ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1450 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 28981 - 29000 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28981 | การตรวจสอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงานศาลยุติธรรม สำหรับปีสิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2554 และ 2553 | ศย | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอการตรวจสอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงานศาลยุติธรรม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
28982 | การจัดซื้อเครื่องบริโภค สำหรับใช้เลี้ยงผู้ต้องขัง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | ยธ | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ เรื่อง การจัดซื้อผลไม้และพืชอื่นที่รับประทานแทนผลไม้ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. กรณีการจัดหาอาหารดิบ (อาหารดิบเป็นรายสิ่ง) สำหรับใช้เลี้ยงผู้ต้องขังประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการเสนอเรื่องนี้ให้คณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจพิจารณา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
28983 | ร่างข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยการนำทุนหรือผลกำไรของทุนหมุนเวียนส่งเข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ 1 พ.ศ. .... | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยการนำทุนหรือผลกำไรของทุนหมุนเวียนส่งเข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๑ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างข้อบังคับฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดนิยามคำว่า “ทุนหมุนเวียน” และ “ผลกำไร” ๑.๒ กำหนดให้ทุนหมุนเวียน นำทุนหรือผลกำไรของทุนหมุนเวียนส่งเข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๑ เป็นรายได้แผ่นดิน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาปรับแก้ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับทุนหมุนเวียนตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. ๒๔๙๑ บางลักษณะเป็นทุนหมุนเวียนที่ได้จัดตั้งขึ้นโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ซึ่งจัดตั้งตามพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ หรือกองทุนประกันสังคม ซึ่งจัดตั้งตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการทุนหมุนเวียนหรือกองทุนไว้เป็นการเฉพาะแล้ว การบริหารจัดการทุนหมุนเวียนหรือกองทุนดังกล่าวจึงย่อมต้องเป็นไปตามที่กฎหมายเฉพาะกำหนดไว้ ดังนั้น การกำหนดให้ทุนหมุนเวียนหรือเงินทุนหมุนเวียนตามพระราชบัญญัติเงินคงคลังฯ ทั้งหมดอยู่ภายใต้ข้อบังคับกระทรวงการคลังฉบับนี้ อาจก่อให้เกิดปัญหาทางปฏิบัติและขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะได้ แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
28984 | รายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี | ยธ | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment : CAT) โดยเนื้อหาของรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยฯ ประกอบด้วย ๒ ส่วน ได้แก่ ๑.๑.๑ ส่วนที่ ๑ ข้อมูลพื้นฐาน ประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างทางการเมือง หลักกฎหมายทั่วไปในการให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชน หลักในกฎหมายอาญาและหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา สถานะของอนุสัญญาฯ ในกฎหมายภายใน หลักประกันการไม่สามารถยกเลิกเพิกถอนการห้ามการปฏิบัติหรือการลงโทษใด ๆ ที่ทารุณโหดร้าย หรือทำให้เสื่อมเสียศักดิ์ศรี การนำข้อกำหนดในอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ มาใช้โดยศาลหรือเจ้าพนักงานฝ่ายบริหาร และภาพรวมของการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ และปัญหาอุปสรรค ๑.๑.๒ ส่วนที่ ๒ การปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ แต่ละข้อบท โดยวิเคราะห์กฎหมาย กฎ ระเบียบ มาตรการ และกลไกต่าง ๆ ที่ประเทศไทยมีอยู่เพื่อรองรับส่วนที่เป็นสาระบัญญัติ คือ ข้อบทที่ ๑-๑๖ ของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเสนอรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาฯ ฉบับภาษาอังกฤษ ต่อคณะกรรมการต่อต้านการทรมานขององค์การสหประชาชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับข้อสังเกตของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยฯ มีการระบุถึงข้อจำกัดในการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ กระทรวงยุติธรรมควรดำเนินการแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้การดำเนินงานในระยะต่อไปมีความชัดเจน สอดคล้องกับพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาฯ รวมทั้งข้อเสนอแนะจากกลไกการรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายใต้กระบวนการ Universal Periodic Review (UPR) ว่าด้วยการปรับปรุงกฎหมายสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ และเป็นการแสดงถึงพัฒนาการการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของไทยอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
