ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1508 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30141 - 30160 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30141 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | กค | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยกรมบัญชีกลางได้รวบรวมรายงานการเงินของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม ๘,๐๘๒ หน่วยงาน จาก ๘,๓๙๒ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๖.๓๑ เพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยรวบรวมข้อมูลรายงานการเงินสิ้นสุดถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะในประเด็นสำคัญต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานทุกกลุ่มจัดทำบัญชีและรายงานการเงินให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน และส่งสำเนารายงานการเงินที่ส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้กรมบัญชีกลาง โดยเฉพาะในส่วนของรายงานการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้ส่งสำนักงานคลังจังหวัดรวบรวมส่งกรมบัญชีกลางต่อไป ยกเว้นหน่วยงานในกลุ่มของรัฐวิสาหกิจยังคงส่งข้อมูลรายงานการเงินให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจตามเดิม ๑.๒.๒ ให้ผู้บริหารให้ความสำคัญงานบัญชีมากยิ่งขึ้น และให้กำกับดูแลให้ผู้ตรวจสอบภายในวางแผนการตรวจสอบด้านการเงินและบัญชี พร้อมทั้งรายงานผลให้ผู้บริหารทราบอย่างสม่ำเสมอเพื่อรายงานปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะ กรณีมีปัญหาข้อขัดข้องในการปฏิบัติงานเพื่อสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องทันเหตุการณ์ต่อไป ๑.๒.๓ ให้ผู้บริหารระดับกรม/กระทรวง พิจารณาให้ความสำคัญในเรื่องอัตรากำลังและคุณสมบัติของเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานการเงินและบัญชีของหน่วยงานในสังกัด ซึ่งจำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาด้านบัญชี และจะต้องมีการสอนงานการเงินและบัญชีให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายสามารถปฏิบัติงานได้ต่อเนื่องเป็นปัจจุบัน รวมทั้งพิจารณาความดีความชอบเป็นกรณีพิเศษให้กับเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีที่จัดทำบัญชีและรายงานการเงินถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน ๑.๒.๔ ผู้บริหารควรกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัด โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บและนำส่งเงินรายได้แผ่นดิน/รายได้ของหน่วยงาน/เงินนอกงบประมาณต่าง ๆ ให้มีการควบคุมดูแลการรับเงินและการออกใบเสร็จรับเงิน รวมถึงการบันทึกรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน ๑.๒.๕ ผู้บริหารควรกำชับหน่วยงานในสังกัดและเจ้าหน้าที่การเงินของหน่วยงานให้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานการเบิกจ่ายเงินให้ถูกต้อง ครบถ้วน และปฏิบัติตามระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและรอบคอบ โดยให้มีการตรวจสอบเอกสารหลักฐานและการบันทึกบัญชีให้ถูกต้อง ครบถ้วนอย่างสม่ำเสมอ ๑.๒.๖ ผู้บริหารควรกำชับให้หน่วยงานในสังกัดและเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีตรวจสอบและบันทึกรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน พร้อมทั้งให้มีการจัดทำงบกระทบยอดเงินฝากธนาคารประจำเดือน เพื่อให้สามารถตรวจพบข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นและปรับปรุงแก้ไขรายการบัญชีดังกล่าวให้ถูกต้องก่อนจัดทำรายงานการเงินประจำเดือน/ประจำปี ๑.๒.๗ ผู้บริหารควรกำชับให้หน่วยงานในสังกัดควบคุมดูแลและตรวจสอบบัญชีวัสดุและสินทรัพย์ถาวรของหน่วยงานให้ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงและตรงกับทะเบียนคุมวัสดุ ทะเบียนคุมทรัพย์สิน หากพบข้อผิดพลาดให้รายงานผู้บริหารและดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังติดตามผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะแนวทางการการปฏิบัติงานของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องตามที่กรมบัญชีกลางเสนอ และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งเผยแพร่ข้อเสนอแนะดังกล่าวไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ต่อราชการในการจัดทำข้อมูลทางบัญชีการเงินของภาครัฐให้มีความทันสมัย ถูกต้องเพื่อใช้ในการบริหารสินทรัพย์ หนี้สิน รายได้ และค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยืดหยุ่นต่อการปฏิบัติงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30142 | การเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกของไทยในทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (International Renewable Energy Agency : IRENA) | พน | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบธรรมนูญของทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ และให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (International Renewable Energy Agency : IRENA) ทั้งนี้ การเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิก IRENA จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทางด้านพลังงานหมุนเวียน ตลอดจนเสริมสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญทางด้านพลังงานทดแทนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสามารถขยายผลในเรื่องดังกล่าวไปยังภาคเอกชนได้อีกด้วย นอกจากนี้ จะเป็นการต่อยอดนโยบายด้านพลังงานทดแทนของไทยให้เป็นที่ประจักษ์ในเวทีโลกให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ในการส่งเสริมการผลิต การใช้ ตลอดจนการวิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก โดยตั้งเป้าหมายให้สามารถทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลได้อย่างน้อยร้อยละ ๒๕ ภายใน ๑๐ ปีข้างหน้า และให้นำธรรมนูญดังกล่าวเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... มีกำหนดให้เพื่อคุ้มครองการดำเนินงานในประเทศไทยของทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ ที่ได้จัดตั้งขึ้นตามธรรมนูญของทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ ซึ่งทำขึ้นเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้บรรลุผลตามความมุ่งประสงค์ ให้ยอมรับนับถือว่าทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศเป็นนิติบุคคล และให้ถือว่ามีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไปเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบธรรมนูญของทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศแล้ว ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการตามกระบวนการภาคยานุวัติหลังจากที่ธรรมนูญของทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา และร่างพระราชบัญญัติฯ มีผลใช้บังคับแล้ว ๔. เห็นชอบในหลักการในการจัดสรรงบประมาณเป็นเงินอุดหนุน/สนับสนุนรายปีให้แก่ IRENA ในการเป็นภาคีสมาชิกของประเทศไทยใน IRENA (ประมาณ ๗๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ขึ้นอยู่กับจำนวนประเทศภาคีสมาชิก) ตลอดเวลาที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิกของ IRENA ๕. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นการจัดสรรงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนรายปีแก่ IRENA โดยภายหลังการเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิก IRENA แล้ว หากมีมาตรการในด้านการเงินเพื่อสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน ให้ผู้แทนไทยในสมัชชา IRENA นำส่งให้กระทรวงการคลังเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายมาตรการของกระทรวงการคลังต่อไป และให้มีการประเมินความคุ้มค่าที่เกิดขึ้นจริงหากประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิก IRENA เพื่อประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายการดำเนินงานภายใต้ภาคีสมาชิก IRENA ให้คุ้มค่ากับวงเงินงบประมาณอุดหนุนที่ประเทศไทยต้องชำระสำหรับค่าสมาชิกรายปี รวมทั้งพิจารณาจัดตั้งแผนการดำเนินงาน เป้าหมาย และระบบการตรวจสอบผลงานที่ชัดเจนเพื่อให้การเข้าร่วมเป็นสมาชิกก่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลแก่ประเทศไทยได้สูงสุด และพิจารณากำหนดบทบาทของประเทศไทยในการดำเนินงานใน IRENA ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30143 | ขอความเห็นชอบร่างแผนพัฒนาสตรีในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) | พม | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแผนพัฒนาสตรีในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) เพื่อให้หน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชนและภาคประชาสังคม องค์กรที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ในการดำเนินงานด้านการพัฒนาศักยภาพสตรีและการส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชายของประเทศไทย ในช่วงปี ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ โดยมีสาระสำคัญคือ วิสัยทัศน์ “เป็นสังคมเสมอภาคและมีความยุติธรรม ที่สตรีอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มั่นคงปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี” มียุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาสตรีในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ ที่มีเป้าหมายให้สังคมไทยเป็นสังคมที่เสมอภาค คนในสังคมมีเจตคติที่ดี ตระหนักและยอมรับถึงบทบาทสตรีในบริบทต่างๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีบูรณาการยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรีให้เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ตามแผนพัฒนาสตรีฯ ฉบับนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||
30144 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2555 | พณ | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๑.๑ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ จำนวน ๓ คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา คณะอนุกรรมการเตรียมการประชุม WIPO Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore (WIPO IGC) และคณะอนุกรรมการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาด้านภูมิปัญญา ทรัพยากรชีวภาพ และวัฒนธรรมไทย ๑.๑.๒ เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญา พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสร้างสรรค์และการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงพาณิชย์ที่สอดคล้องกับศักยภาพของประเทศไทย และความต้องการตลาดโลก ตลอดจนใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและบริการ รวมถึงการคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรชีวภาพของไทยอย่างเหมาะสมทั้งในและต่างประเทศ สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ประกอบด้วย ๗ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์สร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ยุทธศาสตร์การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์การศึกษา และสร้างวัฒนธรรมด้านทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์ความร่วมมือด้านต่างประเทศ และยุทธศาสตร์ด้านการเงินการคลัง ๑.