่ 16 สิงหาคม 2553 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||
35864 | มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการซึ่งได้รับผลกระทบเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ชุมนุมเพิ่มเติม | นร | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบ และอนุมัติมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการซึ่งได้รับผลกระทบเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ชุมนุม เพิ่มเติม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการช่วยเหลือ ผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมเสนอ 2. เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยด้านการฟ้องคดี ด้านการให้คำปรึกษาแนะนำ รวมทั้งการ เจรจาเพื่อให้ความช่วยเหลือ และให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เอาประกันภัย และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม โดยกรม คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ดำเนิน การตามมติคณะกรรมการช่วยเหลือฯ ที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ 3. เห็นชอบในหลักการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ทรัพย์สินถูกเพลิงไหม้อันเนื่องมาจากการชุมนุม โดยตรง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 และรักษาสภาพการจ้างงานไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพนักงาน โดยใช้หลักฐาน ข้อมูลตาม ภงด. 1
|
|||||||||||||||||||||||||||
35865 | การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบร่างประกาศ จำนวน 2 ฉบับ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนิน การต่อไปได้ ดังนี้ 1.1 ร่างประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขต ท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา มีสาระสำคัญคือ ให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถาน การณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ทุกอำเภอของจังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา ออก ไปอีกเป็นเวลาสามเดือน 1.2 ร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มี ความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ มีสาระสำคัญคือ ให้บรรดาประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดขึ้นตามประกาศสถาน การณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา ลงวันที่ 20 กรกฎา คม พ.ศ. 2548 และตามประกาศ เรื่อง การจัดตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดการบริหาร ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ลงวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2550 ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าคณะ รัฐมนตรีจะกำหนดเป็นอย่างอื่น 2. รับทราบร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศและคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถาน การณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ โดยให้บรรดาประกาศและคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดขึ้นตาม ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา ลงวัน ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2550 เรื่อง การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่หัวหน้าผู้รับ ผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ลงวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2550 และตามประกาศขยายระยะเวลาการ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ดังกล่าว เท่าที่ยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ในวันที่ประกาศนี้ใช้ บังคับ ให้มีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่านายกรัฐมนตรีจะกำหนดเป็นอย่างอื่น ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่ง ชาติเสนอ 3. โดยที่แนวทางในการดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของ รัฐบาลในปัจจุบันมีความชัดเจนและสามารถแก้ไขปัญหาให้บรรเทาเบาบางลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นรูป ธรรม จึงขอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ความสำคัญกับการ ดำเนินการให้ประชาชนในพื้นที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ 4. ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรดำเนินการจัดทำข้อมูลผลการปฏิบัติงาน ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในทุกท้องที่เพื่อให้มีความโปร่งใสและชี้แจงต่อสาธารณชนได้ มิ ฉะนั้นจะถูกนำไปบิดเบือนและสร้างเป็นเงื่อนไขในการปลุกปั่นยุยงให้เกิดความหวาดระแวง
|
|||||||||||||||||||||||||||
