ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1441 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 28801 - 28820 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28801 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร01 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนฯ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๑๑๗,๑๖๒ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ส่วนจำนวนเรื่องร้องทุกข์จำแนกตามประเภท ประชาชนร้องทุกข์ในประเภทเรื่องต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๗๙,๗๒๒ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ การปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการแก้ไขปัญหาเหตุเดือดร้อนรำคาญจากเสียง/กลิ่นเหม็น ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามหน่วยงาน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๓๓,๓๓๔ เรื่อง โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาคือ กระทรวงยุติธรรม และสำนักนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รองลงมาคือ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับ อปท. และจังหวัดต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๑๙,๘๔๔ เรื่อง โดยเรียงลำดับจาก อปท. และจังหวัดที่ได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และนนทบุรี ตามลำดับ ๒. รับทราบข้อมูลการร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นจากประชาชนในประเด็นที่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่า ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวในจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกข้าวมาก ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ สุโขทัย และพิษณุโลก ตามลำดับ โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ ขอให้เร่งจ่ายเงินรับจำนำข้าว รองลงมาคือ ขอให้ตรวจสอบโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ กับขอให้เร่งออกใบประทวนให้กับเกษตรกร ตามลำดับ และให้กระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักนำข้อมูลไปดำเนินการกำหนดนโยบาย แผนงาน และบูรณาการการทำงานระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาการดำเนินงานของโครงการรับจำนำข้าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28802 | การขออนุมัติผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ของโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีของจังหวัด สุราษฎร์ธานี ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ 21 - 22 ตุลาคม 2555 | นร11 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี กรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๔๙.๒๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงิน ๑๓.๒๐ ล้านบาท (ประกอบด้วย งานก่อสร้างอาคารพยาบาล ๗.๐๐ ล้านบาท อาคารพักพยาบาล ๒.๐๐ ล้านบาท โรงไฟฟ้า ๐.๙๐ ล้านบาท อาคารนึ่งกลาง-ซักฟอก ๓.๐๐ ล้านบาท และงานรื้อถอนบางส่วนของสถานีอนามัย ๐.๓๐ ล้านบาท) และส่วนที่เหลือเป็นเงิน ๓๖.๐๐ ล้านบาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ๒. อนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จำนวน ๓๖.๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ๒.๑ อาคารพยาบาล วงเงินทั้งสิ้น ๓๕.๐๐ ล้านบาท ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงิน ๗.๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นเงิน ๒๘.๐๐ ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๒.๒ อาคารพักพยาบาล วงเงินทั้งสิ้น ๑๐.๐๐ ล้านบาท ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงิน ๒.๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นเงิน ๘.๐๐ ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28803 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 แทนตำแหน่งที่ว่าง | ลต | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการสนับสนุนงบประมาณเพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี เขตเลือกตั้งที่ ๒ แทนตำแหน่งที่ว่าง เป็นเงินทั้งสิ้น ๘,๔๓๐,๙๐๐ บาท โดยให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาใช้จ่ายเงินรายได้ โดยการปรับแผนการใช้จ่ายเงินอุดหนุนที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐ และหากพิจารณาตรวจสอบแล้วมีไม่เพียงพอ ก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28804 | โครงการหมู่บ้านสหกรณ์อำเภอสันกำแพง ตามพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ | รล | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการโครงการหมู่บ้านสหกรณ์อำเภอสันกำแพง ตามพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการโครงการหมู่บ้านสหกรณ์อำเภอสันกำแพง ตามพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๖ โดยมีพลอากาศเอก กำธน สินธวานนท์ องคมนตรี เป็นประธานกรรมการ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพิกถอนสภาพที่ดินสาธารณประโยชน์ เนื้อที่ประมาณ ๗๕ ไร่ ซึ่งถูกพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างสมบูรณ์แล้ว เพื่อให้เป็นตามสภาพการใช้ประโยชน์จริง และเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่โครงการหมู่บ้านสหกรณ์อำเภอสันกำแพง ตามพระราชดำริ เพื่อใช้ประโยชน์ในโครงการหมู่บ้านสหกรณ์อำเภอสันกำแพง ตามพระราชดำริ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28805 | ขอความเห็นชอบในการลงนามร่าง Memorandum of Association เพื่อจัดตั้งสำนักเลขาธิการถาวร BIMSTEC | กต | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่าง Memorandum of Association เพื่อจัดตั้งสำนักเลขาธิการถาวร BIMSTEC (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งสำนักเลขาธิการ BIMSTEC ขึ้นที่กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ โดย ๑.๑.๑ สำนักเลขาธิการมีบทบาทในการประสานงานและอำนวยความสะดวกในการดำเนินกิจกรรมและโครงการต่างๆ และอำนวยการการประชุมต่างๆ ของ BIMSTEC ทั้งนี้ โดยใช้ภาษาอังกฤษในการทำงาน และติดต่อประสานงาน ๑.๑.๒ สำนักเลขาธิการ ประกอบด้วย เลขาธิการ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าของสำนักเลขาธิการ ผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป ประเทศสมาชิกจะเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการและผู้อำนวยการ โดยยึดหลักการหมุนเวียนตามลำดับตัวอักษร และมีวาระการดำรงตำแหน่งสามปี ๑.๑.๓ เลขาธิการมีบทบาทและอำนาจหน้าที่ในการติดต่อประสานงานโดยตรงกับประเทศสมาชิก จัดการประชุม BIMSTEC จัดทำงบประมาณประจำปี อำนวยความสะดวก และติดตามความคืบหน้าการดำเนินกิจกรรมและโครงการของ BIMSTEC ๑.๑.๔ สำนักเลขาธิการ เลขาธิการ ผู้อำนวยการ ได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันในบังกลาเทศ ตามที่คณะทูตและผู้แทนทางการทูตได้รับ และตามที่ระบุในความตกลงของประเทศเจ้าภาพที่บังกลาเทศและสำนักเลขาธิการได้ข้อสรุปร่วมกัน ๑.๑.๕ งบประมาณประจำปีของสำนักเลขาธิการ ประเทศเจ้าภาพ (บังกลาเทศ) จะจัดหาที่ดิน รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างที่เหมาะสมสำหรับใช้เป็นสำนักงาน รับผิดชอบการบำรุงรักษา การปรับปรุงที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การตกแต่ง ติดตั้ง และจัดหาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็นในช่วงห้าปีแรก สำหรับประเทศสมาชิกจะสนับสนุนงบประมาณของสำนักเลขาธิการตามสัดส่วนการให้เงินสมทบที่ตกลงกันเป็นครั้งคราวของภาคี โดยเลขาธิการจะเสนองบประมาณประจำปีให้ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส และที่ประชุมรัฐมนตรี BIMSTEC พิจารณา ๑.๑.๖ สำนักเลขาธิการจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่นับตั้งแต่วันที่ที่ประชุมรัฐมนตรี BIMSTEC กำหนด ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนร่วมลงนามในร่างเอกสารฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการเงินอุดหนุนองค์การระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28806 | ผลการคัดเลือกเอกชนลงทุนงานระบบรถไฟฟ้าและรับจ้างดำเนินกิจการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ (สถานีคลองบางไผ่ - สถานีเตาปูน) งานสัญญาที่ 4 | คค | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ และให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ดังนี้
๑. ให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมงานหรือดำเนินการตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และกระทรวงคมนาคมในประเด็นต่างๆ ไปประกอบการเจรจาต่อรองกับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BMCL) ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาต่ำที่สุด เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่มีภาระค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนของเงินลงทุนเบื้องต้น (ค่างานระยะที่ ๑) รวมกับภาระค่าเดินรถ (ค่างานระยะที่ ๒) ในราคาที่ต่ำลง ซึ่งจะช่วยลดภาระทางการเงินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในประเด็นสำคัญ ได้แก่ ๑.๑ เจรจาต่อรองค่างานระบบขบวนรถไฟฟ้าให้ต่ำลง ๑.๒ เจรจาต่อรองค่าใช้จ่ายในการเดินรถและบำรุงรักษาให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับต้นทุนการเดินรถและบำรุงรักษาของผู้ให้บริการเดินรถในปัจจุบัน ๑.๓ เจรจากำหนดอัตราผลกำไรที่เหมาะสม เนื่องจากสัมปทานรูปแบบ PPP Gross Cost มีความแตกต่างจาก PPP Net Cost ที่ผู้รับสัมปทานต้องรับความเสี่ยงทางด้านปริมาณผู้โดยสารและรายได้ค่าโดยสารของโครงการทั้งหมด ๑.๔ เจรจาพิจารณาปรับลดรายการค่าใช้จ่ายที่เป็นความรับผิดชอบของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยโดยตรงออกไป ๑.๕ เจรจาต่อรองอัตราดอกเบี้ยและพิจารณาเปรียบเทียบความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยระหว่างอัตราดอกเบี้ยคงที่และอัตราดอกเบี้ยลอยตัว รวมทั้งผลกระทบต่อภาระทางการเงินของภาครัฐ ๑.๖ พิจารณาความเหมาะสมของแนวทางการจ่ายคืนค่าลงทุนระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าให้กับเอกชนผู้รับสัมปทาน โดยให้เปรียบเทียบภาระทางการเงินระหว่างกรณีที่กำหนดระยะเวลาจ่ายคืนค่าลงทุนระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าเวลา ๑๐ ปีตามที่เสนอกับกรณีที่รัฐจัดหาแหล่งเงินที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำกว่า ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการฯ ตามมาตรา ๑๓ เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๓๐ วันนับจากคณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมาย รวมทั้งให้การ รฟม. และกระทรวงคมนาคมเร่งหารือในประเด็นที่เกี่ยวกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการเจรจาต่อรองกับเอกชนผู้เสนอราคาต่ำสุด ได้แก่ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ๒. ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. เร่งพิจารณาเสนอรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนสำหรับการเดินรถ ช่วงบางซื่อ-เตาปูน ที่เหมาะสม ระหว่าง PPP Gross Cost และ PPP Net Cost เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28807 | พิจารณาอนุมัติกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต | คค | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขออนุมัติกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต] เฉพาะในส่วนที่กำหนดว่า ภายหลังจากได้ผลการประกวดราคาในสัญญา ที่ ๒ และ ๓ แล้ว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งเพื่อพิจารณาวงเงินลงทุนรวมทั้ง ๓ สัญญา ในคราวเดียวกัน ๒. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เสนอ ดังนี้ ๒.๑ รับทราบสถานะการดำเนินการประกวดราคาโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ในสัญญาที่ ๑ (งานก่อสร้างงานโยธาสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) สัญญาที่ ๒ (งานก่อสร้างงานโยธา ทางยกระดับและสถานีช่วงบางซื่อ-รังสิต) และสัญญาที่ ๓ (งานออกแบบจัดหาและติดตั้งระบบ E&M ช่วงบางซื่อ-รังสิต) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒.๒ เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปรับกรอบวงเงินลงทุนด้านงานโยธาของโครงการฯ ของสัญญาที่ ๒ เพิ่มเติมจากจำนวน ๑๙,๓๑๔ ล้านบาท เป็น ๒๑,๒๓๕.๔๔ ล้านบาท และให้ รฟท. ดำเนินการโครงการฯ เพื่อนำไปสู่การก่อสร้างงานโยธาในสัญญาที่ ๑ และ ๒ ตามลำดับขั้นตอนการดำเนินโครงการต่อไป พร้อมทั้งเห็นชอบให้ รฟท. ดำเนินการกู้เงินภายในประเทศเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ในส่วนของงานสัญญาที่ ๑ จำนวน ๒,๘๕๔.๔๘ ล้านบาท และสัญญาที่ ๒ จำนวน ๒,๐๓๒.๑๗ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ รฟท. และกระทรวงคมนาคมเร่งจัดทำข้อมูลประกอบการพิจารณาเรื่องดังกล่าวของคณะรัฐมนตรี ได้แก่ ๒.๒.๑ แผนการดำเนินงานของโครงการฯ ทั้งในด้านการก่อสร้างงานโยธา (สัญญาที่ ๑ และ ๒) และการจัดหาระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้า (สัญญาที่ ๓) รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกวดราคาของสัญญาที่ ๓ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการดำเนินการก่อสร้างงานโยธา (งานสัญญาที่ ๑ และ ๒) และสร้างความเชื่อมั่นว่า รฟท. จะสามารถจัดหารถไฟฟ้ามาให้บริการประชาชนได้ทันทีที่การก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ ๒.๒.๒ เร่งจัดทำรายงานการประมาณการวงเงินเบิกจ่ายของโครงการฯ เสนอสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะพิจารณาตามขั้นตอน เนื่องจากปัจจุบันคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้มีมติเห็นชอบแผนก่อหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้ว ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการแก้ปัญหางานรื้อย้ายสาธารณูปโภคก่อนส่งมอบพื้นที่ให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้าง และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและวงเงินก่อสร้างตามสัญญา เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดภาระงบประมาณรายจ่ายที่รัฐบาลจะต้องรับภาระการชำระหนี้เงินกู้เพิ่มขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28808 | ขอรับการจัดสรรเงินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | สธ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติการจัดสรรเงินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓,๒๗๓,๗๒๒,๒๒๕ บาท จำนวน ๓,๓๙๐ รายการ ได้แก่ ๑.๑ โครงการพัฒนาระบบบริการระดับทุติยภูมิ วงเงิน ๗๔๗,๒๓๔,๔๓๔ บาท จำนวน ๘๙๔ รายการ ๑.๒ โครงการพัฒนาระบบบริการระดับตติยภูมิ วงเงิน ๓๙๙,๗๕๑,๑๗๘ บาท จำนวน ๒๙๙ รายการ ๑.๓ โครงการพัฒนาระบบบริการระดับตติยภูมิ ศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์โรคมะเร็ง และเครือข่ายการบาดเจ็บแห่งชาติ วงเงิน ๑,๑๑๑,๗๒๓,๗๘๙ บาท จำนวน ๔๗๑ รายการ ๑.