ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1505 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30081 - 30100 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30081 | ขอให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการร่วม กับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ | วท | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติตอบรับการเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ Workshop on Establishing a National Strategy for Education and Training in Radiation, Transport and Waste Safety ร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ภายใต้กรอบโครงการภูมิภาค RAS/9/066 “Strengthening Education and Training Infrastructure and Building Competence in Radiation Safety” [การสร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐานในกระบวนการเรียนรู้และฝึกอบรมและเสริมสมรรถนะเกี่ยวกับความปลอดภัยทางรังสี] ๑.๒ เห็นชอบร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเชิงปฏิบัติการฯ และหากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่มิใช่สารัตถะของร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เพื่อพิจารณาดำเนินการแทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๑.๓ อนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการแก้ไขถ้อยคำในร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ของฝ่ายไทยไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30082 | การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 56 พ.ศ. 2558 | ศธ | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการที่ประเทศไทยจะรับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๕๖ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่ International Mathematic Olympiad Advisory Board ให้การตอบรับ ๑.๒ อนุมัติระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่การเตรียมการก่อนปีที่เป็นเจ้าภาพ ๒ ปี และหลังจากสิ้นสุดการแข่งขัน ๑ ปี รวมระยะเวลาทั้งสิ้น ๔ ปี ๒. งบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ให้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ - พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้ สสวท. ขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความเหมาะสมและความจำเป็นในแต่ละปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับแผนการเตรียมความพร้อมในด้านวิชาการ ทั้งเชิงความรู้และทักษะของผู้ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และใช้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิดเห็นกับครูและเยาวชนจากนานาชาติ เพื่อนำมาพัฒนาหลักสูตร วิธีการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ รวมทั้งมีกลไก กระบวนการดำเนินงานและติดตามประเมินผลที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม โดยนำประสบการณ์/บทเรียนจากการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกระหว่างประเทศด้านต่าง ๆ อาทิ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คอมพิวเตอร์ มาประกอบการพิจารณา เพื่อให้การดำเนินงานทั้งการเตรียมความพร้อมด้านวิชาการและการเป็นเจ้าภาพบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการขอพระราชทานพระราชานุญาตในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๕๖ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ก่อนดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
30083 | แผนพัฒนากำลังคนในระดับประเทศ พ.ศ. 2555 - 2559 | รง | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการแผนพัฒนากำลังคนในระดับประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการพัฒนากำลังคนตามแนวทางที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนากำลังคนฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ทั้งนี้ แผนพัฒนากำลังคนฯ ประกอบด้วยประเด็นยุทธศาสตร์/กลยุทธ์ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การผลิตและพัฒนาศักยภาพกำลังคนทุกระดับต่อเนื่องตลอดชีวิต ประกอบด้วย กลยุทธ์ ๑.๑ ปรับปรุงหลักสูตรในระบบการศึกษาทุกระดับให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษารอบ ๒ กลยุทธ์ ๑.๒ สร้างแหล่งเรียนรู้และส่งเสริมให้มีช่องทางการศึกษาเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิต กลยุทธ์ ๑.๓ บูรณาการระบบการศึกษาร่วมกันระหว่างหน่วยงานทางด้านการศึกษาเพื่อเร่งส่งเสริมทักษะทางด้านภาษาต่างประเทศ (เช่น ภาษาอังกฤษ จีน และภาษาเพื่อนบ้าน) กลยุทธ์ ๑.๔ ส่งเสริมการวิจัย และการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงาน และกลยุทธ์ ๑.๕ ส่งเสริมสนับสนุนให้ใช้ระบบเทคโนโลยีเสมือนจริงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการศึกษาและพัฒนาคน ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การสร้างความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานด้านกำลังคนทุกภาคส่วน ประกอบด้วย กลยุทธ์ ๒.๑ พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้ตรงต่อความต้องการของตลาดเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา (Education Hub) ของอาเซียน กลยุทธ์ ๒.๒ ส่งเสริมให้มีการเรียนการสอนในรูปแบบ Work Intergrated Learning (WIL) มากขึ้นในทุกระดับ เพื่อพัฒนาทักษะในการทำงานจริง กลยุทธ์ ๒.๓ จัดเตรียมกำลังคนในบางสาขาที่ขาดแคลนทั้งด้านปริมาณและคุณภาพเพื่อรองรับการเป็นตลาดเดียวในอาเซียน และกลยุทธ์ ๒.๔ เพิ่มความพร้อมให้กับคนไทยในวัยแรงงานให้มีโอกาสเพิ่มเติมทักษะฝีมือแรงงานได้ตลอดเวลาโดยผ่านระบบ ICT ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนากำลังคนให้มีศักยภาพสูงและมีความสามารถในระดับสากล ประกอบด้วย กลยุทธ์ ๓.๑ เตรียมความพร้อมกำลังคนเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดสินค้าและบริการอันเนื่องมาจากการรวมกลุ่มในภูมิภาคอาเซียน กลยุทธ์ ๓.