ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1450 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 28981 - 29000 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28981 | การปรับปรุงโครงสร้างและการกำกับดูแลส่วนงานในการบริหารจัดการน้ำ [ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการ เกี่ยวกับการพัสดุในการดำเนินโครงการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | นร | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้แก้ไขถ้อยคำในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ จาก “จัดหาเงินกู้” เป็น “จัดสรรเงินกู้” ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๒. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕] ที่เห็นชอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นส่วนราชการเจ้าของโครงการ ตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เสนอ ๓. เห็นชอบให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นส่วนราชการเจ้าของโครงการ ตามที่ กบอ. เสนอ ๔. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพัสดุในการดำเนินโครงการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ตามที่ กบอ. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับส่วนราชการที่จะดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ควรมอบหมายให้ส่วนราชการระดับกรมที่มีภารกิจหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวข้องโดยตรงกับเนื้องานเป็นผู้ดำเนินการตั้งแต่ต้นจนสิ้นสุดโครงการ และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของ กบอ. ให้ชัดเจนเพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน รวมทั้งแก้ไขความในร่างระเบียบฯ จาก “...ให้มีสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “สบอช.” เป็นส่วนราชการภายในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี...” เป็น “...ให้มีสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “สบอช.” เป็นหน่วยงานภายในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี...” และแก้ไขความข้อ ๑๒ (๓) จากเดิม “(๓) ทำหน้าที่เป็นส่วนราชการเจ้าของโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำ...” เป็น “(๓) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำ...” รวมทั้งแก้ไขถ้อยคำทุกแห่งของร่างประกาศฯ จากคำว่า “ส่วนราชการเจ้าของโครงการ” เป็น “หน่วยงานเจ้าของโครงการ” และคำว่า “หัวหน้าส่วนราชการเจ้าของโครงการ” เป็น “หัวหน้าหน่วยงานเจ้าของโครงการ” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๕. สำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนของการดำเนินงานของ สบอช. ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณผ่านสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ที่จัดสรรงบประมาณให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อมีการโอนการดำเนินการไปเป็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28982 | ขออนุมัติหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกโครงการ Market Readiness Proposal Partnership for Market Readiness (PMR) Multi-Donor Trust Fund และขออนุมัติใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท | กค | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ใช้วิธีการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการที่กำหนดไว้ในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกสำหรับโครงการ Market Readiness Proposal Partnership for Market Readiness (PMR) Multi-Donor Trust Fund ซึ่งมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการดังกล่าว โดยธนาคารโลกได้ส่งหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ เพื่อกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทยลงนามยืนยันรับความช่วยเหลือฯ สำหรับโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๑๗ ที่กำหนดให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้ดำเนินการเจรจาและลงนามขอรับความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการที่ไม่มีดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมจากแหล่งเงินกู้ เช่น ธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเชีย ๑.๒ เห็นชอบหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ออกหนังสือมอบอำนาจเต็มให้นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (Ms. Chularat Suteethorn Director-General, Public Debt Management Office)เป็นผู้ลงนามในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ จากธนาคารโลกในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของกระทรวงยุติธรรมและสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควรจัดให้มีหน่วยงานหรือระบบการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อสัญญาเพื่อให้การปฏิบัติตามข้อสัญญามีความต่อเนื่องและถูกต้องตามสัญญา และเมื่อพบว่าไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือมีความล่าช้าในการดำเนินงานให้รีบแจ้งคู่สัญญาทราบเพื่อเป็นการดำเนินการแก้ไขปัญหาและระงับข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นต่อไป รวมทั้งการพิจารณาคัดเลือกบุคคลเพื่อทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการจะต้องคัดเลือกอนุญาโตตุลาการที่มีความเป็นกลางและเป็นอิสระ มีความรอบรู้และเชี่ยวชาญในสัญญาภาครัฐ นอกจากนี้ โดยที่หนังสือข้อตกลงฯ เป็นสัญญาในระดับรัฐบาลระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ มิใช่เป็นสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชนซึ่งประกอบธุรกิจโดยทั่วไป อาจพิจารณากำหนดเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าสัญญาระหว่างรัฐกับธนาคารโลกหรือองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ควรอยู่ในขอบเขตและวัตถุประสงค์ของการบังคับตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทสำหรับสัญญาทุกประเภทที่หน่วยงานของรัฐทำกับเอกชน) ด้วยหรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28983 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้าระหว่างไทยและเมียนมาร์ ครั้งที่ 6 | พณ | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commission-JTC) ระหว่างไทยและเมียนมาร์ ครั้งที่ ๖ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงเทพฯ เพื่อให้มีการทำงานอย่างบูรณาการและเกิดผลเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงพาณิชย์ติดตามการขยายตัวการค้าไทย-เมียนมาร์ให้เพิ่มขึ้นเป็น ๓ เท่าภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จากมูลค่าการค้าปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๒ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงอุตสาหกรรม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน ติดตามประเด็นการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านกฎระเบียบการค้าและการลงทุน การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนอย่างสม่ำเสมอของผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การจัดงานแสดงสินค้า นิทรรศการ และการจับคู่/สร้างเครือข่ายธุรกิจให้บ่อยครั้งขึ้นในสถานที่ที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงในจังหวัดชายแดน การส่งเสริมการจัดกิจกรรมการส่งเสริมการค้าและการลงทุนเป็นครั้งคราว การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการออกไปลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการส่งเสริมให้ภาคเอกชนใช้ประโยชน์จากสภาธุรกิจไทย-เมียนมาร์ ๑.๓ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ติดตามประเด็นการผลักดันความร่วมมือด้านตลาดข้าวอาเซียน (ASEAN5-E) ของ ๕ ประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าว (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ ไทย และเวียดนาม) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และการจัดกิจกรรมร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนในสาขาต่างๆ ๑.๔ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ ติดตามประเด็นการผลักดันและติดตามการจัดทำแผนงานการปรับปรุงและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จุดผ่านแดนที่มีอยู่ การผลักดันการยกระดับและการเปิดจุดผ่านแดนที่ถูกปิดไปขึ้นใหม่ รวมถึงการเปิดจุดผ่านแดนแห่งใหม่ในพื้นที่ที่เหมาะสมและจำเป็น การสนับสนุนการนำอุปกรณ์และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาใช้ในจุดผ่านแดนต่างๆ ๑.๕ ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง ติดตามประเด็นการผลักดันให้มีการหารืออย่างสม่ำเสมอระหว่างธนาคารกลางของทั้งสองประเทศ การผลักดันการพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำเงินบาทมาใช้ในระบบอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการของเมียนมาร์ และการสนับสนุนความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างธนาคารกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่าย ๑.๖ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ สมาคมวิชาชีพสาธารณสุข สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ติดตามประเด็นการผลักดันความร่วมมือด้านบริการสุขภาพเพื่อขยายโอกาสการทำธุรกิจบริการสุขภาพของไทยในเมียนมาร์ และหาแนวทางการจัดทำความร่วมมือด้านการบริหารจัดการ ประชุม และสัมมนา (Meetings, Incentives, Conferencing and Exhibitions : MICE) ๑.๗ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ติดตามประเด็นการจัดทำความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเดียว (Single tourist destination) การสนับสนุนการใช้วีซ่าเดียว (Single visa) ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงการขนส่งทางอากาศ และการสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการที่มีกลไกคณะกรรมการกำกับดูแล อาทิ โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ซึ่งมีคณะกรรมการร่วมระดับสูงและคณะกรรมการประสานงานระหว่างไทย-เมียนมาร์เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกลไกหลัก และการเปิดจุดผ่านแดน ซึ่งมีคณะอนุกรรมการพิจารณาการเปิดจุดผ่านแดนภายใต้การดูแลของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นกลไกหลักและเกี่ยวข้องกับกระทรวงการต่างประเทศ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ในการยกระดับจุดผ่านแดนที่มีอยู่และการเปิดจุดผ่านแดนใหม่ ต้องพิจารณาในภาพรวมอย่างสมดุลทั้งมิติด้านเศรษฐกิจและมิติด้านความมั่นคง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28984 | การขออนุมัติจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์อาเซียน - จีน ณ กรุงปักกิ่ง | กต | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศมอบหมายข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยสารสนเทศและประชาสัมพันธ์ของศูนย์อาเซียน-จีน (ASEAN-China Centre) ณ กรุงปักกิ่ง ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ วาระ ๓ ปี โดยไม่ถือเป็นการลาไปปฏิบัติหน้าที่ในองค์การระหว่างประเทศ และให้ได้รับสิทธิในการเบิกค่าใช้จ่ายเทียบเท่ากับข้าราชการในระดับเดียวกันที่มีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินภารกิจดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับจัดสรร สำหรับปีงบประมาณต่อๆ ไป ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ผู้ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยสารสนเทศและประชาสัมพันธ์ที่ศูนย์อาเซียน-จีน ควรเลือกสรรจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถในด้านภาษาท้องถิ่นและมีความเชี่ยวชาญด้านสารสนเทศและประชาสัมพันธ์ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28985 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกเป็นอาคาร คสล. 4 ชั้น โรงพยาบาลแม่จัน จังหวัดเชียงราย | สธ | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก เป็นอาคาร คสล. ๔ ชั้นโรงพยาบาลแม่จัน จังหวัดเชียงราย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. สำหรับรายละเอียดในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่า หากสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการถูกต้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และได้ต่อรองราคาจนถึงที่สุดแล้ว ก็เห็นชอบความเหมาะสมของราคาค่าก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกดังกล่าว ในวงเงิน ๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แล้ว จำนวน ๑๘,๒๙๓,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๕๑,๗๐๗,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๘ แต่โดยที่รายการค่าก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกดังกล่าวมีวงเงินและระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ขอให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขนำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕- พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๘ ก่อนลงนามในสัญญาตามนัยข้อ ๗(๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28986 | การให้การดูแลทางการแพทย์และสาธารณสุขแก่คนต่างด้าวที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม | สธ | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการที่ให้การดูแลทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขแก่คนต่างด้าวทั้งหมดที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม โดยคนต่างด้าวกลุ่มนี้จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเอง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามกฎระเบียบหรือข้อบังคับที่กระทรวงสาธารณสุขจะได้กำหนดร่วมกับกระทรวงแรงงานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในการที่ให้การดูแลการบริการด้านการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และอนามัยเจริญพันธุ์ในแรงงานต่างด้าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรศึกษาแนวทางการสร้างแรงจูงใจให้แก่กลุ่มที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพเข้ามาสู่ระบบประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น และพิจารณาแนวทางการพัฒนารูปแบบการติดตามคนต่างด้าวที่อยู่ในระบบการจ้างงานที่ไม่เป็นทางการและผู้ติดตามให้เข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28987 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 18 | นร11 | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๘ ณ นครหนานหนิง มณฑลกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยมีผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรี (Joint Ministerial Statement : JMS) มีสาระสำคัญในการผลักดันการดำเนินงานตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) ฉบับใหม่ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๕ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดทำกรอบการลงทุนระดับภูมิภาคที่ได้มีการวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานรายสาขาและรายประเทศแล้วเสร็จ พร้อมทั้งได้ให้แนวทางในการจัดทำแผนงานโครงการลงทุน GMS และการนำกรอบการลงทุนฯ ไปสู่การปฏิบัติ ๑.๒ เห็นชอบผลการดำเนินงานสำคัญของสาขาความร่วมมือภายใต้แผนงาน GMS ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการสาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ แผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจสำหรับการดำเนินงานร่วมกันเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์ที่มีการเคลื่อนย้ายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ การขยายระยะเวลาการดำเนินงานของแผนงานสนับสนุนด้านการเกษตร ระยะที่ ๒ ให้สิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ แนวคิดการจัดตั้งสมาคมการรถไฟของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้เป็นองค์กรที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลในระยะเริ่มแรก และบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลต่อการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ๑.๓ รับทราบความก้าวหน้าการจัดทำกรอบการลงทุนของอนุภูมิภาคที่ได้จัดทำการประเมินผลการพัฒนารายสาขา และผลการประเมินรายประเทศแล้วเสร็จ โดยมีหลักการสำคัญคือ การลงทุนเพื่อพัฒนาระบบระเบียงเศรษฐกิจควรสอดคล้องและสนับสนุนความต้องการในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Demand-driven) การสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกับการค้า รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างแผนพัฒนาของประเทศสมาชิกกับโครงการในระดับภูมิภาค การใช้แนวทางการพัฒนาหลากหลายสาขา การกำหนดสาขาการพัฒนาที่เกิดขึ้นใหม่ที่มีลำดับความสำคัญสูง และการจัดลำดับความสำคัญเชิงพื้นที่ในการพัฒนาตามหลักการพิจารณาที่เหมาะสม ๑.