๑.๓ เห็นชอบแผนเร่งรัดการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ ซึ่งได้รวบรวมการดำเนินการที่สำคัญเพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทยประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว แบ่งเป็น ๔ ด้าน คือ ด้านโครงสร้าง ด้านการบังคับใช้กฎหมาย ด้านการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย และด้านการศึกษาและรณรงค์สร้างจิตสำนึกการเคารพสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๑.๔ เห็นชอบ (ร่าง) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ พ.ศ. .... ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และเกิดผลเป็นรูปธรรม รวมถึงเสนอแนะการกำหนดนโยบาย แนวทาง มาตรการ และแผนงานด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อคณะรัฐมนตรี ๑.๑.๕ รับทราบในเรื่องสำคัญ ได้แก่ รายงานผลการดำเนินงานด้านการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา รายงานผลการประเมินสถานะไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ รายงานผลการดำเนินงานของคณะทำงานความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาอาเซียน (ASEAN Working Group on Intellectual Property Cooperation - AWGIPC) รายงานผลการประชุม WIPO Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore (WIPO IGC) ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ครั้งที่ ๑๙ และรายงานผลการเตรียมการจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ ครั้งที่ ๒ (Thailand International Creative Economy Forum - TICEF 2012) ๑.๒ เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญา พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ พร้อมทั้งหน่วยงานรับผิดชอบหลัก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแผนเร่งรัดการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ ตามที่คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติมีมติเห็นชอบ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการพัฒนา ปรับปรุง และการบังคับใช้กฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรเกษตร การส่งเสริมและคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อให้มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ที่สูงขึ้น การยกระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในด้านการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรชีวภาพให้ครอบคลุมในประเด็นสิทธิของกลุ่มคนและชุมชนผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรด้านต่าง ๆ การเพิ่มกฎหมายเฉพาะเพื่อการปกป้องคุ้มครองด้านการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมและภูมิปัญญาท้องถิ่น การสนับสนุนให้มีการจัดตั้งสถาบันเฉพาะทางเพื่อพัฒนาผู้มีศักยภาพทางด้านศิลปวัฒนธรรมสู่การเป็นศิลปินอาชีพอย่างครบวงจร การส่งเสริมให้ศิลปินและผู้สร้างสรรค์งานด้านศิลปวัฒนธรรมใช้ประโยชน์จากระบบทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการสร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพและก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มของผลงานนั้น ๆ การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดจากทุนสนับสนุนของรัฐที่เหมาะสมโดยผู้รับทุนวิจัยจากงบประมาณแผ่นดินมีสิทธิเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดจากผลงานวิจัยดังกล่าวได้ การปรับปรุงกระบวนการจดสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าให้มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างความมั่นใจแก่เจ้าของสินค้าและบริการ การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติด้านยาและเวชภัณฑ์ การกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนในแต่ละยุทธศาสตร์ของแผนยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อให้สามารถประเมินผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ได้อย่างแท้จริง การให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและสร้างความเชื่อมโยงในทางปฏิบัติทั้งระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการดำเนินมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต/เคเบิลทีวีโดยใช้มาตรการทางกฎหมาย โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายควบคู่กับการคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ และการเคารพในสิทธิขั้นพื้นฐานด้านการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนตามรัฐธรรมนูญอย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