35866 | ขอแก้ไขมาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ว่างงานและผู้ประกอบธุรกิจแฟรนไชส์และขายตรง จากผลกระทบของเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ภายใต้ : โครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการธุรกิจโลจิสติกส์ไทย และปรับปรุงหลักเกณฑ์สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย | พณ | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ 1.1 ปรับแก้ไขมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ที่ถูกเลิกจ้างหรือผู้ว่างงานที่มีความประสงค์จะประกอบ ธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรงโดยเพิ่มเติมกลุ่มเป้าหมายของมาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบ การ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน และ 25 พฤษภาคม 2553 ให้ครอบคลุมผู้ถูกเลิกจ้างหรือผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมและประสงค์จะประกอบ ธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรงด้วย 1.2 ปรับปรุงหลักเกณฑ์สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย เพิ่มเติม ในมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2552 ดังนี้ 1.2.1 เพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในการใช้วงเงินสินเชื่อ โดยวงเงินสินเชื่อต่อราย : รายละไม่เกิน 5 ล้าน บาทเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน และเป็นเงินลงทุนในการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถบรรทุก/รถขนส่ง ให้แก่ผู้ประกอบ การในโครงการ โดยให้เป็นอำนาจหน้าที่ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ในการอนุมัติวงเงินสินเชื่อต่อราย 1.2.2 ผ่อนปรนให้ผู้กู้ที่มีกิจการเกี่ยวเนื่องกันสามารถใช้วงเงินสินเชื่อได้ตามประเภทของกิจการใน กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ โดยกรณีเป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกันหรือกิจการที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกัน ซึ่งสามารถแยกการ ดำเนินธุรกิจและ/หรือสถานประกอบการได้อย่างชัดเจน อนุโลมให้สามารถขอสินเชื่อได้ โดยกู้ได้วงเงินสูงสุดกิจการ ละไม่เกิน 5 ล้านบาท ของโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย 2. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงพาณิชย์แจ้งข้อมูลผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยตรงกรณีรายบุคคลให้กระทรวงแรงงานเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบกลุ่มนี้โดยให้ความสำคัญกับความ พร้อมในด้านการสร้างความรู้และฝึกอาชีพแก่ผู้ว่างงานเพื่อนำไปสู่ทางเลือกในการประกอบอาชีพใหม่ และให้กระทรวง พลังงานพิจารณาความเป็นไปได้ของการขยายผลของโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ซึ่งได้ดำเนินการมา อย่างได้ผลแล้ว โดยใช้เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 2,000 ล้านบาท และงบประมาณสมทบจากการปิโตรเลียม แห่งประเทศไทย (ปตท.) จำนวน 5,000 ล้านบาท เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ 11 แห่งปล่อยสินเชื่อผ่อนปรนแก่ผู้ใช้รถ ทั่วไปและผู้ประกอบการขนส่งทั่วประเทศ และความเห็นของคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและประชา ชนที่ทรัพย์สินได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมือง ที่เห็นควรพิจารณาให้แก่กลุ่ม ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเป็นอันดับแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อ ไป |
|||||||||||||||||||||||||||
35867 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 2 (มกราคม - มีนาคม 2552) ไตรมาสที่ 3 (เมษายน - มิถุนายน 2552) และไตรมาสที่ 4 (กรกฎาคม - กันยายน 2552) ปีงบประมาณ 2552 และไตรมาสที่ 1 (ตุลาคม - ธันวาคม 2552) ปีงบประมาณ 2553 | กค | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 2 (มกรา
คม-มีนาคม 2552) ไตรมาสที่ 3 (เมษายน-มิถุนายน 2552) และไตรมาสที่ 4 (กรกฎาคม-กันยายน 2552) ปี งบประมาณ พ.ศ. 2552 และไตรมาสที่ 1 (ตุลาคม-ธันวาคม 2552) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 สรุปได้ดังนี้ 1. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 2 (มกราคม-มีนาคม 2552) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 สินค้าฟุ่ม เฟือยทั้ง 17 กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้า 322.207 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้า ฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ผลไม้ มูลค่านำเข้า 64.139 ล้านดอลลาร์สหรัฐ น้ำหอมและ เครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า 60.567 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง มูลค่านำเข้า 35.836 ล้านดอล ลาร์สหรัฐ 2. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 3 (เมษายน-มิถุนายน 2552) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 สินค้า ฟุ่มเฟือยทั้ง 17 กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้า 306.037 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้า ฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า 62.002 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ นาฬิกาและอุปกรณ์ มูลค่านำเข้า 37.093 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และผลไม้ มูลค่านำเข้า 34.461 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ 3. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 4 (กรกฎาคม-กันยายน 2552) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 สิน ค้าฟุ่มเฟือยทั้ง 17 กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้า 401.794 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า 68.782 ล้านดอล ลาร์สหรัฐ ผลไม้ มูลค่านำเข้า 61.820 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นาฬิกาและอุปกรณ์ มูลค่านำเข้า 52.918 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ 4. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 1 (ตุลาคม-ธันวาคม 2552) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 สินค้าฟุ่ม เฟือยทั้ง 17 กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม 472.148 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ผลไม้ มูลค่านำเข้า 103.530 ล้านดอลลาร์สหรัฐ น้ำหอม และเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า 75.972 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นาฬิกาและอุปกรณ์ มูลค่านำเข้า 60.786 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ |
|||||||||||||||||||||||||||
35868 | การลักลอบตัดไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จังหวัดพิษณุโลก | นร | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่าจากกรณีที่ชุดเฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามการ
บุกรุกทำลายป่าของอำเภอนครไทยและอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ได้จับกุมตัวผู้บุกรุกเข้าไปลักลอบตัดไม้ ในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขากระยาง จังหวัดพิษณุโลก พร้อมของกลางไม้มะค่าโมงอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ต่อมา ได้ขยายผลจับกุมผู้กระทำผิดเพิ่มเติมได้อีกจำนวนหนึ่ง โดยขณะที่ชุดเฉพาะกิจฯ เข้าจับกุม มีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง อยู่ในที่เกิดเหตุและอาจมีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิดดังกล่าวด้วย จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาด ไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งรัดติดตามและดำเนินการในส่วน ที่เกี่ยวข้องเพื่อจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ครบถ้วน และหากมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้ดำเนินคดีอย่าง จริงจัง
|
|||||||||||||||||||||||||||
35869 | การจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ | นร | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) รายงานการจัดงาน
เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 78 พรรษา 12 สิงหาคม 2553 ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีกิจกรรมสำคัญ ดังนี้ 1. การจัดงานมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา "12 สิงหาพระบรมราชินีนาถ" พุทธศักราช 2553 ณ บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 7-13 สิงหาคม 2553 โดยมูลนิธิ 5 ธันวา มหาราช 2. การจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิม พระชนมพรรษา 78 พรรษา 12 สิงหาคม 2553 "พลังแห่งรัก .. แม่ของแผ่นดิน" ณ ลานพระราชวังดุสิตและสวน อัมพร ระหว่างวันที่ 12-15 สิงหาคม 2553 โดยความร่วมมือของกระทรวงต่าง ๆ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังเป็นประธานการจัดงาน 3. การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ "มหกรรมหมู่บ้านกองทุน แม่ของแผ่นดิน : รวมใจไทยทั้งชาติ พิทักษ์ราชด้วยภักดี" โดยสำนักงาน ป.ป.ส. เป็นผู้ดำเนินการจัดงาน ในส่วน ของกิจกรรม ได้แก่ การจัดมหกรรมเทิดไท้ราชินีสามัคคีทั่วแผ่นดิน ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อระดมทุนสมทบกอง ทุนแม่ของแผ่นดิน ในวันที่ 9 สิงหาคม 2553 รวมทั้งพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคลเฉลิมพระเกียรติสม เด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 78 พรรษา 12 สิงหาคม 2553 ณ ทำเนียบรัฐบาล จึงขอกราบเรียนเชิญนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทุกท่านเข้าร่วมงานในวัน ดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน รวมทั้งขอความร่วมมือให้เร่งประชาสัมพันธ์การจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในส่วนที่แต่ ละกระทรวงรับผิดชอบดำเนินการให้ทราบโดยทั่วกันด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