๔ รับทราบผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกับภาคีการพัฒนา อาทิ สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งออสเตรเลีย (Australian Agency for International Development : AusAID) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ความริเริ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง (Lower Mekong Initiative : LMI) คณะกรรมาธิการลุ่มแม่น้ำโขง (Mekong River Commission : MRC) เป็นต้น ๒. เห็นชอบข้อเสนอแผนการดำเนินงานระยะเร่งด่วน เพื่อสนับสนุนแผนงาน GMS ได้แก่ การเร่งรัดกระบวนการลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๖ การเร่งรัดติดตามความก้าวหน้าการจัดทำบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งสมาคมการรถไฟของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง และการดำเนินงาน ๙ สาขาความร่วมมือและการพัฒนาเมือง (คมนาคม โทรคมนาคม พลังงาน การอำนวยความสะดวกการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เกษตร และสิ่งแวดล้อม) เพื่อคัดเลือกแผนงานโครงการที่มีศักยภาพในส่วนของไทย และเสนอให้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) รวบรวมเป็นแผนงานโครงการภายใต้กรอบการลงทุนของภูมิภาค และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ โดยประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28988 | การกู้เงินปีงบประมาณ 2556 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกู้เงินในประเทศปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงินรวม ๑๓,๐๐๐ ล้านบาท ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประกอบด้วย การกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงการ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ Roll-over จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ กฟผ. รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากู้เงินตามความจำเป็นเพื่อลดผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรในระยะยาว และให้กระทรวงการคลังหารือร่วมกับรัฐวิสาหกิจเพื่อพิจารณาหาแนวทางในการอนุมัติเงินกู้ โดยคำนึงถึงข้อกฎหมายในการดำเนินการจัดหาเงินกู้ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และกฎหมายจัดตั้งของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะช่วยให้รัฐวิสาหกิจสามารถจัดหาเงินกู้สำหรับการดำเนินงานตามภารกิจได้ทันต่อสถานการณ์และมีความต่อเนื่องในการดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28989 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 2/2555 | นร11 | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ณ เนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ฝ่ายไทยรับทราบข้อมูลการจัดทำกรอบความตกลง (Framework Agreement) ฉบับใหม่ และบทบาทของ บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ โดยเห็นว่า สถานะของ บมจ. อิตาเลียนไทยฯ จะยังต้องมีอยู่ในฐานะนักลงทุน/นักพัฒนารายหนึ่งในกลุ่มใหม่ ๒. เมียนมาร์อยู่ระหว่างการจัดทำกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone : SEZ) ฉบับใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้สำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษทุกแห่งและจะใช้แทนกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย โดยกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษฉบับใหม่จะระบุสิทธิพิเศษสำหรับผู้พัฒนาโครงการ (Developer) นอกเหนือจากนักลงทุน (Investor) ที่มีระบุแต่เดิม และจะแบ่งพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษออกเป็น ๒ ส่วน คือ เขตปลอดอากร (Free Zone) สำหรับธุรกิจเพื่อการส่งออก และ Promotion Zone สำหรับธุรกิจการผลิตเพื่อใช้ในประเทศ รวมทั้งจะอนุญาตให้มีการลงทุนของต่างชาติแบบ ๑๐๐% และมีศูนย์ One-stop Service ในทุกเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยจะมีการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น การยกเว้นและลดหย่อนภาษีสำหรับผู้พัฒนาโครงการใน ๘ ปีแรก และนักลงทุนในเขตปลอดอากร ๗ ปีแรก ในเขต Promotion Zone ๕ ปีแรก รวมทั้งสิทธิพิเศษด้านภาษีศุลกากร ภาษีการค้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และรับประกันว่าจะไม่มีการยึดกิจการ นอกจากนี้ ยังอนุญาตให้ใช้พื้นที่เป็นเวลา ๕๐ ปี และต่ออายุได้ถึง ๒๕ ปี ๓. การประชุมฯ ครั้งต่อไป จะจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ที่ประเทศไทย ๔. ที่ประชุมรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมคณะอนุกรรมการร่วม ๖ สาขา ได้แก่ คณะอนุกรรมการร่วมด้านการเงินและคณะอนุกรรมการด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง คณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง คณะอนุกรรมการร่วมด้านอุตสาหกรรมเฉพาะและการพัฒนาธุรกิจ คณะอนุกรรมการร่วมด้านพลังงาน และคณะอนุกรรมการร่วมด้านการพัฒนาชุมชน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28990 | การกำกับดูแลราคาสินค้าจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ | พณ | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกำกับดูแลราคาสินค้าจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. แนวทางการกำกับดูแล ๑.๑ ด้านราคาสินค้า ตรึงหรือชะลอการปรับราคาสินค้า โดยการกำกับดูแลราคาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับราคาสินค้าสูงขึ้นเพื่อเอาเปรียบผู้บริโภค ได้แก่ ๑.๑.