ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1444 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 28861 - 28880 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28861 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (แทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ 65 ปี บริบูรณ์) (นายฉัตรชัย พรหมเลิศ) | มท | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แทนนายเจตต์ ธนวัฒน์ ที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ ๖๕ ปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
28862 | การดูดซับน้ำมันปาล์มดิบออกจากระบบตลาด ปริมาณ 50,000 ตัน | พณ | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบออกจากระบบตลาด ปริมาณ ๕๐,๐๐๐ ตัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม จำนวน ๕๐,๐๐๐ ตัน ในราคากิโลกรัมละ ๒๕ บาท เพื่อดูดซับปริมาณน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินออกจากระบบตลาด และเป็นการซื้อนำตลาด เพื่อขับเคลื่อนภาวการณ์ตลาดให้คล่องตัวขึ้น โดยวิธีการจัดสรรโควตารับซื้อตามสัดส่วนค่าเฉลี่ยของสต๊อคคงเหลือของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มที่ได้จากการตรวจสต๊อค ณ วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ และปริมาณการผลิตจริงของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มในช่วง ๑๑ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (มกราคม-พฤศจิกายน) จัดเก็บสต๊อคไว้เพื่อรอจำหน่ายต่อไป ๑.๒ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ มีมติอนุมัติวงเงินดำเนินการ รวม ๑,๓๘๐.๒๕ ล้านบาท ให้ อคส. ใช้ดำเนินการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ประกอบด้วย เงินทุนหมุนเวียนที่ใช้รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๑,๒๕๐ ล้านบาท (๕๐,๐๐๐ ตันxตันละ ๒๕,๐๐๐ บาท) ค่าใช้จ่ายในการเก็บสต๊อครวมประมาณ ๙๒.๗๕ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายดำเนินการตามที่จ่ายจริงไม่เกินร้อยละ ๓ ของวงเงินดำเนินการของ อคส. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เป็นเงิน ๓๗.๕๐ ล้านบาท ทั้งนี้ แผนการใช้เงิน อคส. จะเบิกเงิน จำนวน ๑,๓๘๐.๒๕ ล้านบาท จากกรมบัญชีกลาง ๑ งวด ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ เพื่อจ่ายเป็นค่าน้ำมันปาล์มดิบและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และส่งคืนเงินคงเหลือพร้อมดอกเบี้ยที่เกิดจากบัญชีเงินฝากให้กรมบัญชีกลาง ภายหลังจากสิ้นสุดโครงการแล้วภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยการเบิกจ่ายเงินจะเบิกตามที่จ่ายจริงเท่านั้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป และหากมีประเด็นเกี่ยวข้องกับงบประมาณ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
28863 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นางอัญชลี บุสสุวัณโณ) | นร04 | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางอัญชลี บุสสุวัณโณ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
28864 | แต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงแรงงาน) (จำนวน 3 ราย 1. นายสุเมธ มโหสถ ฯลฯ) | รง | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
๑. หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางสาวพรรณี ศรียุทธศักดิ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายสุเมธ มโหสถ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||
28865 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (จำนวน 5 คน 1. นายดาวิน นารูลา ฯลฯ) | ยธ | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา จำนวน ๕ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายดาวิน นารูลา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์ ๒. นางเพทาย ปทุมจันทรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมสงเคราะห์ ๓. พันตำรวจเอก ณรัชต์ เศวตนันทน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ๔. นางสาวศุภมาศ พยัฆวิเชียร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายไพฑูรย์ สว่างกมล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||||||||
28866 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (นายยรรยง พวงราช) | พณ | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายยรรยง พวงราช เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านพาณิชย์ ในคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า แทนนายปรัชญา กุลวณิชพิสิฐ ที่ได้ขอลาออก โดยให้ดำรงตำแหน่งได้เท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||