๒ ส่งเสริมและพัฒนากำลังคนให้มีศักยภาพ ความรู้ความสามารถ ทักษะฝีมือและทักษะด้านภาษาเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิตที่จะเข้ามาในประเทศไทย และกลยุทธ์ ๓.๓ พัฒนาทักษะใหม่ ๆ (ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี) เพื่อสร้างโอกาสแก่แรงงานให้มีศักยภาพเท่าทันและใช้โอกาสจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การสร้างเสริมเครือข่ายในการพัฒนากำลังคน ประกอบด้วย กลยุทธ์ ๔.๑ สนับสนุนการสร้างเครือข่ายในการพัฒนากำลังคนอย่างเป็นรูปธรรม กลยุทธ์ ๔.๒ จัดระบบการวางแผนพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ กลยุทธ์ ๔.๓ เสริมความรู้ด้านการวางแผนและบริหารจัดการทรัพยากรที่เหมาะสมให้กับทุกภาคส่วน กลยุทธ์ ๔.๔ เสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาเครือข่ายภาคีด้านสังคม และกลยุทธ์ ๔.๕ พัฒนาและขยายเครือข่ายข้อมูลข่าวสารตลาดแรงงาน ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การสนับสนุนให้กำลังคนมีความมั่นคงและหลักประกันในชีวิต ประกอบด้วย กลยุทธ์ ๕.๑ ปรับปรุงระบบบริหารจัดการด้านสวัสดิการและค่าตอบแทนเพื่อให้แรงงานมีหลักประกันที่มั่นคง/คุณภาพที่ดี กลยุทธ์ ๕.๒ ผลักดันนโยบายที่เกี่ยวกับการส่งเสริมความมั่นคงทางอาชีพและสวัสดิการสังคมให้เกิดผลในทางปฏิบัติที่เป็นธรรมให้แก่แรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ กลยุทธ์ ๕.๓ สนับสนุนการมีส่วนร่วมขององค์กรเกี่ยวกับนายจ้างและลูกจ้าง และกลยุทธ์ ๕.๔ สร้างความเข้มแข็งแก่หน่วยงานกลางที่ดูแลด้านแรงงาน ๑.๖ ยุทธศาสตร์ที่ ๖ การสนับสนุนให้กำลังคนมีคุณธรรม ประกอบด้วย กลยุทธ์ ๖.๑ พัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างเป็นองค์รวมทั้งด้านสติปัญญา อารมณ์ คุณธรรม และจริยธรรม กลยุทธ์ ๖.๒ สร้างจิตสำนึกของคนในทุกสาขาอาชีพให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม และกลยุทธ์ ๖.๓ สร้างเสริมความศรัทธาในสถาบันศาสนาเพื่อให้มีบทบาทสำคัญต่อการส่งเสริมศีลธรรม และสร้างความเป็นปึกแผ่นในสังคม ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเน้นให้ภาคผลิตและบริการเข้ามามีบทบาทในการพัฒนากำลังคนของประเทศทั้งด้านการลงทุน การร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในการพัฒนาหลักสูตรและการจัดอบรม/จัดการเรียนการสอน การประสานและผลักดันให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการระหว่างภาคีที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน การให้ลำดับความสำคัญก่อนหลัง (priorities) ในการดำเนินงานและผลักดันในแต่ละโครงการอย่างมียุทธศาสตร์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ การจัดทำฐานข้อมูลกำลังคนให้บูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ อย่างแท้จริง โดยฐานข้อมูลที่จัดทำขึ้นควรมีความหลากหลายมิติทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างแท้จริง การให้ความสำคัญและเพิ่มเติมประเด็นการผลิตและพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับโครงสร้างการผลิตและบริการ บนฐานความรู้และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รวมทั้งการผลักดันบทบาทและการมีส่วนร่วมของภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจและบริการในฐานะกลุ่มผู้ต้องการใช้กำลังคนร่วมกำหนดนโยบาย และควรมีแนวทาง กลไกการขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติตลอดจนการติดตามประเมินผลที่ชัดเจน เพื่อการบรรลุผลตามเป้าหมายของแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงแรงงานหารือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และภาคเอกชน เพื่อพิจารณาปรับยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการผลิตและการพัฒนากำลังคนในระยะยาว เพื่อรองรับโครงสร้างการผลิตและบริการ บนฐานความรู้และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community - AEC) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป ตลอดจนการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30084 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะทำการสำรวจเพื่อการวางและจัดทำผังเมืองรวม ในท้องที่ 70 จังหวัด พ.ศ. .... | นร | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะทำการสำรวจเพื่อการวางและจัดทำผังเมืองรวม ในท้องที่ ๗๐ จังหวัด ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินที่จะทำการสำรวจเพื่อการวางและจัดทำผังเมืองรวมในท้องที่จังหวัดกระบี่ กาญจนบุรี กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย ตรัง ตราด ตาก นครนายก นครปฐม นครพนม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นราธิวาส น่าน บุรีรัมย์ บึงกาฬ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พังงา พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ พะเยา มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน มุกดาหาร ยะลา ยโสธร ร้อยเอ็ด ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สงขลา สตูล สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระแก้ว สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อุดรธานี อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ รวม ๗๐ จังหวัด เพื่อให้เจ้าพนักงานการผังหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานการผังเข้าไปทำการอันจำเป็นเพื่อการสำรวจและกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินได้ต่อไป เพื่อประโยชน์ในการวางและจัดทำผังเมืองรวมตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผังเมือง และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
