ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1504 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30061 - 30080 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30061 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (เรื่อง การให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการจัดทำข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะราคากลางและการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจดูได้และการกำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม) | นร | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) และตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการจัดทำข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดซื้อ จัดจ้าง โดยเฉพาะราคากลางและการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจดูได้และการกำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม) โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าวให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบต่อไป สำหรับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรา ๑๐๓/๗ วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา ๑๐๓/๘ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่รายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อสั่งการให้หน่วยงานของรัฐจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง โดยหน่วยงานของรัฐจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการ โดยมิได้ให้อำนาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดหลักเกณฑ์การจัดทำข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะราคากลางและการคำนวณราคากลางไว้ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่อาจเสนอเป็นแนวทางประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีได้ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีอำนาจที่จะพิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออาจพิจารณาเป็นประการอื่นที่เหมาะสม ๒. สำหรับกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจแก้ไขปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดทำข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างฯ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในส่วนที่แก้ไขเพิ่มเติมอีก นั้น ข้อเสนอดังกล่าวไม่สอดคล้องกับมาตรา ๑๐๓/๗ และมาตรา ๑๐๓/๘ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ประสงค์ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณา |
||||||||||||||||||||||||
30062 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2554 กรณีการปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ | รง | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. ยืนยันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๔ กรณีการปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมีเจตนารมณ์เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของผู้มีรายได้น้อยเป็นหลัก ๒. ให้มีการปรับโครงสร้างเงินเดือนพนักงานและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ควรนำผลการศึกษาการปรับโครงสร้างเงินเดือนพนักงานและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจทั้งระบบมาประกอบการพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30063 | การกำหนดค่าตอบแทนคณะกรรมการต่างๆ ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 | อก | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่เห็นชอบการกำหนดค่าตอบแทนการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย โดยให้ประธานกรรมการได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือนในอัตราไม่เกินเดือนละ ๖,๒๕๐ บาท และกรรมการไม่เกินเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้ได้รับเฉพาะเดือนที่ได้เข้าร่วมประชุม ๒. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เรื่อง กำหนดค่าตอบแทนการประชุมคณะกรรมการต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดค่าตอบแทนการประชุมคณะกรรมการต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขค่าตอบแทนการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