28867 | แผนอำนวยความสะดวก มั่นคง และปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556 | คค | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนอำนวยความสะดวก มั่นคง และปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ ของกระทรวงคมนาคม ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชน มีเป้าหมายหลักที่ต้องการให้ประชาชนกลับบ้านและท่องเที่ยวอย่างมี “ความสุข สะดวก และปลอดภัย” ด้วยการดูแลอำนวยความสะดวกในการให้บริการรถสาธารณะประเภทต่างๆ และการซ่อมแซมถนน เส้นทางหลักและเส้นทางเลี่ยงให้ใช้การได้อย่างดี ตลอดจนประชาสัมพันธ์ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเส้นทางการเดินทางที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจและชัดเจน กำหนดระยะเวลาการปฏิบัติงานระหว่างวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕-๒ มกราคม ๒๕๕๖ โดยแผนอำนวยความสะดวกฯ ประกอบด้วย ๓ แผนงานหลัก ได้แก่ แผนการให้บริการและอำนวยความสะดวกในการเดินทาง แผนงานด้านความมั่นคง และแผนงานด้านความปลอดภัย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
28868 | แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) | นร | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การจัดงานหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ OTOP MIDYEAR 2012 สู่ประชาคมอาเซียน) ที่มอบหมายให้รัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินการร่วมกันในการเพิ่มช่องทางการตลาดและการส่งออกผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) จากระดับชุมชนไปสู่ตลาดทั่วโลก ตลอดจนขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP นั้น การจัดทำอาหารกล่องสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน “ชุดปิ่นโต” เป็นตัวอย่างผลิตภัณฑ์ OTOP ชนิดหนึ่งที่ได้มีการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพ รูปแบบและบรรจุภัณฑ์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ซื้อสินค้ามากขึ้น โดยในส่วนของอาหารสำเร็จรูป ควรพิจารณานำอาหารที่ผู้ผลิตได้รับการยอมรับว่าผลิตอาหารที่มีรสชาติอร่อยเป็นต้นตำรับหรือเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นมาดำเนินการและออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมสวยงาม สะดวกแก่การรับประทานระหว่างการเดินทางและเพิ่มช่องทางการจำหน่าย ณ สถานีรถไฟและบนรถไฟสายต่างๆ จึงขอให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการพัฒนาชุมชน) รับแนวทางดังกล่าวไปบูรณาการการปรับปรุงพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ OTOP ชนิดต่างๆ ร่วมกับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) [ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (Thailand Creative & Design Center : TCDC)] กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา) กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้มากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
28869 | การติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง | นร05 | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ เพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้
๑. แผนงานส่งเสริมการค้าและการลงทุน ทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศและภูมิภาค และเร่งจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการโครงการต่าง ๆ เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างท่าเรือขนาดเล็ก ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จะเริ่มก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก ถนน ๔ เลน และสาธารณูปโภคต่าง ๆ และในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ จะดำเนินการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก ระยะที่สอง อย่างเต็มรูปแบบและเตรียมการด้านโครงสร้างพื้นฐานรองรับ จึงมอบให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจัดเตรียมแผนการส่งเสริมให้นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เพิ่มมากขึ้น ๒. การเปิดจุดผ่านแดนถาวร สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์แสดงความพร้อมที่จะยกระดับจุดผ่อนปรนทางการค้าด่านสิงขร (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) จุดผ่านแดนชั่วคราวด่านพุน้ำร้อน (จังหวัดกาญจนบุรี) และจุดผ่านแดนชั่วคราวด่านเจดีย์สามองค์ (จังหวัดกาญจนบุรี) เป็นจุดผ่านแดนถาวร ตามข้อเสนอของฝ่ายไทย โดยฝ่ายไทยจะพิจารณาเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนและปรับปรุงเส้นทางรถไฟที่มีอยู่เดิมเพื่อให้เกิดการคมนาคมขนส่งที่สะดวกและมีการเชื่อมต่อที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น จึงมอบให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานงานกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป ๓. ความร่วมมือในการเสริมสร้างคุณภาพชีวิต ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญและตระหนักถึงการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนร่วมกัน โดยการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามหลักความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Corporate Social Responsibility : CSR) ภายใต้หลักจริยธรรมและการจัดการที่ดีควบคู่ไปด้วย จึงมอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