35870 | บุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล) | กค | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคาร
แห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง เนื่องจากนางธาริษา วัฒนเกส จะ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2553 ซึ่งเป็นวันสิ้นปีงบประมาณที่ นางธาริษา วัฒนเกส มีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
35871 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่พนักงานสอบสวนต้องปฏิบัติในการจัดหาทนายความให้แก่ผู้ต้องหาในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่พนักงานสอบสวน
ต้องปฏิบัติในการจัดหาทนายความให้แก่ผู้ต้องหาในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติ ธรรมเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||
35872 | ขออนุมัติขยายระยะเวลา เรื่อง การชำระคืนหนี้เงินกู้ ค่าออกแบบ ค่าก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2549 ออกไปอีก 10 ปี | คค | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการขยายเวลาการชำระคืนหนี้เงินกู้ ค่าออกแบบ ค่าก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษาโครง การรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2549 ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ยกเว้นเรื่องการขยายเวลาให้รัฐบาลรับภาระหนี้แทน รฟม. เห็นชอบให้ขยายเวลาต่อไปอีก 5 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2555-2559 ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. เร่งรัดจัดทำแนวทางและมาตรการในการดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกิจการของ รฟม. เพื่อนำ เสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป 2. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการลดภาระการสนับสนุนใน ด้านงบประมาณการดำเนินงานให้แก่ รฟม. ในระยะยาว และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐ กิจและสังคมแห่งชาติ ที่ให้เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2552 [เรื่อง รายงานการศึกษา และวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)] ที่ให้ รฟม. แยกบัญชีผลการดำเนินงาน (รายได้ค่าโดยสารและรายได้เชิงพาณิชย์และต้นทุน) และสินทรัพย์ของโครงการรถไฟฟ้า เส้นทางต่าง ๆ ในลักษณะหน่วยธุรกิจ และเร่งศึกษาความเหมาะสมของรูปแบบการให้สัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสาย สีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระฯ รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการเร่งรัด พัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนตามนโยบายของรัฐบาล โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง การ รายงานผลการชำระหนี้เงินกู้ฯ และฐานะทางการเงินต่อสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
35873 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2552 | นร | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับข้อเสนอของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่ขอพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2552 (เรื่อง ขออนุมัติให้ข้าราชการได้รับสิทธิได้รับรถประจำตำแหน่งหรือรับเงินค่าตอบแทน เหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง) เพื่ออนุมัติให้ผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกนายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ที่ ก.พ. กำหนดเงื่อนไขการแต่งตั้งให้ได้รับสิทธิประโยชน์อื่นตามที่ได้รับอยู่เดิม ให้ได้รับสิทธิได้รับรถประจำตำแหน่ง หรือรับเงินตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่งตามสิทธิที่ได้รับอยู่เดิม โดยให้สำนักเลขาธิการนายก รัฐมนตรีถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