30085 | แนวทางสำหรับการดำเนินโครงการป้องกันปัญหาจากอุทกภัยในพื้นที่ชุ่มน้ำ | ทส | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับเรื่อง แนวทางสำหรับการดำเนินโครงการป้องกันปัญหาจากอุทกภัยในพื้นที่ชุ่มน้ำ ไปพิจารณาทบทวนเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติทั้งโครงการระยะสั้นและระยะยาวร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย คณะอนุกรรมการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30086 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการเช่าบ้านพักข้าราชการของหน่วยงานที่ประจำในต่างประเทศ | กษ | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติยกเว้นให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการเช่าบ้านพัก เลขที่ 2735 Olives Street, NW, Washington, DC 20007 ให้แก่นายอดิศร พร้อมเทพ อัครราชทูต (ฝ่ายการเกษตร) (ผู้อำนวยการ) สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ตั้งแต่วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๘ เป็นเงิน ๔,๗๐๖,๗๐๐ บาท หรือ ๑๔๘,๒๔๒ ดอลลาร์สหรัฐ อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๑.๗๕ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๖๘๕,๘๐๐ บาท งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๑,๕๓๙,๙๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๒,๔๘๑,๐๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30087 | ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... (โอนกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ไปรวมกับกรมป่าไม้) | ทส | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง หรือมติของคณะรัฐมนตรี ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ไปเป็นอำนาจหน้าที่ของกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. กำหนดให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณ สิทธิ หนี้ ภาระผูกพัน ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง และอัตรากำลัง ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ไปเป็นของกรมป่าไม้ ๓. กำหนดให้โอนอำนาจหน้าที่ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ ไปเป็นของกรมป่าไม้ และอธิบดีกรมป่าไม้ ๔. กำหนดให้ในวาระเริ่มแรก กรมป่าไม้นอกจากจะมีส่วนราชการตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๑ แล้ว ให้มีส่วนราชการตาม (๒) (๔) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๐) และ (๑๑) - (๒๖) แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๔๗ ด้วย และให้โอนอัตรากำลังในส่วนราชการของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ไปเป็นของส่วนราชการกรมป่าไม้ ๕. กำหนดให้ในวาระเริ่มแรก ให้ อ.ก.พ. กระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาจัดตำแหน่งและเกลี่ยอัตรากำลังของข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้าง ที่โอนมาจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในส่วนที่นอกเหนือจากมาตรา ๗ (๑) - (๘) ไว้ในกรมป่าไม้ |
|||||||||||||||||||||||||||
30088 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดพื้นที่เขตการศึกษา สำรวจเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาแหล่งหินน้ำมันในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก | พน | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการศึกษาของกระทรวงพลังงานในกรณีการกำหนดพื้นที่เขตการศึกษา สำรวจเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาแหล่งหินน้ำมันในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ตามมติคณะรัฐมนตรี ที่เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งพบว่าแหล่งหินน้ำมันแม่สอดมีคุณภาพต่ำ การจะนำไปผลิตพลังงานไฟฟ้า หรือการสกัดเป็นน้ำมันหิน หรือนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเคมี และการกลั่นจะไม่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์ ณ เวลาปัจจุบัน จึงเห็นสมควรยุติการศึกษาเพื่อพัฒนาแหล่งหินน้ำมันในด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้า การสกัดเป็นน้ำมันหิน การนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเคมีและการกลั่น ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามแผนการศึกษาเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาแหล่งหินน้ำมันแอ่งแม่สอดเป็นแหล่งพลังงานและวัตถุดิบในอุตสาหกรรม พร้อมทั้งกำหนดให้พื้นที่ ๑๐๔ ตารางกิโลเมตร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การกำหนดพื้นที่เขตการศึกษา สำรวจเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาแหล่งหินน้ำมันในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก) บริเวณบ้านห้วยกะโหลก อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นเขตพื้นที่การศึกษา สำรวจและผลักดันการใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม (โดยเฉพาะอุตสาหกรรมซีเมนต์และก่อสร้าง) จากแหล่งหินน้ำมันแอ่งแม่สอด โดยมีกำหนดระยะเวลาดำเนินงาน ๔ ปี นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นสมควรพิจารณาเปรียบเทียบประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับจากการพัฒนาแหล่งทรัพยากรดังกล่าวไปใช้ในด้านพลังงานหรือด้านอุตสาหกรรม โดยควรพิจารณาในประเด็นการพัฒนาเป็นแหล่งทรัพยากรสำรองของประเทศควบคู่ไปกับการพิจารณาความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากทรัพยากรดังกล่าวมีอยู่จำกัด และราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด |
|||||||||||||||||||||||||||