28870 | ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) เกี่ยวกับการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ 63 และครั้งที่ 64 และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 ในประเทศไทย พ.ศ. .... | ทส | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการของคณะกรรมาธิการสหประชาชาติว่าด้วยกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ หรือ (UN Commission on International Trade Law UNCITRAL) ได้ โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเห็นว่าร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) เกี่ยวกับการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔ กำหนดให้นำข้อโต้เถียงหรือข้อพิพาทใดๆ ระหว่างสำนักเลขาธิการและรัฐบาลไทยที่เกี่ยวกับการตีความหรือการดำเนินการตามข้อตกลงนี้เข้าพิจารณาตามกฎอนุญาโตตุลาการ UNCITRAL ซึ่งเป็นความจำเป็น ๒. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) เกี่ยวกับการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔ และส่งให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ๒.๒ อนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างความตกลงฯ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามดังกล่าว เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานงานกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ ภายหลังจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ ในประเทศไทย พ.ศ. .... ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เพื่อแจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลไทยได้เสร็จสิ้นกระบวนการตามกฎหมายภายในประเทศเพื่อให้มีผลบังคับใช้แล้ว ๒.๓ อนุมัติในหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ ในประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายคุ้มครองการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ ในประเทศไทย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมายได้ยกร่าง และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยด่วนต่อไป ๓. สำหรับร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ ในประเทศไทย พ.ศ. .... ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างความตกลงฯ แล้ว |
||||||||||||||||||||||||
28871 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง มาตรการเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกหรือการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางประเภท พ.ศ. .... | นร09 | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) เกี่ยวกับร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง มาตรการเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกหรือการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางประเภท พ.ศ. .... ร่างข้อ ๔ เดิมของร่างประกาศฯ ที่กำหนดให้มาตรการส่งออกและนำเข้าในแต่ละสินค้าให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กำหนดตามความเหมาะสมของสถานการณ์ และแจ้งให้กระทรวงพาณิชย์และคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๖ ทราบและพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) มีความเห็น ดังนี้
๑. มาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นบทบัญญัติที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพในการประกอบธุรกิจ ซึ่งมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ระบุเหตุในการจำกัดเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพไว้โดยชัดแจ้ง ดังนั้น การออกประกาศตามมาตรา ๕ จึงต้องพิจารณาประกอบกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญด้วย ๒. โดยที่มาตรา ๕ ได้บัญญัติมาตรการที่จะดำเนินการไว้อย่างชัดเจน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์โดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีจึงมีดุลพินิจเพียงกำหนดว่าจะใช้มาตรการตามมาตรา ๕ (๑) (๒) และ (๕) กับสินค้าใด หรือใช้มาตรการตามมาตรา ๕ (๓) และ (๔) กับประเภท ชนิด ฯลฯ ของสินค้าใด ซึ่งต้องกำหนดให้ชัดเจนเพื่อให้คณะรัฐมนตรีซึ่งจะต้องร่วมรับผิดชอบได้ทราบถึงผลกระทบก่อนที่จะอนุมัติให้รัฐมนตรีดำเนินการ ส่วนอำนาจทั่วไปตามมาตรา ๕ (๖) นั้น แม้จะบัญญัติให้อำนาจอย่างกว้างไว้ว่า “กำหนดมาตรการอื่นใด” แต่ก็ต้องเป็นเรื่องอื่นใดในลักษณะทำนองเดียวกันกับที่บัญญัติมาก่อนหน้านั้นและเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการส่งออกหรือการนำเข้าเท่านั้น ดังนั้น