30064 | การรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลและการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม | อก | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลและการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยกำหนดจัดงาน Outlet เพื่อประชาชน ระหว่างวันที่ ๖ - ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา โดยมีการออกร้านขายสินค้าราคาประหยัดกว่า ๓๐๐ ร้านค้า ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่ระดมสินค้าอุปโภคบริโภคราคาโรงงานมาจำหน่าย ๒. การดำเนินการฟื้นฟู เยียวยานิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดปทุมธานี ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี ขณะนี้มีโรงงานประกอบกิจการแล้ว ๖๖๒ ราย คิดเป็นร้อยละ ๗๘.๙๐ ของโรงงานทั้งหมด ๘๓๙ ราย ๓. การดำเนินการฟื้นฟูโรงงานขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบอุทกภัย ซึ่งตั้งอยู่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรม ขณะนี้โรงงาน สถานประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดดำเนินการแล้ว ๗,๗๘๓ ราย คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๖๑ ของสถานประกอบการทั้งหมด ๗,๘๙๓ ราย ๔. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย อาทิ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และสารปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งในและนอกนิคม โครงการศูนย์สารพัดช่างเพื่อการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย โครงการฟื้นฟูซ่อมแซมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย เป็นต้น ๕. ความคืบหน้าการก่อสร้างเขื่อน นิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๗.๒๑ กิโลเมตร ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้าง โดยมีบริษัท สหรัตนนคร จำกัด เป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการฯ ใหม่ เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๗๕ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๕๑ นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๑.๐๓ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๕๙.๙๕ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๙.๘๙ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๔๐.๘๕ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๘ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๕๓.๔๕ และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๙.๑๒ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๕๗.๗๐
|
||||||||||||||||||||||||
30065 | ขออนุมัติรายชื่อผู้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ประจำปีการศึกษา 2555-2556 จากคณะรัฐมนตรี | กห | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
๑. รายชื่อบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ ๕๕ จำนวน ๑๐๘ คน หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) รุ่นที่ ๒๕ จำนวน ๑๑๕ คน และหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐ ภาคเอกชน และการเมือง (วปม.) รุ่นที่ ๖ จำนวน ๖๑ คน ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ ห้วงการศึกษาตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ๒. หากตรวจสอบคุณสมบัติในภายหลังพบว่า ผู้ได้รับการคัดเลือกเข้ารับการศึกษาหลักสูตรดังกล่าวขาดคุณสมบัติตามระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้กระทรวงกลาโหม โดยวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ตัดรายชื่อออกจากจำนวนที่ได้รับอนุมัติ หากมีความจำเป็นที่จะพิจารณาผู้ที่จะเข้าศึกษาทดแทน ให้กระทรวงกลาโหม โดยสภาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรดำเนินการตามความเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||
30066 | ขออนุมัติตั้งงบประมาณชดเชยเพื่อชำระเงินคืนกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรโครงการแก้ไขปัญหาเมล็ดพันธุ์หญ้าล้นตลาด ปี พ.ศ. 2550 | กษ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กรมปศุสัตว์ขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร โครงการแก้ไขปัญหาเมล็ดพันธุ์หญ้าล้นตลาดปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ออกไปจนกว่ากรมปศุสัตว์จะได้รับการจัดสรรงบประมาณชดเชยเพื่อชำระคืนเงินกองทุนฯ เป็นกรณีพิเศษ ตามมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ สำหรับงบประมาณเพื่อชำระคืนเงินกองทุนฯ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รองรับไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดเตรียมแนวทางในการบริหารจัดการเมล็ดพันธุ์หญ้าที่เหลืออยู่ไปใช้ประโยชน์ในภารกิจของกรมปศุสัตว์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า ในการดำเนินโครงการในลักษณะนี้ในครั้งต่อไป กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) ควรพิจารณาวางแผนและเตรียมการดำเนินการล่วงหน้าเพื่อมิให้เกิดปัญหาเมล็ดพันธุ์ตกค้างจนเสื่อมสภาพอีก |
||||||||||||||||||||||||