30089 | การแต่งตั้ง Designated Authority ของประเทศไทยสำหรับกองทุนด้านการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | ทส | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แต่งตั้งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ทำหน้าที่เป็น Designated Authority ของประเทศไทยสำหรับกองทุนด้านการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยในการรับรองโครงการและคัดเลือกหน่วยปฏิบัติงานหลักของประเทศ (National Implementing Entities : NIEs) ที่ดำเนินโครงการตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามในหนังสือแจ้งการแต่งตั้ง Designated Authority ดังกล่าวไปยังสำนักเลขาธิการของคณะกรรมการกองทุนด้านการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการคัดเลือกหน่วยงานมาเป็น NIEs ต้องมีคุณสมบัติที่ไม่เป็นหน่วยงานเดียวกับผู้ทำหน้าที่ Designated Authority ของประเทศ รวมทั้งเร่งดำเนินการเพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวได้รับการรับรองจากคณะกรรมการกองทุนด้านการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation Fund Board) โดยเร็ว โดยพิจารณาความเป็นไปได้ในการขอรับการสนับสนุนทางวิชาการ (Technical Support) สำหรับเสริมสร้างศักยภาพของประเทศเพื่อให้สามารถดำเนินการขอรับการรับรองเป็น NIEs รวมถึงการเตรียมเอกสารเพื่อแสดงว่าหน่วยงานมีความสามารถในการบริหารจัดการเงินทุนและมีความน่าเชื่อถือตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30090 | กำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย | ทส | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ พื้นที่ที่องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ทำข้อตกลงบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเต็มรูปแบบ ประกอบด้วย พื้นที่เทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ พื้นที่เทศบาลตำบลบางเสร่ จังหวัดชลบุรี พื้นที่เทศบาลเมืองพะเยา และพื้นที่เทศบาลนครสงขลา ๑.๒ พื้นที่ที่ อจน. ได้มีการทำบันทึกความเข้าใจกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจะได้พัฒนาไปสู่การทำข้อตกลงการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียอย่างเต็มรูปแบบ ประกอบด้วย พื้นที่เทศบาลเมืองกระบี่ พื้นที่เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ พื้นที่เทศบาลนครเชียงใหม่ รวมถึงพื้นที่ในแนวท่อระบายน้ำเสีย และที่ตั้งระบบบำบัดน้ำเสีย ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เทศบาลตำบลป่าแดด อำเภอเมืองเชียงใหม่ พื้นที่เทศบาลนครนครสวรรค์ พื้นที่เทศบาลนครลำปาง พื้นที่เทศบาลเมืองวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พื้นที่เทศบาลนครหาดใหญ่ พื้นที่เทศบาลเมืองอำนาจเจริญ และพื้นที่เทศบาลเมืองหนองบัวลำภู ๑.๓ พื้นที่ตามเขตควบคุมมลพิษตามที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศกำหนด ประกอบด้วย พื้นที่จังหวัดภูเก็ต พื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พื้นที่อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา พื้นที่หมู่เกาะพีพี ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ พื้นที่อำเภอหัวหิน อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พื้นที่ตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี และพื้นที่ตำบลมาบตาพุด ตำบลห้วยโป่ง ตำบลเนินพระ ตำบลทับมา อำเภอเมืองระยอง ตำบลมาบข่า อำเภอนิคมพัฒนา และตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ๒. ให้ อจน. รับไปพิจารณาดำเนินการเพื่อให้พื้นที่เทศบาลเมืองมาบตาพุดอยู่ในเขตพื้นที่ที่ อจน. ทำข้อตกลงบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเต็มรูปแบบ และพิจารณาเพิ่มเติมพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบังให้ครอบคลุมพื้นที่จัดการน้ำเสียด้วย โดยให้ประสานการดำเนินงานกับกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำเสียในระดับชุมชนโดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ชุมชนและประชาชนในพื้นที่สามารถบริหารจัดการได้ด้วยตนเอง การประชาสัมพันธ์และรณรงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการลดการก่อมลพิษจากแหล่งกำเนิดน้ำเสีย การส่งเสริมให้มีการต่อยอดภูมิปัญญาเพื่อการลดการก่อมลพิษของแต่ละชุมชน การกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียในเขตนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้ง อจน. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรพิจารณาจัดเตรียมแผนเพิ่มศักยภาพของท้องถิ่น โดยผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ และเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ทั้งด้านเทคนิควิชาการและการเงิน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ นั้น อจน. ควรประสานงานและหารือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องแต่ละแห่งใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดินที่ได้รับการจัดสรรแล้ว หรือใช้เงินรายได้ของราชการส่วนท้องถิ่นเอง เนื่องจากการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียถือเป็นภารกิจของท้องถิ่นจะต้องรับถ่ายโอนไปดำเนินการตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า ในการจัดตั้งงบประมาณตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ นั้น ต้องพิจารณาไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน |
|||||||||||||||||||||||||||
30091 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานกับสินค้าเกษตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานกับสินค้าเกษตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้เพิ่มความต่อนี้เป็น (๓) ในข้อ ๑ แห่งกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานกับสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๓ “(๓) เครื่องหมายรับรองมาตรฐานทั่วไปสำหรับแสดงกับสินค้าเกษตรที่ได้รับใบรับรองตามมาตรฐานทั่วไปสำหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์ มีลักษณะเป็นรูปวงกลมขอบสีดำพื้นสีขาวด้านล่างมีอักษรว่า “ผลิตภัณฑ์อินทรีย์” สีเขียวเข้ม ภายในมีรูปวงกลมสีเขียวอ่อน และมีอักษรภาษาอังกฤษว่า “Organic” สีเขียวเข้มอยู่หนืออักษรภาษาอังกฤษว่า “Thailand” สีดำใต้อักษรภาษาอังกฤษมีลายเส้นสามเส้น สีแดง สีน้ำเงิน และสีแดง ตามลำดับ และมีส่วนสัดตามแบบ ค. ท้ายกฎกระทรวงนี้ โดยเครื่องหมายรับรองมาตรฐานจะมีขนาดเท่าใดก็ได้ กรณีที่ไม่อาจใช้สีตามที่ระบุไว้จะใช้สีใดสีหนึ่งเพียงสีเดียวก็ได้ โดยสีที่ใช้จะต้องเห็นได้ง่ายและชัดเจน” ๒. กำหนดให้บรรดาเครื่องหมายรับรองมาตรฐานทั่วไปสำหรับแสดงกับสินค้าเกษตรอินทรีย์ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับให้ใช้ได้ต่อไปจนกว่าใบรับรองนั้นสิ้นอายุ ๓. กำหนดให้กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๙๐ วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป |
|||||||||||||||||||||||||||