30145 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านการศึกษาและการวิจัยระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐฝรั่งเศส | ศธ | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจด้านการศึกษาและการวิจัยระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐฝรั่งเศส (Memorandum of Understanding on Cooperation in Education and Research) โดยบันทึกความเข้าใจด้านการศึกษาและการวิจัยฉบับนี้จะใช้แทนความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านอุดมศึกษาและการวิจัย ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๔๒ และใช้เป็นกรอบแนวทางในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านการศึกษาในทุกระดับระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับกรมสนธิสสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณามอบหมายให้รัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่งหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ร่วมในคณะเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญในบางประเด็น และข้อสังเกตของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) ที่เห็นว่า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน จึงควรให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยมีส่วนร่วมในการให้ความเห็นในการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการก่อนการลงนามด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30146 | ขอความเห็นชอบปรับอัตราเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ | พม | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การเคหะแห่งชาติปรับอัตราเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากอัตรารายละ ๒,๕๐๐ บาทต่อเดือน เป็นอัตรารายละ ๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕) ทั้งนี้ คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ได้เห็นชอบการปรับอัตราเงินตอบแทนพิเศษดังกล่าวด้วยแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30147 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน จำนวน 2 ฉบับ | กษ | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองพระปรง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองพระปรง จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลช่องกุ่ม อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว ถึงกิโลเมตรที่ ๕๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลหนองตะเคียนบอน อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำพระปรง เป็นทางน้ำชลประทานทึ่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำพระปรง ในท้องที่ตำบลช่องกุ่ม อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว และตำบลหนองหมากฝ้าย อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
30148 | การลงนามข้อตกลงในการแลกเปลี่ยนและจัดฝึกอบรมเกี่ยวกับแมลงศัตรูธรรมชาติในการควบคุมศัตรูพืช โดยชีววิธีความร่วมมือทางวิชาการ (Agreement on Exchanging and Training on Insect Natural Enemies for Biological Control of Agricultural Pests) | กษ | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติมว่า ขอแก้ไขข้อความ “Tetrastichus brontispae ซึ่งเป็นแตนเบียนลงทำลายดักแด้ของหนอนหัวดำมะพร้าว” เป็น “Tetrastichus brontispae ซึ่งเป็นแตนเบียนลงทำลายดักแด้ของแมลงดำหนามมะพร้าว” สำหรับข้อเสนอของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการลงนามข้อตกลงในการแลกเปลี่ยนและจัดฝึกอบรมเกี่ยวกับแมลงศัตรูธรรมชาติในการควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธีความร่วมมือทางวิชาการ (Agreement on Exchanging and Training on Insect Natural Enemies for Biological Control of Agricultural Pests) ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขข้อตกลงดังกล่าวที่มิใช่สาระสำคัญ ให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการดำเนินงานภายใต้ข้อตกลงฯ ต้องสอดคล้องกับมาตรการและกฎหมายภายในประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเผยแพร่ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อประโยชน์ด้านการกำจัดแมลงศัตรูพืช ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30149 | บันทึกความเข้าใจโครงการสาธิตการผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลังในประเทศไทยระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับองค์การพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น | วท | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของความร่วมมือทางวิชาการในโครงการสาธิตการผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลังในประเทศไทย ระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับผู้แทนองค์การพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (New Energy and Industrial Technology Development Organization ; NEDO) ประเทศญี่ปุ่น และการให้ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้ลงนามกับผู้แทนองค์การ NEDO ประเทศญี่ปุ่น และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับกรณีการขอยกเว้นการขึ้นทะเบียนครุภัณฑ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งข้อ ๑๒ (๑) และ (๒) แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุฯ กำหนดให้คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุมีอำนาจหน้าที่ตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบ และพิจารณาอนุมัติยกเว้นหรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ จึงเป็นการกำหนดให้มีองค์การเฉพาะเพื่อทำหน้าที่พิจารณาและวินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาหรือระงับข้อพิพาทที่ส่วนราชการทั้งหลายดำเนินการตามระเบียบไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และสามารถยกเว้นหรือผ่อนผันการดำเนินการบางเรื่องที่ส่วนราชการติดขัดหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องได้ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงไม่มีอำนาจยกเว้นหรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุฯ รวมทั้งให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับคำว่า “คู่สัญญา” ที่กำหนดไว้ในบันทึกความเข้าใจฯ ควรจะเป็นคู่สัญญาระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับ NEDO เท่านั้น ไม่ควรมีชื่อสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เข้ามาร่วมเกี่ยวข้องและปรากฏอยู่ในแต่ละข้อสัญญา และในการดำเนินโครงการฯ ควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของตัวแทนจากโรงงานอุตสาหกรรมในกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) ซึ่งมีศักยภาพ ไปพิจารณาดำเนินการ แล้วให้นำร่างบันทึกความเข้าใจฯ เสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป ๒. เรื่องการขอยกเว้นภาษีอากรทุกชนิดในการนำเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุต่าง ๆ ที่ NEDO นำเข้ามาใช้ในโครงการและการขอรับยกเว้นภาษีอากรเมื่อโอนกรรมสิทธิ์ ให้บริษัท เอี่ยมบูรพา เอทานอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการฯ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานกับกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๓. เรื่องการขอให้ได้รับยกเว้นการขึ้นทะเบียนครุภัณฑ์นั้น เป็นอำนาจของคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุที่จะพิจารณาอนุญาต จึงให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับไปขอยกเว้นการขึ้นทะเบียนครุภัณฑ์ดังกล่าวต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุตามนัยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๔. ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการบริหารจัดการโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรไว้ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
30150 | รายงานประจำปี 2554 กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ | อื่นๆ | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องจากกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพมีภารกิจหลักคือ การส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพในประชาชนทุกวัยตามนโยบายสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จึงเห็นควรให้หน่วยงานดังกล่าว บูรณาการการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันในการดูแลสุขภาพของประชาชนในระยะยาว ทั้งในด้านการรณรงค์ป้องกัน ด้านการศึกษาวิจัยและการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงและอัตราการเจ็บป่วยของประชาชน โดยเฉพาะการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่สามารถป้องกันได้ อาทิ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน รวมถึงการเจ็บป่วยด้วยโรคอุบัติใหม่ ซึ่งจะช่วยลดภาระงบประมาณในด้านการบริการสาธารณสุขได้ ๒. เห็นชอบรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ตามที่นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเสนอ และให้กองทุนฯ รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการทบทวนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการพิจารณาจัดสรรเงินและใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ เพื่อการส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชนทุกวัยและทุกระดับได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยสร้างความตระหนักเรื่องพฤติกรรมการเสี่ยงจากการบริโภคสุรา ยาสูบ หรือสาร หรือสิ่งอื่นที่ทำลายสุขภาพ รวมทั้งให้มีการศึกษาวิจัย หรือดำเนินการให้มีการประชุมเกี่ยวกับการสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพที่ส่งผลต่อประชาชนทุกวัยและทุกระดับอย่างแท้จริง และให้คณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ที่จัดตั้งขึ้นตามนัยมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๔๔ วิเคราะห์สรุปผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ประหยัด และได้ผลตามเป้าหมายเพียงใด พร้อมทั้งรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบในรายงานประจำปีด้วย นอกจากนี้ ในการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ควรมีการประเมินประสิทธิภาพของมาตรการที่จะดำเนินการว่ามาตรการใดที่มีประสิทธิภาพควรดำเนินการต่อไป มาตรการใดที่มีประสิทธิภาพแต่ยังไม่ได้ดำเนินการ หรือมาตรการใดไม่มีประสิทธิภาพที่ควรเลิกดำเนินการควบคู่กับการประเมินผลลัพธ์ทางสุขภาพของประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กองทุนฯ เข้าสู่ระบบการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน) ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
|||||||||||||||||||||||||||