30067 | กรอบการเจรจาการเพิ่มประสิทธิภาพมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี | กค | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. กรอบการเจรจาการเพิ่มประสิทธิภาพมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี และให้นำเสนอขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาก่อนดำเนินการต่อไป โดยสาระสำคัญของการเจรจาฯ มีดังนี้ ๑.๑ การเพิ่มวงเงินของกองทุนภายใต้มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chaing Mai Initiative Multilateralisation : CMIM) ให้สูงขึ้นเป็น ๒ เท่า จาก ๑๒๐ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น ๒๔๐ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในส่วนของประเทศไทยจะเพิ่มวงเงินผูกพันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศใน CMIM จากเดิม ๔.๕๕๒ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น ๙.๑๐๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ๑.๒ การเพิ่มสัดส่วนการให้ความช่วยเหลือกรณีไม่เข้าโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF De - Linked Portion) ซึ่งภายใต้เงื่อนไขของ CMIM ปัจจุบันกำหนดให้ประเทศสมาชิกได้รับความช่วยเหลือได้ จำนวนร้อยละ ๒๐ ของจำนวนเงินสูงสุดหากสมาชิกไม่เข้าร่วมโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งการเพิ่มสัดส่วนที่ไม่เชื่อมโยงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศให้มากกว่าร้อยละ ๒๐ จะเป็นการเพิ่มจำนวนเงินที่ประเทศจะได้รับความช่วยเหลือในระยะแรกจากสมาชิก CMIM ด้วยกัน ๑.๓ การจัดตั้งกลไกการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อป้องกันการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ (Crisis - prevention Facility) จากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและของภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมาประเทศสมาชิกอาเซียน+๓ ได้เห็นควรให้มีการพิจารณาจัดตั้งกลไกการให้ความช่วยเหลือทางการเงินก่อนการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเพิ่มจากเดิมที่ CMIM จะให้ความช่วยเหลือภายหลังจากที่สมาชิกประสบวิกฤตเศรษฐกิจแล้ว โดยมอบหมายให้คณะทำงานหารือในรายละเอียดที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยผูกพันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในวงเงินไม่เกิน ๙.๑๐๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่คณะรัฐมนตรีและรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบการผูกพันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไว้ที่ ๕ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ |
||||||||||||||||||||||||
30068 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการค้ำประกันการชำระหนี้ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ | กค | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการค้ำประกันการชำระหนี้ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐไปหารือร่วมกันในรายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์การค้ำประกันว่า ในกรณีทั่วไปหน่วยงานต้องมีโครงการหรือแผนงานในการกู้เงิน และกรณีใดเป็นข้อยกเว้นจากหลักเกณฑ์ทั่วไปที่ไม่จำเป็นต้องมีโครงการหรือแผนงานในการกู้เงิน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
30069 | ร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดอุปกรณ์เพื่อช่วยในการแสดงสัญญาณจราจร และกำหนดข้อสันนิษฐานกรณีผู้ขับขี่ไม่ยอมให้ทดสอบโดยไม่มีเหตุอันควร) | ยธ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ใช้ไฟฉายเรืองแสงหรืออุปกรณ์เรืองแสงอื่นในการแสดงสัญญาณจราจรได้ ๒. กำหนดให้เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้มีการทดสอบผู้ขับขี่ว่าหย่อนความสามารถในอันที่จะขับหรือเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น และให้มีอำนาจกักตัวผู้ขับขี่ที่มีพฤติการณ์ดังกล่าวและไม่ยอมให้ทดสอบในกรณีผู้ขับขี่ถูกกักตัวไว้ทดสอบแล้ว หากผู้นั้นไม่ยอมให้ทดสอบโดยไม่มีเหตุอันสมควรให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น |
||||||||||||||||||||||||
30070 | ร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ ในท้องที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... | คค | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ ในท้องที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ โดยให้ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