๑ การดูแลราคาสินค้า ณ โรงงาน (ต้นน้ำ) โดยแบ่งการกำกับดูแลเป็น ๔ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ๑ สินค้าที่ต้องใช้วัตถุดิบนำเข้า กลุ่มที่ ๒ สินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก กลุ่มที่ ๓ สินค้าที่ใช้วัตถุดิบทั้งในประเทศและนำเข้า และกลุ่มที่ ๔ หมวดอาหารสด ซึ่งหากจำเป็นต้องปรับราคาจะพิจารณาให้ปรับราคาตามภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจริง สำหรับหมวดอาหารสด เนื่องจากราคาขึ้นลงตามฤดูกาล จะมีการตรวจสอบราคาและเข้มงวดในการปิดป้ายราคา รวมทั้งการประกาศราคาแนะนำ ๑.๑.๒ การดูแลราคาจำหน่ายของตัวแทนจำหน่ายและผู้ค้าส่ง (กลางน้ำ) ดูแลราคาจำหน่ายส่งให้มีการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับราคา ณ โรงงาน (ต้นน้ำ) เพื่อมิให้มีการฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบทั้งด้านราคาจำหน่ายและปริมาณ ๑.๑.๓ การดูแลราคาจำหน่ายปลีก (ปลายน้ำ) ติดตามราคาจำหน่ายปลีกให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต โดยกำหนดสินค้าที่ต้องติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ๓ ระดับ คือ Watch List (WL) ระดับปกติ ติดตามภาวะและสถานการณ์ใกล้ชิดเป็นประจำทุกสัปดาห์ Priority Watch List (PWL) ระดับที่เริ่มไม่ปกติ ติดตามภาวะและสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ สัปดาห์ละ ๒ ครั้ง และ Sensitive List (SL) ระดับที่ส่อเค้าว่าจะมีปัญหา ติดตามราคา และภาวะเป็นประจำทุกวัน ๑.๒ ด้านปริมาณ ดูแลให้สินค้าเพียงพอกับความต้องการไม่มีการกักตุนสินค้า ๒. มาตรการกำกับดูแล ๒.๑ มาตรการทางกฎหมาย ได้แก่ การกำหนดราคาจำหน่ายสูงสุด การปรับราคาสูงขึ้นต้องได้รับอนุญาต การให้แจ้งปริมาณสถานที่เก็บต้นทุน ค่าใช้จ่าย และห้ามมิให้มีการกักตุน ปฏิเสธการจำหน่าย และประวิงการจำหน่ายสินค้าควบคุม ๒.๒ มาตรการบริหาร ได้แก่ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้า และการประกาศราคาแนะนำสินค้า ๒.๓ การกำกับดูแลราคาสินค้าให้เป็นธรรม คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการได้กำหนดให้มีคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาสินค้า จำนวน ๙ คณะ ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป น้ำมันพืชบริโภค ปุ๋ยเคมี อาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม เหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ อาหารปรุงสำเร็จ ยารักษาโรคแผนปัจจุบัน และกลั่นกรองการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมและมาตรการกำกับดูแล เพื่อพิจารณาราคาจำหน่ายสินค้าที่เหมาะสมในกรณีที่มีผู้ประกอบการแจ้งขอปรับราคาจำหน่ายสินค้าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภค
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28991 | คณะกรรมการชุดต่างๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (จำนวน 6 คณะ) | กห | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการที่มีความสำคัญและจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ เพิ่มเติม จำนวน ๖ คณะ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
๑. คณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ๒. คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา ๓. คณะกรรมการระดับสูง ไทย-มาเลเซีย ๔. คณะกรรมการระดับสูง ไทย-อินโดนีเซีย ๕. คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-พม่า ๖. คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น ไทย-พม่า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28992 | โครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเป็นกรณีพิเศษ | นร | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดำเนินโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน จำนวน ๖ โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๘๐๔,๙๐๐,๐๐๐ บาท โดยจำแนกเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กรมบัญชีกลางได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๕๙๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๑,๙๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน จำนวน ๖ โครงการ ประกอบด้วย ๑.๑ โครงการก่อสร้างวัดนวมินทรราชูทิศเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ นครบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ๑.๒ โครงการก่อสร้างอาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ๑.๓ โครงการข่วงหลวงเวียงแก้ว พุทธมณฑลแห่งเชียงใหม่ ๑.๔ โครงการอุดหนุนสมทบการบูรณะ ปรับปรุงเสนาสนะ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย ๑.๕ โครงการบูรณะพระวิหารเสาอินทขีล เสาหลักเมืองเชียงใหม่ ๑.๖ โครงการบูรณะบริเวณลานวัดแก้วมงคล จังหวัดสมุทรสาคร ๒. ในส่วนของโครงการก่อสร้างวัดนวมินทรราชูทิศเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ นครบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) กำกับดูแลเรื่องงบประมาณ โดยให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทำความตกลงกับสำนักงบประมาณให้เบิกจ่ายเป็นงวดๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28993 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาและสีประจำสาขาวิชาของสาขาวิชาบัญชีและสาขาวิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28994 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการระบบการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของรัฐ | สสป | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการระบบการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของรัฐ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ มีความเห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของประเทศไทย เช่น พัฒนาเทคโนโลยีของหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศให้มีเทคโนโลยีทัดเทียมต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน พัฒนาระบบการจัดเก็บและสำรองข้อมูล และให้มีการทดสอบระบบอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกหน่วยงาน ควรมีศูนย์จัดเก็บข้อมูลและสำรองข้อมูลกลางที่มีมาตรฐานความปลอดภัยเพื่อจัดเก็บข้อมูล ติดตั้งระบบและอุปกรณ์ป้องกันให้มีประสิทธิภาพและทันสมัย เป็นต้น ๒. ด้านข้อกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ เช่น กำหนดนโยบายให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอเล็กทรอนิกส์เป็นศูนย์กลางในการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของรัฐ สนับสนุนงบประมาณ เพิ่มบุคลากรการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินการ ปรับโครงสร้างการบริหารงานให้เหมาะสมกับภารกิจในด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศ โดยให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างเป็นเอกภาพของคณะกรรมการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ปรับปรุงบทบัญญัติ กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับอื่นใด รวมถึง การตรากฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับใหม่ ให้มีความสอดคล้องเหมาะสมกับการดำเนินกิจการของศูนย์กลางในการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของรัฐ มีมาตรการเพิ่มบทลงโทษกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิด เกี่ยวกับกฎหมาย การรักษาข้อมูลสารสนเทศของรัฐ เป็นต้น ๓. ด้านการบริการจัดการระบบการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของรัฐ เช่น ฝึกอบรมผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมให้มีความรู้ความเข้าใจ เตรียมพร้อมกับกฎหมายการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ให้มีนโยบายการเข้าถึงและป้องกันแหล่งข้อมูลสารสนเทศเป็นระดับชั้น กำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีแผนในการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศ พัฒนาระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศของรัฐตามชั้นความลับ กำหนดแผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยระบบสารสนเทศในระยะยาวให้ชัดเจน ตลอดจนแผนระยะกลางและแผนระยะสั้น จัดสรรงบประมาณและเพิ่มจำนวนอัตราบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีระบบสารสนเทศให้เพียงพอต่อความต้องการของหน่วยงาน เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28995 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อเตรียมการเปิดทำการศาลจังหวัดเวียงสระและศาลจังหวัดหัวหิน รวม 5 ฉบับ | ศย | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๕ ฉบับ ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเปิดทำการศาลจังหวัดเวียงสระ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดวันเปิดทำการศาลจังหวัดเวียงสระ ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ เปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงสุราษฎร์ธานี ๓. ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ พ.ศ. ๒๕๒๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๓๒ และพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในท้องที่ (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๔. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเปิดทำการศาลจังหวัดหัวหิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดวันเปิดทำการศาลจังหวัดหัวหิน ๕. ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ พ.ศ. ๒๕๒๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๓๒ เพื่อให้ศาลจังหวัดซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดสำหรับคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลแขวง ซึ่งเกิดขึ้นในท้องที่ทุกอำเภอของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28996 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. .... | มท | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28997 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดตราด พ.ศ. .... | มท | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดตราด พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดตราด เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28998 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนนาน้อย จังหวัดน่าน พ.ศ. .... | มท | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนนาน้อย จังหวัดน่าน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลศรีษะเกษ ตำบลนาน้อย ตำบลเชียงของ และตำบลสถาน อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28999 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงราย พ.ศ. .... | มท | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงราย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดเชียงราย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29000 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. .... | มท | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลเกษตรพัฒนา ตำบลเจ็ดริ้ว ตำบลบ้านแพ้ว ตำบลคลองตัน ตำบลหนองบัว ตำบลหลักสอง ตำบลสวนส้ม ตำบลหนองสองห้อง ตำบลอำแพง ตำบลหลักสาม ตำบลยกกระบัตร และตำบลโรงเข้ อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
.....