30151 | รัฐบาลสาธารณรัฐเช็กเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายวีเจซสลัฟ เกรเปิล (Mr. Vitezslav Grepl)] | กต | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายวีเจซสลัฟ เกรเปิล (Mr. Vitezslav Grepl) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐเช็กประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทนนายมิลาน เซ็ดลาเช็ก (Mr. Milan Sedlacek) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30152 | การลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการตรวจสอบการกำกับดูแลความปลอดภัยการบินพลเรือน ตามโครงการ Universal Safety Oversight Audit Programme (USOAP) ระหว่างประเทศไทยกับองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) | คค | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้ดำเนินการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการตรวจสอบการกำกับดูแลความปลอดภัยการบินพลเรือนตามโครงการ Universal Safety Oversight Audit Programm (USOAP) ระหว่างประเทศไทยกับองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) โดยสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ เป็นเรื่องการร่วมมือกับ ICAO เพื่อให้มีการตรวจสอบการกำกับดูแลความปลอดภัยการบินพลเรือนตามโครงการ USOAP โดยวิธีการเฝ้าตรวจตราอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมภายใต้โครงการดังกล่าวและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดตั้งและการปฏิบัติตามระบบกำกับดูแลความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิได้ทำให้สาระสำคัญในบันทึกความเข้าใจฯ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ให้อยู่ในดุลยพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรืออธิบดีกรมการบินพลเรือน หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายที่จะดำเนินการได้ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรืออธิบดีกรมการบินพลเรือน หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามของฝ่ายไทย ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามของฝ่ายไทย |
|||||||||||||||||||||||||||
30153 | ผลการประชุมหารือ เรื่อง การแปลงหนี้เงินยืมรัฐบาลโครงการทางพิเศษศรีรัชเป็นทุนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | คค | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ชำระคืนเงินยืมของโครงการทางพิเศษศรีรัช จำนวน ๙,๘๐๖.๘๙ ล้านบาท (เงินต้น ๙,๓๒๗.๗๐ ล้านบาท ดอกเบี้ย ๔๗๙.๑๙ ล้านบาท) ให้แก่รัฐบาลตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็นต้นไป ส่วนเงื่อนไขและรายละเอียดในการชำระคืนเงินยืม ให้ กทพ. ทำความตกลงกับกระทรวงการคลังต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับเงื่อนไขและรายละเอียดในการชำระคืนเงินยืมในแต่ละปี ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมของฐานะเงินสดของ กทพ. อย่างรอบคอบประกอบด้วย เพื่อไม่ให้ กทพ. ต้องประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินและกระทบต่อประสิทธิภาพการให้บริการแก่ประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30154 | รายงานผลการลงนามในสัญญากู้เงินจากธนาคารโลกสำหรับเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (เงินกู้ Public Sector Reform Development Policy Loan : PSRDPL) | กค | 26/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รายงานผลการลงนามในสัญญากู้เงินจากธนาคารโลกสำหรับเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (เงินกู้ Public Sector Reform Development Policy Loan : PSRDPL) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงการคลังลงนามในสัญญากู้เงินและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับธนาคารโลก เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามสัญญากู้เงินเลขที่ 7723 - TH ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ในขอบเขตเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีและรัฐสภาได้อนุมัติและให้ความเห็นชอบแล้ว โดยมีรายละเอียดการกู้เงิน ดังนี้ ๑.๑ วงเงินกู้ ๑,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๑.๒ ระยะเวลากู้เงิน ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๘ ปี) เริ่มนับจากวันที่คณะกรรมการบริหารของธนาคารโลกอนุมัติเงินกู้ PSRDPL คือเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ๑.๓ งวดการชำระดอกเบี้ยปีละ ๒ ครั้ง ในวันที่ ๑๕ มกราคม และวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ของทุกปี ๑.๔ การชำระคืนต้นเงินกู้แบ่งเป็น ๒๔ งวด กำหนดชำระปีละ ๒ ครั้ง เริ่มชำระคืนต้นเงินกู้งวดแรกในวันชำระดอกเบี้ยงวดที่ ๑๓ และชำระคืนต้นเงินกู้งวดสุดท้ายในวันชำระดอกเบี้ยงวดที่ ๓๖ ๑.๕ ค่า Front - end Fee อัตราร้อยละ ๐.๒๕ ของวงเงินกู้ ชำระครั้งเดียวทั้งจำนวน โดยธนาคารโลกจะหักจากวงเงินกู้วันที่สัญญาเงินกู้มีผลใช้บังคับ ๑.๖ อัตราดอกเบี้ยกำหนดให้ใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัวของเงินกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้อัตราเงินกู้ระหว่างธนาคารในลอนดอนระยะเวลา ๖ เดือน (6 - month LIBOR) เป็นฐานการคำนวณบวกด้วยส่วนต่างอัตราลอยตัว (Variable Spread) ที่ประกาศโดยธนาคารโลก ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงทุก ๖ เดือน (วันที่ ๑ มกราคม และ ๑ กรกฎาคม) ๑.๗ การเบิกจ่ายเงินกู้ ต้องเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ๒. ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องการกู้เงินจากธนาคารโลก สำหรับเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (เงินกู้ Public Sector Reform Development Policy Loan : PSRDPL) ซึ่งต้องลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายในวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