30071 | ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเกี่ยวกับการซักซ้อมความช่วยเหลือและให้ความรู้แก่ประชาชนในการเผชิญเหตุภายใต้แผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน จำนวน ๗๓.๓๖๕๐ ล้านบาท ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประกอบด้วย การพัฒนาระบบการบัญชาการ (Incident Command System : ICS) จำนวน ๕๓.๘๑๒๐ ล้านบาท และการศึกษาและอบรมตามวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้สามารถอยู่กับสภาพน้ำท่วม จำนวน ๑๙.๕๕๓๐ ล้านบาท ๑.๒ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดทำคันกั้นน้ำและทำนบชั่วคราว ของกรมชลประทาน รวม ๒ รายการ จำนวน ๕๕.๙๕๑๑ ล้านบาท ประกอบด้วย คันกั้นน้ำชั่วคราวบริเวณปากคลองบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๓๙.๙๖๘๙ ล้านบาท และทำนบชั่วคราวคลองพระอุดม จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๑๕.๙๘๒๒ ล้านบาท ๑.๓ ค่าใช้จ่ายของสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของ สบอช. จำนวน ๓๘.๗๑๒๔ ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติติดตามสถานการณ์น้ำ ของ สบอช. จำนวน ๑๕๑.๘๙๐๐ ล้านบาท ๒. ยกเว้นค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการศึกษาออกแบบระบบการเผชิญเหตุเพื่อบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย จำนวน ๔๗.๕๑๐๐ ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยในลุ่มน้ำภาคกลาง จำนวน ๑๑๗.๔๓๐๐ ล้านบาท ของ สบอช. ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย รับไปพิจารณาทบทวน โดยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่าการดำเนินการเกี่ยวกับระบบการเผชิญเหตุควรบูรณาการการดำเนินการร่วมกับแผนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
30072 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ๑.๑ การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงิน ๑๑๗,๖๙๒.๐๗๐ ล้านบาท ลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว จำนวน ๔.๗๘๗ ล้านบาท เนื่องจากสำนักงบประมาณได้ดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนในระบบ GFMIS จากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้แจ้งส่งคืนงบประมาณอย่างเป็นทางการ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงมิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๗,๙๘๗.๔๙๘ ล้านบาท ๑.๒ สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑.๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ จากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๗๑,๘๘๕.๓๔๑ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๒,๒๕๑.๗๔๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓.๒๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๐๒,๙๖๑.๔๘๑ ล้านบาท (ร้อยละ ๘๗.๔๘ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑,๕๕๒.๓๔๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑.๕๓ ๑.๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ จากระบบรายงานแผน/ผลการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย สำนักงบประมาณ จำนวน ๗๓ จังหวัด เป็นเงิน ๕๖,๑๑๖.๗๒๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๓.๗๘ ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ๑.๓.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจแจ้งอย่างเป็นทางการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและเงินงบประมาณของโครงการ/รายการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๔๓ หน่วยงาน รวมเป็นเงิน ๕,๐๓๒.๔๑๑ ล้านบาท สำนักงบประมาณดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนในระบบ GFMIS แล้ว จำนวน ๔,๒๖๑.๒๒๘ ล้านบาท ๑.๓.๒ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ อนุมัติจัดสรรงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียว ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ เพิ่มเติม โดยให้ใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืนเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น ๓,๕๘๑.๓๐๔ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว ๑,๙๗๑.๕๓๔ ล้านบาท คงเหลือวงเงินเพื่อรอการจัดสรรเพิ่มเติม จำนวน ๑,๔๕๑.๑๐๗ ล้านบาท ๑.๔ การติดตามผลการปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ๑.๔.๑ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ จำนวน ๑๑ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๑,๔๔๔ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒,๗๑๗.๒๙๙ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๑,๒๗๐.๗๑๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๖.๗๖ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๖๗.๖๐ ๑.๔.๒ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดกลางน้ำ จำนวน ๖ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๒,๑๕๒ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๖,๒๓๐.๖๖๗ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๒,๙๔๐.๖๑๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๙.