๔ โครงการพัฒนาโรงพยาบาลชุมชน วงเงิน ๑,๐๑๕,๐๑๒,๘๒๔ บาท จำนวน ๑,๗๒๖ รายการ ๒. สำหรับการขออนุมัติจัดสรรวงเงินเหลือจ่าย วงเงิน ๑๕๒,๖๒๖,๘๗๖ บาท จำนวน ๘๗ รายการ ให้กระทรวงสาธารณสุขนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28809 | (ร่าง) มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ 9 จังหวัด ปี 2556 | ทส | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือตอนบน ปี ๒๕๕๖ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำ (ร่าง) มาตรการฯ ดังกล่าวไปปฏิบัติโดยใช้งบประมาณปกติของหน่วยงานต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้ปรับข้อความในมาตรการฯ ให้มีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมยิ่งขึ้น จากเดิม “ส่งเสริมภาคเอกชนและภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ...” เป็น “ส่งเสริมให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ...” สำหรับสาระสำคัญของ (ร่าง) มาตรการฯ มีดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่อควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควัน โดยเน้นการดำเนินมาตรการควบคุมการเผาในพื้นที่ชุมชน พื้นที่เกษตร และพื้นที่ป่า เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์หมอกควันที่จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี ๒๕๕๖ ผลักดันความร่วมมือในการจัดการปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งลดและควบคุมสถานการณ์หมอกควัน และป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ๑.๒ เป้าหมาย คุณภาพอากาศในบรรยากาศ (ฝุ่นละอองขนาดเล็ก : PM10) อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๐ ในช่วง ๘๐ วันอันตราย (๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึง ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖) ในพื้นที่เป้าหมาย ๙ จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน และตาก ๑.๓ มาตรการหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ ๙ จังหวัด ตามหลักการ 2P2R [การป้องกัน (Prevention) การเตรียมพร้อม (Preparation) การรับมือ (Response) และการฟื้นฟู (Recovery)] ประกอบด้วย ๘ มาตรการ ได้แก่ มาตรการที่ ๑ ควบคุมการเผาช่วง “๘๐ วันอันตราย” มาตรการที่ ๒ ป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างเข้มข้น มาตรการที่ ๓ สนับสนุน “ชุมชนมาตรฐาน หมู่บ้านปลอดการเผา” มาตรการที่ ๔ ส่งเสริมภาคเอกชนและภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควัน มาตรการที่ ๕ สื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกสู่กลุ่มเป้าหมาย มาตรการที่ ๖ แจ้งเตือนสถานการณ์หมอกควัน มาตรการที่ ๗ ขยายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดปัญหาหมอกควันข้ามแดน และมาตรการที่ ๘ จัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ ๙ จังหวัด (ศปม.) ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) รับไปจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อบูรณาการการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือตอนบน ปี ๒๕๕๖ ให้เป็นเอกภาพ โดยให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย และให้มีกลไกการกำกับติดตามการดำเนินงานในลักษณะ single command รวมทั้งให้ใช้การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ (area-approach) เป็นหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปกำกับติดตามให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการบุกรุกและเผาป่า โดยให้ตำรวจท้องที่ประสานงานกับหน่วยงานของกระทรวงมหาดไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิด ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความร่วมมือในการป้องกันแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ (พืชล้มลุก) และการกำหนดพื้นที่เพาะปลูก (Zoning) พืชเศรษฐกิจให้เหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาการบุกรุก แผ้วถางและเผาป่าเพื่อเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น รวมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินมาตรการงดรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรที่เพาะปลูกในพื้นที่บุกรุกป่าด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28810 | มาตรการการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) | รง | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการ SMEs จากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ ๓๐๐ บาท และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการเพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็วต่อไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการเพื่อเสริมสภาพคล่อง เพิ่มวงเงิน ลดต้นทุนทางการเงิน โดยผ่านกระบวนการให้สินเชื่อ ได้แก่ มาตรการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในกิจการเสริมสร้างสภาพคล่องสถานประกอบการ และเพิ่มผลผลิตแรงงาน มาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) มาตรการการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๕ และมาตรการการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (PGS New/Start-up) ๑.