35874 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการใช้สารและวิธีการต้องห้ามทางการกีฬา พ.ศ. .... | กก | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติควบคุมการใช้สารและวิธีการต้องห้ามทางการกีฬา พ.ศ. .... มีสาระ สำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการใช้สารและวิธีการต้องห้ามทางการกีฬา เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีใน คำประกาศแห่งองค์การต่อต้านสารต้องห้ามทางการกีฬาระดับโลก (World Anti-Doping Agency) และส่งเสริมความ ร่วมมือระดับนานาชาติ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ พิจารณาเป็นเรื่องด่วน 2. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานศาลยุติธรรม และกระทรวงการคลัง ที่เห็นว่าการจัดตั้งสำนักงานควบคุมการใช้สารและวิธีการต้องห้ามทาง การกีฬาในการกีฬาแห่งประเทศไทย ไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553 ที่ให้ขยายระยะ เวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงาน และการขอจัดตั้งองค์การมหาชนหรือหน่วย งานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายบริหารออกไป ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ส่วนการกำหนดให้ พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในที่รโหฐานระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก โดยไม่ต้องมีหมายศาล นั้น ควรระบุถึงเหตุผลความจำเป็นเหตุยกเว้นดังกล่าวไว้ให้ชัดเจนด้วย รวมทั้งปรับปรุงวิธีการลงโทษนักกีฬาที่ใช้สาร เคมีและผู้ส่งเสริมหรือสนับสนุนนักกีฬาในการใช้สารเคมีโดยห้ามแข่งขันในระยะเวลาอันสมควรเพื่อเป็นการให้โอกาส นักกีฬาหรือผู้สนับสนุนนักกีฬาได้ปรับปรุงตัวเองและสามารถกลับมาเล่นกีฬาหรือร่วมกิจกรรมทางการกีฬาได้อีก ไป ประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณาเพื่อจะได้เสนอสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาในสมัยประชุมสมัยสามัญที่จะถึงนี้ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
35875 | การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ "มหกรรมหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน : รวมใจไทยทั้งชาติ พิทักษ์ราชด้วยภักดี" | ยธ | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการป้องกันและ
ปราบปรามยาเสพติดเสนอ ดังนี้ 1. รับทราบการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหา มงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 78 พรรษา 12 สิงหาคม โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้มีมติ เห็นชอบให้มีการจัดงานเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ภายใต้ชื่องานว่า "มหกรรมหมู่ บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน : รวมใจไทยทั้งชาติ พิทักษ์ราชด้วยภักดี" ซึ่งมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อระดมประชาชนสาขา อาชีพต่าง ๆ ทั่วประเทศร่วมกันแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีด้วยการจัดกิจกรรมต่าง ๆ และร่วมระดมทุนเพื่อสมทบ ทุนกองทุนแม่ของแผ่นดิน เพื่อสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชนสนองพระราชปณิ ธาน โดยกำหนดให้มีการจัดงานตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน 2553 2. ให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และองค์กรต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการสนับสนุน เผย แพร่ รณรงค์ประชาสัมพันธ์การดำเนินงาน รวมทั้งการระดมทุนเพื่อสมทบโครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน 3. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาอนุมัติหลักเกณฑ์การนำเงินบริจาคสำหรับการนี้ เป็นค่าใช้จ่ายในการ ลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีตามประมวลรัษฎากร 4. อนุมัติในหลักการของการพิจารณาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ผู้ที่บริจาคสมทบทุนตามระเบียบและ หลักเกณฑ์ที่กำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||
35876 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ครั้งที่ 2/2553 เมื่อวันที่ 8 เมษา ยน 2553 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนทางการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ของการรถไฟแห่งประเทศ ไทย จำนวน 2,285.418 ล้านบาท จากที่เสนอขอรับเงินอุดหนุนสำหรับบริการสาธารณะ จำนวน 3,795.766 ล้าน บาท ทั้งนี้ ให้ใช้หลักการการคำนวณต้นทุนการให้บริการสาธารณะตามหลักการของปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และ มีสมมติฐานการประมาณการรายได้ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยปรับราคาค่าโดยสารภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และปรับกำหนดการขอรับเงินอุดหนุนจาก "ขอรับเงินอุดหนุนทุกกิจกรรมล่วงหน้าตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2554" เป็น "ขอรับเงินอุดหนุนทุกกิจกรรมล่วงหน้า โดยแบ่งออกเป็น 2 งวด งวดละร้อยละ 50" 1.2 ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำรายงานแผนกลยุทธ์ที่จะปรับปรุงการดำเนินงานให้เข้าสู่ความเป็น เลิศในด้านต่าง ๆ (Best Practice) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสาธารณะต่อคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการ สาธารณะ และให้เร่งปรับปรุงระบบบัญชีขององค์กรให้ได้มาตรฐานและเป็นไปตามกิจกรรมของหน่วยธุรกิจต่าง ๆ ตาม โครงสร้างการบริหารจัดการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในหลักการไว้เพื่อให้การแยกบัญชีเชิงพาณิชย์และบัญชี เชิงสังคมมีความชัดเจนและถูกต้องโดยเร็วต่อไป 1.3 ในการจัดทำประมาณการค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงของการรถไฟแห่งประเทศไทย สมควรดำเนินการภายใต้ สมมติฐานที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่เกี่ยวกับประเภทหรือชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิง และมีระดับราคาที่เหมาะสม ใกล้เคียงกับแนวโน้มของราคาขายส่งน้ำมันเชื้อเพลิง 2. ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ ที่เห็นควรเร่งจัดทำแผนปฏิบัติการการปรับโครงสร้างองค์กร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 การปรับปรุงระบบบัญชีตามโครงสร้างองค์กรใหม่ การเตรียมความพร้อมโดยเฉพาะบุคลากรด้านการบัญชีรองรับการ ปรับระบบบัญชีดังกล่าว และการควบคุมการค่าใช้จ่าย รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาปรับ โครงสร้างราคาค่าบริการให้สอดคล้องกับต้นทุนการบริหารจัดการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
35877 | ผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) ครั้งที่ 2/2553 | นร | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการเสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) ครั้งที่ 2/2553 1.2 อนุมัติขยายกรอบวงเงินลงทุนโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 จำนวน 2,166.44 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้กรอบวงเงินลงทุนโครงการเพิ่มขึ้นจาก 19,016.00 ล้านบาท เป็น 21,182.44 ล้านบาท 1.3 เห็นชอบในหลักการโครงการจัดทำแผนการใช้ที่ดินของรัฐและการจัดทำแผนแม่บทศูนย์ราชการ โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมของวงเงินงบประมาณ และให้กรมโยธาธิการและผังเมือง รวมทั้ง สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณ เพื่อดำเนิน การเป็นรายปีตามความพร้อมในการดำเนินงานต่อไป 1.4 เพื่อให้การดำเนินการจัดทำแผนการใช้ที่ดินของรัฐและการจัดทำแผนแม่บทศูนย์ราชการเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเป็นเอกลักษณ์ และลดภาระการจัดสรรงบประมาณของภาครัฐ เห็นควรให้กรมโยธาธิ การและผังเมือง และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการ ดังนี้ 1.4.1 พิจารณากำหนดกลไกการมีส่วนร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และชุมชนในพื้นที่โดยรอบ เพื่อให้การดำเนินโครงการศูนย์ราชการฯ ในจังหวัดต่าง ๆ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกภาคส่วน และจังหวัดสามารถ กำกับการดำเนินงานตามแผนที่ตั้งไว้ได้ 1.4.2 พิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการว่าจ้างเอกชนเพื่อดำเนินการโดยหน่วยงานภาค รัฐควรพิจารณาดำเนินงานด้านผังนโยบายเอง ได้แก่ งานวางแผนการใช้ที่ดินของรัฐ และงานจัดทำผังแม่บทศูนย์ ราชการ และในส่วนงานออกแบบทางด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมอาจว่าจ้างเอกชน เพื่อลดระยะเวลาและลด ภาระการดำเนินงานของภาครัฐได้ 1.4.3 พิจารณาออกแบบและวางผังอาคารภายในศูนย์ราชการให้มีความสอดคล้องกับรูปแบบ ทางสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น เพื่อความเป็นเอกลักษณ์ของศูนย์ราชการในแต่ละแห่ง 2. ส่วนการขอขยายกรอบวงเงินงบประมาณลงทุนโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ซึ่งบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ได้ดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ใช้สอยตามความ ต้องการของหน่วยงานต่าง ๆ นอกเหนือไปจากมาตรฐานการออกแบบของโครงการ ปรับแก้ไขแบบก่อสร้างพื้นที่ สำนักงานเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงานใหม่ที่ขอใช้พื้นที่แทนหน่วยงานที่ขอยกเลิก ปรับปรุงพื้นที่ส่วน กลาง และงานระบบประกอบอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ซึ่งเป็นการดำเนินการไปก่อนล่วงหน้า และ ไม่เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง นั้น ค่าใช้จ่ายเพื่อการดำเนินการดังกล่าวจะต้อง บริหารจัดการเงินรายได้ของ ธพส. ที่ได้รับจากหน่วยงานต่าง ๆ เป็นค่าเช่าเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวเอง
|
|||||||||||||||||||||||||||