๗๗ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๓๙.๒๖ ๑.๔.๓ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดปลายน้ำ จำนวน ๑๕ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๖,๖๒๑ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒๐,๖๑๙.๘๔๘ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๖,๖๔๗.๐๒๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๓.๙๕ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๖๐.๖๗ ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ อนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๘,๙๑๘.๘๖๑ ล้านบาท สำนักงบประมาณได้จัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ ณ วันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๙,๖๖๗.๘๘๗ ล้านบาท ส่วนราชการกำลังอยู่ระหว่างการขอรับการจัดสรรเงินกู้ฯ จำนวน ๙,๒๓๓.๖๔๙ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๕,๒๘๑.๖๒๗ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๗๑๕.๓๒๘ ล้านบาท และกระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
30073 | รายงานการอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัย อย่างบูรณาการ ในงานฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัด | กค | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานการอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ในการจัดหาพัสดุสำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ในงานฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัด วงเงิน ๑,๕๕๕.๖๓๓๙ ล้านบาท เพื่อให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ สามารถดำเนินการจัดหาพัสดุได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามนโยบายรัฐบาล โดยคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) ได้เพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ ในการจัดหาพัสดุสำหรับงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในอนาคต ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานที่จัดหาพัสดุพิจารณาแม้จะได้รับงบประมาณและดำเนินการจัดหาพัสดุตามนัยหนังสือคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวพอ) ๐๔๒๑.๓/ว ๓๔ ลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งลดระยะเวลาในการจัดหาพัสดุ จากประมาณ ๘๕ วัน เหลือประมาณ ๒๘ วันแล้วก็ตาม หน่วยงานยังไม่สามารถดำเนินการจัดหาพัสดุจนได้พัสดุหรือสิ่งก่อสร้างพร้อมใช้งาน เพื่อใช้ในการป้องกันอุทกภัยภายในระยะเวลาตามแผนงานที่กำหนดไว้ และหากความต้องการใช้พัสดุดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วนล่าช้าอาจจะเสียหายแก่ราชการ หน่วยงานก็ชอบที่จะดำเนินการจัดหาโดยวิธีพิเศษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการพัสดุของหน่วยงานนั้น ๑.๒ ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณดังกล่าว ควบคุม กำกับดูแล ในการพิจารณาคัดเลือกผู้ขายหรือผู้รับจ้างที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมที่จะดำเนินงาน/โครงการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และระยะเวลาที่กำหนดไว้ และหากเป็นงาน/โครงการที่เกี่ยวกับการขุดลอกคูคลอง ให้หน่วยงานถือปฏิบัติตามหนังสือคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวพ) ๐๔๒๑.๓/ว ๑๔๗ ลงวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ เรื่อง การซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานโครงการขุดลอกคูคลองอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาในส่วนของการจัดหาพัสดุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยให้ถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||
30074 | รายงานผลการแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาล ในไตรมาสที่ 1 - 2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาล ในไตรมาสที่ ๑ - ๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังมีวงเงินตั๋วเงินคลังเพื่อใช้ในการบริหารเงินสดรับ - จ่ายของรัฐบาล ณ ต้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๒๕,๖๙๑ ล้านบาท ซึ่งวงเงินดังกล่าวแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่ ๑ เป็นวงเงินที่ได้ขออนุมัติเพิ่มเติมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ เพื่อนำมาใช้ในการบริหารเงินสดของรัฐบาล จำนวน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท และส่วนที่ ๒ เป็นวงเงินที่เกิดจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีที่ผ่านมา จำนวน ๔๕,๖๙๑ ล้านบาท โดยในไตรมาสที่ ๑ - ๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการแปลงตั๋วเงินคลังในส่วนที่เกิดจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีที่ผ่านมาเป็นพันธบัตรรัฐบาล จำนวนรวม ๕,๗๘๒.