30092 | รายงานการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ 2 และการประชุมที่เกี่ยวเนื่อง | กษ | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ ๒ และการประชุมที่เกี่ยวเนื่อง ณ เมืองคาซาน รัสเซีย ระหว่างวันที่ ๓๐ - ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปคได้ร่วมกันรับรองปฏิญญาคาซานว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปคอย่างเป็นเอกฉันท์ ซึ่งปฏิญญาคาซานฯ ประกอบด้วย ๕ ประเด็นหลัก คือ การเพิ่มผลผลิตและผลิตภาพทางการเกษตร การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการพัฒนาตลาดสินค้าอาหาร การส่งเสริมความปลอดภัยและคุณภาพอาหาร การปรับปรุงการเข้าถึงอาหารสำหรับกลุ่มคนที่มีความเปราะบางทางสังคม การสร้างความมั่นใจในการบริหารจัดการระบบนิเวศน์อย่างยั่งยืน และการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม รวมถึงการค้าที่เกี่ยวข้อง ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมหารือทวิภาคีนอกรอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของรัสเซีย ชิลี เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เกี่ยวกับความร่วมมือด้านการเกษตร สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๒.๑ การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของรัสเซียในเรื่องบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ความตกลงทางวิชาการด้านการตรวจสอบและรับรองสินค้าสัตว์น้ำ และบันทึกความร่วมมือเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยในการนำเข้าและส่งออกธัญพืชและผลิตภัณฑ์ธัญพืช โดยฝ่ายไทยได้ขอให้ทางรัสเซียพิจารณาการขึ้นบัญชีโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ปีกปรุงสุกเพิ่มเติมอีก ๑๖ แห่ง และโรงงานชำแหละไก่ ๑ แห่ง ๒.๒ การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของชิลีในเรื่องการลงนามบันทึกความเข้าใจด้านความร่วมมือเกษตร และด้านมาตรการสุขอนามัยพืชที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ซึ่งทางชิลีจะเร่งลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในประเทศไทย ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒.๓ การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาหาร เกษตร ป่าไม้ และประมงของเกาหลีใต้ โดยได้เสนอให้มีการขยายความร่วมมือทางด้านควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยด้านสุขอนามัยในผลิตภัณฑ์ประมงให้ครอบคลุมทุกสาขาทางด้านเกษตร ซึ่งทางเกาหลีใต้เห็นควรจัดทำความร่วมมือดังกล่าวและเร่งให้มีการลงนามโดยเร็ว ๒.๔ การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น ในประเด็นที่นายกรัฐมนตรีของไทยได้หารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นในการเยือนอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาในการขอให้พิจารณายกเลิกการห้ามนำเข้าสินค้าสัตว์ปีกสดจากประเทศไทย โดยขอให้ญี่ปุ่นพิจารณาส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบโรงงานของไทยเพื่อให้สินค้าไก่สดจากไทยส่งออกไปยังญี่ปุ่นได้ ซึ่งทางญี่ปุ่นแจ้งว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูล และขอให้มีการประสานงานระหว่างเจ้าหน้าที่เทคนิคของกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยเท่านั้น ทั้งนี้ ในเรื่องการส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจโรงงานในประเทศไทย ทางญี่ปุ่นจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวเป็นกรณีพิเศษ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30093 | สรุปผลการเข้าร่วมการประชุมสมัชชานานาชาติด้านเทคนิคและการศึกษาสายอาชีพและฝึกอบรม ครั้งที่ 3 | ศธ | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมสมัชชานานาชาติด้านเทคนิคและการศึกษาสายอาชีพและฝึกอบรม ครั้งที่ ๓ (Third International Congress on Technical and Vocational Education and Training : TVET) หัวข้อ Building Skills for Work and Life ระหว่างวันที่ ๑๒ - ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ ศูนย์การประชุมนานาชาตินครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมสมัชชานานาชาติด้านเทคนิคและการศึกษาสายอาชีพและฝึกอบรม ครั้งที่ ๓ จัดโดยองค์การยูเนสโกร่วมกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือในประเด็นด้านความท้าทายทั้งในปัจจุบันและอนาคต สำรวจแนวทางในการพัฒนาด้าน TVET เสริมสร้างความเข้าใจและแบ่งปันความรู้ในการพัฒนาความช่วยเหลือด้าน TVET เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน การกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์เพื่อปรับเปลี่ยนและขยายตัวด้าน TVET และสนับสนุนการดำเนินงานด้าน TVET ในระดับประเทศ ภูมิภาค และนานาชาติ ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้หารือทวิภาคีกับผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกในเรื่องความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทยกับองค์การยูเนสโก โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการด้าน ICT ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก หัวข้อ “The Power of ICT in Education Policies : Implications for Educational Practices” ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕ ที่ประเทศไทย ซึ่งได้เรียนเชิญผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกเข้าร่วมในพิธีเปิดการประชุมดังกล่าว และได้หารือในประเด็นความร่วมมือกับองค์การยูเนสโกเกี่ยวกับการลงนามในความตกลงโครงการพัฒนาว่าด้วยการฟื้นฟูศูนย์การเรียนรู้ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในประเทศไทยและการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นได้จัดสรรเงินกองทุน (Japanese Funds-in-Trust) ให้แก่ยูเนสโกเพื่อช่วยเหลือรัฐบาลไทยในการดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้พบหารือกับผู้อำนวยใหญ่ยูเนสโก รวมทั้งผู้นำจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์การระหว่างประเทศด้านการศึกษา เกี่ยวกับบทบาทของไทยในการเป็นผู้นำด้านการศึกษาเพื่ออาชีพ พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของไทยในการผลักดันการศึกษาสายอาชีพเพื่อสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในเวทียูเนสโก ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้นำเสนอโครงการและกิจกรรมที่ประสบความสำเร็จของไทยในการพัฒนาการศึกษาด้านเทคนิคและการศึกษาสายอาชีพและการฝึกอบรม รวมทั้งการชูบทบาทของไทยในการเป็นผู้นำในการดำเนินโครงการและกิจกรรมด้านการศึกษาในเวทีระหว่างประเทศที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น โครงการ “ยกระดับการศึกษาประชาชนให้จบ ม.