28985 | ขอความเห็นชอบให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจ่ายค่าธรรมเนียมแพทย์หรือที่เรียกชื่ออย่างอื่นให้แก่ผู้ปฏิบัติงานและบุคคลในครอบครัวที่เข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกในสถานพยาบาลของทางราชการในการตรวจรักษานอกเวลา | คค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจ่ายค่าธรรมเนียมแพทย์หรือที่เรียกชื่ออย่างอื่นให้แก่ผู้ปฏิบัติงานและบุคคลในครอบครัวที่เข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกในสถานพยาบาลของทางราชการในการตรวจรักษาพิเศษนอกเวลา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ พนักงาน รวมคู่สมรส บุตร บิดาและมารดา เบิกได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกินปีละ ๓,๖๐๐ บาท ๑.๒ ลูกจ้าง รวมคู่สมรส และบุตร เบิกได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกินปีละ ๓,๖๐๐ บาท ๒. ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การทางพิเศษแห่งประเทศไทยควรบริหารจัดการรายได้-รายจ่าย โดยเพิ่มรายได้ให้ครอบคลุมกับค่าใช้จ่ายดังกล่าวที่เกิดขึ้น และควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ โดยไม่กระทบต่อคุณภาพการให้บริการ ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
28986 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้โครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยในไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้มีการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๓ รุ่น วงเงินรวม ๓๙,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๕ (LB193A) จำนวน ๑๒,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๖ (LB326A) จำนวน ๑๒,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และพันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓ (ILB217A) จำนวน ๑๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๒. การจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลทั้ง ๓ รุ่น เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ ๖ กรกฎาคม ถึงวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ โดยพันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ (ILB217A) วงเงินประกาศจำหน่าย ๑๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท จำหน่ายได้ จำนวน ๑๓,๖๙๒.๐๐ ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าวงเงินที่ประกาศจำหน่าย จำนวน ๑,๓๐๘.๐๐ ล้านบาท (๑๕,๐๐๐.๐๐-๑๓,๖๙๒.๐๐ ล้านบาท) ทำให้วงเงินจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล ๓ รุ่น ปรับลดจาก จำนวน ๓๙,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เป็นจำนวน ๓๗,๖๙๒.๐๐ ล้านบาท (๓๙,๐๐๐.๐๐-๑,๓๐๘.๐๐ ล้านบาท) ๓. กระทรวงการคลังได้นำเงินจากการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล จำนวน ๓๗,๖๙๒.๐๐ ล้านบาท และเงินเหลือจ่ายจากงบชำระหนี้ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓๖๗.๘๐ ล้านบาท ไปชำระคืนเงินกู้สำหรับโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวนรวม ๓๘,๐๕๙.๘๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
28987 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายพงษ์สวัสดิ์ รัตนแสง) | สธ | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายพงษ์สวัสดิ์ รัตนแสง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
28988 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าเขากะทูน และป่าปลายกะเบียด ในท้องที่ตำบลกะทูน และตำบลเขาพระ อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พ.ศ. .... (เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากะทูน) | ทส | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าเขากะทูน และป่าปลายกะเบียด ในท้องที่ตำบลกะทูน และตำบลเขาพระ อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าเขากะทูน และป่าปลายกะเบียด ในท้องที่ตำบลกะทูน และตำบลเขาพระ อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
