ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1792 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 35821 - 35840 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
35821 | การจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 สำหรับส่วนราชการจังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่ไม่มีเงินเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 | นร | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 สำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบัน อุดมศึกษา ที่ไม่มีเงินเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 หรือมีอยู่ไม่เพียงพอ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการ พัฒนาระบบราชการ 2. ให้หน่วยงานนำเงินรางวัลดังกล่าวไปจัดสรรต่อให้เฉพาะผู้ปฏิบัติเท่านั้น โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ และ วิธีการที่ ก.พ.ร. กำหนด และคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 และไม่ให้นำเงินราง วัลที่ได้รับจัดสรรไปหารเฉลี่ยให้เท่ากันทุกคน แต่ต้องมีการประเมินผลการปฏิบัติราชการ และควรให้ผู้กับปฏิบัติที่มี ความร่วมมือในการสร้างผลงานให้ส่วนราชการฯ รวมทั้งผู้ที่มีความทุ่มเทและมีผลงานให้ส่วนราชการฯ บรรลุเป้าหมาย ตามแผนปฏิบัติราชการและตามคำรับรองการปฏิบัติราชการประจำปี 3. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เร่งศึกษาวิเคราะห์ผลการดำเนินการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และพิจารณาแนวทางและหลักการของการจัดสรรเงินรางวัลดังกล่าวใหม่ ทั้งระบบเพื่อให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น |
||||||||||||||||||||||||
35822 | การรวมเงินกองทุนพิเศษเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่ปอไว้ในกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร | กษ | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้รวมเงินกองทุนพิเศษเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่ปอ จำนวน 34,705,389.97 บาท เข้าไว้ ในกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร เพื่อให้การบริหารจัดการกองทุนสงเคราะห์เกิดความคล่องตัวและเกิดประโยชน์สูงสุด ในการช่วยเหลือเกษตรกร ตามมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร ครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก่อนการดำเนินการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นว่าหากมีการรวมกองทุนแล้วจะ ต้องไม่กระทบต่อเกษตรกรชาวไร่ปอที่จะขอสนับสนุนเงินช่วยเหลือจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรในอนาคต รวมทั้ง ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการชี้แจงทำความเข้าใจกับ เกษตรกรชาวไร่ปอถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการรวมกองทุน และมีการดูแลให้เกษตรกรชาวไร่ปอมีโอกาสเข้าถึงความ ช่วยเหลือของกองทุนเกษตรกรอย่างเท่าเทียมกับเกษตรกรโดยทั่วไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
35823 | โครงการระบบส่งเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหงสาลิกไนต์ | พน | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบโครงการระบบส่งเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหงสาลิกไนต์ ของการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในวงเงินลงทุนรวม 21,160 ล้านบาท เพื่อให้สามารถรองรับการรับซื้อไฟฟ้าจากโรง ไฟฟ้าพลังความร้อนหงสาลิกไนต์ ตามนโยบายของรัฐบาลในการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน ลาว (สปป.ลาว) ภายใต้ MOU ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาล สปป.ลาว ตลอดจนเพื่อสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่ม ขึ้นในภาคเหนือ ช่วยให้ระบบไฟฟ้ามีความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้า โดยพลังงานไฟฟ้าส่วนที่เหลือจะส่งมายังพื้นที่ภาค กลาง กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นศูนย์กลางความต้องการไฟฟ้าของประเทศ รวมทั้งเป็นการกระจายแหล่งและ ชนิดเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงาน (กฟผ.) รับ ความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานอัย การสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาบริหารความเสี่ยง ในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อมิให้กระทบต่อความสำเร็จของโครงการฯ และเห็นควรดำเนินโครงการฯ อย่าง รัดกุมและรอบคอบ รวมทั้งจัดทำ IEE เพื่อใช้ประกอบการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม และไม่เป็น อุปสรรคต่อการดำเนินโครงการฯ หรือกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภาพรวม นอกจากนี้ ควรตรวจสอบ เกี่ยวกับการใช้สิทธิในที่ดินเพื่อก่อสร้างสายส่งและสถานีไฟฟ้าฝั่งไทยให้ชัดเจนด้วยว่า สามารถจะดำเนินการเพื่อให้ได้ สิทธิและสามารถก่อสร้างสายส่ง และสถานีไฟฟ้าได้เสร็จตามกำหนดเวลาในสัญญา รวมถึงวิธีการดำเนินการจ้างก่อ สร้างระบบสายส่งจะต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 2. เพื่อเป็นการส่งเสริมความร่วมมือและความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย และ สปป.