35878 | โครงการปลูกยางพาราในที่แห่งใหม่ ระยะที่ 3 พ.ศ. 2553 - 2555 ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง มาตรา 21 ทวิ | กษ | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการโครงการปลูกยางพาราในที่แห่งใหม่ ระยะที่ 3 พ.ศ. 2553-2555 ตามพระราช บัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง มาตรา 21 ทวิ โดยการส่งเสริมการปลูกยางพันธุ์ดีในเขตพื้นที่ที่เหมาะสม จำนวน 800,000 ไร่ แบ่งเป็น ภาคเหนือ จำนวน 150,000 ไร่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 500,000 ไร่ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ จำนวน 150,000 ไร่ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการ ผลิตยางพาราของไทย โดยเน้นส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ยางที่ได้มาตรฐานสากลร่วมกันระหว่าง สถาบันวิจัยยาง สถาบันเกษตรกร และภาคเอกชนผู้ประกอบการแปรรูปยางเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรให้สูงขึ้นและ เชื่อมโยงกับการตลาดในการรองรับผลผลิตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ตลอดจนลดต้นทุนการผลิตโดยสนับสนุน การใช้ปุ๋ยชีวภาพ และการฝึกอบรมแรงงานกรีดยางเพื่อให้มีทักษะในการกรีดยางได้อย่างมีคุณภาพ ไปพิจารณาด้วย 2. ในส่วนของงบประมาณดำเนินการเฉพาะค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 สำหรับการถ่ายทอด เทคโนโลยี (การฝึกอบรม) และการบริหารโครงการในวงเงินรวมไม่เกิน 33.815 ล้านบาท (20+13.815) ให้ใช้ จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือ จำเป็น โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อ ไป ส่วนค่าปัจจัยการผลิตในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 เป็นต้น ไป ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาใช้จ่ายจากเงินรายได้ที่เก็บจากผู้ส่งยางออกนอกราชอาณาจักร (Cess) แต่ถ้าไม่สามารถนำเงินรายได้ดังกล่าวมาดำเนินการได้ เนื่องจากจะขัดกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง ก็ให้เสนอ คณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง 3. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรี ไปดำเนินการ ด้วยว่าพื้นที่การส่งเสริมการปลูกยางพาราตามโครงการฯ ควรเป็นที่ที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามกฎหมาย และต้องไม่เป็นพื้นที่ป่าสงวนหรือพื้นที่อนุรักษ์ |
|||||||||||||||||||||||||||
35879 | ข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 1929 (ค.ศ. 2010) เกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่มเติม | กต | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
1. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ 1929 (ค.ศ. 2010) เกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่มเติมอย่างเคร่งครัด ตาม อำนาจและกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องของตน 2. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินตามข้อมติ ดังกล่าว และจัดทำรายงานเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการของข้อมติ UNSC ที่ 1929 (ค.ศ. 2010) ของไทย ให้แก่ UNSC ภายในวันที่ 8 สิงหาคม 2553 (60 วัน ภายหลังการรับรองข้อมติดังกล่าว)
|
|||||||||||||||||||||||||||
35880 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดิน ในท้องที่จังหวัดน่าน และจังหวัดราชบุรี จำนวน 4 ฉบับ | กษ | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดิน ในท้องที่จังหวัดน่าน และ
จังหวัดราชบุรี จำนวน 4 ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ 1. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลผาทอง ตำบลผาตอ ตำบลแสนทอง ตำบลริม ตำบลท่าวังผา ตำบลจอมพระ ตำบลป่าคา ตำบลยม ตำบลศรีภูมิ ตำบลตาลชุม อำเภอท่าวังผา ตำบลบ่อ ตำบล สะเนียนตำบลผาสิงห์ ตำบลถืมตอง ตำบลไชยสถาน ตำบลเรือง ตำบลดู่ใต้ ตำบลสวก ตำบลนาซาว ตำบลกอง ควาย อำเภอเมืองน่าน และตำบลเมืองจัง ตำบลฝายแก้ว ตำบลม่วงตื้ด ตำบลน้ำเกี๋ยน ตำบลน้ำแก่น ตำบลนาปัง อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... 2. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลบ่อเกลือเหนือ อำเภอบ่อเกลือ ตำบลเจดีย์ชัย ตำบลวรนคร ตำบลปัว ตำบลศิลาแลง ตำบลป่ากลาง ตำบลศิลาเพชร ตำบลอวน อำเภอปัว ตำบลป่าแลวหลวง ตำบลพงษ์ ตำบลดู่พงษ์ อำเภอสันติสุข และตำบลแม่จริม ตำบลน้ำปาย ตำบลน้ำพาง อำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... 3. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลทุ่งศรีทอง ตำบลนาเหลือง ตำบลน้ำปั้ว ตำบล จอมจันทร์ ตำบลตาลชุม ตำบลปงสนุก ตำบลไหล่น่าน ตำบลกลางเวียง ตำบลยาบหัวนา ตำบลขึ่ง ตำบลแม่สา ตำบลล้านนาหนองใหม่ ตำบลอ่ายนาไลย์ ตำบลล้าน ตำบลแม่สาคร และตำบลน้ำมาบ อำเภอเวียงสา จังหวัด น่าน ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... 4. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลแก้มอ้น ตำบลเบิกไพร ตำบลด่านทับตะโก ตำบลปากช่อง ตำบลจอมบึง ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง ตำบลป่าหวาย ตำบลท่าเคย ตำบลตะนาวศรี อำเภอ สวนผึ้ง และตำบลหนองพันจันทร์ ตำบลบ้านคา ตำบลบ้านบึง อำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ ดิน พ.ศ. ....
|
.....