28989 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดชื่อภูมิศาสตร์เป็นมาตรฐานของประเทศ (ฉบับที่ 3) | กห | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดชื่อภูมิศาสตร์เป็นมาตรฐานของประเทศ (ฉบับที่ ๓) มีสาระสำคัญคือ ให้มีการประกาศชื่อภูมิศาสตร์เป็นมาตรฐานของประเทศ โดยกำหนดชื่อภูมิศาสตร์เพิ่มเติม จำนวน ๑,๐๖๑ ชื่อ จำแนกออกเป็นชื่อน้ำตก จำนวน ๙๕๖ ชื่อ และชื่อเกาะ จำนวน ๑๐๕ ชื่อ เพื่อนำไปใช้ในกิจการแผนที่ของกระทรวงกลาโหม ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ภาคธุรกิจเอกชน และสิ่งพิมพ์อื่น ๆ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
28990 | สรุปรายงานติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัยของรัฐมนตรีที่มีโครงการในความรับผิดชอบของกระทรวงและรัฐมนตรีที่รับผิดชอบติดตามเป็นรายจังหวัด (ข้อมูลประจำวันที่ 8 - 13 ตุลาคม 2555) | นร | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้
๑. รายงานการติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัยของรัฐมนตรีที่มีโครงการในความรับผิดชอบของกระทรวง จำนวน ๑ กระทรวง และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบติดตามเป็นรายจังหวัด จำนวน ๙ จังหวัด (ข้อมูลประจำวันที่ ๘-๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๕) ๒. รายงานผลการดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยเพื่อเร่งรัดการดำเนินงานโครงการที่ล่าช้า ของจังหวัดสิงห์บุรี จากข้อมูล PMOC Flood ณ วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๓. ผลการเบิกจ่ายและความก้าวหน้าในการดำเนินการ จำนวน ๓๑ จังหวัด ข้อมูลจากระบบ PMOC ณ วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ประกอบด้วย กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๑ จำนวน ๓ จังหวัด กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๒ จำนวน ๔ จังหวัด กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนกลาง จำนวน ๔ จังหวัด กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง จำนวน ๔ จังหวัด และกลุ่มจังหวัดภาคกลางและกรุงเทพมหานคร จำนวน ๑๖ จังหวัด
|
|||||||||||||||||||||
28991 | รายงานสถิติการสอบธรรมสนามหลวง ปีการศึกษา 2554 | นร | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๒๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๕ รายงานสถิติการสอบธรรมสนามหลวง ปีการศึกษา ๒๕๕๔ ของนักธรรม และธรรมศึกษาชั้นตรี ชั้นโท และชั้นเอก ของสำนักเรียนทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ในปีการศึกษา ๒๕๕๔ สูงสุด ๑๐ อันดับแรกของสำนักเรียนที่มีผู้สอบได้ ทั้งนี้ สูงสุดอันดับที่ ๑ ได้แก่ สำนักเรียนในส่วนกลาง โดยสำนักเรียนวัดราชบพพพิธ สถิตมหาสีมาราม มีผู้สอบนักธรรมได้มากที่สุด ๓๐๐ รูป และสำนักเรียนวัดยานนาวา มีผู้สอบธรรมศึกษาได้มากที่สุด ๑๔,๓๘๖ คน ส่วนสำนักเรียนในส่วนภูมิภาค มีสำนักเรียนคณะจังหวัดนครราชสีมา มีผู้สอบนักธรรมได้มากที่สุด ๓,๗๑๓ รูป และสำนักเรียนคณะจังหวัดขอนแก่น มีผู้สอบธรรมศึกษาได้มากที่สุด ๓๓,๑๘๙ คน
|
|||||||||||||||||||||
28992 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ 2555 ของไตรมาส 4 | ทก | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Government Contact Center : GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของไตรมาส ๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานด้านการใช้บริการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไตรมาส ๔ มีจำนวนการใช้บริการทั้งสิ้น ๑,๕๒๗,๘๖๙ ครั้ง โดยปริมาณสัดส่วนการให้บริการแยกตามประเภทเรียงจากมากที่สุด ได้แก่ บริการสอบถามข้อมูลทั่วไป (Q&A) ร้อยละ ๗๙.๑๔ บริการสอบถามข้อมูลเพื่อการติดต่อหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน (Contact Information) ร้อยละ ๑๔.๔๒ บริการรับเรื่องร้องเรียน (Complain) ร้อยละ ๓.๐๔ ๒. ผลการดำเนินงานด้านคุณภาพบริการ ได้แก่ ๒.๑ การบริหารจัดการควบคุมคุณภาพการให้บริการให้เป็นมาตรฐาน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไตรมาส ๔ มีจำนวนสายเรียกเข้าทั้งหมด ๑,๕๒๗,๘๖๙ ครั้ง สามารถให้บริการได้ ๑,๔๙๕,๙๙๐ ครั้ง สามารถให้บริการสำเร็จ ร้อยละ ๙๗.๙๑ สูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ไม่น้อยกว่า ร้อยละ ๘๐ ๒.๒ การพัฒนาคุณภาพของพนักงานรับสายเพื่อเพิ่มองค์ความรู้และทักษะการให้บริการ โดยจัดอบรมหลักสูตรเพิ่มเติม อาทิ หลักสูตรจิตวิทยาในการทำงาน หลักสูตรทัศนคติในการให้บริการงาน Call Center หลักสูตรองค์ความรู้ของกระทรวงต่าง ๆ การอบรมหลักสูตรการใช้งานระบบบริหารข้อมูลสถานการณ์ภัยพิบัติเพื่อรองรับการให้บริการตามภารกิจพิเศษของรัฐบาล และเพื่อพัฒนาการรับสายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๒.๓ การสนับสนุนโครงการตามนโยบายของรัฐบาล และส่วนงานภาครัฐ โดยได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ศูนย์ข้อมูลภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น อาทิ น้ำท่วม ดินถล่ม แผ่นดินไหว ภัยแล้ง ฯลฯ รวมทั้งให้บริการข้อมูลโครงการอื่น ๆ ของรัฐบาล อาทิ โครงการพักชำระหนี้เกษตรกรรายย่อย และประชาชนผู้มีรายได้น้อย โครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก โครงการกองทุนตั้งตัวได้ ฯลฯ ๒.๔ การจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับ GCC 1111 และการประชาสัมพันธ์โครงการของภาครัฐผ่านทาง Social Network คือ Facebook และ Twitter ได้แก่ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลโครงการจัดการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์พกพา โครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี และข้อมูลช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