๓๓๕ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๑ พันธบัตรรัฐบาลสำหรับนักลงทุนประเภทสถาบัน จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ (LB616A) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๔.๘๕ ต่อปี อายุคงเหลือ ๔๙.๔๖ ปี ซึ่งเป็นการ Re-open พันธบัตรรัฐบาล ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๙ อายุ ๕๐.๓๒ ปี โดยจัดประมูลในวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๕ ทำให้ปริมาณพันธบัตรรุ่นดังกล่าวมีจำนวน ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ พันธบัตรออมทรัพย์สำหรับนักลงทุนรายย่อย จำนวน ๗๘๒.๓๕๕ ล้านบาท โดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อรายย่อยพิเศษ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๗๕ ต่อปี อายุคงเหลือ ๒.๙๓ ปี ซึ่งเป็นการ Re-open พันธบัตรรัฐบาลเพื่อรายย่อยพิเศษ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๔ อายุ ๓ ปี โดยจำหน่ายผ่านเคาน์เตอร์และเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (เครื่อง ATM) ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ - ๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ๒. ภายหลังจากที่ได้ดำเนินการแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาลในไตรมาสที่ ๑ - ๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวนรวม ๕,๗๘๒.๓๓๕ ล้านบาท แล้ว ทำให้กระทรวงการคลังมีวงเงินตั๋วเงินคลังคงเหลือเพื่อใช้ในการบริหารเงินสดรับ - จ่ายของรัฐบาล จำนวน ๑๑๙,๙๐๘.๖๖๕ ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่ ๑ เป็นวงเงินที่ได้ขออนุมัติเพิ่มเติมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ เพื่อนำมาใช้ในการบริหารเงินสดของรัฐบาล จำนวน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท และส่วนที่ ๒ เป็นวงเงินที่เกิดจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีที่ผ่านมา จำนวน ๓๙,๙๐๘.๖๖๕ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
30075 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิสูจน์และการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น พ.ศ. .... | มท | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิสูจน์และการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดขั้นตอนการดำเนินการ ระยะเวลา สถานที่รับคำขอ และพยานหลักฐานประกอบคำขอพิสูจน์และรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ๑.๒ กำหนดให้อธิบดีกรมการปกครองหรือผู้ว่าราชการจังหวัดตรวจสอบและพิจารณาความถูกต้องของคำขอและพยานหลักฐานให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับเรื่อง ๑.๓ กำหนดให้คณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นประชุมพิจารณาคำขอพิสูจน์ความเป็นคนไทยพลัดถิ่นภายใน ๓๐ วัน โดยให้อธิบดีกรมการปกครองเป็นผู้ออกหนังสือรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น หรือหนังสือแจ้งเหตุผลที่ไม่รับรอง รวมทั้งวิธีการและระยะเวลายื่นคำฟ้อง ๑.๔ กำหนดแบบคำขอ ใบรับ และหนังสือรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และเครือข่ายการแก้ปัญหาคืนสัญชาติคนไทยไปพิจารณาว่าจะมีแนวทางการแก้ไขปัญหา อุปสรรคสำหรับผู้ที่อ้างว่าเป็นคนไทยพลัดถิ่นในกรณีอื่นที่ประสงค์จะได้รับการรับรองเป็นคนไทยพลัดถิ่น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายเพื่อมิให้ประชาชนเสียสิทธิดังกล่าว ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
30076 | ขออนุมัติเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 5 และการประชุมรัฐมนตรีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 2 | กต | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสาร จำนวน ๔ ฉบับ ซึ่งจะเป็นเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง และการประชุมรัฐมนตรีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ประกอบด้วย ๑.๑ ร่างแถลงการณ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๕ รับทราบถึงความคืบหน้าในการดำเนินงานที่ผ่านมา และระบุถึงแนวทางและกลไกในการดำเนินงานในอนาคต ในสาขาความร่วมมือต่าง ๆ โดยยินดีที่สหรัฐอเมริกาจะให้งบประมาณเพิ่มอีก ๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ มุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในภูมิภาค เพื่อจัดการกับความท้าทายข้ามพรมแดนและสนับสนุนการเชื่อมโยงในเรื่องกฎระเบียบและประชาชนต่อประชาชนในอนุภูมิภาค นอกจากนั้น ยังตกลงที่จะหารือในการพัฒนาเครือข่ายประสานงานข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงระดับภูมิภาค ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกรอบความร่วมมือผ่านการเจรจาระดับนโยบายและการแลกเปลี่ยนข้อมูล ๑.