30155 | ขออนุมัติให้ประเทศไทยให้สัตยาบันพิธีสาร 6 พรมแดนสำหรับรถไฟและสถานีชุมทาง | คค | 26/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ประเทศไทยให้สัตยาบันพิธีสาร ๖ พรมแดนสำหรับรถไฟและสถานีชุมทาง มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ พิธีสาร ๖ เป็นการกำหนดมาตรฐานสำหรับการเดินรถไฟระหว่างประเทศในการขนส่งสินค้าสำหรับรถไฟในประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งจะมีการยอมรับสถานีชายแดน สถานีเปลี่ยนถ่ายที่คู่ภาคีกำหนดไว้ และมีการจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกตามสถานีที่กำหนด รวมทั้งให้มีการจัดเตรียมการปฏิบัติงานขั้นพื้นฐาน โดยหลังจากที่ภาคีคู่สัญญาได้ทำข้อตกลงเดินรถร่วมระหว่างกันแล้ว จึงมีการตกลงกำหนดจำนวนรถ สถานีต้นทาง/ปลายทาง สถานที่ตรวจสอบล้อเลื่อน บริการรถจักร ประเภทและชนิดของล้อเลื่อน และน้ำหนักบรรทุก เป็นต้น ๑.๑.๒ พิธีสาร ๖ จะมีผลบังคับใช้เมื่อมีการให้สัตยาบันและการยอมรับจากทุกประเทศในภาคีคู่สัญญา ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งภาคีคู่สัญญาทราบเพื่อให้หนังสือสัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมของบุคลากรที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกตามสถานีชายแดนและสถานีเปลี่ยนถ่าย โดยเฉพาะบุคลากรด้านเทคนิคที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินรถไฟ รวมทั้งด้านกฎระเบียบและภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร และการกำหนดแนวทางการเดินรถไฟเพื่อขนส่งผู้โดยสารร่วมกันกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ โดยเฉพาะกับประเทศที่ไทยมีแผนพัฒนาเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงในระยะต่อไป อาทิ กัมพูชา (อรัญประเทศ - ปอยเปต) และเมียนมาร์ (กาญจนบุรี - ทวาย) เพื่อให้การขนส่งทางรถไฟระหว่างไทยและประเทศอาเซียนมีความครอบคลุมทั้งด้านการขนส่งผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30156 | ร่างพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 26/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับร่างมาตรา ๕/๑ วรรคท้ายที่กำหนดว่า “การดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนต้องสอดคล้องกับโครงการบริหารงานภาครัฐที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการกำหนด” ทำให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนไม่มีความเป็นอิสระ ทั้ง ๆ ที่องค์การมหาชนไม่ได้อยู่ภายในระบบราชการ ส่วนร่างมาตรา ๕/๒ (๓) เกี่ยวกับการกำหนดให้มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ควรกำหนดคุณสมบัติของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนไม่น้อยกว่า ๒ คน ให้คัดเลือกจากผู้ที่ดำรงตำแหน่งหรือผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ประธานกรรมการ หรือกรรมการขององค์การมหาชนหรือรัฐวิสาหกิจ ผู้อำนวยการองค์การมหาชน เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย และร่างมาตรา ๕/๑๐ การกำหนดหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ควรให้มีหน้าที่หรืออำนาจที่เกี่ยวกับ “การพัฒนาหรือส่งเสริมองค์การมหาชน” เพื่อให้การดำเนินงานขององค์การมหาชนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย ทั้งนี้ ให้เพิ่มเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นกรรมการโดยตำแหน่งในคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน แล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ มีดังนี้ ๑.๑ แก้ไขคำนิยามคณะกรรมการองค์การมหาชน โดยตัดคำว่าคณะกรรมการบริหารออกเพื่อให้เป็นไปตามหลักสากลของการบริหารองค์การที่คณะกรรมการทำหน้าที่ควบคุมดูแลองค์การมหาชนให้ดำเนินกิจการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ส่วนการบริหารเป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการ ๑.๒ กำหนดให้มีคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนรับผิดชอบในการเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อวางนโยบาย มาตรการ และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดตั้ง คุณลักษณะของกรรมการและผู้อำนวยการ การบริหารงาน การพัฒนา รวมทั้งการจัดตั้งและยุบเลิกองค์การมหาชนต่อคณะรัฐมนตรี ๑.๓ กำหนดให้องค์ประกอบของคณะกรรมการของแต่ละองค์การมหาชนมีจำนวนตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง แต่ต้องไม่เกินสิบเอ็ดคน และจะต้องมีกรรมการซึ่งไม่เป็นข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของคณะกรรมการ ๑.๔ กำหนดห้ามมิให้กรรมการขององค์การมหาชนเป็นกรรมการในองค์การมหาชนในเวลาเดียวกันเกินกว่าสามแห่ง และห้ามมิให้กรรมการขององค์การมหาชนเป็นกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนในเวลาเดียวกัน ยกเว้นในกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็น ๑.๕ เพิ่มเติมประเด็นเกี่ยวกับการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการขององค์การมหาชนซึ่งมิใช่กรรมการโดยตำแหน่ง ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์การสรรหาที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณากำหนด ๑.๖ กำหนดแนวทางการปฏิบัติงานขององค์การมหาชนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ๑.๗ กำหนดให้ดำเนินการสรรหาและแต่งตั้งผู้อำนวยการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ๑.๘ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามที่จำเป็นของผู้อำนวยการขององค์การมหาชน และเพิ่มเติมการพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ ๑.