28993 | รายงานผลการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (World Telecommunication/ICT Indicators Meeting) ค.ศ. 2012 | ทก | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ค.ศ. ๒๐๑๒ (World Telecommunication/ICT Indicators Meeting 2012 : WTIM 2012) ร่วมกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุม WTIM 2012 ๑.๑ ที่ประชุมเห็นชอบให้เปลี่ยนชื่อการประชุมจาก World Telecommunication/ICT Indicators Meeting (MTIM) เป็น World Telecommunication/ICT Indicators Symposium (WTIS) ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๑๓ เป็นต้นไป และเห็นชอบข้อเสนอแนะแนวทางในการดำเนินงานด้านตัวชี้วัดโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (Conclusions and Recommendations) ได้แก่ การประสานงานระดับชาติในด้านสถิติเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระดับชาติ โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร : ผลการหารือของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านตัวชี้วัดโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การชี้วัดการเคลื่อนย้ายของข้อมูล อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบไร้สาย การแพร่ภาพโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล การประชุมสุดยอดระดับโลกว่าด้วยสังคมสารสนเทศ (World Summit on the Information Society : WSIS)+10 การชี้วัดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การชี้วัดการเข้าถึงและการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโดยใช้แบบสำรวจครัวเรือน รวมทั้งข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเพศและตัวชี้วัดด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๑.๒ ที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับการจัดตั้งหน่วยงานประสานงานแห่งชาติเกี่ยวกับข้อมูลสถิติและตัวชี้วัดด้าน ICT ทั้งในส่วนของการจัดเก็บ วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลสถิติ ICT โดยตระหนักว่าข้อมูลสถิติและตัวชี้วัดด้าน ICT เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศที่จะให้หน่วยงานใดรับผิดชอบ ซึ่งอาจจะเป็นกระทรวง หน่วยงานกำกับดูแล หรือสำนักงานสถิติแห่งชาติ ๒. ประโยชน์ที่ได้จากการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม WTIM 2012 ร่วมกับ ITU เป็นโอกาสให้ประเทศไทยได้เน้นย้ำถึงบทบาทและการมีส่วนร่วมของไทยในเวทีระหว่างประเทศในฐานะประเทศสมาชิกของ ITU และสมาชิกของสหประชาชาติ รวมทั้งช่วยส่งเสริมการพัฒนาความรู้ ความสามารถให้กับหน่วยงานและบุคลากรด้านสถิติโทรคมนาคมและ ICT ของประเทศไทย โดยเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บข้อมูลเชิงสถิติและการจัดทำตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและ ICT หน่วยงานภาครัฐ สถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย และภาคเอกชน ได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมระดับโลก แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์กับผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ตลอดจนนำความรู้และผลการประชุมมาปรับใช้ในการดำเนินงานตามภารกิจที่หน่วยงานนั้น ๆ รับผิดชอบ
|
|||||||||||||||||||||
28994 | ผลการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ 25 | ทก | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ ๒๕ ระหว่างวันที่ ๒๔ กันยายน ถึง ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเลือกตั้งตำแหน่งผู้บริหารของสำนักงานระหว่างประเทศ สหภาพสากลไปรษณีย์ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ เลขาธิการ (Director General) ได้แก่ Mr. Bishar A Hussain จากสาธารณรัฐเคนยา และรองเลขาธิการ (Deputy Director General) ได้แก่ Mr. Pascal-Thierry Clivaz จากสมาพันธรัฐสวิส ๒. ผลการเลือกประเทศเจ้าภาพจัดการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ ๒๖ ได้แก่ สาธารณรัฐตุรกี โดยกำหนดจะจัดให้มีการประชุมฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ณ เมืองอิสตันบูล สาธารณัฐตุรกี ๓. ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาบริหาร (Council of Administration : CA) สภาบริหาร มี ๔๑ ที่นั่ง ประกอบด้วยสมาชิกจากภูมิภาคต่าง ๆ ๕ ภูมิภาค จำนวน ๔๐ ที่นั่ง และประธานอีก ๑ ที่นั่ง ซึ่ง Mr. Abdul Rahman bin Ali Al-Aqaily ผู้แทนรัฐกาตาร์ได้รับเลือกเป็นประธานสภาบริหาร ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ โดยในการประชุมใหญ่ครั้งนี้มีประเทศที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหาร จำนวน ๔๖ ประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาบริหารในภูมิภาคที่ ๔ Southern Asia and Oceania ด้วยคะแนนเสียง ๑๔๒ คะแนน จัดอยู่ลำดับที่ ๒ ของจำนวน ๑๐ ที่นั่งในภูมิภาคนี้ และอยู่ในลำดับที่ ๖ ของจำนวนทั้งหมด ๔๐ ที่นั่ง ๔. ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ (Postal Operations Council : POC) สภาปฏิบัติการไปรษณีย์ มี ๔๐ ที่นั่ง ประกอบด้วยสมาชิกจากประเทศพัฒนาแล้ว (Industrialized Country : IC) จำนวน ๑๖ ที่นั่ง และประเทศกำลังพัฒนา (Developing Countries : DC) จำนวน ๒๔ ที่นั่ง โดยมีประเทศที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ จำนวนทั้งสิ้น ๖๐ ประเทศ ประกอบด้วยประเทศพัฒนาแล้ว จำนวน ๑๗ ประเทศ และประเทศกำลังพัฒนา จำนวน ๔๓ ประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ด้วยคะแนนเสียง ๑๑๗ คะแนน จัดอยู่ในลำดับที่ ๕ ของจำนวน ๑๑ ประเทศในภูมิภาคนี้ และอยู่ในลำดับที่ ๑๐ ของจำนวนทั้งหมด ๔๐ ที่นั่ง โดยที่ประชุมสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ได้มีมติเลือก Mr. Masahiko Metoki จากประเทศญี่ปุ่น เป็นประธานสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ ๕. ที่ประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ ๒๕ ได้พิจารณาข้อเสนอของประเทศสมาชิกซึ่งได้มีการแก้ไข/เพิ่มเติมรายละเอียดในเอกสารสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ ธรรมนูญของสหภาพสากลไปรษณีย์ ข้อบังคับทั่วไป กฎข้อบังคับการประชุมใหญ่ อนุสัญญาสากลไปรษณีย์ และข้อตกลงว่าด้วยบริการชำระเงินทางไปรษณีย์ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ประเทศสมาชิกของสหภาพฯ ทุกประเทศต้องถือปฏิบัติร่วมกัน โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||
28995 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกันยายน พ.ศ. 2555 | ทก | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน จำนวน ๓๙.๔๔ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๙.๑๕ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๐.๒๕ ล้านคน (๒.๔๗ แสนคน) และผู้ที่รอฤดูกาล ๐.๐๔ ล้านคน (๐.๓๙ แสนคน) ทั้งนี้ ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี ๒๕๕๔ จำนวน ๒.๑ แสนคน (จาก ๓๙.๒๓ ล้านคน เป็น ๓๙.๔๔ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ จำนวน ๓๙.๑๕ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี ๒๕๕๔ จำนวน ๒.๙ แสนคน (จาก ๓๘.๘๖ ล้านคน เป็น ๓๙.๑๕ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๗ ทั้งนี้ ผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น ๙.๓ แสนคน รองลงมาเป็นสาขาการผลิต ๒.๒ แสนคน สาขาการก่อสร้าง ๒.๑ แสนคน และสาขาการบริหารราชการการป้องกันและประเทศและการประกันสังคมภาคบังคับ ๑.๖ แสนคน สำหรับผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหารมากที่สุด ๕.๑ แสนคน รองลงมาเป็นสาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ๔.๐ แสนคน สาขาการบริการอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดซักแห้ง เป็นต้น ๑.๙ แสนคน ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ จำนวน ๒.๔๗ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๖ ของกำลังแรงงานรวม (ลดลง ๔.๘ หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี ๒๕๕๔) เป็นผู้ว่างงานที่มีการศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๖.๙ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๖.๐ หมื่นคน ระดับอุดมศึกษา ๕.๘ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๔.๐ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๐ หมื่นคน ทั้งนี้ ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๖.๘ หมื่นคน ภาคกลาง ๖.๓ หมื่นคน ภาคเหนือ ๕.๑ หมื่นคน ภาคใต้ ๔.๑ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๒.๔ หมื่นคน
|
|||||||||||||||||||||