๒ ร่างแถลงการณ์ร่วมเรื่องความเท่าเทียมกันด้านเพศและการเสริมสร้างบทบาทของสตรี ที่มุ่งส่งเสริมบทบาทของสตรีในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ๑.๓ เอกสารแนวคิดและแผนปฏิบัติการกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงตอนล่าง (ฉบับแก้ไข) ที่เพิ่มเติมเมียนมาร์ในฐานะสมาชิกใหม่ของกรอบข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง และเพิ่มเติมสาขาความร่วมมือเรื่องน้ำอีก ๑ สาขา ๑.๔ ร่างแถลงการณ์ของการประชุมรัฐมนตรีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๒ ระบุถึงแนวทางในการดำเนินงานต่อไปในอนาคตสำหรับเวทีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่างซึ่งมุ่งหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาต่าง ๆ ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก |
||||||||||||||||||||||||
30077 | ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน ประกอบด้วย เครื่องผลักดันน้ำ ๘๔ เครื่อง เป็นเงิน ๑๖๖.๗๔๐๐ ล้านบาท ของกองทัพเรือ เครื่องสูบน้ำไฮดรอลิก ขนาด ๓๐ นิ้ว ๒๔ เครื่อง เป็นเงิน ๒๑๖.๐๐๐๐ ล้านบาท ของกรมทรัพยากรน้ำ และค่าปรับปรุงห้องบัญชาการ ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นเงิน ๑๕.๐๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ สมทบตามหลักเกณฑ์โครงการตามแผนฟื้นฟูการอนุรักษ์ป่าและดิน และการทำฝาย ของกรมพัฒนาที่ดิน เป็นเงิน ๓๖.๙๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย การเพาะกล้าหญ้าแฝก ๓๐ ล้านกล้า เป็นเงิน ๓๐.๖๐๐๐ ล้านบาท และการขนย้ายและการปลูก ๑๐ ล้านกล้า เป็นเงิน ๖.๓๐๐๐ ล้านบาท ๒. ยกเว้นค่าใช้จ่ายในส่วนของรถบรรทุก ๑๐ ล้อ พร้อมเครน ๒ คัน จำนวน ๑๑.๐๐๐๐ ล้านบาท ของกองทัพเรือ และรถบรรทุก ๖ ล้อ พร้อมเครน ๑๔ คัน จำนวน ๔๒.๐๐๐๐ ล้านบาท ของกรมทรัพยากรน้ำ ให้สำนักงบประมาณรวบรวมข้อมูลการมีอยู่และใช้งานได้ของรถบรรทุกที่ใช้เพื่อการป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำอุทกภัยของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งหมด รวมทั้งความต้องการและความจำเป็นที่ต้องมีรถบรรทุกเพิ่มขึ้นเพื่อการดังกล่าวของทุกหน่วยงาน และให้กระทรวงกลาโหม (กองทัพเรือ) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำ) รวมทั้งหน่วยงานอื่นที่มีความจำเป็นต้องใช้รถบรรทุกขอตกลงรายละเอียดและความจำเป็นในการมีรถบรรทุกเพิ่มขึ้นดังกล่าวกับสำนักงบประมาณเพื่อเป็นการบูรณาการและลดความซ้ำซ้อน แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้รายงานผลการพิจารณาให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย ๓. ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อกำหนดจุดที่ตั้งปัจจุบันของเครื่องผลักดันน้ำและเครื่องสูบน้ำที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันและที่จะจัดหาเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
30078 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (นายยรรยง พวงราช) | กค | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีอนุมัติแต่งตั้งนายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร แทนนายอำนวย ปะติเส ที่อายุครบ ๖๕ ปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
30079 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 สำหรับค่าเช่าอาคารเพื่อดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา | วธ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยเช่าอาคารจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา และก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๘๕ ภายในวงเงิน ๑,๐๖๒,๐๒๐,๑๐๐ บาท โดยค่าเช่าในปีแรกให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามอัตราค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริง จำนวน ๑๐ เดือน ซึ่งได้เสนอขอตั้งงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๑๘,๕๗๕,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีและเสนอตั้งงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. สำหรับการใช้ชื่อ “โครงการพัฒนาศูนย์หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา” ให้กระทรวงวัฒนธรรมหารือสำนักราชเลขาธิการก่อน ตามความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ๓. ให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร ดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบบริเวณพื้นที่ที่จะพัฒนาเป็นศูนย์หอศิลป์ร่วมสมัยทั้งสองฝั่ง โดยให้มีการจัดระเบียบร้านค้า แผงลอยที่ผิดกฎหมาย เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวให้บรรลุเป้าหมายและมีความเหมาะสมในการเป็นที่ตั้งของหอศิลป์ร่วมสมัยต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