ลาว ในการดำเนินโครง การฯ หรือโครงการอื่นที่มีลักษณะเดียวกันสมควรจัดให้มีทุนการศึกษาให้แก่บุคลากรของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการ พลังงานของ สปป.ลาว ด้วย โดยให้กระทรวงพลังงานรับเรื่องนี้ไปประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ (สำนักงาน ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาประเทศ) เพื่อดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
35824 | การปรับภารกิจและโครงสร้างของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ | นร | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการการปรับภารกิจและโครงสร้างองค์กรของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อ ให้การดำเนินงานด้านความมั่นคงเป็นไปอย่างทันสถานการณ์และครอบคลุมประเด็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความ มั่นคงของประเทศในระยะต่อไป รวมทั้งการปรับปรุงพระราชบัญญัติสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2502 และฉบับ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2507 เพื่อให้เป็นกฎหมายที่สนับสนุนประสิทธิภาพการดำเนินงานของสำนักงานสภาความมั่น คงแห่งชาติ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ โดยให้ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องดำเนิน การตามนโยบายของรัฐบาลตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 เรื่อง นโยบายการพัฒนาระบบ ราชการ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553 เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัด ตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 2. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่ให้ดำเนินการตามขั้นตอนการแบ่งส่วนราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ที่ได้แจ้งเวียนให้ส่วนราชการทราบและถือปฏิบัติแล้วตามหนังสือสำนักงาน ก.พ.ร. ที่ นร 1200/ว 18 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2549 เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง กฎกระทรวงการแบ่งส่วนราชการ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
35825 | ขออนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยปรับวงเงินค่าก่อสร้าง ค่างานตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) และค่าจ้างที่ปรึกษาในการดำเนินการโครงการก่อสร้างระบบเก็บค่าผ่านทางและระบบควบคุมความปลอดภัยด้านการจราจรของทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ และทางหลวงพิเศษหมายเลข 37 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ตอนบางพลี - บางขุนเทียน ช่วงสุขสวัสดิ์ - บางขุนเทียน) | คค | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ปรับวงเงินในการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบเก็บค่า ผ่านทางและระบบควบคุมความปลอดภัยด้านการจราจรของทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ และทางหลวงพิเศษหมาย เลข 37 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครฯ ในส่วนของค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 2,865,748,021.76 บาท ค่างานตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ลดลงจากเดิมเป็น 130,000,000.00 บาท และค่าจ้างที่ปรึกษาเพิ่ม ขึ้นจากเดิมเป็น 44,056,527.00 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 3,039,804,548.76 บาท ซึ่งอยู่ในกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรี ได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2551 จำนวน 3,049,260,000.00 บาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ 2. ให้กระทรวงคมนาคม (กทพ. และกรมทางหลวง) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการศึกษาหลักการในการกำหนดส่วนแบ่งรายได้ค่าธรรมเนียมค่าผ่านทางดังกล่าว ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงให้แก่ กทพ. ที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและความสามารถ ในการชำระหนี้ของ กทพ. ในช่วงดังกล่าว และควรให้ความสำคัญกับคุณภาพการให้บริการและประสิทธิภาพการใช้งาน ของระบบบัตรค่าผ่านทางแบบอัตโนมัติ (Easy pass) รวมทั้งการขยายช่องทางการตลาดทั้งในส่วนของระบบจำหน่าย บัตรและระบบการเติมเงิน ตลอดจนปรับปรุงคุณภาพระบบสารสนเทศและเว็บไซต์ของ กทพ. เพื่อให้ประชาชนสามารถ เข้าถึงและสืบค้นข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