๖ ภายใน ๘ เดือน” ที่มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการศึกษาอย่างมีคุณภาพให้กับประชาชนทุกคนด้วยการส่งเสริมประสบการณ์ทางอาชีพ และส่งเสริมการศึกษาของประชาชนเพื่อการมีงานทำตลอดชีวิต ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้พบปะนักเรียนทุนในโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน รุ่นที่ ๒ ซึ่งศึกษาอยู่ที่นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนักเรียนได้แสดงข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงการดำเนินโครงการฯ ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งเสนอปัญหาและอุปสรรคที่ผ่านมา ได้แก่ ปัญหาความล่าช้าในการได้รับเงิน และค่าใช้จ่ายจากรัฐบาลที่จ่ายมหาวิทยาลัยให้แก่นักเรียนทุน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ย้ำถึงนโยบายการศึกษาในการเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมเสมือนบุคคลในครอบครัว และเชื่อมั่นว่านักเรียนที่สำเร็จการศึกษาจะมีศักยภาพในการประกอบอาชีพ เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าทั้งในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน สามารถประกอบอาชีพทั้งในประเทศและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงการดำเนินโครงการฯ รุ่นที่ ๓ ว่าจะคัดเลือกได้ประมาณ ๖๐๐ คน ซึ่งขณะนี้คัดเลือกได้แล้วประมาณ ๓๐๐ คน โดยจะให้เลือกไปเรียนที่ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ด้วย และในอนาคตอาจสนับสนุนให้ทุนศึกษาต่อระดับปริญญาโท โดยพร้อมจะเปิดกว้างให้แก่เด็กที่เรียนจบปริญญาตรีทุกคนได้รับโอกาสดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||
30094 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Line) จำนวน 3 แห่ง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา คลองสิบเก้า แก่งคอย พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Lines) จำนวน ๓ แห่ง ที่ชุมทางฉะเชิงเทรา ชุมทางแก่งคอย และชุมทางบ้านภาชี วงเงินโครงการรวม ๑๑,๓๔๘.๓๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้และค้ำประกันเงินกู้ภายในประเทศให้ รฟท. ในการดำเนินโครงการทางคู่ในเส้นทางรถไฟฯ ทั้งในส่วนของค่าเวนคืนที่ดินและรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้าง ค่าดำเนินการประกวดราคา ค่าก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง วงเงินรวม ๑๑,๓๔๘.๓๕ ล้านบาท และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้กระทรวงการคลัง เพื่อชดใช้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตามความเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ หากการดำเนินโครงการมีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนค่าวัสดุ อุปกรณ์การก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น ให้ รฟท. โดยกระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามความจำเป็นต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ประสานการดำเนินโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟฯ กับคณะกรรมการบริหาจัดการน้ำและอุทกภัย เพื่อมิให้เกิดปัญหาการก่อสร้างกีดขวางทางไหลของน้ำด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30095 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 | กษ | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) (สวพส.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จำนวนผู้เข้าชมงานฯ ตั้งแต่วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (ก่อนเปิดงานจริง) จนถึงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๕ (วันปิดงาน) รวมทั้งสิ้น ๒,๒๓๗,๕๕๕ คน ๒. เงินรายได้และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดงานฯ ตั้งแต่ก่อนเปิดงานจริงจนถึงปิดงานฯ รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๒๓๐,๒๑๑,๑๑๖.๒๕ บาท โดยมีรายจ่ายเป็นเงินรวม ๑๗๖,๐๖๒,๕๗๗.๙๖ บาท ทำให้มีเงินเหลือจ่ายที่สามารถส่งคืนกระทรวงการคลังได้ จำนวน ๕๔,๑๔๘,๕๓๒.๒๙ บาท ๓. การเข้าร่วมงานของต่างประเทศ มีต่างประเทศเข้าร่วมกิจกรรมจัดสวนนานาชาติและแสดงวัฒนธรรม ๓๓ ประเทศ/องค์กร ๔. การประเมินผลการจัดงานฯ ๔.๑ การประเมินผลโดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) สรุปได้ว่า จุดเด่นของงาน กิจกรรมที่ผู้เข้าชมงานชื่นชอบมากที่สุด คือ หอคำหลวง นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สวนนานาชาติ และนิทรรศการกล้วยไม้ ตามลำดับ ๔.๒ การประเมินผลโดยภาควิชาสถิติ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สรุปได้ว่า ผลการสำรวจความพึงพอใจของผู้เข้าชมงานฯ ต่อสถานที่จัดงานและการบริการของการจัดงานฯ ผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่มีความพึงพอใจอยู่ในระดับดีถึงปานกลาง ด้านความพึงพอใจในจุดต่าง ๆ ของการจัดงานฯ รวมทั้งความพึงพอใจด้านประโยชน์และการสร้างความประทับใจที่เกิดจากการเข้าชมงานฯ ผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในระดับมาก ส่วนผลการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดต่าง ๆ ในภาคเหนือมีการเจริญเติบโตขึ้น โดยการเข้าพักในโรงแรมของนักท่องเที่ยวมีอัตราเพิ่มขึ้น และมีอัตราการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย และจากการสำรวจผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมและที่พักอาศัย ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร ผู้ประกอบการธุรกิจรถเช่า รถตู้และรถเมล์ และผู้ให้บริการรถแท็กซี่ รกตู้ และรถเมล์ และผู้ประกอบการขายของที่ระลึกและของฝาก พบว่ามีรายได้เพิ่มขึ้น สำหรับแนวทางในการจัดงานฯ ในโอกาสต่อไป ผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่เห็นว่า ควรจัดในสถานที่เดิม ช่วงเวลาที่เหมาะสมควรเป็นช่วงต้นเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ และควรใช้สถานที่ของพืชสวนโลกฯ ให้คุ้มค่ากับการลงทุนของรัฐบาล โดยสิ่งที่ควรจัดในโอกาสต่อไป คือ การออกแบบรูปแบบใหม่ ไม่ซ้ำรูปแบบเดิม และให้มีความหลากหลายมากขึ้น ๔.