๒ มาตรการลดต้นทุนผู้ประกอบการ โดยผ่านกระบวนการทางภาษีและเงินสมทบ ได้แก่ มาตรการการลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม มาตรการการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล มาตรการการนำส่วนต่างของค่าจ้างที่จ่ายเพิ่มขึ้นจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ ๓๐๐ บาท มาหักเป็นค่าใช้จ่ายก่อนชำระภาษี มาตรการการนำค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพัฒนาฝีมือแรงงานตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ มาหักลดหย่อนภาษี มาตรการการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลกรณีการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต มาตรการการหักค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร มาตรการการลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และมาตรการการลดค่าธรรมเนียมห้องพักที่เรียกเก็บสำหรับโรงแรม/ที่พักแรม ๑.๓ มาตรการเพิ่มผลิตภาพแรงงานให้ผู้ประกอบการ ได้แก่ มาตรการการให้กู้ยืมเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๑ เพื่อใช้ในการฝึกอบรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และ มาตรการการจัดคลินิกพัฒนาฝีมือแรงงานเคลื่อนที่ไปยังสถานประกอบการต่างๆ ๑.๔ มาตรการเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการโดยการทบทวนค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ได้แก่ มาตรการการปรับเพิ่มอัตราค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมสัมมนาของส่วนราชการ ๑.๕ มาตรการกระตุ้นและส่งเสริมการขายโดยผ่านการบริโภค ได้แก่ มาตรการการจัดคาราวานสินค้าราคาถูกไปจำหน่ายให้ลูกจ้างในสถานประกอบการ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ควรคำนึงถึงความเสมอภาคและการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง รวมทั้งพิจารณาการให้ความช่วยเหลือให้ครอบคลุม SMEs ที่ไม่ได้จดทะเบียนพาณิชย์ และ SMEs ที่มีปัญหาความน่าเชื่อถือทางการเงินและไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่รัฐบาลจัดหาให้ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องประสานสถานประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก เพื่อดูแลและพิจารณาแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28811 | มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีและมอบอำนาจตามกฎหมาย เพิ่มเติม [คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี (คำสั่ง นร ที่ 7/2556)] | นร04 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี และมอบอำนาจตามกฎหมายเพิ่มเติม ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๗/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีและมอบอำนาจตามกฎหมาย เพิ่มเติม ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้ - คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ ๒. การสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน และการดำเนินคดีปกครอง รวมทั้งลงนามมอบอำนาจให้พนักงานอัยการดำเนินคดีปกครองกรณีมีการฟ้องนายกรัฐมนตรีในการสั่งการตามกฎหมายดังกล่าว ๓. การสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยและการสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครู ซึ่งเรื่องอยู่ระหว่างการดำเนินการตามกฎหมายและการดำเนินคดีปกครอง รวมทั้งลงนามมอบอำนาจให้พนักงานอัยการดำเนินคดีปกครองกรณีที่มีการฟ้องนายกรัฐมนตรีในการสั่งการตามกฎหมายดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28812 | การแต่งตั้งข้าราชการดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักบริหารระดับสูง) (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) (นางสุวรรณา พาศิริ) | กร | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสุวรรณา พาศิริ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28813 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (จำนวน 4 ราย 1. นายธวัชชัย สำโรงวัฒนา ฯลฯ) | กษ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย จำนวน ๔ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ มกราคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. นายธวัชชัย สำโรงวัฒนา ๒. พันเอก นาฬิกอติภัค แสงสนิท ๓. นายสุรินทร์ ประสิทธิ์หิรัญ ๔. นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28814 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์) | กค | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการเงินการคลัง) ในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ มกราคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28815 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการโชห่วยช่วยชาติ "ร้านถูกใจ" ครั้งที่ 2 | พณ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” จากกรอบระยะเวลาเดิมซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ออกไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือจากวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติไว้เดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ เรื่อง ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย ๑.๒ แนวทางการดำเนินโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” ในระยะต่อไป โดยการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ร้านถูกใจสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน การใช้งบประมาณอย่างประหยัดเท่าที่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินโครงการฯ ได้แก่ ๑.๒.๑ จัดหาสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพตรงกับความต้องการของประชาชนเพิ่มมากขึ้น โดยราคาจำหน่ายต่ำกว่าราคาตลาดไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐ ๑.๒.๒ ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ จากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า ๑.๒.๓ ปรับปรุงและพัฒนาระบบการบริหารจัดการโครงการฯ ในการจัดเตรียมสินค้าของผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ และการกระจายสินค้าให้ร้านถูกใจได้ตามระยะเวลาที่กำหนด และปริมาณสินค้าตามความต้องการเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ๑.๒.๔ ปรับลดหรือยกเลิกเงินอุดหนุนให้แก่ร้านถูกใจ โดยเพิ่มส่วนเหลื่อมการตลาดให้แก่ร้านถูกใจ เพื่อให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน ๑.๒.๕ ประเมินผลร้านถูกใจและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินโครงการฯ กรณีขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ จากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า หากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ไม่สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าแล้ว ควรปรับวิธีการจัดเตรียมสินค้าที่มีแหล่งผลิตในภูมิภาคแทนการจัดเตรียมจากส่วนกลาง โดยเฉพาะข้าวสาร ข้าวเหนียว เพื่อลดปัญหาค่าใช้จ่ายสูงในการขนส่งและความล่าช้าในการจัดส่งสินค้าให้กับร้านค้าถูกใจในแต่ละพื้นที่ ส่วนปัญหาระบบการสั่งซื้อและการจัดส่งสินค้าล่าช้า รวมถึงผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้ายังไม่สามารถผลิตและจัดส่งสินค้าได้ตรงตามความต้องการและระยะเวลาที่กำหนด ควรเร่งพัฒนาระบบการสั่งซื้อให้รวดเร็ว โดยอาจเพิ่มระยะเวลาหรือจำนวนรอบการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นในแต่ละสัปดาห์ และจัดระบบการกระจายสินค้าในภูมิภาค และสำรวจความต้องการสินค้าของประชาชนในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลโครงการฯ เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของร้านถูกใจ รวมถึงการกำหนดแนวทางการช่วยเหลือในการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนที่มีประสิทธิผลในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาจัดทำแผนบริหารจัดการ “ร้านถูกใจ” ในระยะยาวภายหลังสิ้นสุดโครงการฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการเครือข่ายขนส่งและการกระจายสินค้า เพื่อให้ “ร้านถูกใจ” ดำเนินการต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยไม่เป็นภาระงบประมาณ และสามารถจัดจำหน่ายสินค้าชนิดต่างๆ ให้แก่ประชาชนผู้บริโภคได้ในราคาที่เหมาะสมเป็นธรรมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28816 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร05 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๓ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพุธที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๔ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28817 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติสินามิ | สสป | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติสึนามิ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงบประมาณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมสรรพากร กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น ส่งเสริมสนับสนุนงานศึกษาวิจัยแบบจำลองสามมิติ เพื่อการเตือนภัยสึนามิ ให้ความสำคัญกับระบบการสื่อสารและเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งในประเทศและต่างประเทศ และจัดให้มีระบบสัญญาณเตือนภัยระดับชุมชมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยงภัย เป็นต้น ๑.๒ มาตรการด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น จัดให้มีหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับภัยพิบัติ ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงาน ปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และจัดตั้งคณะกรรมการสหวิทยาการภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่วางแผนการบริหารจัดการเกี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติของประเทศ เป็นต้น ๑.๓ มาตรการด้านการศึกษาและสนับสนุน เช่น ส่งเสริมสนับสนุนองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน ตัวแทนภาคประชาชนในชุมชนให้มีส่วนร่วมในการวางแผน การเตือนภัยการป้องกันภัย การบรรเทาสาธารณภัย การจัดการแผนการอพยพในชุมชนยามเกิดภัยพิบัติ บรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ การปฏิบัติตนหรือการอพยพเคลื่อนย้ายขณะเกิดภัย การช่วยเหลือตนเองเบื้องต้น ตลอดจนองค์ความรู้อื่น ๆ ไว้ในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับในทุกโรงเรียน ทุกชั้นเรียน และลงทุนสร้างระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิชั้นสูง เช่นเดียวกับประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เช่น ในประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาที่มีการใช้เครื่องมือที่เป็นระบบการแจ้งเตือนภัยป้องกันแผ่นดินไหวและสึนามิ ที่สามารถแจ้งเตือนเหตุล่วงหน้าได้ถึง ๒-๓ สัปดาห์ นำมาปรับใช้กับประเทศไทย เป็นต้น ๒. ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. กรุงเทพมหานคร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ มาตรการด้านการประชาสัมพันธ์และกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว เช่น ประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในทุกพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว จัดทำคู่มือประชาชนเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติระหว่างเกิดและหลังเกิดแผ่นดินไหวแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เร่งรัดจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยให้ครบถ้วนทุกพื้นที่และมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัย พร้อมทั้งแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง จัดทำป้ายแจ้งให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เดินทางเข้าเขตจังหวัดหรือบริเวณที่ใกล้รอยเลื่อน ได้รับทราบว่ากำลังอยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยง และบรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติแผ่นดินไหว ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือในทุกชั้นเรียน เป็นต้น ๒.๒ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยและอุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น จัดหาและพัฒนาเครื่องมือ อุปกรณ์ตรวจวัดแผ่นดินไหวและระบบสัญญาณเตือนภัยที่ใช้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีความทันสมัย ปรับปรุงและพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหวให้มีความถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว และครอบคลุมทั่วถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดหาเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวที่ทันสมัย ความเร็วสูงและมีความแม่นยำให้กับกรมอุตุนิยมวิทยา เป็นต้น ๒.๓ มาตรการด้านการบริหารจัดการ เช่น ปรับปรุงโครงสร้างขององค์กร หน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วางแผนการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวแห่งชาติเป็นการเฉพาะ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว รวมถึงแผนย่อยระดับจังหวัดและท้องถิ่น มอบหมายหน่วยงานหลักเพียงหน่วยงานเดียวในการประชาสัมพันธ์หรือให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในขณะเกิดเหตุภัยพิบัติ และจัดตั้งวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นการเฉพาะ เพื่อผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ให้เสมือนวิทยาลัยการอาชีพต่าง ๆ เป็นต้น ๒.๔ มาตรการด้านกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ โดยมีมาตรการบังคับให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว ที่ปลูกสร้างก่อนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีผลบังคับใช้ควรปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างให้สามารถรองรับต่อการเกิดแผ่นดินไหวได้ ตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติฯ และมีมาตรการเพิ่มโทษเกี่ยวกับผู้ที่ให้ข่าวลือ การพูดในลักษณะที่ทำนายหรือคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติแผ่นดินไหว โดยไม่มีหลักฐานทางวิชาการมาประกอบหรือสนับสนุนในเรื่องนั้น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28818 | (ร่าง) กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ | ศธ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กรอบคุณวุฒิแห่งชาติจะเป็นกลไกและเครื่องมือในการพัฒนากำลังแรงงานให้มีความรู้ความสามารถตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน รวมทั้งพัฒนาระบบการประเมินผลที่เน้นสมรรถนะ เพื่อประกันคุณภาพว่าผู้สำเร็จการศึกษาจะมีความรู้และสมรรถนะที่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน เป็นกลไกส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง และสร้างเสริมประสบการณ์การทำงาน ไม่มุ่งเน้นแต่การเรียนเพื่อให้ได้ปริญญาหรือประกาศนียบัตรอย่างเดียว ๑.๒ โครงสร้างของกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ประกอบด้วย ๓ ส่วน คือ ระดับและองค์ประกอบของระดับคุณวุฒิ กลไกการเชื่อมโยงเติมเต็ม/เทียบเคียง และผลลัพธ์การเรียนรู้ตามระดับคุณวุฒิการศึกษา ๑.๓ ยุทธศาสตร์/มาตรการการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ ประกอบด้วย ๑.๓.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาความร่วมมือระหว่างสถานประกอบการ สมาคม/องค์กรวิชาชีพ กลุ่มวิชาชีพและ/หรือกลุ่มอาชีพ กับสถาบันการศึกษาอย่างเป็นระบบ เพื่อนำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติเป็นกรอบแนวทางในการผลิตและพัฒนากำลังคนให้มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ และสมรรถนะในการปฏิบัติงานตามระดับคุณวุฒิ ๑.