35826 | ร่างปฏิญญาเจจูด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในการประชุมรัฐมนตรีด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อมของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 2 | ทส | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบต่อสาระสำคัญในร่างปฏิญญาเจจูด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (Jeju Declaration on Environ ment and Health) ก่อนที่จะให้การรับรองร่างปฏิญญาเจจูฯ โดยไม่มีการลงนามในการประชุมรัฐมนตรีด้านอนามัย และสิ่งแวดล้อมของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 2 (The Second Ministerial Forum on Environment and Health in South-East and East Asian Countries) ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2553 ณ เกาะเจจู สาธารณรัฐเกาลี และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาให้การรับรองปฏิญญาเจจูฯ และให้สามารถปรับเปลี่ยนถ้อยคำได้ตามความเหมาะสม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรให้ มีการศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดตั้งศูนย์การวิจัยและฝึกอบรมด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการปฏิบัติการ ของฝ่ายเลขานุการของเวทีการประชุมและคณะทำงานต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการ 2. เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้พิจารณาให้การรับรองปฏิญญาเจจูฯ เพียงผู้เดียว เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมติดภารกิจสำคัญทำให้ไม่สามารถเดินทางไปเข้า ร่วมในการประชุมรัฐมนตรีด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อมฯ ได้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมเสนอเพิ่มเติม |
||||||||||||||||||||||||
35827 | การขอความเห็นชอบและการลงนามในร่างข้อตกลงการรับมอบ - ส่งมอบชุดป้องกันวัตถุระเบิดพร้อมอุปกรณ์ประกอบ ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลออสเตรเลีย | กห | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ 1.1 เห็นชอบร่างข้อตกลงการรับมอบ-ส่งมอบ ชุดป้องกันวัตถุระเบิดพร้อมอุปกรณ์ประกอบ ระหว่าง รัฐบาลไทยกับรัฐบาลออสเตรเลีย 1.2 หากมีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดของร่างข้อตกลงฯ ที่จะไม่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอาณา เขตไทยหรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎ หมายระหว่างประเทศ หรือต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือมีผลกระทบต่อความ มั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้าการลงทุน หรืองบประมาณ ของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ให้กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพไทย ดำเนินการได้ตามความเหมาะสม 1.3 ให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างข้อตกลงฯ 2. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็น ร่างข้อตกลงฯ ถือเป็นสัญญา เชิงพาณิชย์ (สัญญาให้) อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายออสเตรเลีย ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2535 กำหนดให้ส่งร่างข้อตกลงฯ ให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาก่อนลงนามสัญญา ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
35828 | กรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย - ออสเตรเลีย (TAFTA) และกรอบการเจรจาความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย - นิวซีแลนด์ (TNZCEP) | พณ | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจากรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (Thai