๓. การประเมินผลโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า จะมีเงินสะพัดในเชียงใหม่ ๓ เดือน ที่มีการจัดงานฯ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ ๑๖,๐๐๐ ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างถิ่นทั้งคนไทยต่างชาติ ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และอีก ๑,๐๐๐ ล้านบาท เป็นเม็ดเงินจากคนเชียงใหม่ที่เข้าชมงานฯ ๔.๔ การส่งมอบพื้นที่คืน กรมวิชาการเกษตร สวพส. และผู้บริหารการจัดงานฯ ได้มีการหารือและสำรวจทรัพย์สินร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และได้ส่งมอบสวนให้ สวพส. ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่ง สวพส. ได้เปิดสวนอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ จนถึงปัจจุบัน |
|||||||||||||||||||||||||||
30096 | การจัดตั้งสำนักงานให้ความช่วยเหลือทางวิชาการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ | กค | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำบันทึกความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) ตามร่างที่ผ่านการพิจารณาของกระทรวงการต่างประเทศแล้ว เพื่อให้เอกสิทธิและความคุ้มกันแก่สำนักงานให้ความช่วยเหลือทางวิชาการของ IMF และเจ้าหน้าที่ที่ IMF ส่งมาปฏิบัติงานในสำนักงานฯ ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสำนักงานให้ความช่วยเหลือทางวิชาการของ IMF ในประเทศไทย (Thailand Technical Assistance Office) เพื่อเป็นฐานปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้านของไทย โดยระยะแรกจะเน้นให้ความช่วยเหลือแก่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปนโยบายและระบบเศรษฐกิจหลังจากที่ได้เริ่มเปิดประเทศ และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ๒. เห็นชอบให้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือผู้มีอำนาจดำเนินการแทน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความตกลงฯ ในนามของรัฐบาลไทย ๓. กรณีที่มีการแก้ไขบันทึกความตกลงฯ ในประเด็นที่ไม่กระทบต่อพันธกรณีของรัฐบาลไทยในเรื่องการให้เอกสิทธิและความคุ้มกันแก่สำนักงานฯ และเจ้าหน้าที่ ให้ ธปท. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกเอกสารมอบอำนาจให้ ธปท. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
30097 | ขอความเห็นชอบร่างแผนงาน ASEAN Regional Forum ด้านการบรรเทาภัยพิบัติ ค.ศ. 2012 - 2014 | กต | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารแผนงาน ASEAN Regional Forum ด้านการบรรเทาภัยพิบัติ ค.ศ. ๒๐๑๒ - ๒๐๑๔ โดยร่างเอกสารแผนงานฯ มีความสอดคล้องกับเอกสารต่าง ๆ ของการประชุมที่เกี่ยวข้องของอาเซียน เน้นยุทธศาสตร์ด้านการเตรียมความพร้อมและการตอบสนองต่อภัยพิบัติ และให้ความสำคัญลำดับต้นใน ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายและแบ่งปันข่าวสาร ด้านการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในปฏิบัติการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ และด้านการส่งเสริมปฏิบัติการร่วมและการประสานงานด้านความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารแผนงานฯ ดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อปรับปรุงให้ร่างแผนงาน ASEAN Regional Forum ด้านการบรรเทาภัยพิบัติ ค.ศ. ๒๐๑๒ - ๒๐๑๔ ครอบคลุมถึงเรื่องความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30098 | การลงนามบทเพิ่มเติม (Addendum) ฉบับที่ 2 แก้ไขความตกลงด้านการเงินสำหรับโครงการเพื่อการรวมกลุ่มด้านการขนส่งทางอากาศของอาเซียน ภายใต้ความร่วมมือด้านการขนส่งทางอากาศระหว่างอาเซียน - สหภาพยุโรป | คค | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการลงนามบทเพิ่มเติม (Addendum) ฉบับที่ ๒ แก้ไขความตกลงด้านการเงินสำหรับโครงการเพื่อการรวมกลุ่มด้านการขนส่งทางอากาศของอาเซียน ภายใต้ความร่วมมือด้านการขนส่งทางอากาศระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรป โดยสาระสำคัญของ Addendum สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโครงการประมาณ ๕,๐๐๐,๐๐๐ ยูโร ๑.๒ สหภาพยุโรปจะรับผิดชอบทางการเงินสูงสุด จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ ยูโร รายละเอียดการสนับสนุนทางการเงินของสหภาพยุโรปจะแสดงไว้ในหัวข้องบประมาณซึ่งรวมไว้ในบทบัญญัติด้านวิชาการและบริหารในภาคผนวก II ๑.๓ การตัดเนื้อหาในส่วนของเงินสนับสนุนโครงการ จำนวนไม่ต่ำกว่า ๒,๐๐๐,๐๐๐ ยูโร ออก ๑.๔ การแก้ไขในส่วนของรายละเอียดงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาคมยุโรป โดยการจัดสรรงบประมาณที่เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการประเมินผลภายนอก จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ยูโร เพื่อไปเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับความช่วยเหลือด้านวิชาการแทน และเพิ่มเงินงบประมาณสำหรับคณะทำงานสนับสนุนโครงการ (Project Support Team : PST) จากจำนวน ๔,๖๐๐,๐๐๐ ยูโร เป็น ๔,๗๕๐,๐๐๐ ยูโร แทน ๑.๕ การลบข้อความว่า “การเผยแพร่ข่าวการรับสมัครผู้เข้าประมูล (Call for Proposals) เพื่อให้มีการทำสัญญาการช่วยเหลือแบบให้เปล่าแก่ PST จะเริ่มภายหลังจากได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการยุโรป ขั้นตอนการคัดเลือกจะเสร็จสิ้นภายใน ๘ - ๑๒ เดือน นับจากวันที่คณะกรรมาธิการได้ให้ความเห็นชอบ” ๑.๖ Addendum จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ทั้งสองฝ่ายลงนาม ๒. ให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามแทนประเทศไทย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบทเพิ่มเติมที่มิใช่สาระสำคัญ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมอบหมายเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ถึงมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติการลงนามและมอบหมายให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามในบทเพิ่มเติม ฉบับที่ ๒ ดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||