28996 | การลงนามการเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 | กษ | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การลงนามสัญญาการเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 ระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัท Expo 2015 S.p.A. ของสาธารณรัฐอิตาลี โดยสัญญาการเข้าร่วมงาน (Participation Contract) เป็นเอกสารที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของประเทศไทยที่จะเข้าร่วมงาน Expo Milano 2015 ตามคำเชิญของรัฐบาลอิตาลี ซึ่งสัญญาการเข้าร่วมงานฯ เป็นการนำเสนอกรอบแนวคิดหลักในการจัดแสดงนิทรรศการและการจองพื้นที่สำหรับจัดสร้างศาลาประเทศไทย ๑.๒ ให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะเป็น Commissioner General ของประเทศไทยเป็นผู้ลงนามในสัญญาการเข้าร่วมงานดังกล่าว ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงสัญญาการเข้าร่วมงานฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการเตรียมการจัดงานดังกล่าว สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แผนงานส่งเสริมประสิทธิภาพการผลิตและสร้างมูลค่าภาคการเกษตร ผลผลิตการเกษตร ด้านต่างประเทศได้รับการส่งเสริมและสนับสนุน งบรายจ่ายอื่น จำนวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท แล้ว สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้ในการดำเนินการต่อไปให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายตั้งแต่ขั้นเตรียมการจัดงานจนถึงวันที่สิ้นสุดการร่วมงานเพื่อใช้ประกอบการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป นอกจากนี้ ควรเตรียมการจัดทำรายละเอียดแผนงานโครงการและงบประมาณที่เกี่ยวข้องในการเข้าร่วมงานดังกล่าว โดยบูรณาการการจัดงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และภาคเอกชน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ และนำบทเรียนและประสบการณ์ของการดำเนินงานการจัดงานในหลายครั้งที่ผ่านมา เช่น การจัดงานแสดงนิทรรศการ ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน มาทบทวน เพื่อให้การเข้าร่วมงานในครั้งนี้ เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและมีความคุ้มค่า ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
28997 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 34 และการประชุมที่เกี่ยวเนื่อง | กษ | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (ASEAN Ministers on Agriculture and Forestry-AMAF) ครั้งที่ ๓๔ และการประชุมที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี (AMAF Plus Three) ครั้งที่ ๑๒ ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งก่อนหน้านั้นเป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส (Preparatory SOM-34th AMAF และ Preparatory SOM-12th AMAF Plus Three) ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ กันยายน ๒๕๕๕ โดยมีผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นางจิราวรรณ แย้มประยูร) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยในส่วนของผลการประชุม AMAF ครั้งที่ ๓๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ ตามแผนงานสำหรับประชาคมอาเซียน (Roadmap for an ASEAN Community) โดยให้เจ้าหน้าที่อาวุโส (SOM-AMAF) และองค์กรภายใต้ AMAF จัดลำดับความสำคัญของรายการเป้าหมายที่ต้องดำเนินการให้บรรลุผลในแต่ละปีในแผนงานของแต่ละเสา (Community Blueprints) เพื่อการเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามแผนงาน (Blueprint) ภายในระยะเวลาที่กำหนด และเห็นชอบข้อเสนอการกำหนดวันที่บรรลุสู่การเป็นประชาคมอาเซียนเป็นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ๒. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนนโยบายบูรณาการความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน (ASEAN Integrated Food Security Framework-AIFS Framework) และแผนกลยุทธ์ความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน (Strategic Plan of Action on Food Security : SPA-FS) (2552-2556) และเห็นชอบให้ติดตามโอกาสและสิ่งท้าทายเรื่องความมั่นคงอาหารในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยเฉพาะเมื่อราคาสินค้ามีความผันผวนสูง และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเห็นชอบที่จะสนับสนุนการดำเนินงาน SPA-FS ระยะที่ ๒ (๒๕๕๗-๒๕๖๑) ๓. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตาม ASEAN Multi-Sectoral Framework on Climate Change : Agriculture and Forestry Towards Food Security (AFCC) และความก้าวหน้าในความร่วมมือกับคู่เจรจาและหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาในโครงการต่างๆ ๔. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าของความร่วมมือทางวิชาการด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ รวมทั้งเห็นชอบมาตรฐานอาเซียน และเอกสารต่างๆ เพื่อสนับสนุนการอำนวยความสะดวกด้านการค้า และการมีท่าทีร่วมกันด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ ๕. ที่ประชุมเห็นชอบให้ ASEAN SPS Contact Points (ASCP) เป็นหน่วยงานกลางในการประสานงานด้านนโยบายและความร่วมมือภายใต้ AMAF และการประสานงานกับสาขาอื่นๆ เช่น ด้านสาธารณสุข มาตรฐานและการตรวจสอบรับรอง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการค้า รวมทั้งเห็นชอบให้จัดตั้ง ASEAN Rapid Alert System on Food and Feed เพื่อเป็นกลไกภายใต้ AMAF ๖. ที่ประชุมสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ประสานงานอาเซียนทางด้านโรคระบาดสัตว์และโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน (ASEAN Coordinating Centre for Animal Health and Zoonoses-ACCAHZ) เพื่อให้มีกลไกประสานงานในระดับภูมิภาคที่มีประสิทธิภาพและเป็นแนวทางเดียวกันในมาตรการควบคุมโรคระบาดสัตว์และโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน รวมถึงการเฝ้าระวังโรค การตรวจวินิจฉัยโรค การควบคุมโรคในอาเซียน โดยไทยและมาเลเซียเสนอตัวเป็นที่ตั้งของศูนย์ฯ ๗. ที่ประชุมรับทราบโครงการริเริ่มของประเทศสมาชิก ซึ่งมีโครงการริเริ่มที่ไทยเป็น Lead Country ได้แก่ เครือข่ายกลางของอาเซียนด้านความปลอดภัยอาหาร (Thailand’s Initiative on the ASEAN Food Safety Network) ระบบแจ้งเตือนความปลอดภัยอาหารและอาหารสัตว์ของอาเซียน (Thailand Initiative on the ASEAN Rapid Alert System for Food and Feed-ARASFF) และโครงการริเริ่มด้านการวิจัยและพัฒนาหม่อนไหมในอาเซียน (Thailand’s Initiative on the Collaboration of ASEAN Research and Development in Sericulture) ๘. ที่ประชุมเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างอาเซียน-จีน ฉบับเดิมออกไปอีก ๑ ปี และเห็นชอบกรอบความร่วมมืออาเซียน-จีน (China-ASEAN Agriculture Cooperation Work Plan) ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยกำหนดจะลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านอาหารและการเกษตรฉบับใหม่ในการประชุม AMAF ครั้งที่ ๓๕ ณ ประเทศมาเลเซีย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านป่าไม้ระหว่างอาเซียน-จีน ๙. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตาม Declaration of Joint Response to Climate Change รวมทั้งยืนยันที่จะดำเนินการตามกลไกการลดการปล่อยคาร์บอนจากการทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่า [Reduced Emission from Deforestation and Forest Degradation (REDD)-plus]
|
|||||||||||||||||||||
28998 | ผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมความร่วมมือแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 12 | กต | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมความร่วมมือแห่งมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Rim Association for Regional Cooperation : IOR-ARC) ครั้งที่ ๑๒ ณ เมืองกูการ์ออน สาธารณรัฐอินเดีย และให้ส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. การปราบปรามโจรสลัด สิ่งที่ต้องดำเนินการคือ เข้าร่วมในการประชุมด้าน Maritime Security และการอบรมเจ้าหน้าที่ควบคุมการเดินเรือที่ออสเตรเลียจะเป็นเจ้าภาพในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และจัดสัมมนาและสนับสนุนแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาโจรสลัดในมหาสมุทรอินเดีย หน่วยงานรับผิดชอบ กองทัพเรือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการต่างประเทศ ๒. การประมง สิ่งที่ต้องดำเนินการคือ เข้าร่วมการประชุมจัดทำร่างแผนปฏิบัติการ Fisheries Support Unit และเข้าร่วมสัมมนาและพิจารณาจัดอบรมด้านการประมงและสัตว์น้ำให้กับประเทศสมาชิก IOR-ARC หน่วยงานที่รับผิดชอบ กรมประมง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๓. การค้าและการลงทุน สิ่งที่ต้องดำเนินการคือ เป็น focal point คณะทำงานด้านการค้าและการลงทุน หน่วยงานที่รับผิดชอบ กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment : BOI) ให้ความร่วมมือประเทศสมาชิกโดยการให้พื้นที่จัดบูธงานแสดงสินค้าในไทย และให้ข้อมูลเกี่ยวกับกำหนดการของงานแสดงสินค้า หน่วยงานที่รับผิดชอบ กระทรวงพาณิชย์ กรมศุลกากร ติดตามผลการดำเนินการของคณะทำงานการค้าและการลงทุน และให้ความเห็นต่อผลการศึกษาเรื่องแนวโน้มการค้าและการลงทุนใน IOR-ARC ในสหัสวรรษหน้า หน่วยงานที่รับผิดชอบ กระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งร่วมมือในการพัฒนาขีดความสามารถ SMEs หน่วยงานที่รับผิดชอบ กระทรวงอุตสาหกรรม (สมาคมส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ๔. บทบาทภาคเอกชน สิ่งที่ต้องดำเนินการคือ ติดตามผลการดำเนินการของ Business Forum และเป็น focal point ของคณะทำงานด้านธุรกิจ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ๕. การเชื่อมโยงคมนาคม สิ่งที่ต้องดำเนินการคือ ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาท่าเรือ ระบบขนส่งและโลจิสติกส์ในประเทศ IOR-ARC หน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กระทรวงคมนาคม สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ๖. ความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติ สิ่งที่ต้องดำเนินการคือ พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าร่วมกับประเทศสมาชิก ประสานความร่วมมือระหว่างศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งชาติ และประสานความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอาเซียน และศูนย์จัดการภัยพิบัติในประเทศสมาชิก หน่วยงานที่รับผิดชอบ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการต่างประเทศ ๗. ความร่วมมือด้านวิชาการ สิ่งที่ต้องดำเนินการคือ ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและความร่วมมือทางวิชาการในประเทศสมาชิก และเป็น focal point ของคณะทำงานวิชาการ หน่วยงานที่รับผิดชอบ กระทรวงศึกษาธิการ ๘. ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สิ่งที่ต้องดำเนินการคือ สนับสนุนกิจกรรมและเป็นเจ้าภาพโครงการอบรม/สัมมนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับศูนย์ภูมิภาคสำหรับวิทยาศาสตร์และการถ่ายโอนเทคโนโลยีของ IOR-ARC ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ หน่วยงานที่รับผิดชอบ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงการต่างประเทศ (สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ) และเป็น focal point ของศูนย์ภูมิภาคสำหรับวิทยาศาสตร์และการถ่ายโอนเทคโนโลยีของ IOR-ARC โดยดำเนินการจัดกิจกรรมร่วมกับศูนย์ฯ หน่วยงานที่รับผิดชอบ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
|
|||||||||||||||||||||
28999 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย ครั้งที่ 11 | วท | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) ครั้งที่ ๑๑ (เมษายน-กันยายน ๒๕๕๕) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สนับสนุนนักเรียนห้องเรียนวิทยาศาสตร์ของโครงการ วมว. จำนวน ๓ รุ่น (ปีการศึกษา ๒๕๕๓-๒๕๕๕) รวม ๑๙ ห้องเรียน ใน ๗ โรงเรียน ประกอบด้วย ๑.๑ โรงเรียนนำร่อง ๔ แห่ง โรงเรียนละ ๓ ห้องเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โรงเรียนดรุณสิกขาลัย ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ๑.๒ โรงเรียนที่ขยายเพิ่ม ๓ แห่ง ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จำนวน ๓ ห้องเรียน โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน-มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จำนวน ๒ ห้องเรียน และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ศึกษาศาสตร์)-มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน ๒ ห้องเรียน ๒. การจัดกิจกรรมร่วมระหว่างมหาวิทยาลัย-โรงเรียนในโครงการ วมว. ๒.๑ กิจกรรม “2th SCiUs Forum” ระหว่างวันที่ ๑-๓ เมษายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ (รุ่นที่ ๓) นำเสนอผลงานทางวิชาการ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักเรียนโครงการ วมว. เกี่ยวกับการทำโครงงานวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๒.๒ กิจกรรม “ค่ายวิทยาศาสตร์สานสัมพันธ์ฉันท์ วมว. ครั้งที่ ๔” ระหว่างวันที่ ๑-๔ เมษายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ (รุ่นที่ ๔) ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งทำกิจกรรมเสริมต่าง ๆ ร่วมกันกับเพื่อนนักเรียน วมว. ต่างโรงเรียน ๒.๓ การตรวจเยี่ยมมหาวิทยาลัย-โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ วมว. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑ แห่ง คือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น-โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมัธยมศึกษา (ศึกษาศาสตร์) เพื่อติดตามการดำเนินงานห้องเรียนวิทยาศาสตร์โครงการ วมว. ๒.๔ การจัดนิทรรศการโครงการ วมว. เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการแก่นักเรียนกลุ่มเป้าหมายและผู้ปกครอง รวมทั้งประชาชนทั่วไปให้รับทราบถึงความเป็นมา วัตถุประสงค์ และเป้าหมายการดำเนินโครงการ ๒.๕ การศึกษาดูงานการจัดการศึกษาพิเศษสำหรับห้องเรียนวิทยาศาสตร์ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเทศไทย และมหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๙-๑๙ กันยายน ๒๕๕๕ ณ สถาบันการศึกษาทั้งระดับมหาวิทยาลัย วิทยาลัย และโรงเรียนที่เกี่ยวข้อง ประเทศสหรัฐอเมริกา ๓. การดำเนินการตามข้อ ๑-๒ ได้ใช้งบประมาณโครงการ วมว. ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวนทั้งสิ้น ๑๑๕,๐๕๔,๙๓๒.๑๙ บาท และใช้เงินกันเหลื่อมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑,๘๘๑,๐๖๕.๙๒ บาท
|
|||||||||||||||||||||
29000 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เป็นกรณีที่มี ความจำเป็นโดยเร่งด่วน | กษ | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....