การที่รัฐมนตรีจะอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕ (๖) กำหนดมาตรการอื่นใด จึงต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นมาตรการใด อย่างไร และใช้กับสินค้าใด เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้ทราบถึงความหนักเบา ความร้ายแรง หรือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นก่อนที่จะพิจารณาอนุมัติ ๓. ด้วยเหตุนี้ การออกประกาศให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปกำหนดมาตรการและสินค้าได้เองโดยไม่ต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นกรณี ๆ ไป จึงไม่อาจกระทำได้ เพราะเป็นการนอกเหนืออำนาจตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒
|
||||||||||||||||||||||||
28872 | รายงานผลการดำเนินงานเพื่อรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมของประเทศ | ทก | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานเพื่อรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมที่ ๕๐.๕ องศาตะวันออก ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. ไทยคม) ได้เจรจากับผู้ประกอบการดาวเทียมจากราชรัฐลักเซมเบิร์ก เพื่อนำดาวเทียมที่มีลักษณะทางเทคนิคที่สามารถใช้ในการแจ้งการนำขึ้นใช้งาน (Bringing into Use) กับ ITU เพื่อรักษาข่ายงาน ณ ตำแหน่งวงโคจรของประเทศไทย มาวางที่ตำแหน่ง ๕๐.๕ องศาตะวันออกเป็นการชั่วคราว ก่อนที่เอกสารข่ายงานดาวเทียม (Filing) จะหมดอายุในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ โดยดาวเทียมจะอยู่ที่ตำแหน่ง ๕๐.๕ องศาตะวันออกเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๓ ปี และขอให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้ความเห็นชอบในการนำเอกสารข่ายงานดาวเทียมที่ตำแหน่ง ๕๐.๕ องศาตะวันออก มาใช้งานสำหรับดาวเทียมที่ บมจ. ไทยคม จะจัดหามา พร้อมทั้งประสานงานกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อให้ดำเนินการประสานงานความถี่ระหว่างประเทศไทยกับราชรัฐลักเซมเบิร์ก ที่ตำแหน่งวงโคจร ๕๐.๕ องศาตะวันออก และดำเนินการตามกฎข้อบังคับวิทยุของ ITU ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้มอบหมายให้ บมจ. ไทยคม ดำเนินการรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมที่ ๕๐.๕ องศาตะวันออก และจัดหาดาวเทียมมารักษาสิทธิในวงโคจรดังกล่าว โดยใช้เอกสารข่ายงานดาวเทียมที่ตำแหน่ง ๕๐.๕ องศาตะวันออก เป็นระยะเวลา ๓ ปี และประสานความถี่กับข่ายสื่อสารดาวเทียมต่างประเทศให้เสร็จสิ้น รวมทั้งจัดหาดาวเทียมดวงใหม่มาใช้งาน ณ ตำแหน่งดังกล่าวต่อไป พร้อมทั้งได้แจ้งให้ กสทช. รับทราบการรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมที่ ๕๐.๕ องศาตะวันออกตามนโยบายรัฐบาล และให้ กสทช. พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ๓. เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๕ บมจ. ไทยคมรายงานว่า ได้บรรลุข้อตกลงกับผู้ประกอบการดาวเทียมที่ให้บริการภายใต้เอกสารข่ายงานดาวเทียมของราชรัฐลักเซมเบิร์ก ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร และได้เจรจาประสานงานความถี่ทางเทคนิคกับผู้ประกอบการดาวเทียมข้างเคียงเพื่อให้สามารถนำดาวเทียมมาวางที่ตำแหน่งวงโคจรที่ ๕๐.๕ องศาตะวันออกได้อย่างปลอดภัย และไม่เกิดการรบกวนกัน โดยดาวเทียมดังกล่าวได้เคลื่อนย้ายมายังตำแหน่งวงโคจรที่ ๕๐.๕ องศาตะวันออก เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๔. เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ กสทช. ได้แจ้งการนำดาวเทียมขึ้นใช้งานไปยัง ITU โดยได้มีการนำดาวเทียมขึ้นใช้งานในตำแหน่งวงโคจรที่ ๕๐.๕ องศาตะวันออก ตามกฎข้อบังคับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ และประเทศไทยสามารถรักษาสิทธิในวงโคจรดาวเทียมที่ตำแหน่ง ๕๐.๕ องศาตะวันออก ไว้ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ๕. ดาวเทียมดังกล่าวจะถูกนำมารักษาที่ตำแหน่งวงโคจรที่ ๕๐.๕ องศาตะวันออก และจะอยู่ในวงโคจรดังกล่าวอย่างน้อยจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๖ หลังจากนั้นประเทศไทยจะต้องมีดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นใช้งาน ณ ตำแหน่งดังกล่าวภายใน ๓ ปี หลังจากที่ดาวเทียมที่นำมารักษาตำแหน่งวงโคจรได้เคลื่อนย้ายออกไป ทั้งนี้ ผู้ประกอบการดาวเทียมดวงใหม่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎระเบียบ ตลอดจนกระบวนการต่าง ๆ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการประกอบกิจการดาวเทียมสื่อสารต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