๓.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับขอบเขตความรู้ ทักษะ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ การประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ๑.๓.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนาระบบการทดสอบ วัดและประเมินผล การเทียบโอนผลการเรียน เทียบโอนประสบการณ์จากการทำงาน การสะสมหน่วยการเรียน และการให้การรับรองผลลัพธ์การเรียนรู้ตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ จำแนกตามระดับคุณวุฒิ ๑.๓.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การเสริมสร้างศักยภาพและขีดความสามารถให้แก่สถาบันการศึกษา เพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนให้สนองตอบความต้องการของตลาดแรงงานตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดความรู้และทักษะอันเป็นรายละเอียดองค์ประกอบระดับคุณวุฒิแต่ละระดับซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์การเรียนรู้ (ม.ต้น ม.ปลาย ปวช. ปวส. ปริญญาตรี ประกาศนียบัตรบัณฑิต ปริญญาโท ประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง และปริญญาเอก) ควรนำเนื้อหาสาระจากมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติที่คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานได้จัดทำขึ้นตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งมีข้อกำหนดทางวิชาการที่ใช้เป็นเกณฑ์วัดระดับฝีมือ ความรู้ความสามารถ และทัศนคติในการทำงานของผู้ประกอบอาชีพในสาขาต่างๆ ไปใช้ประกอบในการกำหนดความรู้และทักษะอันเป็นรายละเอียด องค์ประกอบระดับคุณวุฒิแต่ละระดับ และในการปรับระบบการจัดสรรเงินอุดหนุนผ่านตัวผู้เรียนหรือด้านอุปสงค์ เห็นควรทบทวนระบบดังกล่าวให้เกิดความชัดเจนทั้งรูปแบบและการบริหารจัดการ ตลอดจนพิจารณาผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน ส่วนเงื่อนไขความสำเร็จเกี่ยวกับการดำเนินงานตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขยายหรือพัฒนางานเดิมเพื่อทำหน้าที่บริหารและจัดการให้เกิดระบบคุณวุฒิแห่งชาติดังกล่าว โดยต้องไม่มีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ นอกจากนี้ ควรสร้างความรู้ความเข้าใจแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างค่านิยมแก่ผู้เรียน ผู้ปกครองและสังคมให้ตระหนักถึงคุณค่าของสมรรถนะในการปฏิบัติงานตามระดับคุณวุฒิ การใช้มาตรการการเงินการคลังเพื่อการศึกษามาพิจารณาประกอบการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งสนับสนุน ส่งเสริมสถานประกอบการ สมาคม/องค์กรวิชาชีพ กลุ่มวิชาชีพ/กลุ่มอาชีพ นำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติไปพัฒนามาตรฐานอาชีพในภาคการผลิตและบริการที่ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง เพื่อยกระดับคุณภาพการผลิตและพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) นำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติไปดำเนินการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานภายในกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งภาคเอกชน โดยบูรณาการความเชื่อมโยงของระดับวุฒิการศึกษาทั้ง ๙ ระดับ (ม.ต้น ม.ปลาย ปวช. ปวส. ปริญญาตรี ประกาศนียบัตรบัณฑิต ปริญญาโท ประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง และปริญญาเอก) ให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของประเทศและยุทธศาสตร์ของจังหวัดไปพร้อมกันด้วย ๔. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินความต้องการอัตรากำลังคนด้านวิชาชีพต่างๆ เช่น แพทย์ พยาบาล ครู วิศวกร ช่างสิบหมู่ เป็นต้น แล้วแจ้งให้กระทรวงศึกษาธิการทราบ เพื่อนำไปวางแผนการผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28819 | การลากิจของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า ในช่วงวันที่ ๒๗-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ นายกรัฐมนตรีขอลากิจส่วนตัว และเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ซึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาดังกล่าวทราบแล้ว ทั้งนี้ การลาดังกล่าวเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ๔๑ ที่กำหนดให้การลาทุกประเภทและการไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีให้อยู่ในดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28820 | การเร่งรัดติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับการปลูกป่าและฟื้นฟูต้นน้ำ | นร05 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เร่งรัดและติดตามการดำเนินงานตาม “โครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี” อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าต่อคณะรัฐมนตรีด้วย ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใช้ข้อมูลจากดาวเทียมในการสำรวจพื้นที่การปลูกป่าเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจน ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาราษฎรบุกรุกที่ดินในเขตพื้นที่ป่าหรือเขตอนุรักษ์อย่างเป็นระบบทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|