land-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) และกรอบการเจรจาความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่ง ขึ้นไทย-นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership : TNZCEP) โดยให้เสนอกรอบการ เจรจาดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา 190 วรรคสามของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตาม ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นว่า กรอบการเจรจาทั้ง 2 ฉบับ มีประเด็นการเจรจาในเรื่อง การจัดซื้อโดยรัฐ โดยให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการจัดซื้อโดยรัฐ เกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารจัดการภาครัฐ การงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งส่งเสริมให้มีความโปร่งใสในกระบวนการ และขั้นตอนการจัดซื้อโดยรัฐ ซึ่งกรอบการเจรจาฯ อาจมีผลต่อการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศไทย กับประเทศอื่น ดังนั้น หากมีการเจรจาในเรื่องนี้ ประเทศไทยควรกำหนดท่าทีการเจรจาให้สอดคล้องกับความตกลง ว่าด้วยการจัดซื้อโดยรัฐ (Government Procurement Agreement) ในองค์การการค้าโลกเป็นหลักและครอบคลุม เฉพาะหลักการกว้าง ๆ ไปดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
35829 | ขออนุมัติงบประมาณสนับสนุนการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 34 | ทส | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ 1.1 ในหลักการให้ดำเนินการโน้มน้าว (Lobby) ประเทศภาคีสมาชิกในอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ให้เห็นด้วยกับราชอาณาจักรไทยว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารก่อให้เกิดปัญหาข้อขัดแย้งและการกระทบ กระทั่งอย่างรุนแรงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา จึงควรชะลอการพิจารณาแผนการจัดการ พื้นที่ (Management Plan) ปราสาทพระวิหารของราชอาณาจักรกัมพูชาไปก่อน จนกว่าการแก้ไขปัญหาเรื่องแนว เขตระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาจะเสร็จสิ้น โดยให้ประสานงานกระทรวงการต่างประเทศ เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการดังกล่าว 1.2 เห็นชอบอนุมัติวงเงินงบประมาณ 10,000,000 บาท สำหรับผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่จะเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 34 ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม-3 สิงหาคม 2553 ณ กรุงบราซิเลีย สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เสนอให้ มีการหารือเพิ่มเติมอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงศึกษาธิการเพื่อพิจารณา ท่าทีไทยอย่างรอบด้านและรอบคอบ เพื่อประโยชน์สูงสุดของไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย โดยในส่วนของค่า ใช้จ่ายในการเข้าร่วมประชุม ฯ ให้ใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงินไม่เกิน 10,000,000 บาท ตามที่เสนอ โดยขอทำความตกลง ในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
35830 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ 16 | พณ | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่
16 (APEC Ministers Responsible for Trade Meeting : APEC MRT) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-6 มิถุนายน 2553 ณ เมืองซับโปโร ประเทศญี่ปุ่น สรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการเจรจารอบโดฮาและประเด็นเจรจาที่เป็นปัญหา และเห็นว่าในการ เจรจาควรมีความสมดุลและสนับสนุนกระบวนการหารือแบบเจรจาหลายเรื่องพร้อมกัน (horizontal process) และ ได้ออกแถลงการณ์ของรัฐมนตรีการค้าเอเปคเรื่องการเจรจารอบโดฮา และตกลงที่จะสนับสนุนข้อเรียกร้องไม่ให้ใช้ มาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุนหรือมาตรการกระตุ้นการส่งออกที่ไม่สอดคล้องกับ WTO ต่อไปจนถึง ปี ค.ศ. 2011 2. ที่ประชุมพิจารณาความคืบหน้าในการเปิดเสรีการค้าการลงทุนตามเป้าหมายโบกอร์ในปี ค.ศ. 2010 ของสมาชิกพัฒนาแล้ว 5 เขตเศรษฐกิจ (แคนาดา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และสหรัฐฯ) รวมทั้งสมาชิกกำลัง พัฒนาที่อาสาเข้าร่วมประเมินผลในปีนี้อีก 8 เขตเศรษฐกิจ (ชิลี เปรู เม็กซิโก ฮ่องกง จีนไทเป เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย) โดยในส่วนของไทยเห็นว่าในการเปิดเสรีบางเรื่องยังมีปัญหาโดยเฉพาะเรื่องภาษีศุลกากรของสินค้า เกษตรที่ยังอยู่ในอัตราสูง และมาตรการที่มิใช่ภาษีที่มีการใช้เพิ่มมากขึ้นในหลายประเทศ 3. ที่ประชุมมีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการเจรจาเขตการค้าเสรีในเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia-Pacific : FTAAP) สรุปได้ว่า ปัจจุบันภูมิภาคนี้มีการรวมตัวใกล้ชิดกันมากขึ้น ผ่านการเจรจา FTA ของหลายประเทศ และการดำเนินการในเอเปคภายใต้เวทีสำคัญก็มีงานที่เกี่ยวกับ FTAAP อยู่แล้ว จึงน่าจะยังคง FTAAP ไว้เป็นเป้าหมายในระยะยาว (long-term goal) ของเอเปคต่อไป ซึ่งประเด็นดังกล่าวไทยไม่ขัดข้องต่อการคง FTAAP ไว้เป็นเป้าหมายในระยะยาว และเห็นว่าการเปิดเสรีการค้าการลงทุนต้องดำเนินการเรื่องการอำนวยความ สะดวกทางการค้า และการปฏิรูปกฎหมายควบคู่กันไป เพื่อให้การค้าการลงทุนระหว่างประเทศมีอุปสรรคน้อยลง โดยไทยได้ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่อง Supply Chain Connectivity ในเอเปค การพัฒนาด้านมาตรฐานและการ ตรวจสอบคุณภาพและการปฏิรูปกฎระเบียบภายในซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประเทศกำลังพัฒนาในระยะยาว 4. ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอเรื่องกลยุทธ์การเจริญเติบโตใหม่ของญี่ปุ่น ซึ่งมีหลักการคือ ความเจริญ เติบโตทางเศรษฐกิจต้องมีความสมดุล (balanced growth) ทั้งระหว่างและภายในเขตเศรษฐกิจสมาชิก มีความเท่า เทียมกัน (inclusive growth) ระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ต้องเอื้อต่อสิ่งแวดล้อม (green growth) การเจริญเติบโต อย่างมีนวัตกรรม (innovative growth) โดยใช้วิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี และมีความมั่นคง (secure growth) ที่จะปก ป้องประชากร สังคมและเศรษฐกิจจากภัยพิบัติทั้งที่เกิดจากมนุษย์และธรรมชาติ โดยแผนปฏิบัติงานจะเน้นเรื่องที่ เอเปคสามารถเพิ่มคุณค่า (add value) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ ตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถ (capacity building) โดยในส่วนของไทยได้สนับสนุนในหลักการดังกล่าวแต่อยากให้มีรายละเอียดที่ชัดเจนในแต่ละ หัวข้อโดยให้ความสำคัญกับภาคเกษตรมากกว่านี้ สำหรับเรื่องการเติบโตโดยมีนวัตกรรมควรมีความสมดุลระหว่าง การคุ้มครองสิทธิและการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการพัฒนาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
35831 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเขาปู่ อำเภอศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเขาปู่ อำเภอศรี
บรรพต จังหวัดพัทลุง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเขาปู่ อำเภอ ศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
35832 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ พ.ศ. .... | ศธ | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขา
วิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวง ศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราช กฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการศึกษา สาขาวิชานิติศาสตร์ สาขา วิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ และสาขาวิชาศิลปศาสตร์ 2. กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่ง และเครื่องหมายประกอบครุยประจำ ตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหาร และคณาจารย์ 3. กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย 4. กำหนดสีประจำสาขาวิชา
|
||||||||||||||||||||||||
35833 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พ.ศ. .... | ศธ | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขา
วิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป ได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาครุศาสตร์อุตสาห กรรม สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ สาขาวิชาเทคโนโลยี สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ ศิลป์ สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ สาขาวิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ และสาขาวิชาอุตสาห กรรมศาสตร์ 2. กำหนดครุยวิทยฐานะ ครุยประจำตำแหน่งและเครื่องหมายประกอบครุยประจำตำแหน่งของนายก สภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย และคณาจารย์ 3. กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย 4. กำหนดสีประจำมหาวิทยาลัย
|
||||||||||||||||||||||||
35834 | การแต่งตั้งรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรี กรอบแผนงานความร่วมมือการพัฒนาเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (Indonesia - Malaysia - Thailand Growth Triangle : IMT - GT) แผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) และกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) | นร | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติแต่งตั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เป็นรัฐมนตรีประจำแผน งาน IMT-GT (IMT-GT Minister) รัฐมนตรีประจำแผนงาน GMS (GMS Minister) และรัฐมนตรีประจำกรอบความร่วม มือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม (Mekong-Japan Economic and Industrial Cooperation Mini ster) เพื่อกำกับดูแลและปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรีของกรอบแผนงานความร่วม มือ IMT-GT แผนงาน GMS และกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม 2. เห็นชอบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรีของกรอบแผนงานความร่วมมือ IMT- GT แผนงาน GMS และกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม และมอบหมายเลขาธิ การคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ในการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของทั้ง 3 แผนงาน