28873 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาฐานข้อมูลสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ทางยาเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงยาและความมั่นคงทางยา" | สสป | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาฐานข้อมูลสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ทางยาเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงยาและความมั่นคงทางยา" ต่อรัฐบาลเพื่อให้มีนโยบายต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทเกี่ยวข้องในการพัฒนาฐานข้อมูลสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ทางยาเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงยาและความมั่นคงทางยา โดยให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ดำเนินการประกาศให้สาธารณชนรับทราบข้อมูลบรรณานุกรมของคำขอรับสิทธิบัตรที่ยื่นขอรับความคุ้มครองในประเทศไทยแต่ละวัน วันต่อวัน ไม่ว่าคำขอรับสิทธิบัตรนั้นจะยื่นขอโดยผ่านระบบสนธิสัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศด้านสิทธิบัตร (Patent Cooperation Treaty, PCT) หรือไม่ก็ตาม เพื่อประโยชน์ในการวิจัยและพัฒนาตลอดจนติดตามการประกาศโฆษณาเพื่อดำเนินการคัดค้าน ๑.๒ พัฒนาฐานข้อมูลให้มีเสถียรภาพ สืบค้นได้ง่าย รวดเร็ว เป็นมิตรต่อผู้สืบค้น ๑.๓. ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ปรับปรุงข้อมูลในฐานข้อมูลสิทธิบัตรให้ทันสมัย ถูกต้องตามความเป็นจริงตลอดเวลา โดยเฉพาะสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับยา ๑.๓.๑ ในกรณีผู้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรเกี่ยวกับยา ให้ใส่สัญลักษณ์จำแนกการประดิษฐ์ระหว่างประเทศ (International Patent Classification, IPC) เป็น A61K ๑.๓.๒ สำหรับชื่อบริษัทหรือผู้ทำธุรกิจยา ให้ใช้ชื่อตามที่จดทะเบียนการค้า และกำกับภาษาอังกฤษด้วย ๑.๓.๓ สำหรับชื่อสารเคมี หรือชื่อทางเทคนิค ให้กำกับภาษาอังกฤษด้วย ๑.๔ จัดทำคู่มือแนวทางการพิจารณาการออกเอกสารสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับยาอย่างเร่งด่วน โดยสามารถใช้ผลงานวิจัย "สิทธิบัตรยาที่จัดเป็น evergreening patent ในประเทศไทย และการคาดประมาณผลกระทบที่เกิดขึ้น" ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กรมทรัพย์สินทางปัญญา และแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยให้นำสาระดังกล่าวไปบรรจุไว้ในการแก้ไขพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่กำลังดำเนินการอยู่ด้วย ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาศึกษาว่าการเปิดเผยข้อมูลบรรณานุกรมของคำขอรับสิทธิบัตรในส่วนของการเปิดเผยชื่อที่แสดงถึงการประดิษฐ์จะขัดต่อมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อ ๓ แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ ๒๑ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ หรือไม่ หากศึกษาแล้วไม่ขัดต่อกฎหมายดังกล่าว ให้ดำเนินการพัฒนาระบบฐานข้อมูลสิทธิบัตรเพื่อที่จะประกาศข้อมูลบรรณานุกรมให้สาธารณชนรับทราบต่อไป ๒.๒ เห็นควรขอการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลสิทธิบัตรเพื่อให้มีความถูกต้องครบถ้วน มีเสถียรภาพ สืบค้นได้ง่าย รวดเร็ว และเป็นมิตรต่อผู้สืบค้น ๒.๓ ในกรณีข้อ ๑.๓.๑ ให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจัดทำความร่วมมือในการพิจารณาจำแนกประเภทการประดิษฐ์ตามคำขอรับสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ทางยาให้ถูกต้องและสอดคล้องตาม International Patent Classification หรือ IPC สำหรับกรณีข้อ ๑.๓.๒ ให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาแก้ไขปรับปรุงแบบพิมพ์คำขอรับสิทธิบัตรโดยให้มีช่องระบุเลขที่นิติบุคคล ๑๓ หลัก (ถ้ามี) และระบุชื่อนิติบุคคลเป็นภาษาอังกฤษ (ถ้ามี) เพื่อแก้ไขปัญหาการสืบค้นชื่อบริษัทหรือผู้ทำธุรกิจยาที่สามารถสะกดเป็นภาษาไทยได้หลายรูปแบบ และในกรณีข้อ ๑.๓.๓ รับทราบถึงการดำเนินการของกรมทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้ออกประกาศกรมทรัพย์สินทางปัญญาให้ผู้ขอรับสิทธิบัตรระบุชื่อสารเคมี หรือชื่อทางเทคนิคเป็นภาษาอังกฤษอยู่แล้วในปัจจุบัน ๒.๔ รับทราบถึงการดำเนินการของกรมทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้จัดทำร่างคู่มือการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์และอนุสิทธิบัตรทางด้านเคมีและเภสัชภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการรับฟังความเห็นจากหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งจะสิ้นสุดการรับฟังความเห็นในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ สำหรับในกรณีการแก้ไขพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้นำผลงานวิจัย "สิทธิบัตรยาที่จัดเป็น evergreening patent ในประเทศไทย และการคาดประมาณผลกระทบที่เกิดขึ้น" ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กรมทรัพย์สินทางปัญญา และแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระงับระบบยาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