๙ กำหนดให้เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมีเสรีภาพในการรวมกลุ่มตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดกรอบการประเมินองค์การมหาชนโดยรวมที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกแห่งและการประเมินตามประเภทขององค์การมหาชนที่มีเจตนารมณ์ในการจัดตั้งแตกต่างกัน และควรพัฒนาระบบการติดตามประเมินผลองค์การมหาชนให้เชื่อมโยงกับระบบการประเมินผลภาคราชการแบบบูรณาการมาใช้ให้เกิดประสิทธิผลมากขึ้น ตลอดจนประสานกับสำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางในการจัดสรรงบประมาณเพื่อให้การปฏิบัติภารกิจขององค์การมหาชนได้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30157 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านถ้ำ จังหวัดพะเยา พ.ศ. .... | มท | 26/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านถ้ำ จังหวัดพะเยา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลบ้านถ้ำ อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
30158 | ขออนุมัติลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงมหาดไทยแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย ว่าด้วยการเสริมสร้าง ความร่วมมือทวิภาคีด้านความมั่นคงภายใน | ตช | 26/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับกระทรวงมหาดไทยแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคีด้านความมั่นคงภายใน โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือในการต่อต้านและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อต้านและปราบปรามการทำอนาจารและการจัดนำเที่ยวเพื่อวัตถุประสงค์ในการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก และการพัฒนาความร่วมมือระหว่างคู่ภาคีใน ๕ ด้านหลัก คือ (๑) การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน (๒) การประสานงานเพื่อการปฏิบัติงานร่วมกัน (๓) การเสริมสร้างและกระชับเครือข่ายความร่วมมือระหว่างกัน (๔) ความร่วมมือและสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ประสานงานด้านตำรวจและเจ้าหน้าที่ด้านการตรวจสอบเอกสารเดินทางระหว่างกัน และ (๕) ความร่วมมือกันในการให้ความช่วยเหลือด้านการเสริมสร้างขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่และพัฒนาความเป็นมืออาชีพ โดยเฉพาะด้านการป้องกันอาชญากรรม ทั้งนี้ การดำเนินการตามบันทึกเข้าใจฯ อยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบภายในประเทศของคู่ภาคี และการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ไม่มีผลผูกพันในทางกฎหมายระหว่างประเทศใด ๆ ๒. อนุมัติให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
30159 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2551 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสมควรเดินอากาศ (การรับรองความสมควรเดินอากาศของผลิตภัณฑ์อื่น) จำนวน 3 ฉบับ | คค | 26/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง จำนวน ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขอรับหนังสือรับรองความสมควรเดินอากาศของส่วนประกอบสำคัญของอากาศยาน ชิ้นส่วนรับรองคุณภาพ หรือบริภัณฑ์ที่ทำการผลิต พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ที่จะขอรับหนังสือรับรองความสมควรเดินอากาศของส่วนประกอบสำคัญของอากาศยาน ชิ้นส่วนรับรองคุณภาพ หรือบริภัณฑ์ที่ทำการผลิต ให้ยื่นคำขอต่ออธิบดีตามแบบที่ประกาศกำหนด พร้อมด้วยเอกสารหรือหลักฐาน เช่น เครื่องหมายและรหัสของส่วนประกอบสำคัญของอากาศยาน ชิ้นส่วนรับรองคุณภาพ หรือบริภัณฑ์ที่ทำการผลิต คู่มือการบำรุงรักษา เป็นต้น ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขอรับหนังสือรับรองความสมควรเดินอากาศสำหรับการส่งออกซึ่งส่วนประกอบสำคัญของอากาศยาน ชิ้นส่วนรับรองคุณภาพ หรือบริภัณฑ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ กำหนดให้ผู้ใดประสงค์จะขอหนังสือรับรองความสมควรเดินอากาศสำหรับการส่งออกซึ่งส่วนประกอบสำคัญของอากาศยาน ชิ้นส่วนรับรองคุณภาพ หรือบริภัณฑ์ที่ไม่เคยใช้งานหรือที่ใช้งานแล้ว ให้ยื่นคำขอต่ออธิบดีตามแบบที่ประกาศกำหนดพร้อมเอกสารและหลักฐาน ๒.๒ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการพิจารณาออกหนังสือรับรองความสมควรเดินอากาศสำหรับการส่งออกส่วนประกอบสำคัญของอากาศยาน ชิ้นส่วนรับรองคุณภาพ หรือบริภัณฑ์ ให้แก่ผู้ขอ ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติหน้าที่ของผู้จดทะเบียนอากาศยาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผู้จดทะเบียนอากาศยานมีหน้าที่บันทึกประวัติการบำรุงรักษาอากาศยานหรือส่วนประกอบสำคัญของอากาศยาน จัดเก็บหนังสือรับรองความสมควรเดินอากาศของส่วนประกอบสำคัญของอากาศยาน ชิ้นส่วนรับรองคุณภาพ และบริภัณฑ์ที่ใช้ในการบำรุงรักษาเพื่อเป็นหลักฐานในการบำรุงรักษา จัดทำรายงานการบำรุงรักษาอากาศยานเสนอต่ออธิบดีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ครบรอบ ๖ เดือน จัดทำรายงานสาระสำคัญของอากาศยาน และแจ้งการสูญหายของอากาศยาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
30160 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 26/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้สนามบินตราดเป็นสนามบินศุลกากร เพื่อให้เป็นที่สำหรับนำของเข้า ส่งของออก ส่งออกซึ่งของที่ขอคืนอากรขาเข้า หรือของที่มีทัณฑ์บนทุกประเภท อันเป็นการอำนวยความสะดวกในด้านการค้า การลงทุน การขนส่งและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในด้านการจัดเก็บอากรและการตรวจตราป้องกันการกระทำความผิดตามกฎหมายศุลกากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....