|
||||||||||||||||||||||||
35835 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (ศาสตราจารย์สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ) | วช | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งให้ศาสตราจารย์ สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ เลขาธิการคณะกรรมการ
วิจัยแห่งชาติเป็นผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ตามที่ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
35836 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการปัญหาเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา | สสป | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เรื่อง การบริหารจัดการปัญหาเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา และรับทราบตามที่ กระทรวงการต่างประเทศเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของ สภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ ปรึกษาฯ สรุปได้ดังนี้ 1. เขตแดนและการเจรจา 1.1 ควรทบทวนบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาเกี่ยวกับพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน ทางทะเลของไหล่ทวีป ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ได้มีการดำเนินการตามมาตรา 224 ของรัฐธรรม นูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 หรือไม่ หากทบทวนแล้วพบว่าไม่ได้มีการดำเนินการตามมาตรา 224 ควรพิจารณาให้มีการดำเนินการตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 1.2 กรณีที่จะใช้บันทึกความเข้าใจตามข้อ 1.1 เป็นกรอบในการเจรจาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล ของไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชา สำหรับพื้นที่พัฒนาร่วมทางทะเล (Joint Development Area) ระหว่างไทยกับ กัมพูชา ควรจัดทำกรอบในการเจรจาเกี่ยวกับการแบ่งปันผลประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวและเสนอขอความเห็นชอบต่อ รัฐสภาก่อน 1.3 ในการเจรจาเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา ควรยึดถือหลักการสากลตามอนุสัญญาสห ประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 1.4 ในการเจรจาเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชา ควรนำเรื่องชุมชนชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาตั้ง ถิ่นฐานในหลายพื้นที่มาเป็นประเด็นในการเจรจาด้วย 1.5 ในการเจรจาหลักเขตแดนทางบกทั้ง 73 หลัก ระหว่างไทยกับกัมพูชา ต้องกำหนดแนวทางในการ เจรจาในภาพรวม ไม่ควรเจรจาตกลงในลักษณะทีละหลักเขต 2. การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน 2.1 การเปิดจุดผ่านแดนใหม่ระหว่างไทยกับกัมพูชา ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และมีการวิเคราะห์ ถึงประโยชน์ที่จะได้รับก่อนอนุญาตที่จะเปิดดำเนินการ ตัวอย่างเช่น กรณีจุดผ่านแดน ช่องตาเฒ่าบริเวณใกล้เขาพระ วิหาร ซึ่งอาจทำให้ไทยสูญเสียในด้านธุรกิจทางท่องเที่ยวและยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางทหาร 2.2 ควรกำชับการใช้ระเบียบการผ่านแดนในจุดต่าง ๆ บริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชาให้มีการปฏิบัติ ตามระเบียบอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิผล 2.3 ควรมีมาตรการปราบปรามและป้องกันกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นในบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชาโดย การส่งเสริมให้ชุมชนและภาคส่วนอื่นในท้องถิ่นให้มีการตรวจสอบ 2.4 ควรส่งเสริมและสนับสนุนการค้าบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชาทั้งในส่วนของมาตรการทางด้าน ภาษีและคลังสินค้า และส่วนที่เกี่ยวข้องกับระเบียบทางการค้าให้มีความคล่องตัว 2.5 ควรใช้ประเด็นทางการค้าชายแดนเพื่อประโยชน์ในการต่อรองในกรณีที่มีปัญหาชายแดนหรือใน การแก้ปัญหาชายแดน
|
||||||||||||||||||||||||
35837 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยวิธีการแบบปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... | นร | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยวิธีการแบบปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอ
นิกส์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการและรักษาความมั่นคงปลอดภัยของทรัพย์สินสารสนเทศ ในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้มีการยอมรับและเชื่อมั่นในข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ที่สำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
35838 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลคลองประเวศ ตำบลเทพราช อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ตำบลคลองสวน ตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ และแขวงขุมทอง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | คค | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบล
คลองประเวศ ตำบลเทพราช อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ตำบลคลองสวน ตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัด สมุทรปราการ และแขวงขุมทอง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินใน บริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลคลองประเวช ตำบลเทพราช อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ตำบลคลอง สวน ตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ และแขวงขุมทอง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร เพื่อขยาย ทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 314 กับถนนหลวงแพ่ง และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้อง เวนคืนที่แน่นอน ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
35839 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาต การอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งสถานตรวจสภาพรถ พ.ศ. .... | คค | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาต การอนุญาต และการต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งสถานตรวจสภาพรถ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 37 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 และยกร่างกฎกระทรวงขึ้นใหม่ทั้ง ฉบับ เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาต การอนุญาต และการต่ออายุใบอนุญาตจัด ตั้งสถานตรวจสภาพรถใหม่ เพื่อให้การควบคุม กำกับ ดูแลสถานตรวจสภาพรถ ตลอดจนการตรวจสอบสภาพ รถสามารถกระทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและมาตรฐานยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา 2. ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนิน การต่อไปได้ ดังนี้ 2.1 ปรับปรุงถ้อยคำในข้อ 5 (1) (จ) ข้อ 5 (2) (ฉ) และข้อ 5 (3) (จ) เป็น "แผนผังบริเวณ แบบ แปลน รายการประกอบแบบแปลนของอาคารสถานตรวจสภาพรถ พื้นที่หรือสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่จอดรถ ที่ กลับรถ และทางเข้าออกของรถ และรายละเอียดของแบบแปลนอาคารตลอดจนมาตราส่วนต่าง ๆ ให้เป็นไปตาม ข้อกำหนดของกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร" 2.2 ปรับปรุงถ้อยคำในข้อ 5 (1) (ฉ) ข้อ 5 (2) (ช) และข้อ 5 (3) (ฉ) เป็น "หลักฐานในอนุญาต ก่อสร้างอาคารหรือดัดแปลงอาคาร หรือใบอนุญาตเปลี่ยนการใช้อาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร เว้นแต่อาคารนั้น ไม่อยู่ภายใต้บังคับตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร หรือไม่สามารถหาหลักฐานดังกล่าว ได้ เนื่องจากอาคารดังกล่าวได้ก่อสร้างมานาน ให้ใช้หนังสือรับรองความมั่นคงแข็งแรงและความปลอดภัยของ อาคารนั้นจากผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกร"
|
||||||||||||||||||||||||
35840 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสำหรับคนพิการในโครงสร้างพื้นฐานและในระบบการขนส่งสาธารณะ พ.ศ. .... | คค | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวย
ความสะดวกและบริการสำหรับคนพิการในโครงสร้างพื้นฐานและในระบบการขนส่งสาธารณะ พ.ศ. .... ตามที่ กระทรวงคมนาคมเสนอ และส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดย ร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะหรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการ สำหรับคนพิการในโครงสร้างพื้นฐานและในระบบการขนส่งสาธารณะ แบ่งเป็น 1. หมวด 1 สิ่งอำนวยความสะดวกในระบบการขนส่งทางถนน 2. หมวด 2 สิ่งอำนวยความสะดวกในระบบการขนส่งสาธารณะทางเรือโดยสาร 3. หมวด 3 สิ่งอำนวยความสะดวกในระบบการขนส่งสาธารณะทางอากาศยาน 4. หมวด 4 สิ่งอำนวยความสะดวกในระบบการขนส่งทางราง 5. หมวด 5 สิ่งอำนวยความสะดวกในเขตทางหลวงและทางพิเศษ 6. หมวด 6 การบริการ
|
.....