28874 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 30 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา | พน | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๐ (The 30th ASEAN Ministers on Energy Meeting : 30th AMEM) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๐ (30th AMEM) ๑.๑ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการของประเทศสมาชิกเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานของอาเซียน (ASEAN Plan of Actions on Energy Cooperation : APAEC 2010-2015) ซึ่งประกอบด้วย ๗ สาขา เช่น โครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid) โครงข่ายท่อส่งก๊าซอาเซียน (Trans ASEAN Gas Pipeline) ถ่านหินและเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน พลังงานทดแทน นโยบายและแผนพลังงานของอาเซียน และการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ เป็นต้น ๑.๒ ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงการส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด การเตรียมการเพื่อสร้างเครือข่ายด้านพลังงานอาเซียนเพื่อการเรียนรู้และการยอมรับของประชาชนต่อการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในการผลิตไฟฟ้า รวมถึงแผนการพัฒนาขีดความสามารถของศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy) การสร้างเครือข่ายการกำกับกิจการพลังงานของอาเซียน และการส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศคู่เจรจาและองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ๒. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียน+๓ ด้านพลังงาน ครั้งที่ ๙ (9th AMEM+3) ที่ประชุมประกอบด้วยประเทศสมาชิก ๑๓ ประเทศ ได้แก่ ประเทศสมาชิกอาเซียน ๑๐ ประเทศ กับอีก ๓ ประเทศ คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี และญี่ปุ่น ได้หารือเกี่ยวกับมาตรการในการรับมือสถานการณ์ด้านพลังงานของโลกที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงาน การส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียนเพื่อให้ภูมิภาคอาเซียนสามารถบรรลุเป้าหมายความมั่นคงด้านพลังงานยิ่งขึ้น การให้ความสำคัญในการเพิ่มความพยายามด้านความร่วมมือเพื่อศึกษาทางเลือกในการจัดหาพลังงานในรูปแบบต่างๆ สำหรับภูมิภาคนี้ เช่น การเก็บสำรองน้ำมัน (Oil Stockpiling Roadmap : OSRM) การสนับสนุนเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด พลังงาน นิวเคลียร์เพื่อสันติ ๓. การประชุมรัฐมนตรีเอเชียตะวันออกด้านพลังงาน ครั้งที่ ๖ (6th EAS EMM) ที่ประชุมประกอบด้วยประเทศสมาชิก ๑๘ ประเทศ ได้แก่ ประเทศสมาชิกอาเซียน ๑๐ ประเทศ กับอีก ๘ ประเทศ คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น สาธารณรัฐอินดีย นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และสหพันธรัฐรัสเซีย โดยที่ประชุมเห็นควรให้สถาบันวิจัยเศรษฐกิจอาเซียนและเอเชียตะวันออก (Economic Research Institute for ASEAN and East Asia : ERIA) และศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy : ACE) โดยความร่วมมือกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency : IEA) ร่วมกันศึกษาเพื่อจัดทำแบบจำลองด้านพลังงานของภูมิภาคเพื่อใช้ประโยชน์ในการวางแผนต่อไป ๔. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ ที่ประชุมประกอบด้วยประเทศสมาชิกอาเซียน ๑๐ ประเทศ และทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency-IEA) โดยที่ประชุมรับทราบถึงความสำเร็จของการดำเนินกิจกรรมร่วมกันในช่วง ๑ ปี ที่ผ่านมา หลังจากการลงนามใน MOU ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือทางพลังงานระหว่างอาเซียนและ IEA เพื่อส่งเสริมความพยายามของประเทศสมาชิกอาเซียนในการลดผลกระทบต่อ Climate Change การให้ความสำคัญกับบทบาทเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ๕. การหารือทวิภาคีกับประเทศสมาชิก พันธมิตรและคู่เจรจา ได้แก่ การหารือทวิภาคีกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และมาเลเซีย ๖. รางวัล ASEAN Energy Awards จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีควบคู่กับการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนด้านพลังงาน โดยในปี ๒๕๕๕ ประเทศไทยได้รับรางวัลชนะเลิศ ๙ รางวัล และรองชนะเลิศ ๗ รางวัล จากโครงการ ๑๑ ประเภท
|
||||||||||||||||||||||||