30099 | ขออนุมัติกู้เงินในประเทศเพื่อการลงทุน ปีงบประมาณ 2555 และปีงบประมาณ 2556 | มท | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กู้เงินในประเทศปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ภายในกรอบวงเงิน ๙๐๐.๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับใช้เป็นแหล่งเงินลงทุนของโครงการต่อเนื่อง ๑ โครงการ คือ แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ ๑๐ ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔ โดยให้พิจารณากู้เงินเพื่อนำมาลงทุนตามความจำเป็นโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรในระยะยาวด้วย ๒. สำหรับการกู้เงินในประเทศของ กฟน. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินลงทุนของแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบสื่อสาร (ICT) ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔ แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบการสื่อสาร (ICT) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ ๑๐ ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔ และแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ ๑๑ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นแผนงานและโครงการที่ได้รับอนุมัติลงทุนไว้แล้ว เห็นควรให้ กฟน. กู้เงินได้ภายหลังจากแผนการลงทุนดังกล่าวบรรจุอยู่ในกรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
30100 | โครงการโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 2 ของ กฟผ. | พน | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๒ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในวงเงิน ๒๒,๗๕๒.๑๐ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินตราต่างประเทศ จำนวน ๑๕,๑๒๖.๔๐ ล้านบาท และเงินบาท จำนวน ๗,๖๒๕.๗๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้อย่างเพียงพอ มั่นคง และสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๗๓ (แผน PDP 2010) โดยสถานที่ตั้งโครงการจะอยู่ภายในบริเวณโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี พื้นที่รวมประมาณ ๑๑๒ ไร่ ชนิดและขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมกังหันแก๊สแบบ Single Shaft Combined Cycle ใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้าฐาน ประกอบด้วย หน่วยการผลิตไฟฟ้า ๒ หน่วย หน่วยละ ๔๕๐ เมกะวัตต์ รวมขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าสุทธิประมาณ ๙๐๐ เมกะวัตต์ ทั้งนี้ ให้ กฟผ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเกี่ยวกับการปรับปรุงการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าฯ ให้สอดคล้องกับกำลังการผลิตตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยในขั้นตอนของการจัดทำแผนฯ ในอนาคต ประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๒ ให้ กฟผ. และรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ พิจารณาความเหมาะสมของการใช้แหล่งเงินทุนภายในประเทศเป็นอันดับแรกก่อน เนื่องจากระบบสถาบันการเงินในประเทศในปัจจุบันยังมีสภาพคล่องอยู่ในระบบค่อนข้างสูง จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องจัดหาแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศในส่วนของการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ ๑.๓ ให้ กฟผ. ดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๒ ได้ เมื่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ความเห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว ๒. ให้ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการทำความเข้าใจด้านสังคมกับชุมชนในพื้นที่เพื่อให้มีทัศนคติและยอมรับการดำเนินงานของโครงการเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการดำเนินโครงการในระยะต่อไปและความปลอดภัยในการดำเนินงานอย่างเข้มงวด การพิจารณาหามาตรการป้องกันและรองรับความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงฤดูฝน เนื่องจากพื้นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๒ อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา การให้ความสำคัญกับระบบตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่อชุมชนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะคุณภาพน้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้าฯ การดำเนินการด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) ในพื้นที่โครงการอย่างต่อเนื่อง การถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องกระบวนการมีส่วนร่วมและการดำเนินงานชุมชนสัมพันธ์ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน การเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เยาวชน ประชาชน และชุมชนในด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งต่าง ๆ ตลอดจนข้อดีข้อเสียของแต่ละแหล่งผลิตพลังงานเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนและชุมชน การเตรียมแผนการพัฒนาโรงไฟฟ้าฯ ในระยะยาวและการพิจารณาทางเลือกของแหล่งเชื้อเพลิงที่เหมาะสมเพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรักษาความมั่นคงของระบบผลิตไฟฟ้าของประเทศในอนาคต รวมทั้งการกำหนดกลไกและเครื่องมือในการติดตามประเมินผลที่เชื่อมโยงกับการป้องกันทุจริตของโครงการภาครัฐ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการและป้องกันปัญหาการทุจริต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....