30080 | แผนแม่บทการแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน พ.ศ. 2555 - 2559 | สธ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนแม่บทการแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายใช้แผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานสาธารณสุขชายแดนร่วมกัน และเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรอื่น ๆ จากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยมีประเด็นยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน ประกอบด้วย ๔ ประเด็นยุทธศาสตร์ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบบริการสุขภาพ : สถานบริการสุขภาพทุกระดับผ่านเกณฑ์มาตรฐานและมีเพียงพอต่อการให้บริการ, ผู้มารับบริการมีความพึงพอใจ, มีระบบการส่งต่อและติดตามผู้ป่วยข้ามแดนและผู้ป่วยจากพื้นที่พักพิงชั่วคราวเพื่อการตรวจวินิจฉัย และรักษาโรค, มีระบบการส่งเสริมสุขภาพ อนามัยสิ่งแวดล้อม การเฝ้าระวัง การป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่ชายแดน และมีระบบการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีประสิทธิผลในพื้นที่ชายแดน ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน : มีระบบประกันสุขภาพที่เหมาะสมเพื่อรองรับกลุ่มประชากรที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพ, ขยายการประกันสุขภาพให้มีความครอบคลุมแรงงานต่างด้าวทุกกลุ่มในรูปแบบที่เหมาะสม, ขยายบริการสาธารณสุขเชิงรุกในกลุ่มประชากรที่เข้าไม่ถึงบริการด้านสุขภาพ และมีข้อมูลการให้บริการด้านสุขภาพของกลุ่มประชากรต่างด้าวทุกกลุ่ม ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน : มีเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชนและหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาชน ภาคเอกชน องค์การระหว่างประเทศในการดำเนินงานด้านสาธารณสุขชายแดนทุกระดับที่เข้มแข็ง และความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างประเทศไทยกับเพื่อนบ้านทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การบริหารจัดการ : มีนโยบาย แผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการ และงบประมาณในการดำเนินงานด้านสาธารณสุขชายแดน, มีกลไกการขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติ รวมถึงการกำกับ ติดตาม และประเมินผล, มีโครงสร้างและอัตรากำลังที่มีเพียงพอและมีศักยภาพในการดำเนินงานสาธารณสุขชายแดน, มีระบบสารสนเทศด้านสุขภาพชายแดน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องมีความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะในการดำเนินงานสาธารณสุขชายแดน ๒. ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้อง และสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเกี่ยวกับการนำผลการประเมินความสำเร็จของแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๑ ปัญหาและอุปสรรคมาใช้ประกอบการพิจารณาจัดทำแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ ให้มีความสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ การเชื่อมโยงและบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับแผนอื่น ๆ ของกระทรวงสาธารณสุข เช่น แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) การสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพในกลุ่มผู้ประกอบการและแรงงานต่างด้าว การประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในการส่งเสริมสุขภาพและการลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ การป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี การจัดระบบบริการสาธารณสุขและระบบประกันสุขภาพที่เหมาะสมให้แก่กลุ่มคนต่างด้าว การให้ความสำคัญกับการพัฒนาดูแลคน ชุมชน และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ การพัฒนากรอบความร่วมมือทางสุขภาพกับประเทศเพื่อนบ้านและองค์กรระหว่างประเทศในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขชุมชน และการบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ โดยเน้นเรื่องการเสริมสร้างสุขภาพเชิงรุกในชุมชนแรงงานต่างด้าวที่อยู่ติดกับชายแดนไทย รวมทั้งการส่งเสริมให้สถานบริการสาธารณสุขตามแนวชายแดนแต่ละพื้นที่ร่วมกับภาคธุรกิจในพื้นที่ (เช่น สภาหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) เป็นแกนกลางในการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการปัญหาสาธารณสุขชายแดนในพื้นที่รับผิดชอบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนปฏิบัติการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ กลุ่มเป้าหมาย และแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขหารือร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงในการดำเนินการตามแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ ด้วย |
.....