28875 | ผลการสำรวจความต้องการของประชาชนในปี 2556 | ทก | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจความต้องการของประชาชนในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในรอบปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา ประชาชนระบุว่า ชุมชน/หมู่บ้านได้รับความเดือดร้อน ๕ อันดับแรก คือ ปัญหายาเสพติด ร้อยละ ๓๔.๒ น้ำท่วม ร้อยละ ๒๖.๘ ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ร้อยละ ๒๕.๖ หนี้สิน ร้อยละ ๒๒.๔ และการจราจรติดขัด ร้อยละ ๑๘.๖ โดยภาคกลางและกรุงเทพมหานครได้รับความเดือดร้อนจากปัญหายาเสพติดมากที่สุด ร้อยละ ๓๕.๓ และ ๓๔.๓ ตามลำดับ ขณะที่ปัญหาผลผลิตการเกษตรราคาตกต่ำพบมากที่สุดในภาคใต้ ร้อยละ ๔๔.๐ และภาคเหนือ ร้อยละ ๓๖.๒ ส่วนปัญหาหนี้สินพบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด ร้อยละ ๓๗.๑ ๒. ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ใน ๕ อันดับแรก คือ การแก้ปัญหาของแพง ร้อยละ ๔๐.๙ การแก้ปัญหาหนี้สิน ร้อยละ ๒๔.๒ การแก้ปัญหายาเสพติด ร้อยละ ๒๓.๑ การแก้ปัญหาการจราจรติดขัด ร้อยละ ๑๘.๑ และการแก้ปัญหาความยากจน ร้อยละ ๑๘.๐ โดยในทุกภาคประชาชนต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาของแพงมากกว่าเรื่องอื่น ๓. เรื่องเร่งด่วนที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลดำเนินการช่วยเหลือเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ใน ๕ อันดับแรก คือ การแก้ปัญหายาเสพติด ร้อยละ ๒๘.๖ การแก้ปัญหาน้ำท่วม ร้อยละ ๒๐.๙ การแก้ปัญหาหนี้สิน ร้อยละ ๑๘.๕ การสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ร้อยละ ๑๖.๘ และการแก้ปัญหาการจราจรติดขัด ร้อยละ ๑๕.๔ โดยประชาชนในภาคกลางและกรุงเทพมหานครต้องการให้รัฐบาลดำเนินการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนในการแก้ปัญหายาเสพติดมากที่สุด ร้อยละ ๓๔.๑ และ ๒๘.๖ ตามลำดับ ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือต้องการให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการแก้ปัญหาหนี้สินมากกว่าเรื่องอื่น ร้อยละ ๓๒.๙ และ ๓๒.๑ ตามลำดับ ส่วนภาคใต้ คือ การประกันราคาผลผลิตการเกษตรมากที่สุด ร้อยละ ๓๙.๒ ๔. ประชาชนร้อยละ ๔๙.๒ ระบุว่ามีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการช่วยเหลือ/แก้ไขปัญหาความเดือดร้อน/พัฒนาประเทศให้ดีขึ้น ร้อยละ ๒๐.๔ ระบุว่าไม่เชื่อมั่น และร้อยละ ๓๐.๔ ยังไม่แน่ใจ โดยประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน/พัฒนาประเทศให้ดีขึ้นสูงกว่าภาคอื่น ร้อยละ ๗๐.๑ ภาคเหนือ ร้อยละ ๖๒.๕ ภาคกลาง ร้อยละ ๕๘.๖ และกรุงเทพมหานคร ร้อยละ ๔๙.๑ ส่วนภาคใต้มีความเชื่อมั่นน้อยที่สุด คือ ร้อยละ ๔๐.๕ ทั้งนี้ อาจเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้
|
||||||||||||||||||||||||
28876 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเป็นหน่วยงานฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้น และหน่วยงานฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ พ.ศ. .... | รง | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเป็นหน่วยงานฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้น และหน่วยงานฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขออนุญาตเป็นหน่วยงานฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้นหรือหน่วยงานฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ สถานที่ยื่นคำขอ และอายุของใบอนุญาต ๒. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอต่ออายุใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาต ๓. กำหนดเงื่อนไขการสั่งพักใช้ใบอนุญาตและการเพิกถอนใบอนุญาต ๔. กำหนดวิธีการให้หน่วยงานฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้นหรือหน่วยงานฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟแจ้งกำหนดการฝึกอบรมหรือการฝึกซ้อม และส่งรายงานสรุปผล รวมทั้งให้อำนาจอธิบดีเข้าไปในหน่วยงานฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้นหรือหน่วยงานฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟ ๕. กำหนดให้หน่วยงานฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้นจัดให้มีการฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการฝึกอบรม และคุณสมบัติของวิทยากร ๖. กำหนดให้หน่วยงานฝึกอบรมการดับเพลิงและการฝึกซ้อมอพยพหนีไฟจัดให้มีการฝึกซ้อมดับเพลิงและการฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ ๗. กำหนดค่าบริการฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้น ค่าบริการฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ ๘. กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเป็นหน่วยงานฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้น หน่วยงานฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมหนีไฟ ใบแทนใบอนุญาต และการต่อใบอนุญาต
|
||||||||||||||||||||||||
28877 | ขออนุมัติจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศกับ กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย | กต | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยกลไกการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย (Memorandum of Understanding on the Establishment of Bilateral Consultations between the Ministry of Foreign Affairs of the People’s Republic of Bangladesh and the Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand) มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกลไกการปรึกษาหารือเพื่อทบทวนความสัมพันธ์ทวิภาคีในทุกมิติโดยปรารถนาที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม-วัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ และมุ่งหมายที่จะพัฒนาและกระชับความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างประเทศทั้งสอง และปรารถนาที่จะแก้ไขอุปสรรคความยากลำบาก หรือความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น และตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการปรึกษาหารือและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นประจำระหว่างประเทศทั้งสองในด้านความสัมพันธ์ทวิภาคีและความร่วมมือในประเด็นที่เป็นความสนใจร่วมกัน ซึ่งบันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลใช้บังคับในวันที่ลงนามและจะยังคงมีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา ๕ ปี และหลังจากสิ้นสุดระยะเวลา ๕ ปี ก็จะต่ออายุโดยอัตโนมัติ เว้นแต่ภาคีฝ่ายหนึ่งจะแจ้งบอกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูตล่วงหน้าเป็นเวลา ๖ เดือน ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||
28878 | แถลงข่าวร่วมไทย - บังกลาเทศ ในโอกาสการเยือนบังกลาเทศอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | กต | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงข่าวร่วมไทย-บังกลาเทศ ในโอกาสการเยือนบังกลาเทศอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยเอกสารร่างแถลงข่าวร่วมฯ มีสาระสำคัญเพื่อเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ร่วมและแสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยและบังกลาเทศในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และความร่วมมือด้านการพัฒนา ๑.๒ อนุมัติให้ประกาศแถลงข่าวร่วมฯ กับฝ่ายบังกลาเทศ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยก่อนมีการแถลงข่าวร่วมดังกล่าว ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรแก้ไขร่างแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ข้อ ๑๕ และ ๓๑ ซึ่งกล่าวถึงบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรและบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการประมงและปศุสัตว์ ระหว่างกระทรวงเกษตรแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งในการเยือนสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมที่จะลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรเพียงฉบับเดียว สำหรับบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการประมงและปศุสัตว์ นั้น อยู่ระหว่างดำเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อคิดเห็นต่อร่างโต้ตอบบันทึกความเข้าใจฯ ของฝ่ายบังกลาเทศ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในการลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว รวมทั้งความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเกี่ยวกับร่างแถลงข่าวร่วมฯ ในข้อ ๒๒ เกี่ยวกับการที่ฝ่ายบังกลาเทศจะจัดส่งคณะนักแสดงเผยแพร่วัฒนธรรมภายใต้แผนงานการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมมาแสดงในเมืองสำคัญ ๆ ของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของ (“… the first half of …”) ปี ค.ศ. ๒๐๑๓ นั้น เห็นควรให้ตัดข้อความดังกล่าวออก เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการดำเนินการให้เหมาะสมกับข้อเท็จจริง ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
28879 | แจ้งคำสั่งศาลปกครองกลางอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีถอนคำฟ้องคดีหมายเลขดำที่ ส. 257/2554 ระหว่าง นางสาวปรียนันท์ อิศรเสนา ณ อยุธยา ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรี กับพวก รวม 5 คน ผู้ถูกฟ้องคดี | อส | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งคำสั่งศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขแดงที่ ส. ๑๓๔/๒๕๕๕ ระหว่างนางสาวปรียนันท์ อิศรเสนา ณ อยุธยา ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ คณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ และกระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีถอนคำฟ้องคดีหมายเลขดำที่ ส. ๒๕๗/๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||
28880 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองกลาง กรณี นายต่อศักดิ์ วานิชขจร ฟ้องคณะรัฐมนตรีกับพวกรวม 3 คน ต่อศาลปกครองกลาง เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย | อส | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดงที่ ๒๑๙๑/๒๕๕๕ ระหว่างนายต่อศักดิ์ วานิชขจร ผู้ฟ้องคดี กับปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และคณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาไม่เพิกถอนคำสั่งทางปกครองตามที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอ
|
.....